คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 68 เบื้องบนบ้าไปแล้ว

พวกเขาเพิ่งกลับมาถึงสำนักเฉวียนเซียน ยังไม่ได้แยกย้ายไป ก็ได้รับภารกิจบังคับอันใหม่ พอเปิดป้ายหยกภารกิจออกดู คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะด่าทอ

“นี่มันอะไรกัน คิดไม่ถึงว่าจะให้พวกเราไปต่อสู้ตัดสินเป็นตายที่ลานประลองเป็นตาย?” เสวี่ยเหนียงจื่อร้องตะโกนอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“เบื้องบนของสำนักเฉวียนเซียนใช่บ้าไปแล้วหรือไม่ นี่มันบังคับให้พวกเราไปตายชัดๆ มิใช่หรือ? ทั้งยังแค่เพื่อให้คนลงเดิมพันด้วย เห็นพวกเราเป็นอะไร เป็นของเล่นที่ทำให้คนบันเทิงหรือ?” เฟยเทียนหลงผสมโรงด่าทอตามไปด้วย

เวิงเหล่าและหลิวเกาอี้มองหน้ากัน ไม่ได้ส่งเสียง เตรียมหารือเรื่องนี้กันอย่างลับๆ คนอื่นๆ ต่างก็มีความคิดของตนเอง ด่าทอกันยกใหญ่ ถ้าไม่ไปก็ได้แต่ออกจากสำนักเฉวียนเซียน

จินเฟยเหยารู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้าง ตนเองเพิ่งคิดจะปิดด่านกักตนทะลวงขั้นสร้างฐานช่วงปลายอย่างสมบูรณ์ ถ้าได้รับบาดเจ็บในลานประลองเป็นตาย ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีก มิสู้ออกจากสำนักเฉวียนเซียนหาสถานที่ปิดด่านกักตนดีกว่า ภารกิจบังคับอะไรนี่ไปตายเสียเถอะ

“เอ๋ จะได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งจากเงินเดิมพันทั้งหมด ข้าได้ยินว่าตอนนี้การประลองทั่วไปรอบหนึ่งได้เงินหลายหมื่นศิลาวิญญาณ การประลองของคนที่ร้ายกาจบางคนศิลาวิญญาณที่ลงเดิมพันทั้งหมดยังมากกว่าหลายแสน ถ้าชนะรอบหนึ่งก็สามารถได้รับส่วนแบ่งหลายหมื่นศิลาวิญญาณ ไม่ต้องออกไปทำภารกิจตลอดปีก็มีศิลาวิญญาณเพียงพอที่จะฝึกบำเพ็ญและซื้ออาวุธเวท” หลี่เอ้อร์เกินมองภารกิจ พลันแย้มยิ้มอย่างโง่งม ราวกับเก็บอะไรได้โดยไม่เปลืองแรง

พอทุกคนได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็เงียบ ครุ่นคิดดูอย่างละเอียด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ทำได้ อย่างไรเสียรับงานเล็กๆ ไม่หยุดหย่อนก็เสียเวลามากกว่า เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีสวัสดิการหรือไม่ ทุกคนไม่ได้ยินยอมไปเอง คนละเรื่องกับผู้บำเพ็ญเซียนที่ทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเป็นประจำเหล่านั้นที่เข้าร่วมการประลองเป็นตายโดยสิ้นเชิง

คิดไม่ถึงว่าคำพูดประโยคเดียวของหลี่เอ้อร์เกิน จะสลายโทสะของทุกคน

ส่วนจินเฟยเหยาเริ่มครุ่นคิด ตนเองยังถูกล่าสังหารอยู่ ถ้าในสำนักเฉวียนเซียนยังมีคนหนุนหลัง การประลองเป็นตายมีปีละครั้ง ถ้าทั้งหมดเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณน่าจะไม่มีปัญหา

ครุ่นคิดอยู่หลายครั้ง จินเฟยเหยาจึงตัดสินใจทดลองสู้ดูก่อนรอบหนึ่ง ถ้าทำเงินได้มากจริงๆ เรื่องนี้ก็มิใช่ว่าทำไม่ได้

ทุกคนมีความคิดเหมือนกัน รอศิษย์ทำธุระของอาคารเล่อเย่มาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ จริงเสียด้วย วันที่สองอาคารเล่อเย่ก็ส่งคนมา นอกจากมาอธิบายข้อดีกับพวกเขาแล้ว ยังจัดการทำป้ายเข้าประลองให้พวกเขาโดยเฉพาะ

ทุกคนล้อมรอบศิษย์อาคารเล่อเย่ที่อายุไม่มากทว่ากลับตีหน้าเคร่งขรึมจริงจังอยู่ตลอดเวลาคนนี้ ครุ่นคิดคำพูดของเขาด้วยสีหน้าแตกต่างกัน

จินเฟยเหยาดีดลูกคิดในใจ ได้ยินศิษย์ทำธุระคนนี้เอ่ยว่า นอกจากสามารถได้รับเงินลงเดิมพันครึ่งหนึ่ง ตนเองยังสามารถลงเดิมพันได้ด้วย หลังจากสังหารอีกฝ่ายตาย ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้พาคนมา สิ่งของอื่นๆ บนเวทีของเขาจะกลายเป็นของตนเองทั้งหมด สวัสดิการนี้ไม่เลวจริงๆ การต่อสู้ตัดสินเป็นตายอื่นๆ สิ่งของของฝ่ายที่เสียชีวิตบนเวที ถ้าไม่มีคนมารับไปจะตกเป็นของลานประลองทั้งหมด

ปกติผู้บำเพ็ญเซียนมักจะพกทรัพย์สินทั้งหมดไว้กับตัว สิ่งของเบ็ดเตล็ดอะไรก็มีหมด ถ้าพบเศรษฐีก็ร่ำรวยมหาศาล

ทั้งยังจงใจเอ่ยว่า จะไม่จัดให้คนของสำนักเฉวียนเซียนต่อสู้กันเองจะได้ลดความขัดเขินและลงมือไม่ได้ตอนเจอคนรู้จัก

“ข้ายินยอมไป ทำป้ายเข้าประลองให้ข้าก่อน” ในเมื่อครุ่นคิดอย่างชัดเจนแล้ว นางก็ไม่เสียเวลาอีก ลงชื่อสมัครก่อน

ศิษย์ทำธุระของอาคารเล่อเย่ยังตีหน้าขรึมดังเดิม ล้วงป้ายหยกสีแดงขาวที่น่าขยะแขยงออกมาชิ้นหนึ่ง เริ่มเขียนข้อมูลของจินเฟยเหยาลงไปด้านใน เห็นเขาใช้พลังวิญญาณเขียนลงในป้ายหยก จินเฟยเหยาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ รีบเอ่ยว่า “ช้าก่อน ไม่เขียนชื่อจริงของข้าลงไปได้หรือไม่?”

“เพราะเหตุใด?” ศิษย์ทำธุระเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่เข้าใจ

จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างขัดเขิน “สารรูปของข้าในตอนนี้กับชื่อไม่ค่อยเข้ากัน อย่างไรเสียก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไร เจ้าเปลี่ยนชื่อของข้าที่ประกาศต่อสาธารณะก็พอ”

ศิษย์ทำธุระคิดนิดหนึ่ง อย่างไรเสียพวกเขาก็รู้ฐานะที่แท้จริง และผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากที่เข้าร่วมต่อสู้เป็นตายโดยเฉพาะก็มีฉายานามที่แปลกประหลาดถึงเปลี่ยนชื่อก็ไม่เป็นไร ดังนั้นเขาจึงยินยอมและถามว่า “ได้ เจ้าจะเปลี่ยนเป็นอะไร”

“จินเฟย จอมพลังวัชระไร้เทียมทาน”

“พรวด…” เวิงเหล่ากำลังดื่มชาอยู่ พอได้ยินก็อดพ่นน้ำชาออกมาไม่ได้ คนอื่นๆ ก็อดแย้มยิ้มไม่ได้ แม้แต่มู่ชิงที่มีสีหน้าแบบเดียวมาตลอดก็อดก้มใบหน้าหล่อเหล่าแย้มยิ้มไม่ได้ ศิษย์ทำธุระอดกลั้นไว้สูดลมหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าเอาจริงหรือ?”

“อืม” จินเฟยเหยาพยักหน้าโดยแรง

“ก็ได้” ศิษย์ทำธุระตามใจนาง เขียนชื่อจินเฟยจอมพลังวัชระไร้เทียมทานลงไป เพียงแต่เขียนไปส่ายศีรษะไป ผู้บำเพ็ญเซียนที่ล่วงเกินตระกูลเจ้าคนนี้ ขอเพียงลงชื่อสมัครย่อมต้องมีคนจำนวนมากมายที่อยากได้เงินรางวัลระบุชื่ออยากประลองกับนางแน่ๆ

เรื่องที่ทำให้จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงคือ เวิงเหล่ากับหลิวเกาอี้ไม่ยอมไปต่อสู้ประลองเป็นตาย ทว่ายินยอมออกจากสำนักเฉวียนเซียน คนอื่นๆ ก็มีความคิดอยากจะทดลองดูจึงลงชื่อก่อน มีเพียงหลี่เอ้อร์เกินที่ตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด ขอร้องให้เขาได้ลงประลองรอบที่หนึ่งก่อน

ทุกคนไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเขาจึงตื่นเต้นถึงปานนี้ ต่อมาติงจี้ทนดูไม่ไหวจึงเอ่ยยิ้มๆ อยู่ด้านข้าง “หลี่เอ้อร์เกินถูกเซียนสตรีผู้หนึ่งในหอสาวงามขโมยวิญญาณไปแล้ว หลายวันก่อนข้าไปร้านอาวุธเห็นเขาอยู่ในร้านนั้นมองชุดเส่าเสียอี[1]ซ้ำไปซ้ำมา ตอนจากไปยังเหลียวมามองบ่อยๆ อย่างตัดใจไม่ลง แทบจะมองชุดเส่าเสียอีของผู้อื่นทะลุเป็นรู”

“ชุดเส่าเสียอี? เขาคงไม่ได้คิดจะไปหาเงินที่ลานประลองเป็นตาย จากนั้นซื้อชุดเส่าเสียอีมอบให้สตรีของหอสาวงามหรอกนะ” เสวี่ยเหนียงจื่อเบิกตามองหลี่เอ้อร์เกิน ดวงตาดุร้ายแทบจะสังหารคนได้ หลี่เอ้อร์เกินกลับลูบศีรษะยิ้มอย่างขัดเขิน ถือเป็นการยอมรับว่าเสวี่ยเหนียงจื่อคาดเดาได้ถูกต้องกลายๆ

จินเฟยเหยาย่อมรู้ว่าอะไรคือชุดเส่าเสียอี นั่นคือชุดเวทป้องกันที่สามารถสวมใส่ได้ถึงขั้นสร้างฐาน เพราะว่างดงามอย่างที่สุดราวกับรวมแสงสีเรื่อเรืองของรุ่งอรุณทั้งหมดเอาไว้ ทั้งยังมีการป้องกันและเวทย้อนกลับมากลืนกินอันแข็งแกร่ง เป็นชุดเวทที่ดีที่สุดในใจของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่มีพลังบำเพ็ญเพียรระดับต่ำ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นสร้างฐานจำนวนไม่น้อยก็ยังสวมชุดเส่าเสียอีดังเดิม

เพราะว่าได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ราคาของชุดเส่าเสียอีแต่ละชุดจึงสูงถึงหลายหมื่นศิลาวิญญาณ ถ้าเป็นชุดที่ร้านหลอมอาวุธมีชื่อเสียงจัดทำขึ้น ยิ่งมีราคาสูงถึงหลายแสนศิลาวิญญาณ ดังนั้นเสวี่ยเหนียงจื่อและจินเฟยเหยาต่างซื้อไม่ไหว ได้แต่มองผู้บำเพ็ญเซียนสตรีตระกูลใหญ่และร่ำรวยเหล่านั้นสวมชุดเส่าเสียอีที่งดงาม

เสวี่ยเหนียงจื่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถลึงตามองหลี่เอ้อร์เกินแล้วยื่นมือไปบีบคอเฟยเทียนหลงระบายแค้น เห็นเฟยเทียนหลงหลบวูบก็ทำให้คนรู้สึกสงสาร หลังจากกลับไปเสวี่ยเหนียงจื่อย่อมต้องโกรธที่เฟยเทียนหลงไม่ซื้อชุดเส่าเสียอีให้ตนเอง ไม่รู้ว่านางจะทารุณเขาอย่างไรบ้าง

ศิษย์ทำธุระผู้นี้ก็มีน้ำใจ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณในสำนักเฉวียนเซียนมีมากมาย เขายังส่งกำหนดการประลองให้หลี่เอ้อร์เกินทันที เวลาคือวันที่สองยามเว่ย[2] หลี่เอ้อร์เกินได้รับข่าวก็รีบแล่นไปหาเซียนสตรีผู้นั้นที่หอสาวงาม ตอนกลับมาก็เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว

วันที่สอง จินเฟยเหยาไม่ได้ไปดูการประลองของหลี่เอ้อร์เกิน นางยุ่งอยู่กับการศึกษายันต์ซ่อนกาย วิ่งไปร้านยันต์ซื้อสิ่งของที่เกี่ยวข้อง

วาดยันต์ชั้นต่ำไม่ต้องใช้ฝีมือและวัสดุที่ซับซ้อน แต่เพราะอัตราความสำเร็จต่ำ เทียบกับการหลอมยาแล้วไม่ค่อยได้กำไรนักจึงทำให้ยันต์ชั้นสูงมีราคาแพงและมีสินค้าน้อย ทั้งการวาดยันต์ที่แพร่หลายออกไปภายนอกมีเพียงวิธีการวาดยันต์ชั้นต่ำ ส่วนยันต์ชั้นสูงล้วนเป็นสิ่งที่ทำด้วยตนเองไม่เผยแพร่ออกไปภายนอก

เรื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่จินเฟยเหยารู้มาจากการเปิดอ่านหนังสือยันต์เบื้องต้นในร้านยันต์ นี่เป็นร้านยันต์อันดับต้นๆ ของเมืองลั่วเซียน ด้านในมีวิธีการสร้างยันต์ขาย และมีวิธีการสร้างยันต์เดินทาง ยันต์อัคคี ยันต์เพลิง ยันต์ลูกศรน้ำแข็งที่ใช้เป็นประจำและยันต์ชั้นต่ำต่างๆ

นางเคยสอบถามเจ้าของร้านเรื่องยันต์ซ่อนกาย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นยันต์ระดับสี่ ทั้งยังไม่มีสินค้าเลย จินเฟยเหยาแอบยินดี ยันต์ระดับสี่ขายใบละหลายร้อยศิลาวิญญาณก็ไม่เกินเลยสักนิด ต่อไปตั้งใจฝึกฝนให้ดี อาศัยฝีมือนี้หากินคงไม่มีปัญหา

วาดยันต์จำเป็นต้องมีพู่กันและกระดาษยันต์เปล่าๆ ยังมีสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหมึกยันต์ ชนิดของหมึกยันต์มีมากมาย มีน้ำพืชวิญญาณ ยังมีหินแร่บดเป็นผงผสมเป็นหมึกยันต์ ใช้บ่อยที่สุดและล้ำค่าที่สุดคือใช้เลือดสดของสัตว์ภูติทำเป็นหมึกยันต์ แต่เลือดของสัตว์ภูติชั้นล่างใช้ไม่ได้ทันที ต้องใส่ผงสินแร่และสิ่งอื่นๆ เพิ่มลงไปและผสมเข้าด้วยกัน จึงสามารถใช้วาดยันต์ได้

แต่จินเฟยเหยาได้ยินในร้านยันต์บอกว่า หมึกยันต์ชนิดหนึ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลกหนานซานคือน้ำตาของนางสมุทรนัยน์ตาเดียว สัตว์ปิศาจขั้นแปด หนึ่งหยดขายราคาเกินพันศิลาวิญญาณชั้นยอด จินเฟยเหยาคิดไม่ออก วาดยันต์หนึ่งใบอย่างน้อยต้องใช้สิบกว่าหยด สิ่งของเช่นนี้จะใช้วาดยันต์แบบใดนะ?

เพราะใช้เพื่อฝึกฝน จินเฟยเหยาจึงซื้อวิธีวาดยันต์เบื้องต้น และยังซื้อหมึกยันต์ซึ่งทำจากเลือดสัตว์ที่ถูกที่สุด กระดาษยันต์ก็เลือกกระดาษยันต์หยาบๆ ที่ถูกที่สุด กระดาษยันต์ที่ทำจากหนังสัตว์ราคาแพงเกินไป รอจนระดับสูงขึ้นแล้วค่อยซื้อ ทว่าตอนเลือกพู่กันยันต์จินเฟยเหยากลับลังเล

ตามหลักการแล้ว พู่กันยันต์ยิ่งดี เมื่อวาดยันต์ก็จะมีพลังควบคุมและพลังวิญญาณที่ดียิ่งขึ้น อัตราความสำเร็จจะสูงขึ้นเล็กน้อย ทว่าราคาพู่กันยันต์ดีๆ แพงมาก นางถูกใจพู่กันด้ามสีขาวอันหนึ่ง ปลายพู่กันเป็นขนคอของสัตว์ในลำธารขั้นห้า พอถามราคากลับสูงถึงหกหมื่นศิลาวิญญาณชั้นล่าง

ในตัวจินเฟยเหยาพอมีทรัพย์สินอยู่บ้าง ทว่ายังห่างไกลจากจำนวนเงินนี้ กระเป๋าเก็บของที่ค้นได้จากตัวซานเชียนจื่อมีศิลาวิญญาณแค่พันก้อน ในอ่างมายาจิ่งเทียนมีมดหนึ่งผลึกสี่ตัวที่ถ่ายศิลาวิญญาณได้ ทว่าวันหนึ่งได้ศิลาวิญญาณแค่สี่ก้อน ตอนนี้รวมทั้งหมดยังมีศิลาวิญญาณไม่ถึงห้าร้อยก้อน นางจึงซื้อพู่กันสีขาวด้ามนี้ไม่ได้

จินเฟยเหยาไม่พอใจราคาสิ่งของในเมืองลั่วเซียน นางซื้อพู่กันยันต์ด้ามหนึ่งราคาสองพันสามร้อยศิลาวิญญาณ ตัวพู่กันสีน้ำตาล ปลายพู่กันเป็นขนหางหมูป่าเขี้ยวยักษ์เป็นสินค้าโหลขั้นสอง ดูแล้วเหมือนพู่กันที่คนชราอายุยืนในโลกมนุษย์ใช้สำหรับเขียนตุ้ยเหลียน[3]

คิดไม่ถึงว่าพู่กันนี้ยังมีชื่ออันอหังการ ‘เทพประทับ’ ความหมายคือตอนวาดยันต์ มีเทพมาประทับในพู่กัน เพิ่มโชคดีให้ยันต์แต่ละใบ นางมองที่วางพู่กัน แล้ววาง ‘เทพประทับ’ ไว้ด้านหลังป้าย ในโถพู่กันใบนั้นเสียบเทพประทับได้อย่างน้อยยี่สิบสามสิบด้าม

จินเฟยเหยาทอดถอนใจว่าศิลาวิญญาณไม่พอใช้ต้องไปจับมดหนึ่งผลึกมาอีกให้ได้ กลับมาถึงสำนักเฉวียนเซียนอย่างเอ้อระเหย พอเข้าเรือนสี่สิบสี่ก็ได้ยินข่าวที่น่าตกใจ หลี่เอ้อร์เกินตายแล้ว

หลี่เอ้อร์เกินถูกคู่ต่อสู้ใช้การโจมตีเพียงครั้งเดียวกำจัดทิ้งบนเวทีประลองเป็นตาย ตายอย่างรวดเร็วยิ่ง ไม่ทิ้งคำพูดก่อนตายไว้สักคำ นึกถึงว่าเขาไม่มีญาติและพี่น้อง ขนาดคนที่เสียใจแทนเขายังไม่มี จินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าเขาตายอย่างหมดห่วงจริงๆ

ทันใดนั้น จินเฟยเหยาก็นึกถึงคนผู้หนึ่ง เกรงว่าเทพธิดาไม่ทราบชื่อในหอสาวงามคนนั้นคงเป็นผู้เดียวที่เสียใจเพื่อเขาและร่ำไห้แทบเป็นแทบตาย เห็นชุดเส่าเสียอีที่กำลังจะได้มาไว้ในมือ ผ่านไปไม่กี่ชั่วยามก็กลายเป็นความว่างเปล่า นางไม่ร้องไห้แล้วผู้ใดจะร้อง

[1] ชุดเส่าเสียอี คือชุดที่ทำจากเมฆยามพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก มีสีเรื่อเรืองเหมือนท้องฟ้าในยามนั้น อุปมาว่าเป็นชุดอันงดงามที่เทพธิดาใส่ลงมาโลกมนุษย์

[2] ยามเว่ย คือ 13.00-15.00 น.

[3] ตุ้ยเหลียน คือ บทกลอนคู่มีซ้าย-ขวาที่มีความคล้องจองและมีความหมายสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน เขียนด้วยลายมือลงบนกระดาษหรือผ้า นิยมติดตุ้ยเหลียนที่สองข้างประตูบ้านและเหนือประตู ใช้ติดได้ทั้งงานมลคลและอวมงคล

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset