คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 67 แตะแค่เบาๆ

ภายในฟองแสงนรกส่ายไหว เงาร่างของซานเชียนจื่อปรากฎขึ้น สีหน้าของเขาอึมครึมจนน่ากลัว มือแต่ละข้างถือหนามดูดเลือดยืนอยู่ในลำธาร เขายืนอยู่ในฟองแสงนรกโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ มองจินเฟยเหยาที่เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว

“สหายเซียนซาน เหตุใดจึงไม่มีคนจะเอาชีวิตเจ้าบ้าง ไม่เช่นนั้นตอนนี้ข้าคงทำเงินได้มหาศาล” จินเฟยเหยาเดินไปเบื้องหน้าฟองแสงนรก ใช้นิ้วจิ้มแล้วแย้มยิ้มเอ่ยอย่างเบิกบาน

เห็นซานเชียนจื่อไม่เอ่ยอะไรสักคำ นางจึงเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย “สหายเซียนซาน ข้าอยากเจรจาการค้ากับเจ้า เจ้ามอบหนามแหลมคู่นี้และเวทซ่อนกายให้ข้า จากนั้นออกไปจากเมืองลั่วเซียน ข้าจะปล่อยเจ้าไป”

“อยากได้หนามดูดเลือดของข้าก็เอาชีวิตของเจ้ามาแลก” ซานเชียนจื่อสีหน้าอึมครึม จ้องมองนางเขม็งราวกับจะกินคน

“ข้าว่านะสหายเซียนซาน เจ้าเปลี่ยนคำพูดได้หรือไม่ อะไรๆ ก็เอาชีวิตมาแลก ฟังแล้วหงุดหงิด” จินเฟยเหยาล้วงหู เมินเฉยท่าทางของเขา

ซานเชียนจื่อมองนางด้วยสีหน้าอึมครึม จากนั้นพลันเอ่ยอย่างเย็นชา “ได้ ข้าจะมอบให้ จากนั้นเจ้าปล่อยข้าไป”

เขาค่อยๆ เดินเข้ามาหาจินเฟยเหยา สุดท้ายหยุดลงตรงที่กั้นด้วยฟองแสงนรก ยกหนามแหลมในมือขึ้น จินเฟยเหยามองเขาด้วยรอยยิ้มปริ่มดังเดิม ราวกับไม่ได้ระวังป้องกันตนเองเลยสักนิด

ทันใดนั้น ซานเชียนจื่อก็แย้มยิ้มอย่างแปลกประหลาด พลังวิญญาณประทุออกมา หนามดูดเลือดในมือปักลงสุดกำลังทันที

“ไฟนรก” ม่านตาของจินเฟยเหยาหดวูบ การรับรู้ที่ติดอยู่บนฟองแสงนรกพลันเคลื่อนไหว ภายในฟองแสงนรกก็มีไฟนรกดวงหนึ่งพุ่งทะยานขึ้น

ซานเชียนจื่อกลายเป็นมนุษย์เพลิงสีฟ้าในพริบตา ทว่าเขายังคงถือหนามแหลมดังเดิม พยายามปักฟองแสงนรกให้ทะลุเพื่อทะลวงออกมา คิดจะฉุดลากนางให้ตายไปพร้อมกัน จินเฟยเหยาเบี่ยงกาย ยื่นมือเข้าไปในไฟนรกคว้าหนามดูดเลือดของเขาเอาไว้ จากนั้นยกเท้าขึ้นเตะเขาออกไป

ซานเชียนจื่อคิดไม่ถึงเลยสักนิด ว่าตนเองกับจินเฟยเหยาจะแตกต่างกันมากถึงปานนี้ โดยเฉพาะเปลวไฟสีฟ้าเหล่านั้น แปลกประหลาดถึงขีดสุด ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ขโมยไก่ไม่สำเร็จเสียข้าวสารไปกำมือ[2]จริงๆ เขาเอาชีวิตตนเองเข้าแลกแล้ว หากรู้แต่แรกถ้าตอนนั้นไปดูการประลองของนางก็คงไม่ประเมินนางต่ำเกินไป

ลูกเตะของจินเฟยเหยามีพลังไม่เบา ทั้งยังเสริมด้วยแสงสีฟ้าของไฟนรก อานุภาพใกล้เคียงกับหมัดหนักๆ ของนาง ซานเชียนจื่อแลเห็นว่าจะถูกจินเฟยเหยาคุมขัง ก็พยายามอย่างสุดกำลังอีกครั้ง ถ้าชิงใช้หนามดูดเลือดโจมตีนางได้ก่อนก้าวหนึ่งตนเองยังมีโอกาสพลิกผัน ต่อให้ไม่สำเร็จก็สามารถทำลายเคล็ดวิชาเล่มนั้นได้ จะให้เวทซ่อนกายรั่วไหลออกไปไม่ได้เด็ดขาด

หนามดูดเลือดถูกจินเฟยเหยาแย่งชิงมาได้ ปล่อยให้ไฟนรกเผาจนเหลือความยาวเพียงหนึ่งฝ่ามือกว่า จินเฟยเหยารีบดับไฟนรก ไฟนรกบนร่างซานเชียนจื่อก็ดับลงในเวลาเดียวกัน แต่เหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวเหมือนกับหนามดูดเลือด

จินเฟยเหยารีบวิ่งไปพลิกซากศพที่หลงเหลืออยู่ของซานเชียนจื่อค้นหากระเป๋าเก็บของทันที กลับพบตำราที่ถูกเผาทำลายไปมากกว่าครึ่งในอกเขา บนตำรามีเพียงอักษร ‘ฆ่า’ ที่สมบูรณ์ตัวเดียว ด้านล่างอักษรฆ่ายังมีอักษรตัวหนึ่งถูกเผาไปมากกว่าครึ่งซึ่งพอฝืนใจอ่านได้ว่า ‘ซ่อน’

“ซ่อนฆ่า? ท่าทางจะเป็นเคล็ดวิชาเล่มนี้ บ้าหรือเปล่า เป็นตำรากระดาษชัดๆ กลับไม่ใส่ไว้ในกระเป๋าเก็บของ เจ้าใส่ไว้ในอกทำไม” จินเฟยเหยาพึมพำ โยนไฟนรกดวงหนึ่งไปเผาซานเชียนจื่อ

สำนักเฉวียนเซียนมีกฎอยู่ว่าห้ามคนในสำนักเข่นฆ่ากันเอง ถึงซานเชียนจื่อจะเป็นฝ่ายลงมือก่อน คนตายแล้วก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ แทนที่จะเสียแรงเปล่าไปอธิบายกับหัวหน้า ทำลายศพและร่องรอยจะสะดวกกว่า

ซุกเก็บกระเป๋าเก็บของก่อน นางเปิดซากตำราซ่อนฆ่าออก หลังจากอ่านอย่างละเอียดรอบหนึ่ง หัวใจก็เจ็บปวดดั่งถูกมีดกรีด เงยหน้าขึ้นทอดถอนใจกับนภากว้าง นี่เรียกว่าอะไร ส่วนที่สำคัญถูกเผาไปหมดแล้ว เวทซ่อนกายอันร้ายกาจมีแค่เริ่มต้นเท่านั้น สิ่งเดียวที่สามารถฝึกปรือได้ มีเพียงบทนำของเวทซ่อนกายด้านหน้าสุดที่เรียบง่ายและธรรมดา

ถึงจะมีความพิเศษกว่าเวทซ่อนกายอื่น ทว่าอารมณ์เช่นนี้ก็เหมือนได้ยาสร้างฐานกำมือหนึ่ง ทว่าทั้งหมดกลับเป็นยาชั้นต่ำ ช่างเจ็บปวดจริงๆ จินเฟยเหยาสะกดความปวดใจเอาไว้ หยิบป้ายหยกอันว่างเปล่าออกมาชิ้นหนึ่ง เตรียมบันทึกเวทมนตร์ในตำราที่สามารถใช้ได้เอาไว้

นางกลัวว่าตำราเล่มนี้จะถูกคนพบเห็น แล้วยืนกรานว่าตนเองฆ่าซานเชียนจื่อเพื่อปล้นชิง นั่นคือซวยสุดๆ

เวทแปลงโฉมสามารถใช้พลังวิญญาณเปลี่ยนแปลงหน้าตาได้ชั่วคราว

“สิ่งของชิ้นนี้ไม่เลว ตอนเทขายของที่หยิบติดมือมาสามารถใช้ได้”

เวทควบคุมพลังวิญญาณ สามารถสะกดพลังการบำเพ็ญเพียรของตนเอง ทำให้คนอื่นมองพลังการบำเพ็ญเพียรของตนเองไม่ออก ประสิทธิผลในการมองทะลุถูกจำกัดด้วยความสูงต่ำของพลังการบำเพ็ญเพียร เห็นบรรทัดนี้ จินเฟยเหยาอดชื่นชมไม่ได้ นี่เป็นเวทแสร้งปลอมเป็นหมูไปจับเสือ[3]ที่จำเป็นต้องเรียนมิใช่หรือ?

สุดท้ายจึงมองเห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่ไม่ได้ถูกเผาเสียหายก็คือยันต์ที่เรียกว่ายันต์ซ่อนกาย ยันต์หนึ่งใบสามารถซ่อนกายได้หนึ่งชั่วยาม แต่เพราะซานเชียนจื่อเป็นเวทซ่อนกายทั้งหมด ดังนั้นบนตัวเขาจึงไม่มียันต์ซ่อนกายสักใบ

พอมองดูอย่างละเอียดจึงพบว่าวัตถุดิบหายาก ทั้งหมดเป็นสิ่งของของสัตว์ปิศาจที่มีระดับค่อนข้างสูงทั้งสิ้น การควบคุมยันต์ต้องฝึกฝนตลอด ศิลาวิญญาณและวัตถุดิบที่ใช้ก็มหาศาลอย่างยิ่ง ซานเชียนจื่อมิใช่คนโง่ จะหลอมสร้างสิ่งของที่ด้อยค่าเช่นนี้หรือ

ทว่าสิ่งที่ด้อยค่ากลับเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นยินดีในสายตาของจินเฟยเหยา เรียนเวทซ่อนกายไม่ได้ เรียนทำยันต์ซ่อนกายก็ไม่เลว และแม้กระทั่งปราณวิญญาณในตัวก็สามารถควบคุมได้ ใช้กับเรื่องลอบสังหาร ขโมยสิ่งของ และเรื่องน่าละอายอื่นๆ มีประโยชน์อย่างที่สุด

จินเฟยเหยาวางแผนว่าจะหามดหนึ่งผลึกมาเพิ่ม จากนั้นเลี้ยงเกินร้อยตัว เช่นนั้นวันหนึ่งจะมีรายได้เป็นศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน หนึ่งเดือนก็หลายพันก้อน เพียงพอให้นางฝึกบำเพ็ญในชีวิตประจำวัน และยังสามารถนำศิลาวิญญาณที่เหลือนำมาซื้อวัตถุดิบได้ ทดลองเรียนทั้งหลอมยา สร้างอาวุธ และทำยันต์

อย่างไรเสียมีวิชาติดตัวมากก็เป็นสิ่งที่ดี ถึงแม้การหลอมยาและสร้างอาวุธต้องรอหลังสร้างฐานใช้เพลิงแท้จะเรียนได้สะดวกยิ่งกว่า ทว่าสร้างยันต์สามารถเรียนก่อนได้

นางเก็บป้ายหยกใส่ในอกแล้วยิ้มแป้น ดีดนิ้วเบาๆ ตำราซ่อนฆ่าในมือก็ปรากฏไฟนรก เผาตำราจนเกลี้ยงในพริบตา

เห็น ณ ที่นั้นไม่มีอะไรแปลกประหลาด จินเฟยเหยาก็เดินเข้าไปในพุ่มไม้ใหม่อีกครั้ง หาทิศทางหนึ่งเริ่มค้นหา ‘สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ’

เจ็ดวันต่อมา ดูเหมือนอู๋เฮ่าคงก็หงุดหงิด ค้นหาอยู่เจ็ดวันเต็มๆ ก็ไม่พบขนของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสักเส้น หลังจากใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงพิเศษแจ้งอาคารเล่อเย่ที่มอบหมายภารกิจให้ อาคารเล่อเย่ก็ตอบกลับมา ให้พวกเขาไม่ต้องค้นหาแล้ว ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว ทั้งหมดกลับสำนักเฉวียนเซียนเพื่อรับภารกิจถัดไป

จุดพลุสองอันขึ้นฟ้า เขารอสมาชิกในกลุ่มกลับมาอย่างสงบนิ่งอยู่ที่เดิม เขาไม่มีความสามารถขนาดจะใช้เวทมนตร์ให้เหมือนพลุไฟได้ ดังนั้นจึงยังใช้พลุไฟสื่อสารที่สำนักเฉวียนเซียนมอบให้ พลุไฟพุ่งขึ้นสูงยิ่ง คนรอบเนินลาดเอียงล้วนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน จินเฟยเหยาที่เดินไร้ทิศทางอยู่ในพุ่มไม้เตี้ยๆ ย่อมมองเห็น หลายวันมานี้นางเดินพลางเที่ยวเล่นราวกับออกมาเที่ยวป่า ได้หญ้าวิญญาณราคาถูกมาจำนวนมาก และนางกินผลไม้ป่าและสัตว์ปิศาจตัวเล็กๆ ไปอีกไม่น้อย

นางรู้ชัดๆ ว่าที่นี่ไม่มีสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ยังพกกระโจมเล็กๆ มาด้วยโดยเฉพาะ สมาชิกในกลุ่มคนอื่นๆ ต่างนั่งเข้าฌานในป่า เพราะเกรงว่าสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ต่างก็ให้คนหนึ่งพักผ่อน คนหนึ่งเฝ้ายาม มีเพียงจินเฟยเหยา ทุกคืนกางกระโจมเล็กๆ อย่างสงบนิ่ง ทั้งผลไม้ป่าทั้งเผาสัตว์ภูติ ไม่เกรงกลัวว่าจะดึงดูดสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณมาเลยสักนิด ออกมาผ่อนคลายล้วนๆ

รอจนนางมาถึงสถานที่รวมพลอย่างเอ้อระเหย  บรรดาสมาชิกในกลุ่มก็มาถึงกันเยอะแล้ว ทุกคนรอสมาชิกในกลุ่มมาปรากฏตัวอย่างพร้อมหน้าที่เดิม ทว่ารออยู่สองวัน อู๋เฮ่าคงจุดพลุขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้ง ก็ไม่สามารถทำให้ซานเชียนจื่อกลับมาได้

“หัวหน้า เหตุใดสหายเซียนซานจึงยังไม่กลับมา เจ้าสังหารไปแล้วใช่หรือไม่?” หลี่เอ้อร์เกินคิดอะไรก็พูดออกมา เอ่ยถามอู๋เฮ่าคงที่มีสีหน้าปั้นยากอย่างโง่งม

“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ? ข้าทำงานกับสหายเซียนมู่ ก่อนหน้านี้ไม่ได้แยกตัวออกไป ข้าจะไปสังหารเขาได้ที่ไหน” อู๋เฮ่าคงรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ ทุกคนรู้เรื่องความขัดแย้งของเขากับซานเชียนจื่อดี ครั้งนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ถ้าไม่สงสัยเขาจะสงสัยใคร

ได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนต่างเลื่อนสายตาไปมองมู่ชิง เดิมทีเขากำลังหลับตาผ่อนคลายอยู่ ครั้งนี้ลืมตาขึ้นเอ่ยอย่างเย็นเยียบ “ใช่ พวกเราค้นหาสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณด้วยกันตลอดเวลา ก่อนที่พวกเจ้าจะมาถึง ไม่ได้ไปที่ไหนเลย”

“เช่นนั้นก็สหายเซียนจิน เจ้าไปฆ่าเขาที่ไหน?” หลี่เอ้อร์เกินหมุนตัวไปถามจินเฟยเหยาอย่างไม่ได้เจตนา

จินเฟยเหยาขมวดคิ้วฟังอย่างไม่พอใจ “สหายเซียนหลี่ เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกว่าเจ้าเป็นคนสังหารเล่า แค่ไม่มา เหตุใดเจ้าจึงสอบถามไปทั่ว ใครเป็นคนฆ่า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสหายเซียนซานตายแล้ว? จริงสิ เส้นทางที่เจ้ากับเขาไปอยู่ใกล้กันที่สุด คิดไม่ถึงว่าสมองของเจ้าจะคิดกระบวนท่าชิงลงมือก่อนได้เปรียบออกมาได้ด้วย”

“ข้าคาดเดาเอา เจ้ากับหัวหน้าเคยมีเรื่องกับสหายเซียนซานมิใช่หรือ ดังนั้นสหายเซียนซานไม่กลับมา นอกจากพวกเจ้าสองคนสังหาร ยังจะมีสาเหตุอะไรได้” ดูเหมือนหลี่เอ้อร์เกินจะยึดติดกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง ซักไซ้ตลอดอย่างไม่ยอมลดละ

“จะทะเลาะกันทำไม ไปตามหาตรงสถานที่ซึ่งสหายเซียนซานเดินผ่าน ถ้าฆ่าคนก็ต้องเหลือร่องรอยไว้” เสวี่ยเหนียงจื่อฟังคนทั้งสามโต้เถียงกัน สุดท้ายจึงเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย

เดิมทีนางก็ไม่อยากออกมาจับสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ผู้ใดจะรู้ว่าตนเองจะจับมันหรือมันจะจับตนเอง ทว่าตอนนี้ไม่พบสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ภารกิจถือว่าล้มเหลว ยังต้องรับภารกิจต่อไปอีก ถ้าต้องไปค้นหาสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณที่อื่น จะไม่หงุดหงิดแทบตายหรือ อีกทั้งหลายปีนี้ในสำนักเฉวียนเซียน ไม่มีภารกิจบังคับครั้งใดที่จัดการได้ง่ายดายเลย

เดิมทีเสวี่ยเหนียงจื่อหวังว่าสมาชิกคนอื่นๆ จะพบสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณก่อน จากนั้นตนเองกับเฟยเทียนหลงรอให้พวกเขาต่อสู้กันใกล้จบค่อยเร่งรุดมาในตอนท้ายสุด เพราะเหตุนี้นางจึงหาสถานที่ที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งโดยเฉพาะ กางวงเวทที่ซื้อมาและจัดวางการป้องกันนานาชนิด สองสามีภรรยารอคอยอยู่ในวงเวทโดยไม่ขยับเลยสักนิด

ทุกคนมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าเห็นด้วย คงมีเพียงวิธีนี้ ดังนั้นทุกคนจึงอยู่ห่างกันคนละสิบจั้ง เดินไปตามทิศทางที่ซานเชียนจื่อเดินไปในตอนแรก เริ่มค้นหาแบบหว่านแห

ค้นหาเช่นนี้อยู่สองวัน ทุกคนทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งหงุดหงิด หลังจากหารือกันก็วางแผนว่าจะแจ้งสำนักเฉวียนเซียนว่าหายสาบสูญ อย่างไรเสียก็ไม่มีใครชอบซานเชียนจื่ออยู่แล้ว คนเช่นนี้หายตัวไปสำหรับทุกคนแล้วมีแต่ข้อดีไม่มีผลกระทบร้ายแรงอะไร

ทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินทางกลับเรือนพร้อมกัน ทว่าในใจยังรู้สึกสงสัยเรื่องการหายตัวไปของซานเชียนจื่ออยู่บ้าง ถ้าไม่ได้เจออันตรายอะไรอย่างกะทันหันก็คงถูกคนบางคนในเรือนสี่สิบสี่สังหารแล้ว ทว่าซานเชียนจื่อไม่ใช่สหายที่ดีอะไร ย่อมไม่มีใครออกหน้าถามไถ่เรื่องนี้ให้

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset