คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 157 ชะตาฟ้าประทาน

สือซานและคนอื่น ๆ มองฉินอวี้โม่ด้วยความอัศจรรย์ใจ

วิธีการของฉินอวี้โม่ ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจแต่ยังทำให้ตกตะลึงและหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจทีเดียว

คนทั้งหมดตื่นตกใจกับวิธีการอันแสนโหดเหี้ยมที่ใช้เอาคืนผู้คนของสหายนางนี้ ไม่คิดว่าคุณหนูตระกูลฉินจะมีมุมที่อำมหิตและเลือดเย็นเช่นนี้ด้วย

ความรักในมิตรภาพของนางและความห่วงใยเหล่าสหายที่ ‘ออกจะรุนแรงเกินไปสักหน่อย’ ทำให้พวกเขากล่าวสิ่งใดไม่ออก

ดูราวกับว่าหากทำเพื่อสหายแล้ว ฉินอวี้โม่ก็พร้อมจะกลายเป็นปีศาจร้ายได้อย่างไม่ลังเล

ในตอนนั้นเองที่เสียงร้องดังลั่นขึ้น ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกได้ถึงสภาวะพลังอันไม่เสถียรที่พุ่งออกมาจากร่างกายของลั่วอวิ๋น จากอ่อนเบาแปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงและยังคงไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ในลมหายใจถัดมา ทุกสายตาก็มองเห็นแสงสว่างเปล่งประกายออกมาจากร่างของผู้ฝึกสัตว์อสูรจากเมืองเยว่กวาง แสงเรืองรองนั้นดูคล้ายกับแสงแห่งการเพิ่มระดับพลัง

เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของลั่วอวิ๋น คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็อดอุทานออกมาไม่ได้ นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจและแปลกเกินกว่าจะเชื่อได้

เพราะในตอนนี้ลั่วอวิ๋นมีสภาพร่างกายและจิตวิญญาณที่ย่ำแย่มากจากอาการบาดเจ็บสาหัส แต่ภายในพริบตาสภาวะพลังของเขากลับพวยพุ่งออกมาราวกับจอมยุทธ์ผู้ฝึกตนจนบรรลุและกำลังจะก้าวข้ามขอบเขต เช่นนี้จะไม่ให้พวกเขาประหลาดใจได้อย่างไร

ฉินอวี้โม่เองก็รีบมองไปยังทิศทางที่ลั่วอวิ๋นอยู่ ภาพที่เห็นทำให้นางประหลาดใจไม่ต่างจากคนอื่น

‘พลังมายาภายในร่างกายของลั่วอวิ๋นที่เคยอยู่ในระดับนภามายาเก้าดารา จู่ ๆ ก็พุ่งทะยานขึ้นสูงระดับสูงสุด !’

บัดนี้ ลั่วอวิ๋นไม่เพียงแค่ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนได้สำเร็จเท่านั้น แต่แสงแห่งการเลื่อนระดับพลังก็ยังคงสว่างวาบไม่หยุดนิ่ง

หนึ่งดารา สองดารา สามดารา …เจ็ดดารา แปดดารา และเก้าดารา พลังของบุตรชายเจ้าเมืองเยว่กวางเลื่อนขั้นดาราตั้งแต่ต่ำสุดจนถึงสูงสุดภายในเวลาอันสั้น มันหยุดยั้งลงในดาราที่เก้าก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป

อย่างไรก็ตามการที่มนุษย์คนหนึ่งจะทะลวงพลังจากขอบเขต ‘นภมายาเก้าดารา’ ไปยังขอบเขต ‘มายาบรรพชนเก้าดารา’ ภายในคราเดียวมันเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าเหลือเชื่อ

“หรือว่านี่จะเป็นการวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ ?”

จู่ ๆ หลี่จิ้งก็พึมพำเสียงทุ้มต่ำดูเหมือนว่าบุรุษผู้ผจญภัยมาทุกสารทิศทั่วทั้งดินแดนจะพอล่วงรู้สาเหตุที่ลั่วอวิ๋นทะลวงพลังได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่ถึงก้านธูปนี้

“การวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณคืออะไร ?”

เนี่ยหรูเฟิงไม่เข้าใจสิ่งที่หลี่จิ้งกล่าวจึงรีบไถ่ถาม

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ที่เหลือก็มองหลี่จิ้งเป็นตาเดียวเพื่อรอคอยคำอธิบาย ‘การวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ’ เช่นนั้นหรือ ? คำคำนี้พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

หลี่จิ้งยิ้มน้อย ๆ “นี่คือสิ่งที่ข้าเคยอ่านเจอในตำราเก่าแก่เล่มหนึ่ง ข้าเพียงแต่เห็นว่าวิธีการทะลวงพลังของเขาดูคล้ายกับสิ่งที่บรรยายไว้ในตำรา แต่ข้าก็แค่คาดเดาเท่านั้น จะจริงหรือไม่ข้าก็ไม่มั่นใจนักหรอก…”

จากนั้นหลี่จิ้งก็อธิบายเกี่ยวกับเรื่องของการวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณให้เหล่าสหายรู้อย่างคร่าว ๆ

…การวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณคือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในตอนที่จิตวิญญาณของมนุษย์เกิดความเสียหาย

โดยส่วนมากเมื่อจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของมนุษย์เสียหายไปอย่างรุนแรงจะเกิดผลลัพธ์ในทางเลวร้าย นั่นคือหากไม่กลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถ ก็จะเปลี่ยนเป็นคนวิปลาส หรืออาจถึงแก่ชีวิต ทว่าก็มีโอกาสอยู่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ความเสียหายนั้นจะไปกระตุ้นให้จิตเกิดวิวัฒนาการ นี่ถือเป็นกลไกการเอาตัวรอดอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์ อย่างไรก็ตามโอกาสเพียงเศษเสี้ยวนั้นน้อยนิดเสียจนแทบไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นหรือรู้จักปรากฏการณ์เช่นนี้

ในตำราอธิบายไว้ด้วยว่า การวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณนั้นมีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบ รูปแบบแรกก็คือหลังวิวัฒนาการพลังจิตวิญญาณของผู้ที่เกิดวิวัฒนาการจะสูงขึ้นอย่างมหาศาลซึ่งจะส่งผลให้ระดับพลังมายาและขอบเขตพลังของคนผู้นั้นเพิ่มขึ้นในพริบตาแต่กรณีนี้เกิดได้น้อยมากจนแทบจะไม่เคยมีการบันทึกตัวอย่างเอาไว้ ส่วนอีกรูปแบบก็คือหลังจากวิวัฒนาการผ่านพ้นไปแล้วจิตวิญญาณจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมากแต่ก็ยังพอมีชีวิตรอดได้ ทว่าก็ต้องเปลี่ยนกลับกลายเป็นเสมือนผู้ไม่เคยฝึกยุทธ์ แม้ว่าจะยังสามารถฝึกยุทธ์ได้แต่ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูพลังช่วงหนึ่งอีกทั้งต้องกลับไปเริ่มต้นจากระดับพื้นฐานอีกครั้ง…

ในเวลานี้ต้องกล่าวว่าเป็นโชคของลั่วอวิ๋นโดยแท้ที่จิตวิญญาณของเขาวิวัฒนาการไปในรูปแบบแรก เขาจึงทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดาราได้ในพริบตา นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก หากเป็นโชคชะตาก็นับว่าเป็นวาสนาแห่งเทพเซียนแล้ว

ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับรู้ ขณะเดียวกันในใจของพวกเขาก็รู้สึกยินดีในความโชคดีของสหายไปด้วย ดูเหมือนว่าสวรรค์จะไม่เคยทอดทิ้งคนดี ๆ

หลังจากแสงแห่งการเลื่อนระดับพลังจางหายไปแล้ว ลั่วอวิ๋นก็ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะมองเห็นฉินอวี้โม่และสหายทั้งหลาย

ลั่วอวิ๋นเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เมื่อเรียบเรียงความคิดได้ใบหน้าหล่อเหลาก็เปลี่ยนเป็นดีใจอย่างล้นเหลือ บุรุษหนุ่มผู้มีโชคดั่งสวรรค์ประทานเผยรอยยิ้มกว้าง

“อวี้โม่ สหายทุกคน รุ่นพี่ทั้งหลาย ข้าขอขอบคุณทุกคนจากใจ บุญคุณนี้ข้าน้อยลั่วอวิ๋นจะไม่มีวันลืม”

แม้ว่าเขาจะตั้งสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังอยู่ก็ตาม แต่เขาก็ได้ยินทุกสรรพเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัวและจดจำทั้งหมดได้ เรื่องที่กลุ่มของฉินอวี้โม่เข้ามาช่วยและจัดการสั่งสอนหนี้ป่าชี่และพวกพ้องเขาทราบดี บุรุษหล่อเหลาจากเมืองเยว่กวางรู้สึกว่าตัวเองโชคดียิ่งนัก มิใช่โชคดีที่เขาทะลวงเขาถึงระดับมายาบรรพชนเก้าดาราได้ แต่การมีสหายที่ดีนี่ต่างห่างที่ถือเป็นโชคอันเปี่ยมล้นเยี่ยงเทพเซียน นี่เองทำให้ลั่วอวิ๋นก้มหัวให้ทุกคนโดยไม่ลังเล มันถือเป็นเรื่องถูกต้องแล้วเขาไม่มีความกระดากอายเลยสักนิด

“น้องลั่ว ยินดีกับเจ้าด้วย”

เนี่ยหรูเฟิงยิ้มและเอ่ยแสดงความยินดีกับลั่วอวิ๋น

แน่นอนว่าลั่วอวิ๋นรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองดี เขารู้สึกได้เลยว่าร่างกายของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขายิ้มส่งยิ้มจริงใจให้รุ่นพี่ผู้เอ่ยแสดงความยินดีให้

“ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกท่าน ข้าคงไม่มีวาสนาเช่นนี้ อย่าว่าแต่วาสนาเลย แม้แต่ชีวิตข้าก็คงไม่มีเหลือแล้ว”

ลั่วอวิ๋นก้มหัวคำนับทุกคนในที่แห่งนี้อย่างซาบซึ้งอีกครั้ง

เขารู้สึกขอบคุณมากเหลือเกิน มันมากเสียจนไม่ทราบว่าจะตอบแทนอย่างไรให้เพียงพอ โดยเฉพาะฉินอวี้โม่ นางไม่เพียงจัดการอีกฝ่ายเพื่อแก้แค้นให้เขา แต่ยังช่วยถ่ายเทพลังเข้ามาในร่างของเขาด้วย

ผู้อื่นอาจจะไม่ทราบ แต่ลั่วอวิ๋นรู้ดีว่าเป็นเพราะความช่วยเหลือดังกล่าวของสหายตระกูลฉินที่ทำให้จิตวิญญาณของเขาวิวัฒนาการได้สำเร็จและกลายเป็นจอมยุทธ์ที่มีระดับพลังเทียบเท่ากับเหล่ายอดฝีมือระดับแนวหน้าทั้งหลายของโรงเรียน

“ลั่วอวิ๋น ข้าคืนมันให้เจ้า”

ฉินอวี้โม่ส่งยักษ์ศิลาเหมันต์อสูรเทวะราชันที่นางทำลายพันธสัญญาของหนี้ป่าชี่เรียบร้อยแล้วคืนให้ลั่วอวิ๋น ในตอนนี้เจ้ายักษ์ใหญ่ในร่างเล็กจิ๋วนอนหลับสนิทอยู่ในกรงขังอสูรขนาดย่อม

“มอบมันให้สือซานเถอะ ตอนนี้ข้าไม่ต้องการมันแล้ว”

ทว่าลั่วอวิ๋นกลับปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม เขาต้องการจะมอบมันให้สือซานผู้มีพระคุณที่ช่วยปกป้องเขาจนตัวเองและพี่น้องแทบจะเอาชีวิตไม่รอด

ในตอนนี้ลั่วอวิ๋นคิดว่าตนได้รับสิ่งที่ล้ำค่ากว่าอย่างเทียบกันไม่ได้มาแล้ว และทั้งหมดนี้ก็เป็นผลพวงจากความเหนื่อยยากของสือซานและพี่น้อง ถ้าไม่ใช่เพราะสามพี่น้องแซ่สือทุ่มสุดตัวเพื่อคุ้มกันเขาไว้ เกรงว่าก่อนที่ฉินอวี้โม่จะมาถึง บุรุษแซ่ลั่วนามอวิ๋นก็คงเดินทางไปถึงยังปรโลกเป็นที่เรียบร้อย

“พี่สือซานก็อย่าปฏิเสธเลยนะ โปรดรับมันไว้เถิด”

ลั่วอวิ๋นยิ้มให้สือซาน ก่อนจะรีบเอ่ยดักคอเขาไว้ก่อน สือซานมองตาลั่วอวิ๋นก่อนจะหันไปมองหน้าองค์ชายสาม ฉินอวี้โม่ รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่เหลือ เมื่อเห็นว่าทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง เขาก็พยักหน้าและยอมรับมันมา

“อสูรพวกนี้ข้ายกให้พวกเจ้าด้วย อยากจะได้ตัวไหนก็เลือกแล้วทำพันธสัญญาได้เลย”

ฉินอวี้โม่ชี้ไปยังอสูรมายาจำนวนหนึ่งที่นางรีดไถมาจากกลุ่มของหนี้ป่าชี่แล้วกล่าว คุณหนูผู้เลือดเย็นก็มอบอสูรมายาที่นางทำลายพันธสัญญาเดิมลงแล้วให้แก่สหายแซ่สือต่อหน้าต่อตาพวกหนี้ป่าชี่ที่เคยเป็นเจ้าของพวกมัน

สือซานและน้องชายทั้งสองยิ้มอย่างมีความสุข พวกเขาต่างก็เลือกอสูรมายาที่ถูกใจแล้วทำพันธสัญญากับพวกมัน

“ฉีอวี้ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

เมื่อเห็นฉีอวี้ที่ยังมีใบหน้าซีดเซียว ฉินอวี้โม่ก็เดินเข้าไปหาพร้อมมอบโอสถเม็ดหนึ่งให้เขา

โอสถเม็ดนี้ฉินอี้เฟยเป็นผู้หลอม มันเรียกว่าโอสถฟื้นฟูกำลัง มันจะช่วยให้ผู้ที่กินมันเข้าไปฟื้นฟูพละกำลังกลับมาอย่างรวดเร็ว ฉีอวี้ประมือกับหนี้ป่าชี่มาเป็นเวลานานทำให้เขาสูญเสียพลังไปมาก การได้โอสถดังกล่าวไปจะช่วยเขาได้มาก

“อวี้โม่ ขอบคุณเจ้ามาก”

องค์ชายสามแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นยิ้มพลางรับโอสถมา ร่างกายของเขาไม่ได้บาดเจ็บอะไร เพียงแค่เหนื่อยล้าเท่านั้น แม้ว่าเขาจะอยู่ขอบเขตมายาบรรพชนสองดาราและต้องรับมือกับหนี้ป่าชี่ที่อยู่ขอบเขตมายาบรรพชนสี่ดาราก็ตาม แต่ด้วยความที่ทุ่มสุดตัวต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างเลือดขึ้นหน้าจึงทำให้แม้จะไม่อาจเอาชนะแต่เขาก็ไม่ได้ตกเป็นรอง

“นี่คือแผ่นป้ายของพวกเจ้า”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมกับส่งแผ่นป้ายประจำกลุ่มฉีอวี้กลับคืนให้

บุรุษผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นองค์ชายรับมันมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะแขวนมันไว้ที่เอวดังเดิม

“แผ่นป้ายของพวกเจ้าก็ถูกกลุ่มอื่นชิงไปแล้วนี่ เหตุใดไม่ไล่ตามเอาของตัวเองคืนแต่กลับเที่ยวไล่ชิงป้ายของคนอื่นอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ ?”

ฉินอวี้โม่จ้องมองพวกหนี้ป่าชี่แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนหน้านี้นางจำได้ว่าได้ยินเสียงประกาศว่ากลุ่มของหนี้ป่าชี่สูญเสียแผ่นป้ายไปแล้ว นางไม่เข้าใจเลยว่าแทนที่จะไล่ล่ากลุ่มที่ชิงป้ายของตัวเองไปกลับมาเสียเวลาชิงป้ายของกลุ่มอื่น คิดอย่างไรการกระทำของคนกลุ่มนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด

“ก็กฎของการแข่งขันบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าถ้าแผ่นป้ายของเราถูกชิงไป ขอเพียงชิงแผ่นป้ายของกลุ่มอื่นมาได้ก็จะไม่ถูกคัดออก หลังจากถูกชิงแผ่นป้ายไป พวกเราก็พยายามออกตามหากลุ่มอื่นและได้บังเอิญผ่านมาที่นี่ ตอนนั้นพี่หนี้เห็นว่ากลุ่มฉีอวี้ดูไม่แข็งแกร่งมากนัก พวกเราทั้งหมดจึงตัดสินใจลงมือชิงแผ่นป้ายของพวกเขา”

หนึ่งในสมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่รีบอธิบาย น้ำเสียงที่เขาใช้ดูจะยำเกรงฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก บุรุษผู้นั้นตอบคำถามนางโดยไม่คิดปิดบัง

คำตอบของคนผู้นั้นทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รู้สึกงุนงงยิ่งขึ้น ‘ชิงป้ายผู้อื่นแล้วจะไม่ถูกคัดออก’ กติกาเช่นนี้มีด้วยหรือ ? เหตุใดพวกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน 

“พวกเจ้าคงจะถูกใครหลอกลวงเอาแล้วล่ะ ข้าไม่ได้ยินว่าท่านอธิการหรืออาจารย์คนใดจะกล่าวเช่นนั้นเลยนะ หากทำเช่นนั้นได้จริงการจะนับคะแนนและคัดคนออกคงจะยุ่งยากไม่น้อย”

หลิวซิวหยาแสดงความคิดเห็น สมาชิกกลุ่มของฉินอวี้โม่และสมาชิกกลุ่มของฉีอวี้ต่างพยักหน้าเห็นด้วย

เมื่อเห็นว่าสมควรไปจากที่นี่ได้แล้ว ฉินอวี้โม่จึงหันไปกล่าวกับทุกคน

“ข้าว่าคนพวกนี้คงได้รับบทเรียนแล้ว เราปล่อยพวกเขาไว้ แล้วเดินทางต่อกันเถอะ”

ในตอนนี้กลุ่มนักเรียนที่คิดจะปล้นชิงผู้อื่นได้รับบทเรียนอันแสนสาหัสแล้ว หนี้ป่าชี่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็กลายเป็นบุคคลไร้ค่าซึ่งก็ถือเป็นบทลงโทษที่โหดร้ายอย่างยวดยิ่ง อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูไม่คิดจะลงมือทำสิ่งใดมากไปกว่านี้อีก

ก่อนออกเดินทาง คุณหนูสี่ตระกูลฉินหันไปกล่าวกับกลุ่มของฉีอวี้

“พวกเจ้าไปกับพวกข้าเถอะ หากเดินทางไปกับพวกข้าอีกไม่นานก็จะถึงศูนย์กลางของป่าเหมันต์ พวกเรารู้มาว่าบริเวณนั้นเป็นบริเวณเดียวที่ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปสำรวจ ส่วนจุดอื่น ๆ ผู้รู้ของพวกเราบอกว่าไม่มีผลเยือกมณีอยู่อย่างแน่นอน ดังนั้นหากไปให้ถึงยังใจกลางของป่าไม่แน่ว่าเราอาจจะได้รู้เบาะแสของผลเยือกมณีก็ได้ แต่พื้นที่ตรงนั้นค่อนข้างอันตรายเพราะเป็นอาณาเขตของมังกรเหมันต์ เจ้ามังกรตัวนี้เป็นอสูรที่แข็งแกร่งมาก ลำพังพวกเราเองคงสู้มันไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงกำลังรอกลุ่มอื่น ๆ มาสมทบก่อนแล้วเข้าไปพร้อมกัน”

กลุ่มฉีอวี้พยักหน้า พวกเขาพร้อมจะเดินทางไปกับกลุ่มของฉินอวี้โม่

เวลานี้ ลั่วอวิ๋นกลายเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนเก้าดารา หลังจากนี้หากผู้ใดคิดชิงแผ่นป้ายของพวกเขาไปอีกก็คงเป็นเรื่องยากแล้ว อย่างไรก็ตามฉินอวี้โม่ก็ยังอยากให้พวกเขาเดินทางไปด้วยเพื่อที่จะได้ช่วยกันรับมือกับมังกรเหมันต์ในกรณีที่เจ้ามังกรตัวนั้นดุร้ายและไม่รับฟังเหตุผล อีกทั้งตามวิสัยของอสูรก็มักจะไม่ชอบใจมนุษย์จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าการรับมือกับมังกรเหมันต์ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าว ก่อนจะพยักหน้าให้เหล่ารุ่นพี่ในกลุ่ม

บัดนี้คณะเดินทางที่ประกอบไปด้วยกลุ่มฉีอวี้และกลุ่มฉินอวี้โม่ก็ออกเดินทาง และจุดหมายปลายทางแรกของพวกเขาก็คือกลับไปยังถ้ำที่ฉินอวี้โม่เคยพักก่อนหน้านี้

คณะเดินทางที่มีคนนับสิบเดินทางไปสนทนากันไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขาไม่ได้รีบร้อนเดินทางให้ถึง อย่างไรในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็ยังไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะเมื่อพิจารณาให้ดี ๆ แล้วสิบคนอาจจะยังไม่เพียงพอถ้าคิดจะต่อกรกับมังกรผู้น่าเกรงขาม ดังนั้นเวลานี้พวกเขาอาจจะต้องรอให้มีกลุ่มอื่นมาสมทบหรือต้องคิดแผนการที่รัดกุมและรอบคอบก่อน

หลังจากคณะเดินทางของฉินอวี้โม่จากไปไกลแล้ว สมาชิกของกลุ่มหนี้ป่าชี้ก็กำลังคิดจะไปจากจุดนั้นบ้าง เวลานี้ใกล้ค่ำเต็มที แม้ว่าพรุ่งนี้พวกเขาทั้งหมดจะต้องถูกพาออกจากป่าเหมันต์ตามกลุ่มอื่น ๆ ที่ตกรอบไป แต่พื้นที่ในจุดนี้ก็ไม่เหมาะสมสำหรับการค้างแรม

ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เคลื่อนย้าย จู่ ๆ ร่างกำยำของคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า คนเหล่านี้ราวกับเป็นภูตผีที่หลุดออกมาจากเงาของแมกไม้เพราะไม่มีผู้ใดมองเห็น ได้ยินเสียงหรือสัมผัสการมาถึงของพวกเขาได้ก่อนหน้านี้เลย

“พวกเจ้าต้องการอะไรอีก ?…”

เมื่อเห็นโฉมหน้าของคนในกลุ่มนั้นชัดเจน ใบหน้าของสมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่ทั้งหมดก็ซีดเผือด เพราะผู้ที่ชิงป้ายของพวกเขาไปและบอกพวกเขาว่า ‘การชิงแผ่นป้ายจากกลุ่มอื่นมาจะช่วยให้ไม่ต้องตกรอบ’ ก็คือกลุ่มคนตรงหน้า จากการประมือกันทุกคนล้วนทราบดีว่าพลังของคนพวกนี้น่ากลัวเกินบรรยาย

กลุ่มผู้มาใหม่ไม่สนใจพวกเขา ก่อนจะเดินไปหาหนี้ป่าชี่ที่มีใบหน้าที่ไม่สู้ดีนักพลางเอ่ยเสียงเรียบ

“เจ้าอยากจะแก้แค้นหรือไม่ ?”

ในตอนนี้จิตใจของหนี้ป่าชี่ตกต่ำถึงขีดสุด เขาไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เขารู้สึกได้เพียงความมืดที่ว่างเปล่าจากทั้งแปดทิศ แต่ด้วยความเจ็บแค้นอันฝังลึก ในทันทีที่ได้ยินคำถามเรื่องการแก้แค้น หนี้ป่าชี่ก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเล

“งั้นเจ้าก็ต้องใช้ชีวิตของเจ้าแลกกับมัน !”

ทันใดนั้นมีดเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือบุรุษผู้เอ่ยถาม พริบตาต่อมามีดคมกริบก็เสียบแทงเข้าสู่หัวใจของหนี้ป่าชี่ เมื่อแน่ใจว่าเหยื่อสิ้นลมหายใจไปแล้ว บุรุษอำมหิตก็ชักมีดคมออกจากร่างไร้วิญญาณนั้นก่อนจะบรรจงเช็ดมันด้วยเสื้อของศพ

เมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น สมาชิกคนอื่นในกลุ่มของหนี้ป่าชี่ยืนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ขณะที่คนอื่น ๆ ในกลุ่มคนปริศนานิ่งเงียบ พวกเขาทำเพียงมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเฉยชา ดูเหมือนว่าบุรุษอำมหิตน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเขา

“พวกเจ้าจำเอาไว้ให้ดี ! หนี้ป่าชี่ถูกฉินอวี้โม่ฆ่าตาย ไม่ว่าใครจะถามอะไร ก็ให้บอกไปว่าฉินอวี้โม่เป็นคนฆ่าเขา เข้าใจใช่ไหม ?”

ในตอนนี้สหายของหนี้ป่าชี่หวาดกลัวจนแทบคลุ้มคลั่ง พวกเขากล่าวสิ่งใดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ เมื่อได้ยินวาจาอันเย็นยะเยือก คนทั้งสี่ก็รีบพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พวกเขาไม่กล้าคิดที่จะขัดขืนคนผู้นี้

ความแข็งแกร่งของคนตรงหน้าเหนือชั้นกว่าพวกเขามาก ต่อให้พวกเขาร่วมมือกันสี่คนก็ยังเอาชนะคนผู้นี้เพียงคนเดียวไม่ได้ ถ้าอยากจะรอดก็มีแต่ต้องยอมทำตาม

ยิ่งกว่านั้นฉินอวี้โม่คือผู้ที่ปล้นแหวนมิติและอสูรมายาของพวกไป ความแค้นเคืองต่อสตรีผู้นั้นสดใหม่ และยังคงฝังลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขา ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอแนวทางแก้แค้นให้ พวกเขาจึงยอมทำตามแต่โดยดี

ในเวลาเดียวกันนั้นคณะเดินทางของฉินอวี้โม่ก็กำลังพักอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ทั้งหมดกำลังตั้งสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังและเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า ขณะนี้มีใครบางคนกำลังวางแผนการอันชั่วร้ายบางอย่าง และแผนการนั้นก็มีเป้าหมายหนึ่งคือการจัดการกับคุณหนูสี่ตระกูลฉิน !

พลังของลั่วอวิ๋นพุ่งขึ้นมาสู่ขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดาราในฉับพลัน แน่นอนว่าเขายังไม่สามารถปรับสภาพร่างกายและสภาวะพลังได้ในทันที หลินซิวหยาจึงเข้ามาช่วยชี้แนะแนวทางเพื่อให้จอมยุทธ์มายาบรรพชนคนใหม่คุ้นชินกับพลังของตนรวดเร็วยิ่งขึ้น เวลานี้รุ่นพี่ผู้ชื่นชอบการต่อสู้อยู่ในขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดาราแล้ว ฉะนั้นเขาจึงมีประสบการณ์ที่มากกว่า

ลั่วอวิ๋นฟังอย่างตั้งใจ ไม่เพียงแค่เขาแม้แต่ฉีอวี้และสามพี่น้องแซ่สือก็ยังตั้งใจฟังอย่างใคร่รู้ด้วย

ฉินอวี้โม่เองก็คิดว่าคำแนะนำของหลินซิวหยามีประโยชน์อย่างมหาศาล

ทันทีที่ฟังคำแนะนำของรุ่นมีร่างยักษ์จบ ลั่วอวิ๋นก็รีบทำตาม และเขาก็สามารถทำให้พลังของตัวเองมั่นคงขึ้นได้ในอัตราเร็วที่ว่องไวกว่าตอนที่ทะลวงพลังในครั้งก่อนหน้าจริง ๆ ถึงแม้จะเล็กน้อยก็ยังนับว่าน่าอัศจรรย์แล้วสำหรับการก้าวข้ามระดับพลังอันมหาศาลเช่นนี้

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่คิดจะรบกวนลั่วอวิ๋น คนทั้งหมดจึงเคลื่อนย้ายออกมาอยู่ในบริเวณใกล้ปากถ้ำพลางนั่งครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะค้นหาผลเยือกมณี

สามพี่น้องแซ่สือรู้สึกเหนื่อยล้ามาก พวกเขาล้มตัวลงนอนก่อนจะผล็อยหลับไปในทันที ฉีอวี้เองก็ของีบเช่นกัน เหตุการณ์ในวันนี้หนักหนาสำหรับพวกเขามาก

เจียงหลิวเยว่และคนอื่น ๆ หลับตาลงทำสมาธิเพื่อไหลเวียนพลังมายาให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับศึกหนักให้มากที่สุด ในตอนนี้พวกเขาใกล้จะได้เข้าสู่อาณาเขตของมังกรเหมันต์แล้ว ฉะนั้นทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา

ฉินอวี้โม่หยิบแหวนมิติที่ยึดจากหนี้ป่าชี่และพวกพ้องของเขาขึ้นมาตรวจสอบดู นอกจากแหวนของหนี้ป่าชี่ที่มีโอสถระดับสูงอยู่บ้างแล้ว แหวนมิติของคนอื่น ๆ ก็มีแต่สิ่งของทั่ว ๆ ไป

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก

และแล้วเวลาก็ล่วงเลยไปอีกสามวันอย่างรวดเร็ว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 157 ชะตาฟ้าประทาน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 157 ชะตาฟ้าประทาน

สือซานและคนอื่น ๆ มองฉินอวี้โม่ด้วยความอัศจรรย์ใจ

วิธีการของฉินอวี้โม่ ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจแต่ยังทำให้ตกตะลึงและหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจทีเดียว

คนทั้งหมดตื่นตกใจกับวิธีการอันแสนโหดเหี้ยมที่ใช้เอาคืนผู้คนของสหายนางนี้ ไม่คิดว่าคุณหนูตระกูลฉินจะมีมุมที่อำมหิตและเลือดเย็นเช่นนี้ด้วย

ความรักในมิตรภาพของนางและความห่วงใยเหล่าสหายที่ ‘ออกจะรุนแรงเกินไปสักหน่อย’ ทำให้พวกเขากล่าวสิ่งใดไม่ออก

ดูราวกับว่าหากทำเพื่อสหายแล้ว ฉินอวี้โม่ก็พร้อมจะกลายเป็นปีศาจร้ายได้อย่างไม่ลังเล

ในตอนนั้นเองที่เสียงร้องดังลั่นขึ้น ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกได้ถึงสภาวะพลังอันไม่เสถียรที่พุ่งออกมาจากร่างกายของลั่วอวิ๋น จากอ่อนเบาแปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงและยังคงไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ในลมหายใจถัดมา ทุกสายตาก็มองเห็นแสงสว่างเปล่งประกายออกมาจากร่างของผู้ฝึกสัตว์อสูรจากเมืองเยว่กวาง แสงเรืองรองนั้นดูคล้ายกับแสงแห่งการเพิ่มระดับพลัง

เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของลั่วอวิ๋น คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็อดอุทานออกมาไม่ได้ นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจและแปลกเกินกว่าจะเชื่อได้

เพราะในตอนนี้ลั่วอวิ๋นมีสภาพร่างกายและจิตวิญญาณที่ย่ำแย่มากจากอาการบาดเจ็บสาหัส แต่ภายในพริบตาสภาวะพลังของเขากลับพวยพุ่งออกมาราวกับจอมยุทธ์ผู้ฝึกตนจนบรรลุและกำลังจะก้าวข้ามขอบเขต เช่นนี้จะไม่ให้พวกเขาประหลาดใจได้อย่างไร

ฉินอวี้โม่เองก็รีบมองไปยังทิศทางที่ลั่วอวิ๋นอยู่ ภาพที่เห็นทำให้นางประหลาดใจไม่ต่างจากคนอื่น

‘พลังมายาภายในร่างกายของลั่วอวิ๋นที่เคยอยู่ในระดับนภามายาเก้าดารา จู่ ๆ ก็พุ่งทะยานขึ้นสูงระดับสูงสุด !’

บัดนี้ ลั่วอวิ๋นไม่เพียงแค่ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนได้สำเร็จเท่านั้น แต่แสงแห่งการเลื่อนระดับพลังก็ยังคงสว่างวาบไม่หยุดนิ่ง

หนึ่งดารา สองดารา สามดารา …เจ็ดดารา แปดดารา และเก้าดารา พลังของบุตรชายเจ้าเมืองเยว่กวางเลื่อนขั้นดาราตั้งแต่ต่ำสุดจนถึงสูงสุดภายในเวลาอันสั้น มันหยุดยั้งลงในดาราที่เก้าก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป

อย่างไรก็ตามการที่มนุษย์คนหนึ่งจะทะลวงพลังจากขอบเขต ‘นภมายาเก้าดารา’ ไปยังขอบเขต ‘มายาบรรพชนเก้าดารา’ ภายในคราเดียวมันเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าเหลือเชื่อ

“หรือว่านี่จะเป็นการวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ ?”

จู่ ๆ หลี่จิ้งก็พึมพำเสียงทุ้มต่ำดูเหมือนว่าบุรุษผู้ผจญภัยมาทุกสารทิศทั่วทั้งดินแดนจะพอล่วงรู้สาเหตุที่ลั่วอวิ๋นทะลวงพลังได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่ถึงก้านธูปนี้

“การวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณคืออะไร ?”

เนี่ยหรูเฟิงไม่เข้าใจสิ่งที่หลี่จิ้งกล่าวจึงรีบไถ่ถาม

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ที่เหลือก็มองหลี่จิ้งเป็นตาเดียวเพื่อรอคอยคำอธิบาย ‘การวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ’ เช่นนั้นหรือ ? คำคำนี้พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

หลี่จิ้งยิ้มน้อย ๆ “นี่คือสิ่งที่ข้าเคยอ่านเจอในตำราเก่าแก่เล่มหนึ่ง ข้าเพียงแต่เห็นว่าวิธีการทะลวงพลังของเขาดูคล้ายกับสิ่งที่บรรยายไว้ในตำรา แต่ข้าก็แค่คาดเดาเท่านั้น จะจริงหรือไม่ข้าก็ไม่มั่นใจนักหรอก…”

จากนั้นหลี่จิ้งก็อธิบายเกี่ยวกับเรื่องของการวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณให้เหล่าสหายรู้อย่างคร่าว ๆ

…การวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณคือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในตอนที่จิตวิญญาณของมนุษย์เกิดความเสียหาย

โดยส่วนมากเมื่อจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของมนุษย์เสียหายไปอย่างรุนแรงจะเกิดผลลัพธ์ในทางเลวร้าย นั่นคือหากไม่กลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถ ก็จะเปลี่ยนเป็นคนวิปลาส หรืออาจถึงแก่ชีวิต ทว่าก็มีโอกาสอยู่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ความเสียหายนั้นจะไปกระตุ้นให้จิตเกิดวิวัฒนาการ นี่ถือเป็นกลไกการเอาตัวรอดอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์ อย่างไรก็ตามโอกาสเพียงเศษเสี้ยวนั้นน้อยนิดเสียจนแทบไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นหรือรู้จักปรากฏการณ์เช่นนี้

ในตำราอธิบายไว้ด้วยว่า การวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณนั้นมีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบ รูปแบบแรกก็คือหลังวิวัฒนาการพลังจิตวิญญาณของผู้ที่เกิดวิวัฒนาการจะสูงขึ้นอย่างมหาศาลซึ่งจะส่งผลให้ระดับพลังมายาและขอบเขตพลังของคนผู้นั้นเพิ่มขึ้นในพริบตาแต่กรณีนี้เกิดได้น้อยมากจนแทบจะไม่เคยมีการบันทึกตัวอย่างเอาไว้ ส่วนอีกรูปแบบก็คือหลังจากวิวัฒนาการผ่านพ้นไปแล้วจิตวิญญาณจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมากแต่ก็ยังพอมีชีวิตรอดได้ ทว่าก็ต้องเปลี่ยนกลับกลายเป็นเสมือนผู้ไม่เคยฝึกยุทธ์ แม้ว่าจะยังสามารถฝึกยุทธ์ได้แต่ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูพลังช่วงหนึ่งอีกทั้งต้องกลับไปเริ่มต้นจากระดับพื้นฐานอีกครั้ง…

ในเวลานี้ต้องกล่าวว่าเป็นโชคของลั่วอวิ๋นโดยแท้ที่จิตวิญญาณของเขาวิวัฒนาการไปในรูปแบบแรก เขาจึงทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดาราได้ในพริบตา นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก หากเป็นโชคชะตาก็นับว่าเป็นวาสนาแห่งเทพเซียนแล้ว

ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับรู้ ขณะเดียวกันในใจของพวกเขาก็รู้สึกยินดีในความโชคดีของสหายไปด้วย ดูเหมือนว่าสวรรค์จะไม่เคยทอดทิ้งคนดี ๆ

หลังจากแสงแห่งการเลื่อนระดับพลังจางหายไปแล้ว ลั่วอวิ๋นก็ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะมองเห็นฉินอวี้โม่และสหายทั้งหลาย

ลั่วอวิ๋นเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เมื่อเรียบเรียงความคิดได้ใบหน้าหล่อเหลาก็เปลี่ยนเป็นดีใจอย่างล้นเหลือ บุรุษหนุ่มผู้มีโชคดั่งสวรรค์ประทานเผยรอยยิ้มกว้าง

“อวี้โม่ สหายทุกคน รุ่นพี่ทั้งหลาย ข้าขอขอบคุณทุกคนจากใจ บุญคุณนี้ข้าน้อยลั่วอวิ๋นจะไม่มีวันลืม”

แม้ว่าเขาจะตั้งสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังอยู่ก็ตาม แต่เขาก็ได้ยินทุกสรรพเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัวและจดจำทั้งหมดได้ เรื่องที่กลุ่มของฉินอวี้โม่เข้ามาช่วยและจัดการสั่งสอนหนี้ป่าชี่และพวกพ้องเขาทราบดี บุรุษหล่อเหลาจากเมืองเยว่กวางรู้สึกว่าตัวเองโชคดียิ่งนัก มิใช่โชคดีที่เขาทะลวงเขาถึงระดับมายาบรรพชนเก้าดาราได้ แต่การมีสหายที่ดีนี่ต่างห่างที่ถือเป็นโชคอันเปี่ยมล้นเยี่ยงเทพเซียน นี่เองทำให้ลั่วอวิ๋นก้มหัวให้ทุกคนโดยไม่ลังเล มันถือเป็นเรื่องถูกต้องแล้วเขาไม่มีความกระดากอายเลยสักนิด

“น้องลั่ว ยินดีกับเจ้าด้วย”

เนี่ยหรูเฟิงยิ้มและเอ่ยแสดงความยินดีกับลั่วอวิ๋น

แน่นอนว่าลั่วอวิ๋นรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองดี เขารู้สึกได้เลยว่าร่างกายของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขายิ้มส่งยิ้มจริงใจให้รุ่นพี่ผู้เอ่ยแสดงความยินดีให้

“ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกท่าน ข้าคงไม่มีวาสนาเช่นนี้ อย่าว่าแต่วาสนาเลย แม้แต่ชีวิตข้าก็คงไม่มีเหลือแล้ว”

ลั่วอวิ๋นก้มหัวคำนับทุกคนในที่แห่งนี้อย่างซาบซึ้งอีกครั้ง

เขารู้สึกขอบคุณมากเหลือเกิน มันมากเสียจนไม่ทราบว่าจะตอบแทนอย่างไรให้เพียงพอ โดยเฉพาะฉินอวี้โม่ นางไม่เพียงจัดการอีกฝ่ายเพื่อแก้แค้นให้เขา แต่ยังช่วยถ่ายเทพลังเข้ามาในร่างของเขาด้วย

ผู้อื่นอาจจะไม่ทราบ แต่ลั่วอวิ๋นรู้ดีว่าเป็นเพราะความช่วยเหลือดังกล่าวของสหายตระกูลฉินที่ทำให้จิตวิญญาณของเขาวิวัฒนาการได้สำเร็จและกลายเป็นจอมยุทธ์ที่มีระดับพลังเทียบเท่ากับเหล่ายอดฝีมือระดับแนวหน้าทั้งหลายของโรงเรียน

“ลั่วอวิ๋น ข้าคืนมันให้เจ้า”

ฉินอวี้โม่ส่งยักษ์ศิลาเหมันต์อสูรเทวะราชันที่นางทำลายพันธสัญญาของหนี้ป่าชี่เรียบร้อยแล้วคืนให้ลั่วอวิ๋น ในตอนนี้เจ้ายักษ์ใหญ่ในร่างเล็กจิ๋วนอนหลับสนิทอยู่ในกรงขังอสูรขนาดย่อม

“มอบมันให้สือซานเถอะ ตอนนี้ข้าไม่ต้องการมันแล้ว”

ทว่าลั่วอวิ๋นกลับปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม เขาต้องการจะมอบมันให้สือซานผู้มีพระคุณที่ช่วยปกป้องเขาจนตัวเองและพี่น้องแทบจะเอาชีวิตไม่รอด

ในตอนนี้ลั่วอวิ๋นคิดว่าตนได้รับสิ่งที่ล้ำค่ากว่าอย่างเทียบกันไม่ได้มาแล้ว และทั้งหมดนี้ก็เป็นผลพวงจากความเหนื่อยยากของสือซานและพี่น้อง ถ้าไม่ใช่เพราะสามพี่น้องแซ่สือทุ่มสุดตัวเพื่อคุ้มกันเขาไว้ เกรงว่าก่อนที่ฉินอวี้โม่จะมาถึง บุรุษแซ่ลั่วนามอวิ๋นก็คงเดินทางไปถึงยังปรโลกเป็นที่เรียบร้อย

“พี่สือซานก็อย่าปฏิเสธเลยนะ โปรดรับมันไว้เถิด”

ลั่วอวิ๋นยิ้มให้สือซาน ก่อนจะรีบเอ่ยดักคอเขาไว้ก่อน สือซานมองตาลั่วอวิ๋นก่อนจะหันไปมองหน้าองค์ชายสาม ฉินอวี้โม่ รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่เหลือ เมื่อเห็นว่าทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง เขาก็พยักหน้าและยอมรับมันมา

“อสูรพวกนี้ข้ายกให้พวกเจ้าด้วย อยากจะได้ตัวไหนก็เลือกแล้วทำพันธสัญญาได้เลย”

ฉินอวี้โม่ชี้ไปยังอสูรมายาจำนวนหนึ่งที่นางรีดไถมาจากกลุ่มของหนี้ป่าชี่แล้วกล่าว คุณหนูผู้เลือดเย็นก็มอบอสูรมายาที่นางทำลายพันธสัญญาเดิมลงแล้วให้แก่สหายแซ่สือต่อหน้าต่อตาพวกหนี้ป่าชี่ที่เคยเป็นเจ้าของพวกมัน

สือซานและน้องชายทั้งสองยิ้มอย่างมีความสุข พวกเขาต่างก็เลือกอสูรมายาที่ถูกใจแล้วทำพันธสัญญากับพวกมัน

“ฉีอวี้ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

เมื่อเห็นฉีอวี้ที่ยังมีใบหน้าซีดเซียว ฉินอวี้โม่ก็เดินเข้าไปหาพร้อมมอบโอสถเม็ดหนึ่งให้เขา

โอสถเม็ดนี้ฉินอี้เฟยเป็นผู้หลอม มันเรียกว่าโอสถฟื้นฟูกำลัง มันจะช่วยให้ผู้ที่กินมันเข้าไปฟื้นฟูพละกำลังกลับมาอย่างรวดเร็ว ฉีอวี้ประมือกับหนี้ป่าชี่มาเป็นเวลานานทำให้เขาสูญเสียพลังไปมาก การได้โอสถดังกล่าวไปจะช่วยเขาได้มาก

“อวี้โม่ ขอบคุณเจ้ามาก”

องค์ชายสามแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นยิ้มพลางรับโอสถมา ร่างกายของเขาไม่ได้บาดเจ็บอะไร เพียงแค่เหนื่อยล้าเท่านั้น แม้ว่าเขาจะอยู่ขอบเขตมายาบรรพชนสองดาราและต้องรับมือกับหนี้ป่าชี่ที่อยู่ขอบเขตมายาบรรพชนสี่ดาราก็ตาม แต่ด้วยความที่ทุ่มสุดตัวต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างเลือดขึ้นหน้าจึงทำให้แม้จะไม่อาจเอาชนะแต่เขาก็ไม่ได้ตกเป็นรอง

“นี่คือแผ่นป้ายของพวกเจ้า”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมกับส่งแผ่นป้ายประจำกลุ่มฉีอวี้กลับคืนให้

บุรุษผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นองค์ชายรับมันมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะแขวนมันไว้ที่เอวดังเดิม

“แผ่นป้ายของพวกเจ้าก็ถูกกลุ่มอื่นชิงไปแล้วนี่ เหตุใดไม่ไล่ตามเอาของตัวเองคืนแต่กลับเที่ยวไล่ชิงป้ายของคนอื่นอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ ?”

ฉินอวี้โม่จ้องมองพวกหนี้ป่าชี่แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนหน้านี้นางจำได้ว่าได้ยินเสียงประกาศว่ากลุ่มของหนี้ป่าชี่สูญเสียแผ่นป้ายไปแล้ว นางไม่เข้าใจเลยว่าแทนที่จะไล่ล่ากลุ่มที่ชิงป้ายของตัวเองไปกลับมาเสียเวลาชิงป้ายของกลุ่มอื่น คิดอย่างไรการกระทำของคนกลุ่มนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด

“ก็กฎของการแข่งขันบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าถ้าแผ่นป้ายของเราถูกชิงไป ขอเพียงชิงแผ่นป้ายของกลุ่มอื่นมาได้ก็จะไม่ถูกคัดออก หลังจากถูกชิงแผ่นป้ายไป พวกเราก็พยายามออกตามหากลุ่มอื่นและได้บังเอิญผ่านมาที่นี่ ตอนนั้นพี่หนี้เห็นว่ากลุ่มฉีอวี้ดูไม่แข็งแกร่งมากนัก พวกเราทั้งหมดจึงตัดสินใจลงมือชิงแผ่นป้ายของพวกเขา”

หนึ่งในสมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่รีบอธิบาย น้ำเสียงที่เขาใช้ดูจะยำเกรงฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก บุรุษผู้นั้นตอบคำถามนางโดยไม่คิดปิดบัง

คำตอบของคนผู้นั้นทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รู้สึกงุนงงยิ่งขึ้น ‘ชิงป้ายผู้อื่นแล้วจะไม่ถูกคัดออก’ กติกาเช่นนี้มีด้วยหรือ ? เหตุใดพวกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน 

“พวกเจ้าคงจะถูกใครหลอกลวงเอาแล้วล่ะ ข้าไม่ได้ยินว่าท่านอธิการหรืออาจารย์คนใดจะกล่าวเช่นนั้นเลยนะ หากทำเช่นนั้นได้จริงการจะนับคะแนนและคัดคนออกคงจะยุ่งยากไม่น้อย”

หลิวซิวหยาแสดงความคิดเห็น สมาชิกกลุ่มของฉินอวี้โม่และสมาชิกกลุ่มของฉีอวี้ต่างพยักหน้าเห็นด้วย

เมื่อเห็นว่าสมควรไปจากที่นี่ได้แล้ว ฉินอวี้โม่จึงหันไปกล่าวกับทุกคน

“ข้าว่าคนพวกนี้คงได้รับบทเรียนแล้ว เราปล่อยพวกเขาไว้ แล้วเดินทางต่อกันเถอะ”

ในตอนนี้กลุ่มนักเรียนที่คิดจะปล้นชิงผู้อื่นได้รับบทเรียนอันแสนสาหัสแล้ว หนี้ป่าชี่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็กลายเป็นบุคคลไร้ค่าซึ่งก็ถือเป็นบทลงโทษที่โหดร้ายอย่างยวดยิ่ง อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูไม่คิดจะลงมือทำสิ่งใดมากไปกว่านี้อีก

ก่อนออกเดินทาง คุณหนูสี่ตระกูลฉินหันไปกล่าวกับกลุ่มของฉีอวี้

“พวกเจ้าไปกับพวกข้าเถอะ หากเดินทางไปกับพวกข้าอีกไม่นานก็จะถึงศูนย์กลางของป่าเหมันต์ พวกเรารู้มาว่าบริเวณนั้นเป็นบริเวณเดียวที่ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปสำรวจ ส่วนจุดอื่น ๆ ผู้รู้ของพวกเราบอกว่าไม่มีผลเยือกมณีอยู่อย่างแน่นอน ดังนั้นหากไปให้ถึงยังใจกลางของป่าไม่แน่ว่าเราอาจจะได้รู้เบาะแสของผลเยือกมณีก็ได้ แต่พื้นที่ตรงนั้นค่อนข้างอันตรายเพราะเป็นอาณาเขตของมังกรเหมันต์ เจ้ามังกรตัวนี้เป็นอสูรที่แข็งแกร่งมาก ลำพังพวกเราเองคงสู้มันไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงกำลังรอกลุ่มอื่น ๆ มาสมทบก่อนแล้วเข้าไปพร้อมกัน”

กลุ่มฉีอวี้พยักหน้า พวกเขาพร้อมจะเดินทางไปกับกลุ่มของฉินอวี้โม่

เวลานี้ ลั่วอวิ๋นกลายเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนเก้าดารา หลังจากนี้หากผู้ใดคิดชิงแผ่นป้ายของพวกเขาไปอีกก็คงเป็นเรื่องยากแล้ว อย่างไรก็ตามฉินอวี้โม่ก็ยังอยากให้พวกเขาเดินทางไปด้วยเพื่อที่จะได้ช่วยกันรับมือกับมังกรเหมันต์ในกรณีที่เจ้ามังกรตัวนั้นดุร้ายและไม่รับฟังเหตุผล อีกทั้งตามวิสัยของอสูรก็มักจะไม่ชอบใจมนุษย์จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าการรับมือกับมังกรเหมันต์ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าว ก่อนจะพยักหน้าให้เหล่ารุ่นพี่ในกลุ่ม

บัดนี้คณะเดินทางที่ประกอบไปด้วยกลุ่มฉีอวี้และกลุ่มฉินอวี้โม่ก็ออกเดินทาง และจุดหมายปลายทางแรกของพวกเขาก็คือกลับไปยังถ้ำที่ฉินอวี้โม่เคยพักก่อนหน้านี้

คณะเดินทางที่มีคนนับสิบเดินทางไปสนทนากันไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขาไม่ได้รีบร้อนเดินทางให้ถึง อย่างไรในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็ยังไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะเมื่อพิจารณาให้ดี ๆ แล้วสิบคนอาจจะยังไม่เพียงพอถ้าคิดจะต่อกรกับมังกรผู้น่าเกรงขาม ดังนั้นเวลานี้พวกเขาอาจจะต้องรอให้มีกลุ่มอื่นมาสมทบหรือต้องคิดแผนการที่รัดกุมและรอบคอบก่อน

หลังจากคณะเดินทางของฉินอวี้โม่จากไปไกลแล้ว สมาชิกของกลุ่มหนี้ป่าชี้ก็กำลังคิดจะไปจากจุดนั้นบ้าง เวลานี้ใกล้ค่ำเต็มที แม้ว่าพรุ่งนี้พวกเขาทั้งหมดจะต้องถูกพาออกจากป่าเหมันต์ตามกลุ่มอื่น ๆ ที่ตกรอบไป แต่พื้นที่ในจุดนี้ก็ไม่เหมาะสมสำหรับการค้างแรม

ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เคลื่อนย้าย จู่ ๆ ร่างกำยำของคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า คนเหล่านี้ราวกับเป็นภูตผีที่หลุดออกมาจากเงาของแมกไม้เพราะไม่มีผู้ใดมองเห็น ได้ยินเสียงหรือสัมผัสการมาถึงของพวกเขาได้ก่อนหน้านี้เลย

“พวกเจ้าต้องการอะไรอีก ?…”

เมื่อเห็นโฉมหน้าของคนในกลุ่มนั้นชัดเจน ใบหน้าของสมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่ทั้งหมดก็ซีดเผือด เพราะผู้ที่ชิงป้ายของพวกเขาไปและบอกพวกเขาว่า ‘การชิงแผ่นป้ายจากกลุ่มอื่นมาจะช่วยให้ไม่ต้องตกรอบ’ ก็คือกลุ่มคนตรงหน้า จากการประมือกันทุกคนล้วนทราบดีว่าพลังของคนพวกนี้น่ากลัวเกินบรรยาย

กลุ่มผู้มาใหม่ไม่สนใจพวกเขา ก่อนจะเดินไปหาหนี้ป่าชี่ที่มีใบหน้าที่ไม่สู้ดีนักพลางเอ่ยเสียงเรียบ

“เจ้าอยากจะแก้แค้นหรือไม่ ?”

ในตอนนี้จิตใจของหนี้ป่าชี่ตกต่ำถึงขีดสุด เขาไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เขารู้สึกได้เพียงความมืดที่ว่างเปล่าจากทั้งแปดทิศ แต่ด้วยความเจ็บแค้นอันฝังลึก ในทันทีที่ได้ยินคำถามเรื่องการแก้แค้น หนี้ป่าชี่ก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเล

“งั้นเจ้าก็ต้องใช้ชีวิตของเจ้าแลกกับมัน !”

ทันใดนั้นมีดเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือบุรุษผู้เอ่ยถาม พริบตาต่อมามีดคมกริบก็เสียบแทงเข้าสู่หัวใจของหนี้ป่าชี่ เมื่อแน่ใจว่าเหยื่อสิ้นลมหายใจไปแล้ว บุรุษอำมหิตก็ชักมีดคมออกจากร่างไร้วิญญาณนั้นก่อนจะบรรจงเช็ดมันด้วยเสื้อของศพ

เมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น สมาชิกคนอื่นในกลุ่มของหนี้ป่าชี่ยืนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ขณะที่คนอื่น ๆ ในกลุ่มคนปริศนานิ่งเงียบ พวกเขาทำเพียงมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเฉยชา ดูเหมือนว่าบุรุษอำมหิตน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเขา

“พวกเจ้าจำเอาไว้ให้ดี ! หนี้ป่าชี่ถูกฉินอวี้โม่ฆ่าตาย ไม่ว่าใครจะถามอะไร ก็ให้บอกไปว่าฉินอวี้โม่เป็นคนฆ่าเขา เข้าใจใช่ไหม ?”

ในตอนนี้สหายของหนี้ป่าชี่หวาดกลัวจนแทบคลุ้มคลั่ง พวกเขากล่าวสิ่งใดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ เมื่อได้ยินวาจาอันเย็นยะเยือก คนทั้งสี่ก็รีบพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พวกเขาไม่กล้าคิดที่จะขัดขืนคนผู้นี้

ความแข็งแกร่งของคนตรงหน้าเหนือชั้นกว่าพวกเขามาก ต่อให้พวกเขาร่วมมือกันสี่คนก็ยังเอาชนะคนผู้นี้เพียงคนเดียวไม่ได้ ถ้าอยากจะรอดก็มีแต่ต้องยอมทำตาม

ยิ่งกว่านั้นฉินอวี้โม่คือผู้ที่ปล้นแหวนมิติและอสูรมายาของพวกไป ความแค้นเคืองต่อสตรีผู้นั้นสดใหม่ และยังคงฝังลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขา ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอแนวทางแก้แค้นให้ พวกเขาจึงยอมทำตามแต่โดยดี

ในเวลาเดียวกันนั้นคณะเดินทางของฉินอวี้โม่ก็กำลังพักอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ทั้งหมดกำลังตั้งสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังและเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า ขณะนี้มีใครบางคนกำลังวางแผนการอันชั่วร้ายบางอย่าง และแผนการนั้นก็มีเป้าหมายหนึ่งคือการจัดการกับคุณหนูสี่ตระกูลฉิน !

พลังของลั่วอวิ๋นพุ่งขึ้นมาสู่ขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดาราในฉับพลัน แน่นอนว่าเขายังไม่สามารถปรับสภาพร่างกายและสภาวะพลังได้ในทันที หลินซิวหยาจึงเข้ามาช่วยชี้แนะแนวทางเพื่อให้จอมยุทธ์มายาบรรพชนคนใหม่คุ้นชินกับพลังของตนรวดเร็วยิ่งขึ้น เวลานี้รุ่นพี่ผู้ชื่นชอบการต่อสู้อยู่ในขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดาราแล้ว ฉะนั้นเขาจึงมีประสบการณ์ที่มากกว่า

ลั่วอวิ๋นฟังอย่างตั้งใจ ไม่เพียงแค่เขาแม้แต่ฉีอวี้และสามพี่น้องแซ่สือก็ยังตั้งใจฟังอย่างใคร่รู้ด้วย

ฉินอวี้โม่เองก็คิดว่าคำแนะนำของหลินซิวหยามีประโยชน์อย่างมหาศาล

ทันทีที่ฟังคำแนะนำของรุ่นมีร่างยักษ์จบ ลั่วอวิ๋นก็รีบทำตาม และเขาก็สามารถทำให้พลังของตัวเองมั่นคงขึ้นได้ในอัตราเร็วที่ว่องไวกว่าตอนที่ทะลวงพลังในครั้งก่อนหน้าจริง ๆ ถึงแม้จะเล็กน้อยก็ยังนับว่าน่าอัศจรรย์แล้วสำหรับการก้าวข้ามระดับพลังอันมหาศาลเช่นนี้

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่คิดจะรบกวนลั่วอวิ๋น คนทั้งหมดจึงเคลื่อนย้ายออกมาอยู่ในบริเวณใกล้ปากถ้ำพลางนั่งครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะค้นหาผลเยือกมณี

สามพี่น้องแซ่สือรู้สึกเหนื่อยล้ามาก พวกเขาล้มตัวลงนอนก่อนจะผล็อยหลับไปในทันที ฉีอวี้เองก็ของีบเช่นกัน เหตุการณ์ในวันนี้หนักหนาสำหรับพวกเขามาก

เจียงหลิวเยว่และคนอื่น ๆ หลับตาลงทำสมาธิเพื่อไหลเวียนพลังมายาให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับศึกหนักให้มากที่สุด ในตอนนี้พวกเขาใกล้จะได้เข้าสู่อาณาเขตของมังกรเหมันต์แล้ว ฉะนั้นทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา

ฉินอวี้โม่หยิบแหวนมิติที่ยึดจากหนี้ป่าชี่และพวกพ้องของเขาขึ้นมาตรวจสอบดู นอกจากแหวนของหนี้ป่าชี่ที่มีโอสถระดับสูงอยู่บ้างแล้ว แหวนมิติของคนอื่น ๆ ก็มีแต่สิ่งของทั่ว ๆ ไป

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก

และแล้วเวลาก็ล่วงเลยไปอีกสามวันอย่างรวดเร็ว

Options

not work with dark mode
Reset