คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 84 การพบปะของขุมกำลังน้อยใหญ่

— ตูม ! —

เกิดเสียงดังก้องไปทั่วถนนทั้งสาย ลูกเพลิงลูกหนึ่งพุ่งกระแทกเข้าใส่รถม้าคันงามของตระกูลหวัง

ก่อนที่จะมีผู้ใดในคณะเดินทางของหวังรั่วอีได้ตอบสนอง รถม้าของพวกเขาก็ระเบิดเละกลายเป็นจุณไปเสียแล้ว

“หลิวหว่านเยียน พวกข้าไม่มีเวลามามัวเล่นเกมตีสองหน้ากับเจ้า ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะไม่หลีกทางเช่นนี้ก็เตรียมตัวหารถม้าคันใหม่ได้เลย”

หลังจากกล่าววาจาจบลง ฉินอวี้โม่ก็บอกให้คนขับเคลื่อนรถม้าออกไปในทันที

“ฉินอวี้โม่…”

ในที่สุดหลิวหว่านเยียนก็จดจำเสียงนั้นได้ ผู้ที่อยู่ในรถม้าก็คือฉินอวี้โม่ เป็นนางอย่างแน่นอน สตรีบ้านนอกที่สาวงามอันดับแปดนึกริษยาชิงชัง  ทว่าหลิวหว่านเยียนก็ได้แต่ยืนแข็งค้างอยู่กับที่และไม่กล้าเคลื่อนไหว

ทางด้านหานโม่หยวนเองถึงแม้จะรู้สึกราวกับถูกตบหน้าอย่างแรงจนบัดนี้ใบหน้าถมึงทึงเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด แต่เขาเองก็ไม่กล้าจะไล่ตามไปจัดการคนในรถม้าคันนั้น

ด้วยเพราะแรงกดดันจากสภาวะพลังอันรุนแรงที่แผ่กระจายออกมาจากภายในรถม้าเมื่อสักครู่…มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานได้เลย   พลังของลูกเพลิงที่ถูกปลดปล่อยออกมาก็น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง  ทั้งหานโม่หยวนและหลิวหว่านเยียนยังไม่อยากถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้เปลวเพลิงนั้น

“หึ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน !”

หานโม่หยวนแค่นเสียงกล่าวออกมาอย่างเคียดแค้น เขาหมายมาดไว้ในใจแล้วว่าจะหาทางเล่นงานคนในรถม้านั่นให้ได้  และเพราะเวลาเหลือน้อยเต็มทีคุณชายตระกูลหานจึงต้องรีบหันไปสั่งคนให้นำรถม้ามาใหม่เป็นการด่วน

ในเวลานี้ใบหน้าของคุณชายขี้แยหวังรั่วจวินซีดเผือดไร้สีเลือดไปโดยสมบูรณ์เพราะเขากำลังหวาดกลัวจนตัวสั่น โชคยังดีที่เขาสามารถคงสติอยู่ได้ ไม่เช่นนั้นคงได้ฉี่ราดอาภรณ์หรูหรานี้ไปแล้ว  เมื่อครู่นี้ที่เห็นว่าหานโม่หยวนปรากฏตัว เขาก็คิดว่าหน้าที่ในการก่อกวนของเขาเสร็จสิ้น คุณชายคึกคะนองจึงคิดจะขึ้นไปนั่งเคี้ยวขนมดูละครฉากใหญ่อยู่เฉย ๆ บนรถม้า  ทว่ายังดีที่เขาคิดช้า หากเขาขึ้นไปนั่งอยู่บนรถม้านั่นในโลกใบนี้คุณชายแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรหวังรั่วจวินก็คงจะเหลือเพียงนามให้สลักไว้บนป้ายหลุมศพแล้วเป็นแน่ !

ใบหน้าของหวังรั่วอีเองก็ดูตื่นตระหนกไม่น้อย แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือนางกำลังปวดร้าวใจเป็นอย่างมากเพราะหากว่านางทราบก่อนว่าฉินอวี้โม่อยู่ในรถม้าคันนั้น นางก็คงไม่เข้าไปหาเรื่องยั่วยุพวกเขาตั้งแต่แรก

ก่อนหน้านี้นางเคยเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารฉินอวี้โม่ที่ตึกเต๋อเยว่ ในตอนนั้นแผนการ ‘เชื่อมสะพานเพื่อพิชิตใจบุรุษ’ ของนางพังยับเยินไม่เป็นท่า  วันนั้น นางได้แต่โทษหลิวหว่านเยียนอยู่ในใจที่ทำให้นางต้องเสียหน้าต่อหน้าฉินอวี้โม่

แล้วยิ่งมีเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้นอีก  ตอนนี้คุณหนูตระกูลหวังกำลังรู้สึกสิ้นหวังและหดหู่คล้ายกับว่าความหวังทั้งหมดของนางพังทลายลงไปในพริบตาพร้อมกับรถม้าคันนั้น

การมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่ย่อมสร้างความไม่ประทับใจและก่อให้เกิดอคติขึ้นในใจของสตรีผู้ที่นางหมายใจให้เป็นน้องสามีมากขึ้นอีกเป็นแน่  หวังรั่วอีสัมผัสได้ว่าความรักที่ฉินอี้เฟยมีต่อน้องสาวของเขานั้นมีมากเพียงใด เมื่อฉินอวี้โม่เกลียดนางไปแล้วเช่นนี้โอกาสในการจุดประกายเรื่องราวความรักระหว่างนางกับฉินอี้เฟยก็คงจะริบหรี่เต็มทน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณหนูตระกูลหวังยังไม่ทราบก็คือ ไม่ว่านางจะพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ดีอย่างไรแต่ในใจของฉินอวี้โม่ก็มีอคติกับสตรีดอกบัวขาวอย่างนางไปตั้งแต่แรกพบแล้ว  ฉินอวี้โม่คิดว่าสตรีเช่นนี้ไม่เหมาะสมกับพี่ชายของนางแม้แต่น้อย

เมื่อครู่นี้ ฉินอวี้โม่ขอให้ซิวใช้พลังปลดปล่อยลูกเพลิงออกไปทำลายรถม้าที่ขวางทางอยู่

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทำให้เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงได้แต่อ้าปากค้างมองฉินอวี้โม่ ในดวงตาทั้งสี่ข้างของสองคนเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงระคนยำเกรง

“อวี้โม่ เจ้านี่ดุดันจริง ๆ  ข้ามักคิดอยู่เสมอว่าหากนับสตรีในนครไป๋อวิ๋นทั้งหมด ข้าก็คือคนที่ดุดันและองอาจที่สุดแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้ข้าจะยังด้อยกว่าเจ้ามาก”

เยว่ชิงเฉิงรู้สึกทึ่งในตัวฉินอวี้โม่มากทว่าก็ยังแฝงไปด้วยความรู้สึกยำเกรง ยิ่งกว่านั้นคุณหนูช่างหลอมก็เริ่มเกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวสหายโฉมงามผู้นี้ขึ้นมาด้วย …สหายของนางเพิ่งจะระเบิดรถม้าต่อหน้าต่อตาหานโม่หยวน นี่เท่ากับเป็นการตบหน้าเขาอย่างแรง !

เดิมทีวันนี้เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงคิดว่าพวกเขาอาจจะต้องต่อสู้ครั้งใหญ่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่กลัวเลยก็ตาม แต่ก็คิดว่าอาจจะต้องเจ็บตัวกันทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของฉินอวี้โม่กลับข่มให้หานโม่หยวนรู้สึกหวาดหวั่นจนไม่กล้าติดตามมาเอาคืนพวกเขาได้เช่นนี้  และบางทีคนจองหองผู้นั้นอาจจะไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเลยด้วยซ้ำ

นี่ไม่ใช่แค่ช่วยพวกเขาประหยัดพลังและเวลาไปได้ แต่ยังเป็นการแสดงแสนยานุภาพให้คนพวกนั้นต้องยำเกรง นี่ทำให้ทั้งคุณหนูใหญ่ตระกูลช่างหลอมและคุณชายรองตระกูลโอวหยางรู้สึกสะใจอย่างมาก

ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อน ๆ ความจริงแล้วหากว่าหานโม่หยวนไม่ออกมา นางก็ไม่คิดจะเคลื่อนไหวและคงปล่อยให้โอวหยางชิงเฟิงกับเยว่ชิงเฉิงสั่งสอนบทเรียนให้หลิวหว่านเยียนไปเสีย

อย่างไรก็ตาม เพราะบุรุษน่าตายหานโม่หยวนผู้นั้นปรากฏตัวออกมาอีกทั้งยังทำตัวโอหังวางก้ามใหญ่โต นี่ทำให้ฉินอวี้โม่อดรนทนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้อีก

ในเมื่อนางตัดสินใจจะใช้ชีวิตเคียงคู่กับหานโม่ฉือแล้ว หานโม่หยวนผู้ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของหานโม่ฉือก็ถือเป็นศัตรูของนางด้วย  เมื่อครู่อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูจึงไม่ลังเลที่จะแสดงพลังของตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายได้เห็น

หลังจากใช้พลังนิดหน่อยเพื่อปัดเป่าเอาเรื่องยุ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางออกไป คณะเดินทางทั้งสี่คนก็มาถึงประตูทางเข้าพระราชวังในที่สุด

เนื่องจากในเขตวังหลวงไม่อนุญาตให้มีการใช้รถม้า ดังนั้นทั้งสี่คนจึงต้องเดินเข้าไปเท่านั้น

โอวหยางชิงเฟิงบอกให้คนขับรถม้าของเขากลับไปก่อน  ส่วนสหายทั้งสี่ก็พากันเดินเข้าไปภายในวังหลวง

หลังจากล่วงเข้ามาเขตพระราชฐานได้ไม่นานนัก พวกเขาก็พบเห็นองค์ชายฉีอวี้ที่กำลังฉีกยิ้มกว้างเดินตรงเข้ามาหาอย่างเบิกบาน

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว เยว่ชิงเฉิง และโอวหยางชิงเฟิง องค์ชายสามที่ทำหน้าที่ช่วยในการต้อนรับแขกที่มาร่วมงานก็รีบเดินเข้ามาหาพวกเขาทันที

“ฉีอวี้เจ้ามาอยู่ที่นี่เพื่อรอพบพวกเราอย่างนั้นหรือ ?”

ดูเหมือนว่าเยว่ชิงเฉิงจะรู้จักมักคุ้นกับองค์ชายสามฉีอวี้เป็นอย่างดี คุณหนูผู้ห้าวหาญจึงเอ่ยวาจากับบุรุษสูงศักดิ์อย่างเป็นกันเองได้ถึงเพียงนี้

องค์ชายฉีอวี้พยักหน้าและกล่าว “ข้ากับฉีฉีร้อนใจที่เห็นพวกเจ้ายังไม่มากันสักที ข้าก็เลยอาสาเดินรอดูอยู่แถว ๆ ประตูวังให้”

แท้จริงแล้ว องค์ชายสามเลือกกล่าวความจริงออกมาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งเหตุผลจากใจที่เขาควรจะบอกแต่กลับไม่ยอมเปิดเผยก็คือ ‘เป็นเขาเองคนเดียวที่ร้อนใจ และฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วต่างหากที่เขารอ  เมื่อเห็นว่าพวกนางยังไม่มาเสียทีเขาก็กังวลจนต้องมายืนรออยู่หน้าวังเช่นนี้’ 

“ไม่คิดเลยว่าองค์ชายจะเป็นห่วงพวกเราขนาดนี้ด้วย ? น่าสนใจจริง ๆ” เยว่ชิงเฉิงเดินเข้าไปหาองค์ชายฉีอวี้พลางเอ่ยปากเสียงล้อเลียน ก่อนจะตบบ่าของเขาเบา ๆ เป็นเชิงหยอกล้อ

ทั้งการแสดงออก วาจาและการกระทำทั้งหลายของเยว่ชิงเฉิงที่มีต่อองค์ชายสามแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นนั้นแสดงให้เห็นว่าทั้งสองสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างมาก  นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่องค์ชายสามได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์และได้ร่ำเรียนวิชาการหลอมจากประธานสมาคมช่างหลอมคนปัจจุบัน หรือก็คือบิดาของเยว่ชิงเฉิง  ในตอนนั้นพวกเขาทั้งคู่ได้เรียนรู้และฝึกทักษะแห่งศาสตร์การหลอมไปพร้อม ๆ กัน จึงเป็นที่มาของความสนิทสนมและการกระทำที่เสมือนไม่เคารพต่อตำแหน่งองค์ชายของคุณหนูผู้ห้าวหาญ

“พวกเราเจอสุนัขกลุ่มหนึ่งระหว่างทางทำให้ต้องเสียเวลาไปบ้าง โปรดอย่าถือสาพวกเราเลยนะ”

เมื่อฉินอวี้โม่เหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งจะก้าวผ่านประตูวังและเดินตรงมาทางด้านหลังของนาง  อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็จงใจกล่าวออกไปเช่นนั้นโดยเน้นเสียงให้ดังขึ้นสักเล็กน้อย

ในที่สุดหานโม่หยวนและคนอื่น ๆ ก็หารถม้าคันใหม่ได้และรีบเร่งมาให้ถึงวังหลวงอย่างรวดเร็ว  แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเข้ามาแล้วจะบังเอิญได้ยินประโยคเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหวังรั่วจวินก็เดือดดาลในทันใด คุณชายอารมณ์ร้อนนั้นไร้ความอดทนอยู่แล้ว เขาจึงพยายามจะเดินเข้าไปเอาเรื่องกับฉินอวี้โม่และพวกพ้อง

ทว่าหวังรั่วจวินก็ถูกหวังรั่วอีผู้เป็นพี่สาวรั้งตัวไว้เสียก่อน

“เรื่องแค่นี้เองจะเกรงใจทำไมกัน พวกเราถือเป็นสหายกันทั้งนั้น ต่อไปอยู่ต่อหน้าข้าก็ไม่ต้องเกรงใจกัน จริงสิ  เจ้าเรียกข้าว่าฉีอวี้เหมือนชิงเฉิงก็ได้ แล้วก็เรียกองค์หญิงน้อยด้วยชื่อ ข้าว่านางคงจะดีใจมาก”

องค์ชายสามฉีอวี้ยิ้มแล้วพาสหายทั้งสี่คนตรงเข้าไปยังตำหนักที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงในทันที โดยปล่อยให้แขกกลุ่มล่าสุดที่เพิ่งเดินเข้ามาได้แต่ยืนหน้าตึงอยู่เช่นนั้น หานโม่หยวน หลิวหว่านเยียน และหวังรั่วจวินมองตามไปด้วยความโกรธแค้น มือของบุรุษตระกูลหานกำหมัดแน่น

เมื่อเข้ามาภายในตำหนักสำหรับจัดงานเลี้ยง ฉินอวี้โม่ก็พบเห็นใบหน้าของคนคุ้นเคยจำนวนมาก

ในตอนนี้ที่นั่งบนบัลลังก์ยังไม่มีผู้ใดนั่งอยู่ นั่นแสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและฮองเฮาเหวินหย่ายังเสด็จมาไม่ถึง

บัลลังก์นั้นถูกจัดวางอยู่ตรงกลางด้านในสุด  พื้นที่ถัดจากบัลลังก์ทางด้านข้างมีที่นั่งสำหรับแขกจำนวนมากถูกจัดวางไว้ซ้ายขวาโดยทุกที่นั่งจะถูกวางไว้ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าระดับของบัลลังก์เล็กน้อย

ที่นั่งแรกทางด้านขวาจะเป็นที่นั่งของผู้นำตระกูลฉินซึ่งในขณะนี้มีฉินเฟินและฉินหยางนั่งอยู่ พวกเขากำลังสนทนาอย่างออกรสกับบุรุษอีกสองคนที่นั่งอยู่ถัดไป

ที่นั่งถัดจากของตระกูลฉินเป็นของตระกูลโอวหยาง ณ จุดนั้นมีบุคคลผู้หนึ่งที่ฉินอวี้โม่จดจำได้ในทันที นั่นก็คือท่านลุงสามของโอวหยางชิงเฟิง ผู้อาวุโสโอวหยางหมิง  และถัดจากโอวหยางหมิงเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับโอวหยางชิงเฟิงมากกว่าห้าส่วนนั่งอยู่  ฉินอวี้โม่คาดเดาว่าเขาน่าจะเป็นบิดาของโอวหยางชิงเฟิงที่มีนามว่า–โอวหยางเจวี๋ย

ถัดจากที่นั่งของตระกูลโอวหยางจะเป็นที่นั่งของตระกูลเหล่ย

บุคคลแรกที่ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นก็คือ–เหล่ยชิว คุณชายสามผู้หยิ่งยโสที่ฉินอวี้โม่เคยพบที่ป่าแสงจันทร์เมื่อครั้งเข้าร่วมภารกิจบุกถ้ำอสรพิษก่อนหน้านี้

เหล่ยชิวเองก็เห็นฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเช่นกัน เขามองพวกนางด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทาง

ส่วนที่นั่งอีกหลายที่ที่อยู่ถัดจากตระกูลเหล่ยไปนั้น ฉินอวี้โม่รู้สึกไม่คุ้นเคยเลย นางคาดเดาว่าพวกเขาน่าจะมาจากตระกูลขนาดกลางและขนาดเล็กในนครไป๋อวิ๋น

ที่นั่งแรกที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของบัลลังก์คือที่นั่งของตระกูลหาน

ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นบุรุษวัยกลางคนที่มีส่วนคล้ายคลึงกับหานโม่ฉือนั่งอยู่ตรงนั้น นางคิดว่าเขาน่าจะเป็น — หานปิ่งเซียน บิดาของหานโม่ฉือ

ถัดไปจากตระกูลหานจะเป็นที่นั่งของสมาคมใหญ่ทั้งหลาย

ในที่นั่งของสมาคมทหารรับจ้าง ฉินอวี้โม่มองเห็นหลินจิ้งหงนั่งอยู่ที่แถวหน้าสุดและกำลังส่งยิ้มทักทายนาง

“อวี้โม่ดูนั่น เหมือนว่าคุณชายหลินจิ้งหงแห่งสมาคมทหารรับจ้างกำลังยิ้มให้เจ้า !”

เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของหลินจิ้งหง เยว่ชิงเฉิงก็เอ่ยแซวและพยายามดันร่างของฉินอวี้โม่อย่างหยอกเย้า เยว่ชิงเฉิงนั้นไม่ทราบว่าหลิงจิ้งหงนั้นรู้จักกับฉินอวี้โม่อยู่ก่อนแล้ว นางจึงคิดว่าคุณชายหล่อเหลาผู้เย่อหยิ่งอาจจะถูกใจสหายสาวของนาง

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพลางยิ้มตอบกลับไปให้สหายคุณชายหน้าหล่อ

ต้องบอกเลยว่าหานโม่ฉือกับหลินจิ้งหงนั้น ผู้หนึ่งเย็นดุจหิมะ ส่วนอีกคนก็ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง นิสัยของบุรุษทั้งสองดูจะตรงกันข้ามอย่างสุดขั้ว ฉินอวี้โม่ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดพวกเขาถึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้

ถัดจากสมาคมทหารรับจ้างก็เป็นที่นั่งของสมาคมช่างหลอม แน่นอนว่าปรมาจารย์ผู้เฒ่าเยว่เหยาไม่ชื่นชอบงานเลี้ยงสังสรรค์จึงไม่ได้มาร่วมงานด้วย ดังนั้นผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดของสมาคมในขณะนี้คือ–เยว่หลิงเซียวบิดาของเยว่ชิงเฉิงและเป็นประธานสมาคมคนปัจจุบัน

เมื่อเห็นบุตรสาวอย่างเยว่ชิงเฉิงเดินเข้ามา เขาก็พยักหน้าก่อนจะส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเป็นการทักทาย

ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปทักทายกับคนคุ้นเคยทีละคนด้วยกิริยานอบน้อมโดยเฉพาะกับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายจนทำให้ผู้คนทั่วทั้งงานต่างก็รู้สึกชื่นชมนาง

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดชิงเฟิงถึงอยากเป็นสหายกับเสี่ยวอวี้โม่ !”

โอวหยางเจวี๋ยบิดาของโอวหยางชิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับฉินหยางที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ

ใบหน้าของฉินหยางเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับว่ายิ่งฉินอวี้โม่หลานสาวตัวน้อยได้รับคำชื่นชมมากเท่าไหร่ เขาผู้เป็นท่านอาก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนทางผู้นำตระกูลเหล่ยเพียงแต่กล่าวทักทายฉินอวี้โม่ตามมารยาทโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก เขาได้ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผาทรนงในป่าแสงจันทร์มาแล้ว

เมื่อฉินอวี้โม่เดินทักทายแขกคุ้นหน้าคุ้นตาจนเสร็จสิ้นก็ยังไม่ถึงเวลาที่งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น  และในตอนนั้นเองที่องค์หญิงน้อยฉีฉีรีบวิ่งเข้ามา

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ องค์หญิงน้อยก็ยิ้มแก้มปริจนดวงตากลมโตของนางเปลี่ยนกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

“พี่อวี้โม่ พี่เสี่ยวโร่ว พวกท่านมาแล้วเหรอ”

องค์หญิงฉีฉีรีบตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่และด้วยอาภรณ์งดงามอลังการยาวกรุยกรายที่หรูหราสมฐานะขององค์หญิงแห่งจักรวรรดิจึงทำให้การเคลื่อนที่ขององค์หญิงน้อยดูออกจะต้วมเตี้ยมไปสักหน่อย

“เสี่ยวฉี วันนี้เจ้าสวยมากเลย”

ฉินอวี้โม่ลูบหัวฉีฉีอย่างเอ็นดูและกล่าวชมนาง เมื่อองค์ชายสามอนุญาต ฉินอวี้โม่จึงกล้าใช้คำเรียกขานอย่างเป็นกันเองกับองค์หญิงน้อย

“จริงเหรอ ?”

องค์หญิงฉีฉียิ้มกว้างเมื่อได้ยินวาจาชื่นชมบวกกับคำเรียกที่ฟังดูสนิทสนม ดวงตาสุกใสของนางเป็นประกายก่อนจะกล่าว “พี่อวี้โม่เองก็สวยมากกกก”

เมื่อฉินอวี้โม่เข้ามาภายในตำหนักแห่งนี้ นางก็ปลดผ้าคลุมสีดำออกทำให้อาภรณ์สีขาวดุจแสงจันทร์อันงดงามปรากฏสู่สายตาของผู้คนในงาน

หากบางคนช่างสังเกตมากพอก็จะมองความซับซ้อนแต่ประณีตบรรจงของชุดกระโปรงยาวที่ฉินอวี้โม่สวมใส่อยู่ออก  และเพราะเห็นเป็นเช่นนั้น คนเหล่านั้นจึงคิดว่าคุณหนูผู้เพิ่งจะมาจากเมืองเล็กๆ อันแสนไกลของตระกูลฉินผู้นี้คือหลานสาวสุดที่รักของฉินเฟินผู้นำตระกูลฉิน  ในตอนนี้หลายคนเริ่มประมาณพลังอำนาจของตระกูลฉินกันอย่างลับ ๆ เพราะจู่ ๆ คุณหนูฉินผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองไป๋อวิ๋น อีกทั้งยังมีคำร่ำลือหนาหูเกี่ยวกับความสามารถอันไม่ธรรมดาของนาง ไหนจะเรื่องที่นางดูจะเป็นที่รักของผู้นำตระกูล  นั่นเองจึงทำให้ขุมกำลังต่าง ๆ คิดว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้อาจจะเป็นไพ่ตายที่ทางตระกูลฉินซุกซ่อนเอาไว้

แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เป็นพันธมิตรกับตระกูลฉินหรือไม่ก็ตาม ทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่ตื่นตะลึงในความงดงามของชุดที่คุณหนูตระกูลฉินสวมใส่ ซึ่งเมื่อรวมกับความงดงามราวเทพเซียนของสตรีผู้นี้แล้วก็ทำให้แขกในงานทั้งบุรุษและสตรีมากมายต้องตาค้างมองตามนางอย่างไม่อาจละสายตา

“เจ้าเห็นหรือไม่ คุณหนูฉินอวี้โม่งดงามยิ่งนัก ตามความเห็นของข้าหากสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินมาในงานวันนี้ด้วยทั้งหมด ข้าว่าพวกนางก็คงได้อับอายเป็นแน่”

“ใช่ ใช่ เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีที่งดงามมากถึงเพียงนั้น ผู้ใดเล่าจะกล้ากล่าวว่าตัวเองคือสตรีที่งดงามติดหนึ่งในสิบแห่งแผ่นดินได้”

เมื่อเห็นความงดงามของฉินอวี้โม่ บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายในงานต่างก็อดวิพากษ์วิจารณ์ออกมาไม่ได้ วันนี้ฉินอวี้โม่ทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตา และหลายคนก็คิดเห็นตรงกันว่า…เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือโฉมงามทั่วหล้ายังมีคุณหนูฉินอวี้โม่

งานเลี้ยงอาหารค่ำในวันนี้ ทางวังหลวงได้ส่งเทียบเชิญโฉมงามสิบอันดับแรกที่มีส่วนร่วมในการคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักในปีนี้ให้มาร่วมงานในวันนี้ด้วย หนึ่งในนั้นคือหลิวหว่านเยียนโฉมงามอันดับแปด  อีกคนหนึ่งคือ–เหย่าเซียนเอ๋อร์ คุณหนูใหญ่แห่งสมาคมโอสถคนที่อยู่ในอันดับสอง และคนสุดท้ายคือ–หลิงซวง หลานสาวของท่านอ๋องหลิงซึ่งงดงามเป็นอันดับที่ห้า

อย่างไรก็ตาม ทั้งเหย่าเซียนเอ๋อร์และหลิงซวงยังมาไม่ถึง ฉินอวี้โม่จึงไม่ทราบว่าโฉมงามทั้งสองมีหน้าตาเช่นไร

ในตอนที่ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเพิ่งจะนั่งลงกันได้ไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามางาน

แน่นอนว่าหวังรั่วอีก็ยังคงแสดงกิริยาท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวาน วางตัวดีมีอัธยาศัยไมตรีเหมือนเช่นเคย คุณหนูตระกูลหวังเข้าไปกล่าวทักทายแขกหลายคนอย่างนอบน้อม

ขณะที่หลิวหว่านเยียนนั้นก็ยังคงเชิดหน้ามองสูงไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้นเหมือนทุกครั้ง นางเดินตามหานโม่หยวนตรงไปยังที่นั่งของตระกูลหานในทันที

“หยวนเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท นี่เป็นงานขององค์จักรพรรดิ เจ้าก็ควรจะให้เกียรติพระองค์ ข้าว่าควรให้คุณหนูหลิวไปนั่งตรงที่นั่งสำหรับตระกูลของนางจะดีกว่า”

ทันใดนั้น หานปิ่งเซียนผู้นำตระกูลหานก็เอ่ยขึ้นเสียงดุดัน  วาจานั้นทำให้หลิวหว่านเยียนที่กำลังจะนั่งลงถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก

แน่นอนว่าหานโม่หยวนไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้เป็นบิดา เขาจึงหันไปส่งสายตาให้หลิวหว่านเยียน

แม้ว่าในใจของสาวงามอันดับแปดจะคิดต่อต้านมากเพียงใด แต่นางซึ่งเป็นเพียงผู้น้อยและอ่อนอาวุโสกว่าก็ไม่อาจขัดใจหานปิ่งเซียงได้  สาวงามตระกูลหลิวจึงต้องยอมกลับไปยังตำแหน่งที่นั่งของตัวเองแต่โดยดี

ตำแหน่งที่นั่งของหลิวหว่านเยียนนั้นอยู่แถวกลางค่อนมาด้านหลังเล็กน้อย เนื่องจากวันนี้นางซึ่งเป็นถึงสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินแต่กลับไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปนั่งยังแถวหน้าทำให้นางรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย

ในตอนที่ทุกคนนั่งประจำที่กันจนเกือบหมดแล้วก็มีบุรุษอีกผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในสถานที่จัดเลี้ยง

ซึ่งในทันทีที่ร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้นั้นปรากฏขึ้น สายตาทุกคู่ก็จับจ้องอยู่ที่ตัวเขา เวลานี้แขกทุกคนในงานเลี้ยงมีสีหน้าเปลี่ยนไปจนหมด

แววตาหลายสิบคู่ที่กำลังมองดูบุรุษผู้นั้นแสดงอารมณ์ต่าง ๆ อย่างหลากหลาย  ที่มีทั้งความชื่นชม ความยำเกรง ความอิจฉา และบ้างก็เกลียดชังชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เมื่อบุรุษสูงใหญ่ผู้นั้นเดินเข้ามา ทั่วทั้งงานก็เงียบสนิทลงไปทันที

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 84 การพบปะของขุมกำลังน้อยใหญ่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 84 การพบปะของขุมกำลังน้อยใหญ่

— ตูม ! —

เกิดเสียงดังก้องไปทั่วถนนทั้งสาย ลูกเพลิงลูกหนึ่งพุ่งกระแทกเข้าใส่รถม้าคันงามของตระกูลหวัง

ก่อนที่จะมีผู้ใดในคณะเดินทางของหวังรั่วอีได้ตอบสนอง รถม้าของพวกเขาก็ระเบิดเละกลายเป็นจุณไปเสียแล้ว

“หลิวหว่านเยียน พวกข้าไม่มีเวลามามัวเล่นเกมตีสองหน้ากับเจ้า ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะไม่หลีกทางเช่นนี้ก็เตรียมตัวหารถม้าคันใหม่ได้เลย”

หลังจากกล่าววาจาจบลง ฉินอวี้โม่ก็บอกให้คนขับเคลื่อนรถม้าออกไปในทันที

“ฉินอวี้โม่…”

ในที่สุดหลิวหว่านเยียนก็จดจำเสียงนั้นได้ ผู้ที่อยู่ในรถม้าก็คือฉินอวี้โม่ เป็นนางอย่างแน่นอน สตรีบ้านนอกที่สาวงามอันดับแปดนึกริษยาชิงชัง  ทว่าหลิวหว่านเยียนก็ได้แต่ยืนแข็งค้างอยู่กับที่และไม่กล้าเคลื่อนไหว

ทางด้านหานโม่หยวนเองถึงแม้จะรู้สึกราวกับถูกตบหน้าอย่างแรงจนบัดนี้ใบหน้าถมึงทึงเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด แต่เขาเองก็ไม่กล้าจะไล่ตามไปจัดการคนในรถม้าคันนั้น

ด้วยเพราะแรงกดดันจากสภาวะพลังอันรุนแรงที่แผ่กระจายออกมาจากภายในรถม้าเมื่อสักครู่…มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานได้เลย   พลังของลูกเพลิงที่ถูกปลดปล่อยออกมาก็น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง  ทั้งหานโม่หยวนและหลิวหว่านเยียนยังไม่อยากถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้เปลวเพลิงนั้น

“หึ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน !”

หานโม่หยวนแค่นเสียงกล่าวออกมาอย่างเคียดแค้น เขาหมายมาดไว้ในใจแล้วว่าจะหาทางเล่นงานคนในรถม้านั่นให้ได้  และเพราะเวลาเหลือน้อยเต็มทีคุณชายตระกูลหานจึงต้องรีบหันไปสั่งคนให้นำรถม้ามาใหม่เป็นการด่วน

ในเวลานี้ใบหน้าของคุณชายขี้แยหวังรั่วจวินซีดเผือดไร้สีเลือดไปโดยสมบูรณ์เพราะเขากำลังหวาดกลัวจนตัวสั่น โชคยังดีที่เขาสามารถคงสติอยู่ได้ ไม่เช่นนั้นคงได้ฉี่ราดอาภรณ์หรูหรานี้ไปแล้ว  เมื่อครู่นี้ที่เห็นว่าหานโม่หยวนปรากฏตัว เขาก็คิดว่าหน้าที่ในการก่อกวนของเขาเสร็จสิ้น คุณชายคึกคะนองจึงคิดจะขึ้นไปนั่งเคี้ยวขนมดูละครฉากใหญ่อยู่เฉย ๆ บนรถม้า  ทว่ายังดีที่เขาคิดช้า หากเขาขึ้นไปนั่งอยู่บนรถม้านั่นในโลกใบนี้คุณชายแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรหวังรั่วจวินก็คงจะเหลือเพียงนามให้สลักไว้บนป้ายหลุมศพแล้วเป็นแน่ !

ใบหน้าของหวังรั่วอีเองก็ดูตื่นตระหนกไม่น้อย แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือนางกำลังปวดร้าวใจเป็นอย่างมากเพราะหากว่านางทราบก่อนว่าฉินอวี้โม่อยู่ในรถม้าคันนั้น นางก็คงไม่เข้าไปหาเรื่องยั่วยุพวกเขาตั้งแต่แรก

ก่อนหน้านี้นางเคยเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารฉินอวี้โม่ที่ตึกเต๋อเยว่ ในตอนนั้นแผนการ ‘เชื่อมสะพานเพื่อพิชิตใจบุรุษ’ ของนางพังยับเยินไม่เป็นท่า  วันนั้น นางได้แต่โทษหลิวหว่านเยียนอยู่ในใจที่ทำให้นางต้องเสียหน้าต่อหน้าฉินอวี้โม่

แล้วยิ่งมีเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้นอีก  ตอนนี้คุณหนูตระกูลหวังกำลังรู้สึกสิ้นหวังและหดหู่คล้ายกับว่าความหวังทั้งหมดของนางพังทลายลงไปในพริบตาพร้อมกับรถม้าคันนั้น

การมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่ย่อมสร้างความไม่ประทับใจและก่อให้เกิดอคติขึ้นในใจของสตรีผู้ที่นางหมายใจให้เป็นน้องสามีมากขึ้นอีกเป็นแน่  หวังรั่วอีสัมผัสได้ว่าความรักที่ฉินอี้เฟยมีต่อน้องสาวของเขานั้นมีมากเพียงใด เมื่อฉินอวี้โม่เกลียดนางไปแล้วเช่นนี้โอกาสในการจุดประกายเรื่องราวความรักระหว่างนางกับฉินอี้เฟยก็คงจะริบหรี่เต็มทน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณหนูตระกูลหวังยังไม่ทราบก็คือ ไม่ว่านางจะพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ดีอย่างไรแต่ในใจของฉินอวี้โม่ก็มีอคติกับสตรีดอกบัวขาวอย่างนางไปตั้งแต่แรกพบแล้ว  ฉินอวี้โม่คิดว่าสตรีเช่นนี้ไม่เหมาะสมกับพี่ชายของนางแม้แต่น้อย

เมื่อครู่นี้ ฉินอวี้โม่ขอให้ซิวใช้พลังปลดปล่อยลูกเพลิงออกไปทำลายรถม้าที่ขวางทางอยู่

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทำให้เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงได้แต่อ้าปากค้างมองฉินอวี้โม่ ในดวงตาทั้งสี่ข้างของสองคนเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงระคนยำเกรง

“อวี้โม่ เจ้านี่ดุดันจริง ๆ  ข้ามักคิดอยู่เสมอว่าหากนับสตรีในนครไป๋อวิ๋นทั้งหมด ข้าก็คือคนที่ดุดันและองอาจที่สุดแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้ข้าจะยังด้อยกว่าเจ้ามาก”

เยว่ชิงเฉิงรู้สึกทึ่งในตัวฉินอวี้โม่มากทว่าก็ยังแฝงไปด้วยความรู้สึกยำเกรง ยิ่งกว่านั้นคุณหนูช่างหลอมก็เริ่มเกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวสหายโฉมงามผู้นี้ขึ้นมาด้วย …สหายของนางเพิ่งจะระเบิดรถม้าต่อหน้าต่อตาหานโม่หยวน นี่เท่ากับเป็นการตบหน้าเขาอย่างแรง !

เดิมทีวันนี้เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงคิดว่าพวกเขาอาจจะต้องต่อสู้ครั้งใหญ่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่กลัวเลยก็ตาม แต่ก็คิดว่าอาจจะต้องเจ็บตัวกันทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของฉินอวี้โม่กลับข่มให้หานโม่หยวนรู้สึกหวาดหวั่นจนไม่กล้าติดตามมาเอาคืนพวกเขาได้เช่นนี้  และบางทีคนจองหองผู้นั้นอาจจะไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเลยด้วยซ้ำ

นี่ไม่ใช่แค่ช่วยพวกเขาประหยัดพลังและเวลาไปได้ แต่ยังเป็นการแสดงแสนยานุภาพให้คนพวกนั้นต้องยำเกรง นี่ทำให้ทั้งคุณหนูใหญ่ตระกูลช่างหลอมและคุณชายรองตระกูลโอวหยางรู้สึกสะใจอย่างมาก

ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อน ๆ ความจริงแล้วหากว่าหานโม่หยวนไม่ออกมา นางก็ไม่คิดจะเคลื่อนไหวและคงปล่อยให้โอวหยางชิงเฟิงกับเยว่ชิงเฉิงสั่งสอนบทเรียนให้หลิวหว่านเยียนไปเสีย

อย่างไรก็ตาม เพราะบุรุษน่าตายหานโม่หยวนผู้นั้นปรากฏตัวออกมาอีกทั้งยังทำตัวโอหังวางก้ามใหญ่โต นี่ทำให้ฉินอวี้โม่อดรนทนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้อีก

ในเมื่อนางตัดสินใจจะใช้ชีวิตเคียงคู่กับหานโม่ฉือแล้ว หานโม่หยวนผู้ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของหานโม่ฉือก็ถือเป็นศัตรูของนางด้วย  เมื่อครู่อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูจึงไม่ลังเลที่จะแสดงพลังของตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายได้เห็น

หลังจากใช้พลังนิดหน่อยเพื่อปัดเป่าเอาเรื่องยุ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางออกไป คณะเดินทางทั้งสี่คนก็มาถึงประตูทางเข้าพระราชวังในที่สุด

เนื่องจากในเขตวังหลวงไม่อนุญาตให้มีการใช้รถม้า ดังนั้นทั้งสี่คนจึงต้องเดินเข้าไปเท่านั้น

โอวหยางชิงเฟิงบอกให้คนขับรถม้าของเขากลับไปก่อน  ส่วนสหายทั้งสี่ก็พากันเดินเข้าไปภายในวังหลวง

หลังจากล่วงเข้ามาเขตพระราชฐานได้ไม่นานนัก พวกเขาก็พบเห็นองค์ชายฉีอวี้ที่กำลังฉีกยิ้มกว้างเดินตรงเข้ามาหาอย่างเบิกบาน

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว เยว่ชิงเฉิง และโอวหยางชิงเฟิง องค์ชายสามที่ทำหน้าที่ช่วยในการต้อนรับแขกที่มาร่วมงานก็รีบเดินเข้ามาหาพวกเขาทันที

“ฉีอวี้เจ้ามาอยู่ที่นี่เพื่อรอพบพวกเราอย่างนั้นหรือ ?”

ดูเหมือนว่าเยว่ชิงเฉิงจะรู้จักมักคุ้นกับองค์ชายสามฉีอวี้เป็นอย่างดี คุณหนูผู้ห้าวหาญจึงเอ่ยวาจากับบุรุษสูงศักดิ์อย่างเป็นกันเองได้ถึงเพียงนี้

องค์ชายฉีอวี้พยักหน้าและกล่าว “ข้ากับฉีฉีร้อนใจที่เห็นพวกเจ้ายังไม่มากันสักที ข้าก็เลยอาสาเดินรอดูอยู่แถว ๆ ประตูวังให้”

แท้จริงแล้ว องค์ชายสามเลือกกล่าวความจริงออกมาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งเหตุผลจากใจที่เขาควรจะบอกแต่กลับไม่ยอมเปิดเผยก็คือ ‘เป็นเขาเองคนเดียวที่ร้อนใจ และฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วต่างหากที่เขารอ  เมื่อเห็นว่าพวกนางยังไม่มาเสียทีเขาก็กังวลจนต้องมายืนรออยู่หน้าวังเช่นนี้’ 

“ไม่คิดเลยว่าองค์ชายจะเป็นห่วงพวกเราขนาดนี้ด้วย ? น่าสนใจจริง ๆ” เยว่ชิงเฉิงเดินเข้าไปหาองค์ชายฉีอวี้พลางเอ่ยปากเสียงล้อเลียน ก่อนจะตบบ่าของเขาเบา ๆ เป็นเชิงหยอกล้อ

ทั้งการแสดงออก วาจาและการกระทำทั้งหลายของเยว่ชิงเฉิงที่มีต่อองค์ชายสามแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นนั้นแสดงให้เห็นว่าทั้งสองสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างมาก  นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่องค์ชายสามได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์และได้ร่ำเรียนวิชาการหลอมจากประธานสมาคมช่างหลอมคนปัจจุบัน หรือก็คือบิดาของเยว่ชิงเฉิง  ในตอนนั้นพวกเขาทั้งคู่ได้เรียนรู้และฝึกทักษะแห่งศาสตร์การหลอมไปพร้อม ๆ กัน จึงเป็นที่มาของความสนิทสนมและการกระทำที่เสมือนไม่เคารพต่อตำแหน่งองค์ชายของคุณหนูผู้ห้าวหาญ

“พวกเราเจอสุนัขกลุ่มหนึ่งระหว่างทางทำให้ต้องเสียเวลาไปบ้าง โปรดอย่าถือสาพวกเราเลยนะ”

เมื่อฉินอวี้โม่เหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งจะก้าวผ่านประตูวังและเดินตรงมาทางด้านหลังของนาง  อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็จงใจกล่าวออกไปเช่นนั้นโดยเน้นเสียงให้ดังขึ้นสักเล็กน้อย

ในที่สุดหานโม่หยวนและคนอื่น ๆ ก็หารถม้าคันใหม่ได้และรีบเร่งมาให้ถึงวังหลวงอย่างรวดเร็ว  แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเข้ามาแล้วจะบังเอิญได้ยินประโยคเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหวังรั่วจวินก็เดือดดาลในทันใด คุณชายอารมณ์ร้อนนั้นไร้ความอดทนอยู่แล้ว เขาจึงพยายามจะเดินเข้าไปเอาเรื่องกับฉินอวี้โม่และพวกพ้อง

ทว่าหวังรั่วจวินก็ถูกหวังรั่วอีผู้เป็นพี่สาวรั้งตัวไว้เสียก่อน

“เรื่องแค่นี้เองจะเกรงใจทำไมกัน พวกเราถือเป็นสหายกันทั้งนั้น ต่อไปอยู่ต่อหน้าข้าก็ไม่ต้องเกรงใจกัน จริงสิ  เจ้าเรียกข้าว่าฉีอวี้เหมือนชิงเฉิงก็ได้ แล้วก็เรียกองค์หญิงน้อยด้วยชื่อ ข้าว่านางคงจะดีใจมาก”

องค์ชายสามฉีอวี้ยิ้มแล้วพาสหายทั้งสี่คนตรงเข้าไปยังตำหนักที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงในทันที โดยปล่อยให้แขกกลุ่มล่าสุดที่เพิ่งเดินเข้ามาได้แต่ยืนหน้าตึงอยู่เช่นนั้น หานโม่หยวน หลิวหว่านเยียน และหวังรั่วจวินมองตามไปด้วยความโกรธแค้น มือของบุรุษตระกูลหานกำหมัดแน่น

เมื่อเข้ามาภายในตำหนักสำหรับจัดงานเลี้ยง ฉินอวี้โม่ก็พบเห็นใบหน้าของคนคุ้นเคยจำนวนมาก

ในตอนนี้ที่นั่งบนบัลลังก์ยังไม่มีผู้ใดนั่งอยู่ นั่นแสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและฮองเฮาเหวินหย่ายังเสด็จมาไม่ถึง

บัลลังก์นั้นถูกจัดวางอยู่ตรงกลางด้านในสุด  พื้นที่ถัดจากบัลลังก์ทางด้านข้างมีที่นั่งสำหรับแขกจำนวนมากถูกจัดวางไว้ซ้ายขวาโดยทุกที่นั่งจะถูกวางไว้ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าระดับของบัลลังก์เล็กน้อย

ที่นั่งแรกทางด้านขวาจะเป็นที่นั่งของผู้นำตระกูลฉินซึ่งในขณะนี้มีฉินเฟินและฉินหยางนั่งอยู่ พวกเขากำลังสนทนาอย่างออกรสกับบุรุษอีกสองคนที่นั่งอยู่ถัดไป

ที่นั่งถัดจากของตระกูลฉินเป็นของตระกูลโอวหยาง ณ จุดนั้นมีบุคคลผู้หนึ่งที่ฉินอวี้โม่จดจำได้ในทันที นั่นก็คือท่านลุงสามของโอวหยางชิงเฟิง ผู้อาวุโสโอวหยางหมิง  และถัดจากโอวหยางหมิงเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับโอวหยางชิงเฟิงมากกว่าห้าส่วนนั่งอยู่  ฉินอวี้โม่คาดเดาว่าเขาน่าจะเป็นบิดาของโอวหยางชิงเฟิงที่มีนามว่า–โอวหยางเจวี๋ย

ถัดจากที่นั่งของตระกูลโอวหยางจะเป็นที่นั่งของตระกูลเหล่ย

บุคคลแรกที่ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นก็คือ–เหล่ยชิว คุณชายสามผู้หยิ่งยโสที่ฉินอวี้โม่เคยพบที่ป่าแสงจันทร์เมื่อครั้งเข้าร่วมภารกิจบุกถ้ำอสรพิษก่อนหน้านี้

เหล่ยชิวเองก็เห็นฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเช่นกัน เขามองพวกนางด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทาง

ส่วนที่นั่งอีกหลายที่ที่อยู่ถัดจากตระกูลเหล่ยไปนั้น ฉินอวี้โม่รู้สึกไม่คุ้นเคยเลย นางคาดเดาว่าพวกเขาน่าจะมาจากตระกูลขนาดกลางและขนาดเล็กในนครไป๋อวิ๋น

ที่นั่งแรกที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของบัลลังก์คือที่นั่งของตระกูลหาน

ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นบุรุษวัยกลางคนที่มีส่วนคล้ายคลึงกับหานโม่ฉือนั่งอยู่ตรงนั้น นางคิดว่าเขาน่าจะเป็น — หานปิ่งเซียน บิดาของหานโม่ฉือ

ถัดไปจากตระกูลหานจะเป็นที่นั่งของสมาคมใหญ่ทั้งหลาย

ในที่นั่งของสมาคมทหารรับจ้าง ฉินอวี้โม่มองเห็นหลินจิ้งหงนั่งอยู่ที่แถวหน้าสุดและกำลังส่งยิ้มทักทายนาง

“อวี้โม่ดูนั่น เหมือนว่าคุณชายหลินจิ้งหงแห่งสมาคมทหารรับจ้างกำลังยิ้มให้เจ้า !”

เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของหลินจิ้งหง เยว่ชิงเฉิงก็เอ่ยแซวและพยายามดันร่างของฉินอวี้โม่อย่างหยอกเย้า เยว่ชิงเฉิงนั้นไม่ทราบว่าหลิงจิ้งหงนั้นรู้จักกับฉินอวี้โม่อยู่ก่อนแล้ว นางจึงคิดว่าคุณชายหล่อเหลาผู้เย่อหยิ่งอาจจะถูกใจสหายสาวของนาง

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพลางยิ้มตอบกลับไปให้สหายคุณชายหน้าหล่อ

ต้องบอกเลยว่าหานโม่ฉือกับหลินจิ้งหงนั้น ผู้หนึ่งเย็นดุจหิมะ ส่วนอีกคนก็ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง นิสัยของบุรุษทั้งสองดูจะตรงกันข้ามอย่างสุดขั้ว ฉินอวี้โม่ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดพวกเขาถึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้

ถัดจากสมาคมทหารรับจ้างก็เป็นที่นั่งของสมาคมช่างหลอม แน่นอนว่าปรมาจารย์ผู้เฒ่าเยว่เหยาไม่ชื่นชอบงานเลี้ยงสังสรรค์จึงไม่ได้มาร่วมงานด้วย ดังนั้นผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดของสมาคมในขณะนี้คือ–เยว่หลิงเซียวบิดาของเยว่ชิงเฉิงและเป็นประธานสมาคมคนปัจจุบัน

เมื่อเห็นบุตรสาวอย่างเยว่ชิงเฉิงเดินเข้ามา เขาก็พยักหน้าก่อนจะส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเป็นการทักทาย

ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปทักทายกับคนคุ้นเคยทีละคนด้วยกิริยานอบน้อมโดยเฉพาะกับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายจนทำให้ผู้คนทั่วทั้งงานต่างก็รู้สึกชื่นชมนาง

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดชิงเฟิงถึงอยากเป็นสหายกับเสี่ยวอวี้โม่ !”

โอวหยางเจวี๋ยบิดาของโอวหยางชิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับฉินหยางที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ

ใบหน้าของฉินหยางเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับว่ายิ่งฉินอวี้โม่หลานสาวตัวน้อยได้รับคำชื่นชมมากเท่าไหร่ เขาผู้เป็นท่านอาก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนทางผู้นำตระกูลเหล่ยเพียงแต่กล่าวทักทายฉินอวี้โม่ตามมารยาทโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก เขาได้ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผาทรนงในป่าแสงจันทร์มาแล้ว

เมื่อฉินอวี้โม่เดินทักทายแขกคุ้นหน้าคุ้นตาจนเสร็จสิ้นก็ยังไม่ถึงเวลาที่งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น  และในตอนนั้นเองที่องค์หญิงน้อยฉีฉีรีบวิ่งเข้ามา

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ องค์หญิงน้อยก็ยิ้มแก้มปริจนดวงตากลมโตของนางเปลี่ยนกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

“พี่อวี้โม่ พี่เสี่ยวโร่ว พวกท่านมาแล้วเหรอ”

องค์หญิงฉีฉีรีบตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่และด้วยอาภรณ์งดงามอลังการยาวกรุยกรายที่หรูหราสมฐานะขององค์หญิงแห่งจักรวรรดิจึงทำให้การเคลื่อนที่ขององค์หญิงน้อยดูออกจะต้วมเตี้ยมไปสักหน่อย

“เสี่ยวฉี วันนี้เจ้าสวยมากเลย”

ฉินอวี้โม่ลูบหัวฉีฉีอย่างเอ็นดูและกล่าวชมนาง เมื่อองค์ชายสามอนุญาต ฉินอวี้โม่จึงกล้าใช้คำเรียกขานอย่างเป็นกันเองกับองค์หญิงน้อย

“จริงเหรอ ?”

องค์หญิงฉีฉียิ้มกว้างเมื่อได้ยินวาจาชื่นชมบวกกับคำเรียกที่ฟังดูสนิทสนม ดวงตาสุกใสของนางเป็นประกายก่อนจะกล่าว “พี่อวี้โม่เองก็สวยมากกกก”

เมื่อฉินอวี้โม่เข้ามาภายในตำหนักแห่งนี้ นางก็ปลดผ้าคลุมสีดำออกทำให้อาภรณ์สีขาวดุจแสงจันทร์อันงดงามปรากฏสู่สายตาของผู้คนในงาน

หากบางคนช่างสังเกตมากพอก็จะมองความซับซ้อนแต่ประณีตบรรจงของชุดกระโปรงยาวที่ฉินอวี้โม่สวมใส่อยู่ออก  และเพราะเห็นเป็นเช่นนั้น คนเหล่านั้นจึงคิดว่าคุณหนูผู้เพิ่งจะมาจากเมืองเล็กๆ อันแสนไกลของตระกูลฉินผู้นี้คือหลานสาวสุดที่รักของฉินเฟินผู้นำตระกูลฉิน  ในตอนนี้หลายคนเริ่มประมาณพลังอำนาจของตระกูลฉินกันอย่างลับ ๆ เพราะจู่ ๆ คุณหนูฉินผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองไป๋อวิ๋น อีกทั้งยังมีคำร่ำลือหนาหูเกี่ยวกับความสามารถอันไม่ธรรมดาของนาง ไหนจะเรื่องที่นางดูจะเป็นที่รักของผู้นำตระกูล  นั่นเองจึงทำให้ขุมกำลังต่าง ๆ คิดว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้อาจจะเป็นไพ่ตายที่ทางตระกูลฉินซุกซ่อนเอาไว้

แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เป็นพันธมิตรกับตระกูลฉินหรือไม่ก็ตาม ทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่ตื่นตะลึงในความงดงามของชุดที่คุณหนูตระกูลฉินสวมใส่ ซึ่งเมื่อรวมกับความงดงามราวเทพเซียนของสตรีผู้นี้แล้วก็ทำให้แขกในงานทั้งบุรุษและสตรีมากมายต้องตาค้างมองตามนางอย่างไม่อาจละสายตา

“เจ้าเห็นหรือไม่ คุณหนูฉินอวี้โม่งดงามยิ่งนัก ตามความเห็นของข้าหากสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินมาในงานวันนี้ด้วยทั้งหมด ข้าว่าพวกนางก็คงได้อับอายเป็นแน่”

“ใช่ ใช่ เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีที่งดงามมากถึงเพียงนั้น ผู้ใดเล่าจะกล้ากล่าวว่าตัวเองคือสตรีที่งดงามติดหนึ่งในสิบแห่งแผ่นดินได้”

เมื่อเห็นความงดงามของฉินอวี้โม่ บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายในงานต่างก็อดวิพากษ์วิจารณ์ออกมาไม่ได้ วันนี้ฉินอวี้โม่ทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตา และหลายคนก็คิดเห็นตรงกันว่า…เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือโฉมงามทั่วหล้ายังมีคุณหนูฉินอวี้โม่

งานเลี้ยงอาหารค่ำในวันนี้ ทางวังหลวงได้ส่งเทียบเชิญโฉมงามสิบอันดับแรกที่มีส่วนร่วมในการคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักในปีนี้ให้มาร่วมงานในวันนี้ด้วย หนึ่งในนั้นคือหลิวหว่านเยียนโฉมงามอันดับแปด  อีกคนหนึ่งคือ–เหย่าเซียนเอ๋อร์ คุณหนูใหญ่แห่งสมาคมโอสถคนที่อยู่ในอันดับสอง และคนสุดท้ายคือ–หลิงซวง หลานสาวของท่านอ๋องหลิงซึ่งงดงามเป็นอันดับที่ห้า

อย่างไรก็ตาม ทั้งเหย่าเซียนเอ๋อร์และหลิงซวงยังมาไม่ถึง ฉินอวี้โม่จึงไม่ทราบว่าโฉมงามทั้งสองมีหน้าตาเช่นไร

ในตอนที่ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเพิ่งจะนั่งลงกันได้ไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามางาน

แน่นอนว่าหวังรั่วอีก็ยังคงแสดงกิริยาท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวาน วางตัวดีมีอัธยาศัยไมตรีเหมือนเช่นเคย คุณหนูตระกูลหวังเข้าไปกล่าวทักทายแขกหลายคนอย่างนอบน้อม

ขณะที่หลิวหว่านเยียนนั้นก็ยังคงเชิดหน้ามองสูงไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้นเหมือนทุกครั้ง นางเดินตามหานโม่หยวนตรงไปยังที่นั่งของตระกูลหานในทันที

“หยวนเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท นี่เป็นงานขององค์จักรพรรดิ เจ้าก็ควรจะให้เกียรติพระองค์ ข้าว่าควรให้คุณหนูหลิวไปนั่งตรงที่นั่งสำหรับตระกูลของนางจะดีกว่า”

ทันใดนั้น หานปิ่งเซียนผู้นำตระกูลหานก็เอ่ยขึ้นเสียงดุดัน  วาจานั้นทำให้หลิวหว่านเยียนที่กำลังจะนั่งลงถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก

แน่นอนว่าหานโม่หยวนไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้เป็นบิดา เขาจึงหันไปส่งสายตาให้หลิวหว่านเยียน

แม้ว่าในใจของสาวงามอันดับแปดจะคิดต่อต้านมากเพียงใด แต่นางซึ่งเป็นเพียงผู้น้อยและอ่อนอาวุโสกว่าก็ไม่อาจขัดใจหานปิ่งเซียงได้  สาวงามตระกูลหลิวจึงต้องยอมกลับไปยังตำแหน่งที่นั่งของตัวเองแต่โดยดี

ตำแหน่งที่นั่งของหลิวหว่านเยียนนั้นอยู่แถวกลางค่อนมาด้านหลังเล็กน้อย เนื่องจากวันนี้นางซึ่งเป็นถึงสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินแต่กลับไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปนั่งยังแถวหน้าทำให้นางรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย

ในตอนที่ทุกคนนั่งประจำที่กันจนเกือบหมดแล้วก็มีบุรุษอีกผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในสถานที่จัดเลี้ยง

ซึ่งในทันทีที่ร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้นั้นปรากฏขึ้น สายตาทุกคู่ก็จับจ้องอยู่ที่ตัวเขา เวลานี้แขกทุกคนในงานเลี้ยงมีสีหน้าเปลี่ยนไปจนหมด

แววตาหลายสิบคู่ที่กำลังมองดูบุรุษผู้นั้นแสดงอารมณ์ต่าง ๆ อย่างหลากหลาย  ที่มีทั้งความชื่นชม ความยำเกรง ความอิจฉา และบ้างก็เกลียดชังชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เมื่อบุรุษสูงใหญ่ผู้นั้นเดินเข้ามา ทั่วทั้งงานก็เงียบสนิทลงไปทันที

.

Options

not work with dark mode
Reset