คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 98 ก่อกบฏ

“ศิษย์พี่ไป๋ สีหน้าของท่านย่ำแย่จริงๆ การรับรู้เสียหายใช่หรือไม่? ข้ามียาอุ่นการรับรู้ เป็นยาที่สำนักข้าหลอมขึ้นเอง มีประสิทธิผลในการฟื้นฟูการรับรู้และลดความเจ็บปวด” เห็นไป๋เจี่ยนจู๋มีสีหน้าเขียวคล้ำ ฮวาลั่วฉิงก็หยิบยาที่บรรจุในกล่องหยกออกมา นางเดินมาคิดจะยื่นยาส่งให้เขาอย่างเอาใจใส่

ทว่าไป๋เจี่ยนจู๋กลับถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มือกุมไผ่ซวีซิงแน่น เอ่ยเบาๆ อย่างเจ็บปวด “เพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่ใช่จินเฟยเหยา? ถ้าเจ้าเป็นนางจะดีสักเพียงใด”

“หา?” ฮวาลั่วฉิงตะลึงงัน ทรวงอกอึดอัดราวกับถูกศิลาก้อนใหญ่กดทับ ทำให้คนหายใจไม่ออก นางหันหน้าไปทางอื่น ดวงตาจับจ้องพื้น เอ่ยอย่างเสียใจ “ศิษย์พี่ไป๋ สตรีที่ชื่อจินเฟยเหยาช่างโชคดีจริงๆ ในสถานที่เช่นนี้ ศิษย์พี่ไป๋ยังจำได้แต่นาง”

“ถ้าเจ้าเป็นจินเฟยเหยา ตอนสังหารเจ้าข้าคงไม่ต้องลังเล ศิษย์น้องฮวา ขอโทษด้วย” ไป๋เจี่ยนจู๋วาดไผ่ซวีชิงในมือ กำแพงศิลาสองฟากข้างพลันพ่นไผ่เขียวออกมาหลายสายปักทะลุฮวาลั่วฉิงที่ไม่ได้ระวังป้องกันทันที ดวงตาของฮวาลั่วฉิงเบิกกว้าง มองไป๋เจี่ยนจู๋อย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่กี่อึดใจต่อมา กล่องหยกบรรจุยาอุ่นการรับรู้ในมือของนางก็ร่วงหล่นพื้นและกลิ้งออกไป

ทว่าในยามนี้ จินเฟยเหยาที่อยู่ในอุโมงค์อีกด้านหนึ่ง พลันจามออกมา นางถูจมูกพลางเอ่ยพึมพำ “ใครกำลังพูดถึงข้า? คงเป็นเจ้าโง่ไป๋เจี่ยนจู๋เสียแปดส่วน อยู่ที่ใดก็ตะโกนว่าจะสังหารข้า”

เตะซากศพบนพื้น มุกทลายเขตแดนเม็ดหนึ่งกลิ้งออกมา ใช้น้ำแข็งนรกใช้ไฟนรกแช่แข็งคนให้เป็นก้อน จากนั้นก็ทุบทำลายน้ำแข็งนรกรวมทั้งคนที่กลายเป็นน้ำแข็งให้แตก เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันสิ่งของทั้งหมดถูกเผาเสียหาย นางยิ้มอย่างกระหยิ่มยินดี เพียงแต่คนเหล่านี้อ่อนแอเกินไป ภายในทางเดินศิลาที่แคบและเล็กก็คือแผ่นดินของข้า โยนฟองแสงนรกออกไปฟองเดียว ใครก็อย่าคิดจะหนีพ้น

จินเฟยเหยาหยิบมุกทลายเขตแดนขึ้นมา วางไว้ในมือเลียนแบบพวกเขา ใช้การรับรู้กวาดดู รู้สึกว่าภายในมุกเม็ดนี้มีปราณวิญญาณอันเข้มข้น ทว่านางกลับไม่ค่อยเข้าใจประสิทธิภาพ แค่อาวุธเวทก็สามารถทำลายภาพมายาในศิลารองรับฟ้าได้ คาดว่าคงหลอมสร้างมาต่อกรกับศิลารองรับฟ้าโดยเฉพาะ

จินเฟยเหยาเข้าไปในภาพมายายังไม่ทันได้ทลายภาพมายา บางครั้งถึงกับขาหนึ่งเพิ่งก้าวเข้าไป อีกขาหนึ่งก็ถูกดึงออกมา รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าคนของโลกเซียวไท่เหล่านี้ล้วนไม่ต้องไปทลายภาพมายา แต่ถือมุกเม็ดเล็กๆ เหล่านี้แทน แล้วทำไมนางต้องไปทำด้วย ปล้นชิงผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ได้กำไรยิ่งกว่า

นางยิ้มชั่วร้าย ถือมุกทลายเขตแดนในมือ เดินนำพั่งจื่อไปหาผู้บำเพ็ญเซียนของโลกเซียวไท่

นี่คือสิบห้าวันที่ผู้บำเพ็ญเซียนเข้าสู่ศิลารองรับฟ้า เรือเหาะของแต่ละสำนักร่อนลงพื้นแล้ว จอดอยู่บนยอดของศิลารองรับฟ้า ฝ่ายหนึ่งยึดพื้นที่ครึ่งหนึ่ง ต่างรอคอยบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนของฝ่ายตนออกมา

อี้จือยืนอยู่บนหัวเรือเหาะอย่างเบื่อหน่ายแทบตาย มองทะเลทรายอันไร้ขอบเขตรอบด้าน ชัดเจนว่าเบื่อหน่ายยิ่ง หลี่ว์เหนียงเนียงไม่อนุญาตให้นางลงจากเรือ บนเรือล้วนเป็นผู้อาวุโสที่แก่ชรา ไม่มีใครเล่นเป็นเพื่อนนางหาก รู้แต่แรกคงไม่ตามมา

ทันใดนั้น ภายในเรือมีเสียงถ้วยชาตกแตกดังมา ยังมีเสียงคนร้องอุทาน สุดท้ายยังมีเสียงโต้เถียงดังมา อี้จือเดินไปอย่างสงสัย คิดจะดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เดินไปข้างห้องในเรือ นางก็เห็นบรรดาผู้อาวุโสล้วนรวมตัวกันอยู่ในห้องโถง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวคนนั้นนั่งอยู่ตรงกลาง ส่วนหลี่ว์เหนียงเนียงกำลังโต้เถียงกับผู้อาวุโสที่ถือธงวายุขาวขังจิต

“หลี่ว์ซื่อ[1] เจ้าแยกแยะความสำคัญของเรื่องราวได้หรือไม่ ถ้าจากไปตอนนี้ หากแพ้การประลองโลกระดับดินครั้งนี้ พวกเราต้องตัดแบ่งดินแดนผืนใหญ่ออกมา ข้ายืนกรานคัดค้านการจากไปตอนนี้ คนเฝ้าระวังของสำนักเฉวียนเซียนมีมากมาย และไม่ด้อยไปกว่าเจ้า”

หลี่ว์เหนียงเนียงจ้องมองเขาอย่างเดือดดาล “หลี่เหวินกง เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ตะเกียงเฝ้าวิญญาณดับแล้ว แสดงว่าตอนนี้สำนักเฉวียนเซียนมีภัยมหันต์ ดินแดนส่วนนั้นสำคัญหรือสำนักสำคัญกว่า”

หลี่เหวินกงหัวเราะอย่างเย็นชา “สำนักเฉวียนเซียนมีภัยอะไรกัน แค่ตะเกียงเฝ้าวิญญาณที่ดับเป็นของคนรักเก่าเจ้า ไม่แน่ว่าเขาถูกสังหารตอนออกไปข้างนอก เกี่ยวข้องอันใดกับสำนักเฉวียนเซียนด้วย”

“ข้าไม่เถียงกับเจ้า อาจารย์ ท่านว่าเรื่องนี้สมควรทำเช่นไร?” หลี่ว์เหนียงเนียงไม่อยากพูดมากอีก จึงถามผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่โดยตรง

ชายชราขั้นกำเนิดใหม่ค่อยๆ ลืมตา เอ่ยอย่างเชื่องช้า “ในสำนักยังมีศิษย์ขั้นหลอมรวมหกคนมิใช่หรือ อีกทั้งพวกปิศาจเฒ่าก็ยังอยู่ในสำนัก กลัวอะไร รอคอยอยู่ที่นี่เถอะ เหลืออีกสิบห้าวันก็จะรู้ผลแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยกลับไปก็ยังไม่สาย”

ขนาดอาจารย์ยังพูดเช่นนี้ ต่อให้หลี่ว์เหนียงเนียงร้อนใจกว่านี้ก็ต้องทำตาม นางนั่งอยู่ในห้องโถงก็กระวนกระวายใจ จึงเดินออกมาผ่อนคลายจิตใจนอกห้อง เห็นอี้จือยืนอยู่ข้างนอกก็กวักมือเรียกให้นางไปหัวเรือ

“อาจารย์ เกิดเรื่องอะไรขึ้น” อี้จือถามอย่างห่วงใย

“เฮ้อ ตะเกียงเฝ้าวิญญาณของอาจารย์ลุงหงดับแล้ว ร้อยปีก่อน พวกเราสองคนเคยแลกเปลี่ยนตะเกียงเฝ้าวิญญาณกัน อาจารย์พกติดตัวมาตลอด วันนี้ตะเกียงเฝ้าวิญญาณของศิษย์พี่หงดับลงอย่างกะทันหัน คาดว่าความเป็นเซียนดับสูญ ข้าอยากรีบกลับไปสำนักเฉวียนเซียน ทว่าอาจารย์กับหลี่เหวินกงไม่เห็นด้วย อี้จือ ในใจอาจารย์ร้อนรนสับสน รู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น” หลี่ว์เหนียงเนียงขมวดคิ้ว มองไปยังทะเลทรายที่อยู่ไกลๆ เอ่ยอย่างกังวล

อี้จือตกตะลึง ข่าวนี้เหนือความคาดหมาย คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ลุงหงที่รักเอ็นดูตนเองอย่างยิ่งราวกับบิดามาตลอดจะเสียชีวิตแล้ว นางรับไม่ได้ไปชั่วขณะ เอ่ยอย่างสับสน “อาจารย์ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? พวกเราสมควรรีบกลับไปสำนักเฉวียนเซียน ตรวจสอบสาเหตุการดับสูญของอาจารย์ลุงให้กระจ่างชัด และแก้แค้นแทนเขา”

“อี้จือ เจ้าอย่าตื่นตระหนกเกินไป หนทางในการบำเพ็ญเซียน เดิมทีก็เดินไม่ได้ง่ายดาย สหายและญาติของเจ้าจะหายไปต่อหน้าเจ้าได้ทุกที่ทุกเวลา เจ้ารีบกลับเข้าห้อง พกพาสิ่งของป้องกันตัวทั้งหมดมาด้วย ข้าจะมอบของวิเศษชั้นกลางชิ้นหนึ่งและสัตว์ภูติขั้นสี่ตัวหนึ่งให้เจ้า ถ้ามีอันตราย เจ้าต้องรีบหลบหนี และระมัดระวังทุกเรื่อง” หลี่ว์เหนียงเนียงลูบศีรษะอี้จือ สีหน้าอ่อนโยนขึ้นมาก ทว่าความรู้สึกถึงวิกฤติที่ขจัดไม่ได้ภายในใจ กลับกดทับจิตใจนางอย่างหนักหน่วง

นี่เป็นคำสั่งเสียชัดๆ อี้จือฉุดดึงชายเสื้อของหลี่ว์เหนียงเนียงแน่น เอ่ยวิงวอน “อาจารย์ ท่านอย่าพูดไม่เป็นมงคลเช่นนี้ พวกเรามีคนมากมาย จะเกิดเรื่องอะไรได้ ท่านอย่าอารมณ์ปั่นป่วนเพราะเรื่องของอาจารย์ลุงหง รอจนเสร็จเรื่องที่นี่แล้ว พวกเราจะกลับไปตรวจสอบเรื่องนี้ทันที ต้องหาคนที่สังหารอาจารย์ลุงหงให้พบ แล้วแยกศพมันเป็นหมื่นชิ้นๆ”

“อี้จือ เจ้าทำตามที่ข้าพูดก่อน เก็บของให้เสร็จ ตอนเกิดเรื่องจะได้ไม่ต้องมือเท้าปั่นป่วน อีกสักครู่ไปห้องของข้า ข้าจะมอบสัตว์ภูติและของวิเศษให้เจ้า” หลี่ว์เหนียงเนียงส่ายศีรษะเบาๆ เอ่ยสั่งนาง

ท่าทางอาจารย์ค่อนข้างกังวล หรือว่าจะเกิดเรื่องจริงๆ? อี้จือเชื่อฟังคำพูดของหลี่ว์เหนียงเนียง กลับไปเก็บสัมภาระที่ห้องตนเอง ในใจเป็นห่วงหลี่ว์เหนียงเนียงอย่างยิ่ง สภาพจิตใจของนางดูไม่ค่อยดีนัก

ฉากนี้เกิดขึ้นบนเรือเหาะจำนวนไม่น้อย มีหลายสำนักได้รับข่าวการดับสูญของศิษย์ขั้นกลางและขั้นสูงในสำนักบ้างมากบ้างน้อย ทว่าเนื่องจากเป็นเรื่องในสำนักตนเองจึงไม่ได้เปิดเผยออกใส

อย่างไรเสียก็มีสำนักที่ไม่ถูกชะตากันมากมาย เกรงว่าถ้าข่าวการดับสูญของศิษย์ตนเองเปิดเผยออกไป จะทำให้ตำแหน่งของสำนักพวกเขาลดลง หลังการประลองโลกระดับดินจบสิ้น ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ได้รับจะลดลงมาก เป็นเพราะสาเหตุนี้ ข่าวการเสียชีวิตของผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงจำนวนมากที่ทิ้งไว้ที่โลกหนานซานจึงไม่ได้แพร่ออกมาอย่างน่าอัศจรรย์

ในเรือเหาะของสำนักอวิ๋นซาน สยงฮูหยินทำลายสิ่งของภายในห้อง นางนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ สามีของนาง บิดาของสยงเทียนคุนตายแล้ว หยกประดับร่วมวิญญาณที่แขวนติดกายตรงหน้าอกมาตลอดแตกสลายไปเมื่อครู่ การรับรู้เล็กน้อยภายในนั้นหายไปอย่างกะทันหัน ไม่มีพลังใดๆ แล้ว

“ข้าต้องกลับไปเดี๋ยวนี้ ผู้ใดทำกันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าสังหารสามีของข้า ไม่ได้ คุนเอ๋อร์ยังอยู่ในศิลารองรับฟ้า ต้องรอให้เขาออกมาก่อน ข้าบอกแต่แรกให้เขาอย่าไป เขาก็ดึงดันจะไป ข้าโมโหแทบตายแล้ว” ฮูหยินสยงนึกถึงบุตรชายที่ไม่เชื่อฟังก็มีโทสะที่ระบายออกมาไม่ได้ ใช้มือปัดสิ่งของทั้งหมดบนโต๊ะลงมา หากมิใช่เพราะสยงเทียนคุนดึงดันจะมาให้ได้ นางคงอยู่ในสำนักตลอดเวลา ไม่ใช่สามีตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เช่นนี้

เรือเหาะส่วนมากจอดบนศิลารองรับฟ้า แพไผ่เขียวของหอซวีชิงกลับลอยอยู่เหนือศิลารองรับฟ้าตลอดเวลา นอกจากชายชราร่างผอมเส้นผมหงอกขาวหนวดเครายาวปลิวไสวมีลักษณะของเซียนที่นั่งอยู่ด้านหน้าแพไม้ไผ่แล้ว คนของหอซวีชิงล้วนเข้าไปในศิลารองรับฟ้าทั้งหมด

สิบห้าวันมานี้เขานั่งหลับตาอยู่บนแพไม้ไผ่ตลอด ปล่อยให้สายลมและทรายพัดต้องร่าง ไม่ได้ขยับกายแม้แต่น้อย คงจู๋อู๋ที่อยู่ขั้นหลอมรวมช่วงปลายอย่างเต็มสมบูรณ์ หยุดการรับรู้ไว้บนศิลารองรับฟ้าอย่างสงบนิ่งราวกับอ่างศิลา การออกคำสั่งเช่นนี้กับศิษย์ของตนเอง ไม่ใช่ความคิดของเขา ทว่าสำนักให้เขาทำเช่นนี้ ศิษย์หอซวีชิงทั้งหมดล้วนต้องเชื่อฟัง ไม่ว่าผิดหรือถูกก็ตาม

ตอนนี้หวังเพียงศิษย์ทั้งหมดจะกลับมาอย่างปลอดภัย ความสงสัยและไม่เข้าใจภายในใจ  วันหน้าให้อาจารย์จู๋ซวีอู๋อธิบายเถอะ

การประลองอย่างยุติธรรมภายในศิลารองรับฟ้ากำลังดำเนินอยู่ ผู้บำเพ็ญเซียนนอกศิลารองรับฟ้ารอผลการประลองสุดท้ายอย่างร้อนอกร้อนใจ ทว่าในโลกหนานซาน โลกแห่งการบำเพ็ญเซียนกำลังประสบภัยมหันต์

วันที่สามที่สำนักในโลกหนานซานพาศิษย์ส่วนมากโดยสารเรือเหาะไปศิลารองรับฟ้า โลกหนานซานก็มีผู้บำเพ็ญเซียนแปลกหน้าจำนวนมากปรากฏขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ พวกเขาแบ่งเป็นหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มต่างมุ่งไปหาเป้าหมายตามข่าวที่สายสืบส่งกลับมา เมืองลั่วเซียนก็มีผู้บำเพ็ญเซียนมาจำนวนมาก ทว่าเดิมทีเมืองลั่วเซียนก็เจริญรุ่งเรืองมาตลอดจึงไม่ได้ทำให้คนรู้สึกผิดปกติ

หลังจากนั้นไม่กี่วัน มักจะมีผู้บำเพ็ญเซียนนอกเมืองลั่วเซียนหายตัวไปอย่างอธิบายไม่ได้ แต่ผู้คนมากมายเกินไป มีเพียงคนในสำนักที่ดูออก ทว่าก็ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร

วันที่สิบสี่ เมืองลั่วเซียนพลันเกิดกบฏ ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนบุกตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนและสำนักในเมืองลั่วเซียน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงมือเข่นฆ่า ตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนและสำนักเล็กๆ จำนวนไม่น้อยถูกกักขัง และถูกจับเป็นนักโทษ

ส่วนกลางอากาศเหนือภูเขาเซียนซู่ กลับปรากฏผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมหลายสิบคนและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่แปดเก้าคน คนเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นที่ภูเขาเซียนซู่ เริ่มฆ่าล้างสำนัก ถ้ายอมแพ้เองจะไว้ชีวิต ส่วนพวกที่ต่อต้านต้องถูกฆ่าล้างสำนัก

ในขณะที่ทุกคนยังหวังว่าตำหนักลั่วเซียนจะรีบออกมาระงับเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้นี้ ภายในป่าไผ่ของหอซวีชิง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เก้าคนของอีกสี่สำนักกำลังนั่งอยู่ในงานเลี้ยงน้ำชา ซึ่งรอบด้านถูกวงเวทกักขังไว้ ภายนอกวงเวท ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดของหอซวีชิง จู๋ซวีอู๋ที่มีรูปลักษณ์ราวกับเด็กหนุ่มคาบใบไผ่เล็กๆ ฉีกยิ้มมองดูคนเหล่านั้น

[1]   ซื่อ แปลว่า แซ่ ในที่นี้ หลี่ว์ซื่อให้ความหมายเหมือน นางหลี่ว์

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset