คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 165 สถานการณ์พลิกกลับ

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ค่อย ๆ เข้ามาเกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ทุกคนต่างพยายามไหลเวียนพลังมายาเพื่อปรับสภาวะพลังภายในร่างกายไปพร้อมกับควบคุมการแพร่กระจายของพิษอย่างสุดความสามารถ

พิษร้ายของศัตรูแทรกซึมลงไปในร่างกายของทุกคนแล้วและเป็นผลทำให้พลังในการต่อสู้ของพวกเขาลดลงไปมาก เกรงว่าถ้าไม่รีบควบคุมพิษเอาไว้มันอาจจะส่งผลกระทบที่รุนแรงยิ่งขึ้น

เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ เรื่องการจะถูกคัดออกหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาที่พวกเขาต้องวิตกกังวลอีกต่อไปแล้ว เวลานี้ชัดเจนแล้วว่าสถานการณ์รวมถึงชะตากรรมของคนทั้งหมดกำลังตกอยู่ในมือภาคีพันธมิตรชั่วช้าของจีหย่งและลั่วเฉิน คนเลวทรามเหล่านี้สามารถทำอันตรายสมาชิกทุกคนในกลุ่มพันธมิตรของปิงเสวียนได้ตลอดเวลา

ในขณะที่เหล่าสหายกำลังตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดจากสิ่งที่ได้รับรู้และกำลังพยายามอย่างหนักหน่วงเพื่อควบคุมพิษในร่างกาย ฉินอวี้โม่เองก็ยังคงแสร้งทำทีคล้ายเจ็บปวดทรมานไปพร้อมกับคนอื่น ทว่าในหัวของนางกลับหมุนเร็วจี๋ คุณหนูสี่ตระกูลฉินกำลังคิดหาหนทางรับมือกับสภาวะวิกฤตในตอนนี้

ต้องบอกเลยว่าสถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายสำหรับคณะพันธมิตรฝั่งปิงเสวียนทั้งหกกลุ่มเป็นอย่างมาก

ในตอนนี้ นอกเหนือจากนางที่ไม่ได้ผลกระทบจากพิษแล้ว คนอื่นที่ยังคงพอจะยืนหยัดอยู่ต่อได้ก็มีเพียง ปิงเสวียน หลินซิวหยา เพ่ยหลง หลินหยวน และลั่วอวิ๋น ห้ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น

ส่วนคนอื่น ๆ ที่อ่อนแอกว่าล้วนลงไปนั่งพักอยู่บนพื้นกันหมด พวกเขาไม่อาจใช้พลังมายาได้ถึงหนึ่งในสิบส่วนเลยด้วยซ้ำ

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ เจ้าเก่งนักเก่งหนาไม่ใช่หรือ ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นลูกเจี๊ยบน้อยในกำมือของพวกเราไปได้เสียเล่า ?!”

จีชางมองฉินอวี้โม่พร้อมกล่าววาจาเย้ยหยันเสียงดัง

เมื่อเห็นสภาพของสตรีที่เขาชิงชังในตอนนี้ แน่นอนว่าจีชางคือหนึ่งในผู้ที่มีความสุขที่สุด

ในด้านของความแข็งแกร่ง เขาไม่อาจเทียบฉินอวี้โม่ได้เลย สตรีผู้นี้เหยียบย่ำเขาไม่ไว้หน้า ทั้งยังเป็นต้นเหตุให้ผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามเขา แม้ว่าถ้อยคำเยาะเย้ยของเขาจะไม่มีประโยชน์ใด ๆ แต่ที่ผ่านมาเขาอัดอั้นมานานแล้ว ในเมื่อมีโอกาสตอนนี้ก็ขอเอาคืนเสียบ้าง

ฉินอวี้โม่ไม่สนใจบุรุษไร้เหตุผลผู้นี้แม้แต่น้อย ถกเถียงกับคนผู้นี้ไปก็มีแต่เปลืองน้ำลายและเสียเวลาไปเปล่า ๆ สำหรับตอนนี้เวลาเป็นสิ่งมีค่ามาก นางจะต้องรีบคิดหาหนทางพลิกสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว

เมื่อนึกแผนการอย่างหนึ่งได้ ฉินอวี้โม่ก็ลอบสื่อสารกับปิงเสวียนผ่านช่องทางแห่งจิตวิญญาณ

‘รุ่นพี่ปิงเสวียน รุ่นพี่ได้รับผลจากพิษนักหนาแค่ไหน ?’

‘ไม่มากเท่าไหร่ แม้ว่าพลังในการต่อสู้จะลดลงไป แต่ข้าก็มั่นใจว่าอย่างน้อย ๆ ก็ยังใช้พลังได้เกือบเก้าส่วน’

ปิงเสวียนตอบกลับ แม้ว่าเขาจะได้รับผลจากพิษบ้างก็จริง แต่มันก็ไม่ได้นับว่าหนักหนา

ฉินอวี้โม่พยักหน้า ก่อนจะสื่อสารกับยอดฝีมือคนอื่นที่ยังคงยืนอยู่ได้ และคำตอบก็เป็นที่น่าพอใจ คนทั้งห้ายังคงพอจะใช้พลังได้ประมาณหกถึงเจ็ดส่วน นั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่าพวกเขายังพอจะต่อสู้ได้

เรื่องนี้ช่วยให้ฉินอวี้โม่โล่งใจไปได้มาก

ในตอนนี้ในบรรดาฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด คนที่รับมือได้ยากมากที่สุดก็คือลั่วเฉิน และถ้านับเฉพาะกลุ่มพันธมิตรจีหย่งก็มีเพียงจีหย่งกับปู้เฟยเทียนเท่านั้นที่รับมือยาก ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือยังไม่อยู่ในสายตาของฉินอวี้โม่

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากต้องต่อสู้เอาชีวิตรอดกันจริง ๆ และนางเรียกอสูรในสังกัดทั้งหมดออกมาก็ไม่น่าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ในช่วงหลายวันมานี้ความแข็งแกร่งของเหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่พัฒนาไปมาก เสี่ยวจิ่ว ม่อเสียและหลิวหยา อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดสามอันดับแรกของนางมีพลังพอจะต่อกรกับจอมยุทธ์มายาบรรพชนเก้าดาราได้

ส่วนหานอวี้แม้ว่ามันจะมีแรงกดดันที่ใช้ข่มพวกอสูรมายาตัวอื่นโดยเฉพาะเผ่ามังกรได้ แต่ข้อได้เปรียบทางสายเลือดนี้ไม่สามารถใช้ได้กับพวกมนุษย์ ดังนั้นหานอวี้ที่ยังเด็กมากจึงไม่น่าจะต่อกรกับจอมยุทธ์มายาบรรพชนดาราสูงได้

หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็ได้ข้อสรุปกว่าฝ่ายของนางน่าจะพลิกสถานการณ์ได้ แม้ว่าในตอนนี้คณะพันธมิตรทั้งหกกลุ่มจะดูเหมือนกำลังเสียเปรียบอยู่ แต่แท้จริงแล้วเรื่องการรับมือกับศัตรูตรงหน้า นางไม่จำเป็นต้องกลัวแม้แต่น้อย

“บอกมาว่าพวกเจ้าต้องการอะไร”

ปิงเสวียนเอ่ยถามอย่างเย็นชา น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่มั่นคง ไม่มีอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งโรงเรียนราชสำนักเคยผ่านศึกมานับไม่ถ้วน เหตุการณ์เพียงเท่านี้ไม่อาจสั่นคลอนจิตใจของเขาได้

“หึ ๆ ปิงเสวียน ข้าแค่ต้องการอันดับที่หนึ่งบนทำเนียบนภา ข้าอยู่ใต้บารมีของเจ้ามานานแล้ว เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกของข้าหรอก”

ลั่วเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง

อย่างไรก็ตาม ปิงเสวียนกลับไม่เชื่อถือวาจานั้นแม้แต่น้อย เขารู้จักลั่วเฉินมานาน ยิ่งกว่านั้นยังทราบถึงฝีมือของคนผู้นี้ดี หากคนผู้นี้อยากจะได้อันดับที่หนึ่งจริง ๆ เขาก็มีโอกาสตั้งมากมายที่จะทำได้ ไม่จำเป็นต้องใช้แผนการอย่างที่ทำอยู่เลยสักนิด และที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าลั่วเฉินไม่สามารถเอาชนะเขาได้สักครั้ง แต่เป็นเพราะคนลึกลับผู้นี้ไม่ยอมเอาชนะเขาเลยต่างหาก ทั้ง ๆ ที่มีพลังเพียงพอที่จะทำได้แต่กลับไม่ทำราวกับว่าจงใจทำให้ตัวเองได้ยืนอยู่ใต้เงาของเขา เรื่องนี้ปิงเสวียนสังเกตมานานแล้ว

“ส่วนจุดประสงค์ของจีหย่งก็ให้เจ้าตัวเขาพูดเอง”

ลั่วเฉินไม่ได้สนใจว่าปิงเสวียนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เขากล่าวขึ้นมาอย่างไม่แยแส ก่อนจะโยนเรื่องไปให้จีหย่งพูดแทน

“ฮ่า ๆ ๆ จุดประสงค์ของเราก็คือฉินอวี้โม่ เรื่องนี้มันชัดเจนอยู่แล้ว”

เป็นจีชางที่กล่าวออกมา บุรุษแซ่จีผู้น้องยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายพลางมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาแสนเหยียดหยาม

“อยากจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ ?”

ฉินอวี้โม่เลิกคิ้วเล็กน้อยพลางมองผู้ที่กำลังเอื้อนเอ่ยวาจาด้วยหางตา

“ใช่ ขอเพียงฆ่าเจ้าได้ ความแค้นทั้งหมดที่มีจะได้สะสางไปเสีย ยิ่งกว่านั้นหากฆ่าเจ้าที่นี่ก็จะไม่มีใครคิดว่าเป็นฝีมือพวกเรา ความตายของเจ้าเราจะโยนให้เป็นความผิดของมังกรเหมันต์ เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดจะเอาผิดเราได้”

ครานี้เป็นจีหย่งที่เปิดปาก เขาไม่คิดจะปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริง

“จีหย่งเจ้าโง่งมไปหรือไม่ พวกเรามีคนมากขนาดนี้ หากเจ้าฆ่าข้า แล้วจะใช้วิธีไหนหยุดคนอื่น ๆ ไม่ให้กล่าวโทษเจ้าตอนกลับไปที่โรงเรียน ?”

ทว่าฉินอวี้โม่กลับยิ้มออกมาพลางกล่าวโต้แย้ง

“หรือว่าเจ้าจะฆ่าทุกคนทิ้งเสียที่นี่เลย ?” คุณหนูสี่ตระกูลฉินกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าปัญหาเรื่องนี้รุ่นพี่ลั่วเฉินน่าจะรู้อยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่เขาไม่คิดจะบอกเจ้าเท่านั้นเอง”

จีหย่งชะงักไป พลันหันไปมองลั่วเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นน้องฉินอวี้โม่ อย่ามาใช้ลูกไม้ทำลายความสัมพันธ์อันดีของพวกเราดีกว่า ตอนนี้พวกเราคือพันธมิตรที่แน่นแฟ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็จะช่วยกันปกปิด”

ลั่วเฉินเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ส่วนวิธีที่จะปิดปากคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่ให้ทุกคนสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเท่านี้ก็หมดปัญหา ส่วนคนที่ไม่ยอมกล่าวคำสาบานพวกเราก็คงต้องยอมมือเปื้อนเลือดกันสักหน่อย”

ลั่วเฉินกล่าววาจาต่ำช้าออกไปอย่างไม่อำพราง ในที่สุดโฉมหน้าแท้จริงของบุรุษหล่อเหลาผู้อยู่ในอันดับสองแห่งทำเนียบนภาก็เผยออกมาแล้ว ที่ผ่านมาใบหน้าแสนสุภาพกับท่าทางมีไมตรีที่แสดงออกเป็นแค่หน้ากากที่ใช้หลอกลวงผู้คนเท่านั้น ตัวจริงของลั่วเฉินคือบุรุษชั่วร้ายที่พร้อมจะทำทุกอย่างทุกวิถีทางให้ตัวเองบรรลุวัตถุประสงค์

“หยุดละเมอแค่นั้นแหละ เจ้าคนสองหน้า !”

ทันใดนั้นเยว่ชิงเฉิงโพล่งวาจาด่าทอ “คิดหรือว่าพวกเราจะกลัวเจ้า อย่างมากก็แค่ตายเท่านั้น ถ้าเจ้าจะฆ่าสหายของข้า เจ้าต้องข้ามศพข้าไปก่อน !”

เสียงของเยว่ชิงเฉิงเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว นางเอ่ยถ้อยคำนั้นราวกับไม่ห่วงชีวิตของตัวเองแม้แต่น้อย ความตายก็เป็นเพียงความตายเท่านั้น จะช้าหรือเร็วไม่ว่าใครก็ล้วนต้องตายในสักวันหนึ่ง พวกนางไม่จำเป็นต้องกลัว

“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นน้องเยว่ชิงเฉิงช่างกล้าหาญยิ่งนัก ข้าไม่คิดเลยว่าสตรีที่กำลังจะตายจะยังปากกล้าได้ขนาดนี้”

เมื่อได้ยินวาจาของเยว่ชิงเฉิง ลั่วเฉินก็ยิ้มอย่างเลือดเย็น ในความคิดของสุภาพบุรุษจอมปลอมมีแต่ภาพของคนที่หวาดกลัวทางไปยมโลกทั้ง ๆ ที่คนเหล่านั้นก็ไม่เคยพบเห็น แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนกลัวตายกันทั้งนั้น นึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนที่มีความคิดดักดานว่าจะยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อนสหายอยู่อีกด้วย ‘หึ ๆ สตรีผู้นี้น่าสมเพชเหลือเกิน นางคงจะคิดว่าสหายจะยอมตายเพื่อตนเองด้วยล่ะสิ’

“คนอย่างเจ้าคงไม่เคยมีสหาย ไม่เคยมีคู่หู ไม่เคยรู้จักมิตรภาพเลยสินะถึงได้ไม่รู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีสิ่งดีงามอยู่อีกมาก”

เยว่ชิงเฉิงมองลั่วเฉินด้วยสายตาหยามเหยียด นางจับจ้องเขาตาเขม็ง เมื่อเห็นใบหน้าไม่ทุกข์ร้อนนั้นความโกรธแค้นก็ยิ่งทวีคูณขึ้นในหัวใจ เวลานี้นางโกรธจนแทบไม่อาจสรรหาคำด่าทอใดมาต่อว่าได้อีกแล้ว

“เอาล่ะ จีหย่ง อย่ามัวลังเลอยู่เลย ถ้าเจ้าไม่ฆ่าฉินอวี้โม่เสียตอนนี้ อีกไม่นานพวกนางก็จะขับพิษในร่างกายออกไปได้ สุดท้ายฝ่ายพวกเจ้าเองนั่นแหละที่จะตกที่นั่งลำบาก”

ลั่วเฉินทนฟังการเจรจาไร้สาระต่อไปไม่ไหว จึงหันไปเอ่ยกับจีหย่งเพื่อเร่งให้ลงมือ เพราะถ้ายังขืนมัวแต่โอ้เอ้ชักช้าก็จะหมดโอกาสทองนี้ไป

จีหย่งพยักหน้า ก่อนจะหันไปกล่าวกับผู้เป็นน้องชาย “ข้ามอบให้เจ้าเป็นคนลงมือ”

จีชางพยักหน้ารับในทันควันพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง วันนี้เขามีโอกาสได้ลงดาบสังหารสตรีที่เขาแค้นเคืองหนักหนาไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนี้เขาก็ไม่สนใจ เพราะนี่ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

จีชางย่างเท้าก้าวเข้าหาฉินอวี้โม่ช้า ๆ ขณะกำดาบในมือแน่น

ขณะเดียวกันจีหย่งและลั่วเฉินก็ทำหน้าคอยจับตาดูปิงเสวียนและเหล่ายอดฝีมือหัวกะทิของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้เพื่อไม่ให้คนเหล่านั้นเข้าไปขัดขวางได้

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ โชคดีของเจ้าแล้วที่ได้ตายด้วยมือข้า ถ้ามีโอกาสได้เกิดอีก ชาติหน้าก็จงใจจำใส่กะโหลกเอาไว้ด้วยว่า อย่าได้ทำตัวโอหังให้มันมากนัก !”

เมื่อเดินมาถึงจุดที่ฉินอวี้โม่อยู่ จีชางก็หัวเราะอย่างชั่วร้ายก่อนจะกล่าววาจาทิ้งท้าย แล้วใช้ดาบฟันเข้าใส่ หมายปิดฉากชีวิตของบุคคลผู้เป็นเสี้ยนหนามตำใจเขามานาน

แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่คมดาบกำลังจะเข้าถึงตัว แต่มุมปากของฉินอวี้โม่กลับมีรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏให้เห็น

ทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น ลางสังหรณ์อันเลวร้ายก็แล่นผ่านหัวใจของจีหย่งอย่างเฉียบพลัน

“ชางเอ๋อร์ ระวัง !”

จีหย่งส่งเสียงเตือนน้องชายดังลั่น ทว่าก็สายเกินไปแล้ว ดาบที่เคยฟาดฟันลงไปยังร่างบอบบางของฉินอวี้โม่ในตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไปอยู่ในมือของนาง ยิ่งไปกว่านั้นคมดาบยังพาดอยู่บนคอของจีชางอย่างน่าหวาดหวั่น

ช่างเป็นความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ แม้พวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์แต่ก็ไม่มีผู้ใดมองตามได้ทัน เพียงแค่เสี้ยวอึดใจชีวิตของผู้ที่กำลังทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตก็เปลี่ยนไปตกอยู่ในตำแหน่งของนักโทษที่กำลังจะถูกบั่นคอแทนเสียแล้ว

“จีชาง ถ้าเจ้าได้เกิดมาในชาติหน้าก็จำไว้ด้วยว่าอย่ามัวแต่ ‘พล่าม’ ให้มันมากนัก เพราะเวลาแค่เสี้ยวลมหายใจนั้นถือว่าล้ำค่ามาก สำหรับยอดฝีมือที่แท้จริงแล้วเวลาเพียงแค่นี้ก็ใช้พลิกสถานการณ์ได้ไม่ยาก”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเย็นชา ทั้งน้ำเสียงและแววตาเต็มไปด้วยเจตนาแห่งการสังหาร

ถ้าหากผู้ที่ลงมือคือจีหย่ง บางทีมันอาจจะไม่ง่ายดายขนาดนี้ แต่ครั้งนี้เพราะเป็นจีชาง ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ไม่ได้ดีเด่นอะไรนัก ที่สำคัญเขาเอาแต่คิดถึงเรื่องของตนเองจนไม่เคยมองสิ่งใดให้รอบด้าน กล่าวง่าย ๆ ก็คือคนผู้นี้ยังอ่อนด้อยด้านไหวพริบและสติปัญญา ฉินอวี้โม่จึงสามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างไม่ยากเย็นแม้แต่น้อย

“ฉินอวี้โม่ไม่ได้ถูกพิษ !”

เมื่อเห็นจีชางตกอยู่ในมือของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของจีหย่งก็บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด หากจะให้เปรียบเทียบ เขาคงจะเป็นบุรุษที่รักน้องชายมากที่สุดในแผ่นดิน ถ้าเกิดอุบัติเหตุอันน่าเศร้ากับชางเอ๋อร์ เขาก็คงได้แต่โทษตัวเองและไม่รู้จะกลับไปสู้หน้าบิดามารดาอย่างไร

“หึ พิษอ่อนหัดแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

ฉินอวี้โม่เอ่ยคำดูถูก “จีหย่ง ตอนนี้น้องชายของเจ้าอยู่ในมือข้าแล้ว ข้าสามารถเอาชีวิตของเขาได้ตลอดเวลา พี่ชายผู้แสนดี ลองคิดสิว่าจะทำอย่างไรดี ตอนนี้เจ้ายังอยากจะเอาชีวิตของข้าอยู่อีกหรือไม่ ?”

ที่ฉินอวี้โม่รออยู่นานก็คือโอกาส แม้ว่าถ้าต้องสู้กันอย่างเต็มกำลัง นางก็มั่นใจว่าฝ่ายของตนจะไม่เสียเปรียบ ทว่าหากเป็นเช่นนั้นก็คงหนีไม่พ้นจะต้องเกิดความเสียหายกันอย่างหนักทั้งสองฝ่ายเป็นแน่ ไม่มีผู้ใดอยากเห็นการห้ำหั่นกันจนเสียเลือดเนื้อระหว่างพี่น้องร่วมสถาบัน คุณหนูสี่ตระกูลฉินจึงตัดสินใจใช้วิธีการที่นุ่มนวลที่สุดสำหรับแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้

อันที่จริงก็คงต้องขอบคุณจีหย่ง การที่บุรุษแซ่จีผู้พี่มอบหน้าที่ในการสังหารนางให้จีชางถือว่าเป็นการมอบโอกาสทองมาให้นางใช้พลิกวิกฤตเลยทีเดียว ขอเพียงควบคุมตัวจีชางได้ จีหย่งก็จะไม่กล้าลงมือทำสิ่งใดแล้ว ผู้ที่รักน้องชายดั่งแก้วตาดวงใจอย่างเขาไม่มีทางบุ่มบ่ามทำเรื่องที่เสี่ยงต่อความเป็นความตายของผู้เป็นน้อง

“ลั่วเฉิน ไหนเจ้าบอกว่าพิษของเจ้าสมบูรณ์แบบอย่างไรเล่า ?!”

จีหย่งหันไปสาดสายตาอาฆาตเข้าใส่ลั่วเฉิน เวลานี้บุรุษแซ่จีกำลังเลือดขึ้นหน้าทว่ากลับไม่สามารถทำสิ่งใดฝ่ายของฉินอวี้โม่ได้ จีหย่งจึงหันไปกล่าวโทษว่าลั่วเฉินคือผู้ที่ทำให้น้องชายของเขาต้องตกอยู่ในอันตราย

“จีหย่ง เรื่องนี้เป็นเพราะเจ้าประมาทเกินไปที่ให้น้องชายอ่อนหัดของเจ้าลงมือ แล้วมาโยนความผิดให้พิษน้อย ๆ ที่ไร้ชีวิตจิตใจของข้าอย่างนั้นรึ หึ คนโง่ก็สมแล้วที่ทำแต่เรื่องโง่ ๆ”

ลั่วเฉินกล่าวตอบโต้ ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังคงประดับด้วยรอยยิ้มราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เขาทุกข์ร้อน เห็นชัดว่าเขาไม่ได้สนใจชีวิตของจีชางเลยแม้แต่น้อย

“พี่หย่งช่วยข้าด้วย !”

ความรู้สึกที่ถูกดาบคม ๆ เฉือนเนื้ออ่อน ๆ ตรงลำคอเช่นนี้แทบจะทำให้จีชางเป็นลมล้มพับไปได้ตลอดเวลา เขารู้สึกกลัวมาก ไม่รู้เลยว่าฉินอวี้โม่กำลังคิดสิ่งใดอยู่และนางจะตัดศีรษะของเขาตอนไหน บุรุษแซ่จีผู้น้องไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ยิ่งกว่านั้นพลังมายาในร่างกายของเขาก็ไม่สามารถใช้งานได้ มันทราบว่าทำได้อย่างไร แต่จีชางก็มั่นใจว่ามันถูกฉินอวี้โม่ผนึกเอาไว้อยู่

เมื่อทำสิ่งใดไม่ได้และยังไม่อยากตาย จีชางจึงตะโกนขอให้จีหย่งช่วย ผู้เป็นพี่ชายคือทางออกของทุกสิ่งทุกอย่างและทุกปัญหาในชีวิตแสนสุขสบายของเขาเสมอ

เมื่อจีหย่งได้ยินเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือของน้องชาย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ความเจ็บปวดและหวาดหวั่นเกาะกุมหัวใจของเขาจนหมดสิ้น พลันจีหย่งก็ตัดสินใจได้ เขารีบหันไปมองฉินอวี้โม่แล้วกล่าว

“ฉินอวี้โม่ ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะยอมปล่อยชางเอ๋อร์ ?”

“ง่ายมาก จีหย่งถ้าเจ้าอยากให้ข้าปล่อยน้องชายของเจ้า เจ้าก็ต้องเอายาถอนพิษมาแลก”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือถอนพิษให้ทุกคนก่อน

“พิษนี้เป็นของลั่วเฉิน แล้วข้าจะไปมียาถอนพิษได้ยังไง ?”

จีหย่งส่ายศีรษะ เขาไม่มียาถอนพิษจริง ๆ

“พวกเจ้าเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นไม่ใช่หรือ ถ้าเจ้าอยากช่วยชีวิตน้องชายก็รีบบอกให้พันธมิตรของเจ้าส่งยาถอนพิษมา !”

ฉินอวี้โม่โต้กลับ เหตุผลหนึ่งที่นางกล่าวออกไปเช่นนี้ก็เพราะต้องการจะหยั่งดูท่าทีของลั่วเฉินด้วย อดีตนักฆ่าสาวอยากจะแน่ใจในธาตุแท้ของคนผู้นี้ ที่สำคัญนางอยากจะรู้เป็นอย่างยิ่งว่าโฉมหน้าของบุรุษลึกลับผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาจะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ทุกคนคาดไม่ถึงแน่

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 165 สถานการณ์พลิกกลับ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 165 สถานการณ์พลิกกลับ

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ค่อย ๆ เข้ามาเกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ทุกคนต่างพยายามไหลเวียนพลังมายาเพื่อปรับสภาวะพลังภายในร่างกายไปพร้อมกับควบคุมการแพร่กระจายของพิษอย่างสุดความสามารถ

พิษร้ายของศัตรูแทรกซึมลงไปในร่างกายของทุกคนแล้วและเป็นผลทำให้พลังในการต่อสู้ของพวกเขาลดลงไปมาก เกรงว่าถ้าไม่รีบควบคุมพิษเอาไว้มันอาจจะส่งผลกระทบที่รุนแรงยิ่งขึ้น

เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ เรื่องการจะถูกคัดออกหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาที่พวกเขาต้องวิตกกังวลอีกต่อไปแล้ว เวลานี้ชัดเจนแล้วว่าสถานการณ์รวมถึงชะตากรรมของคนทั้งหมดกำลังตกอยู่ในมือภาคีพันธมิตรชั่วช้าของจีหย่งและลั่วเฉิน คนเลวทรามเหล่านี้สามารถทำอันตรายสมาชิกทุกคนในกลุ่มพันธมิตรของปิงเสวียนได้ตลอดเวลา

ในขณะที่เหล่าสหายกำลังตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดจากสิ่งที่ได้รับรู้และกำลังพยายามอย่างหนักหน่วงเพื่อควบคุมพิษในร่างกาย ฉินอวี้โม่เองก็ยังคงแสร้งทำทีคล้ายเจ็บปวดทรมานไปพร้อมกับคนอื่น ทว่าในหัวของนางกลับหมุนเร็วจี๋ คุณหนูสี่ตระกูลฉินกำลังคิดหาหนทางรับมือกับสภาวะวิกฤตในตอนนี้

ต้องบอกเลยว่าสถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายสำหรับคณะพันธมิตรฝั่งปิงเสวียนทั้งหกกลุ่มเป็นอย่างมาก

ในตอนนี้ นอกเหนือจากนางที่ไม่ได้ผลกระทบจากพิษแล้ว คนอื่นที่ยังคงพอจะยืนหยัดอยู่ต่อได้ก็มีเพียง ปิงเสวียน หลินซิวหยา เพ่ยหลง หลินหยวน และลั่วอวิ๋น ห้ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น

ส่วนคนอื่น ๆ ที่อ่อนแอกว่าล้วนลงไปนั่งพักอยู่บนพื้นกันหมด พวกเขาไม่อาจใช้พลังมายาได้ถึงหนึ่งในสิบส่วนเลยด้วยซ้ำ

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ เจ้าเก่งนักเก่งหนาไม่ใช่หรือ ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นลูกเจี๊ยบน้อยในกำมือของพวกเราไปได้เสียเล่า ?!”

จีชางมองฉินอวี้โม่พร้อมกล่าววาจาเย้ยหยันเสียงดัง

เมื่อเห็นสภาพของสตรีที่เขาชิงชังในตอนนี้ แน่นอนว่าจีชางคือหนึ่งในผู้ที่มีความสุขที่สุด

ในด้านของความแข็งแกร่ง เขาไม่อาจเทียบฉินอวี้โม่ได้เลย สตรีผู้นี้เหยียบย่ำเขาไม่ไว้หน้า ทั้งยังเป็นต้นเหตุให้ผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามเขา แม้ว่าถ้อยคำเยาะเย้ยของเขาจะไม่มีประโยชน์ใด ๆ แต่ที่ผ่านมาเขาอัดอั้นมานานแล้ว ในเมื่อมีโอกาสตอนนี้ก็ขอเอาคืนเสียบ้าง

ฉินอวี้โม่ไม่สนใจบุรุษไร้เหตุผลผู้นี้แม้แต่น้อย ถกเถียงกับคนผู้นี้ไปก็มีแต่เปลืองน้ำลายและเสียเวลาไปเปล่า ๆ สำหรับตอนนี้เวลาเป็นสิ่งมีค่ามาก นางจะต้องรีบคิดหาหนทางพลิกสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว

เมื่อนึกแผนการอย่างหนึ่งได้ ฉินอวี้โม่ก็ลอบสื่อสารกับปิงเสวียนผ่านช่องทางแห่งจิตวิญญาณ

‘รุ่นพี่ปิงเสวียน รุ่นพี่ได้รับผลจากพิษนักหนาแค่ไหน ?’

‘ไม่มากเท่าไหร่ แม้ว่าพลังในการต่อสู้จะลดลงไป แต่ข้าก็มั่นใจว่าอย่างน้อย ๆ ก็ยังใช้พลังได้เกือบเก้าส่วน’

ปิงเสวียนตอบกลับ แม้ว่าเขาจะได้รับผลจากพิษบ้างก็จริง แต่มันก็ไม่ได้นับว่าหนักหนา

ฉินอวี้โม่พยักหน้า ก่อนจะสื่อสารกับยอดฝีมือคนอื่นที่ยังคงยืนอยู่ได้ และคำตอบก็เป็นที่น่าพอใจ คนทั้งห้ายังคงพอจะใช้พลังได้ประมาณหกถึงเจ็ดส่วน นั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่าพวกเขายังพอจะต่อสู้ได้

เรื่องนี้ช่วยให้ฉินอวี้โม่โล่งใจไปได้มาก

ในตอนนี้ในบรรดาฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด คนที่รับมือได้ยากมากที่สุดก็คือลั่วเฉิน และถ้านับเฉพาะกลุ่มพันธมิตรจีหย่งก็มีเพียงจีหย่งกับปู้เฟยเทียนเท่านั้นที่รับมือยาก ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือยังไม่อยู่ในสายตาของฉินอวี้โม่

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากต้องต่อสู้เอาชีวิตรอดกันจริง ๆ และนางเรียกอสูรในสังกัดทั้งหมดออกมาก็ไม่น่าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ในช่วงหลายวันมานี้ความแข็งแกร่งของเหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่พัฒนาไปมาก เสี่ยวจิ่ว ม่อเสียและหลิวหยา อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดสามอันดับแรกของนางมีพลังพอจะต่อกรกับจอมยุทธ์มายาบรรพชนเก้าดาราได้

ส่วนหานอวี้แม้ว่ามันจะมีแรงกดดันที่ใช้ข่มพวกอสูรมายาตัวอื่นโดยเฉพาะเผ่ามังกรได้ แต่ข้อได้เปรียบทางสายเลือดนี้ไม่สามารถใช้ได้กับพวกมนุษย์ ดังนั้นหานอวี้ที่ยังเด็กมากจึงไม่น่าจะต่อกรกับจอมยุทธ์มายาบรรพชนดาราสูงได้

หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็ได้ข้อสรุปกว่าฝ่ายของนางน่าจะพลิกสถานการณ์ได้ แม้ว่าในตอนนี้คณะพันธมิตรทั้งหกกลุ่มจะดูเหมือนกำลังเสียเปรียบอยู่ แต่แท้จริงแล้วเรื่องการรับมือกับศัตรูตรงหน้า นางไม่จำเป็นต้องกลัวแม้แต่น้อย

“บอกมาว่าพวกเจ้าต้องการอะไร”

ปิงเสวียนเอ่ยถามอย่างเย็นชา น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่มั่นคง ไม่มีอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งโรงเรียนราชสำนักเคยผ่านศึกมานับไม่ถ้วน เหตุการณ์เพียงเท่านี้ไม่อาจสั่นคลอนจิตใจของเขาได้

“หึ ๆ ปิงเสวียน ข้าแค่ต้องการอันดับที่หนึ่งบนทำเนียบนภา ข้าอยู่ใต้บารมีของเจ้ามานานแล้ว เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกของข้าหรอก”

ลั่วเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง

อย่างไรก็ตาม ปิงเสวียนกลับไม่เชื่อถือวาจานั้นแม้แต่น้อย เขารู้จักลั่วเฉินมานาน ยิ่งกว่านั้นยังทราบถึงฝีมือของคนผู้นี้ดี หากคนผู้นี้อยากจะได้อันดับที่หนึ่งจริง ๆ เขาก็มีโอกาสตั้งมากมายที่จะทำได้ ไม่จำเป็นต้องใช้แผนการอย่างที่ทำอยู่เลยสักนิด และที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าลั่วเฉินไม่สามารถเอาชนะเขาได้สักครั้ง แต่เป็นเพราะคนลึกลับผู้นี้ไม่ยอมเอาชนะเขาเลยต่างหาก ทั้ง ๆ ที่มีพลังเพียงพอที่จะทำได้แต่กลับไม่ทำราวกับว่าจงใจทำให้ตัวเองได้ยืนอยู่ใต้เงาของเขา เรื่องนี้ปิงเสวียนสังเกตมานานแล้ว

“ส่วนจุดประสงค์ของจีหย่งก็ให้เจ้าตัวเขาพูดเอง”

ลั่วเฉินไม่ได้สนใจว่าปิงเสวียนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เขากล่าวขึ้นมาอย่างไม่แยแส ก่อนจะโยนเรื่องไปให้จีหย่งพูดแทน

“ฮ่า ๆ ๆ จุดประสงค์ของเราก็คือฉินอวี้โม่ เรื่องนี้มันชัดเจนอยู่แล้ว”

เป็นจีชางที่กล่าวออกมา บุรุษแซ่จีผู้น้องยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายพลางมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาแสนเหยียดหยาม

“อยากจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ ?”

ฉินอวี้โม่เลิกคิ้วเล็กน้อยพลางมองผู้ที่กำลังเอื้อนเอ่ยวาจาด้วยหางตา

“ใช่ ขอเพียงฆ่าเจ้าได้ ความแค้นทั้งหมดที่มีจะได้สะสางไปเสีย ยิ่งกว่านั้นหากฆ่าเจ้าที่นี่ก็จะไม่มีใครคิดว่าเป็นฝีมือพวกเรา ความตายของเจ้าเราจะโยนให้เป็นความผิดของมังกรเหมันต์ เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดจะเอาผิดเราได้”

ครานี้เป็นจีหย่งที่เปิดปาก เขาไม่คิดจะปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริง

“จีหย่งเจ้าโง่งมไปหรือไม่ พวกเรามีคนมากขนาดนี้ หากเจ้าฆ่าข้า แล้วจะใช้วิธีไหนหยุดคนอื่น ๆ ไม่ให้กล่าวโทษเจ้าตอนกลับไปที่โรงเรียน ?”

ทว่าฉินอวี้โม่กลับยิ้มออกมาพลางกล่าวโต้แย้ง

“หรือว่าเจ้าจะฆ่าทุกคนทิ้งเสียที่นี่เลย ?” คุณหนูสี่ตระกูลฉินกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าปัญหาเรื่องนี้รุ่นพี่ลั่วเฉินน่าจะรู้อยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่เขาไม่คิดจะบอกเจ้าเท่านั้นเอง”

จีหย่งชะงักไป พลันหันไปมองลั่วเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นน้องฉินอวี้โม่ อย่ามาใช้ลูกไม้ทำลายความสัมพันธ์อันดีของพวกเราดีกว่า ตอนนี้พวกเราคือพันธมิตรที่แน่นแฟ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็จะช่วยกันปกปิด”

ลั่วเฉินเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ส่วนวิธีที่จะปิดปากคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่ให้ทุกคนสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเท่านี้ก็หมดปัญหา ส่วนคนที่ไม่ยอมกล่าวคำสาบานพวกเราก็คงต้องยอมมือเปื้อนเลือดกันสักหน่อย”

ลั่วเฉินกล่าววาจาต่ำช้าออกไปอย่างไม่อำพราง ในที่สุดโฉมหน้าแท้จริงของบุรุษหล่อเหลาผู้อยู่ในอันดับสองแห่งทำเนียบนภาก็เผยออกมาแล้ว ที่ผ่านมาใบหน้าแสนสุภาพกับท่าทางมีไมตรีที่แสดงออกเป็นแค่หน้ากากที่ใช้หลอกลวงผู้คนเท่านั้น ตัวจริงของลั่วเฉินคือบุรุษชั่วร้ายที่พร้อมจะทำทุกอย่างทุกวิถีทางให้ตัวเองบรรลุวัตถุประสงค์

“หยุดละเมอแค่นั้นแหละ เจ้าคนสองหน้า !”

ทันใดนั้นเยว่ชิงเฉิงโพล่งวาจาด่าทอ “คิดหรือว่าพวกเราจะกลัวเจ้า อย่างมากก็แค่ตายเท่านั้น ถ้าเจ้าจะฆ่าสหายของข้า เจ้าต้องข้ามศพข้าไปก่อน !”

เสียงของเยว่ชิงเฉิงเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว นางเอ่ยถ้อยคำนั้นราวกับไม่ห่วงชีวิตของตัวเองแม้แต่น้อย ความตายก็เป็นเพียงความตายเท่านั้น จะช้าหรือเร็วไม่ว่าใครก็ล้วนต้องตายในสักวันหนึ่ง พวกนางไม่จำเป็นต้องกลัว

“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นน้องเยว่ชิงเฉิงช่างกล้าหาญยิ่งนัก ข้าไม่คิดเลยว่าสตรีที่กำลังจะตายจะยังปากกล้าได้ขนาดนี้”

เมื่อได้ยินวาจาของเยว่ชิงเฉิง ลั่วเฉินก็ยิ้มอย่างเลือดเย็น ในความคิดของสุภาพบุรุษจอมปลอมมีแต่ภาพของคนที่หวาดกลัวทางไปยมโลกทั้ง ๆ ที่คนเหล่านั้นก็ไม่เคยพบเห็น แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนกลัวตายกันทั้งนั้น นึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนที่มีความคิดดักดานว่าจะยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อนสหายอยู่อีกด้วย ‘หึ ๆ สตรีผู้นี้น่าสมเพชเหลือเกิน นางคงจะคิดว่าสหายจะยอมตายเพื่อตนเองด้วยล่ะสิ’

“คนอย่างเจ้าคงไม่เคยมีสหาย ไม่เคยมีคู่หู ไม่เคยรู้จักมิตรภาพเลยสินะถึงได้ไม่รู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีสิ่งดีงามอยู่อีกมาก”

เยว่ชิงเฉิงมองลั่วเฉินด้วยสายตาหยามเหยียด นางจับจ้องเขาตาเขม็ง เมื่อเห็นใบหน้าไม่ทุกข์ร้อนนั้นความโกรธแค้นก็ยิ่งทวีคูณขึ้นในหัวใจ เวลานี้นางโกรธจนแทบไม่อาจสรรหาคำด่าทอใดมาต่อว่าได้อีกแล้ว

“เอาล่ะ จีหย่ง อย่ามัวลังเลอยู่เลย ถ้าเจ้าไม่ฆ่าฉินอวี้โม่เสียตอนนี้ อีกไม่นานพวกนางก็จะขับพิษในร่างกายออกไปได้ สุดท้ายฝ่ายพวกเจ้าเองนั่นแหละที่จะตกที่นั่งลำบาก”

ลั่วเฉินทนฟังการเจรจาไร้สาระต่อไปไม่ไหว จึงหันไปเอ่ยกับจีหย่งเพื่อเร่งให้ลงมือ เพราะถ้ายังขืนมัวแต่โอ้เอ้ชักช้าก็จะหมดโอกาสทองนี้ไป

จีหย่งพยักหน้า ก่อนจะหันไปกล่าวกับผู้เป็นน้องชาย “ข้ามอบให้เจ้าเป็นคนลงมือ”

จีชางพยักหน้ารับในทันควันพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง วันนี้เขามีโอกาสได้ลงดาบสังหารสตรีที่เขาแค้นเคืองหนักหนาไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนี้เขาก็ไม่สนใจ เพราะนี่ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

จีชางย่างเท้าก้าวเข้าหาฉินอวี้โม่ช้า ๆ ขณะกำดาบในมือแน่น

ขณะเดียวกันจีหย่งและลั่วเฉินก็ทำหน้าคอยจับตาดูปิงเสวียนและเหล่ายอดฝีมือหัวกะทิของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้เพื่อไม่ให้คนเหล่านั้นเข้าไปขัดขวางได้

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ โชคดีของเจ้าแล้วที่ได้ตายด้วยมือข้า ถ้ามีโอกาสได้เกิดอีก ชาติหน้าก็จงใจจำใส่กะโหลกเอาไว้ด้วยว่า อย่าได้ทำตัวโอหังให้มันมากนัก !”

เมื่อเดินมาถึงจุดที่ฉินอวี้โม่อยู่ จีชางก็หัวเราะอย่างชั่วร้ายก่อนจะกล่าววาจาทิ้งท้าย แล้วใช้ดาบฟันเข้าใส่ หมายปิดฉากชีวิตของบุคคลผู้เป็นเสี้ยนหนามตำใจเขามานาน

แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่คมดาบกำลังจะเข้าถึงตัว แต่มุมปากของฉินอวี้โม่กลับมีรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏให้เห็น

ทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น ลางสังหรณ์อันเลวร้ายก็แล่นผ่านหัวใจของจีหย่งอย่างเฉียบพลัน

“ชางเอ๋อร์ ระวัง !”

จีหย่งส่งเสียงเตือนน้องชายดังลั่น ทว่าก็สายเกินไปแล้ว ดาบที่เคยฟาดฟันลงไปยังร่างบอบบางของฉินอวี้โม่ในตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไปอยู่ในมือของนาง ยิ่งไปกว่านั้นคมดาบยังพาดอยู่บนคอของจีชางอย่างน่าหวาดหวั่น

ช่างเป็นความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ แม้พวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์แต่ก็ไม่มีผู้ใดมองตามได้ทัน เพียงแค่เสี้ยวอึดใจชีวิตของผู้ที่กำลังทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตก็เปลี่ยนไปตกอยู่ในตำแหน่งของนักโทษที่กำลังจะถูกบั่นคอแทนเสียแล้ว

“จีชาง ถ้าเจ้าได้เกิดมาในชาติหน้าก็จำไว้ด้วยว่าอย่ามัวแต่ ‘พล่าม’ ให้มันมากนัก เพราะเวลาแค่เสี้ยวลมหายใจนั้นถือว่าล้ำค่ามาก สำหรับยอดฝีมือที่แท้จริงแล้วเวลาเพียงแค่นี้ก็ใช้พลิกสถานการณ์ได้ไม่ยาก”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเย็นชา ทั้งน้ำเสียงและแววตาเต็มไปด้วยเจตนาแห่งการสังหาร

ถ้าหากผู้ที่ลงมือคือจีหย่ง บางทีมันอาจจะไม่ง่ายดายขนาดนี้ แต่ครั้งนี้เพราะเป็นจีชาง ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ไม่ได้ดีเด่นอะไรนัก ที่สำคัญเขาเอาแต่คิดถึงเรื่องของตนเองจนไม่เคยมองสิ่งใดให้รอบด้าน กล่าวง่าย ๆ ก็คือคนผู้นี้ยังอ่อนด้อยด้านไหวพริบและสติปัญญา ฉินอวี้โม่จึงสามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างไม่ยากเย็นแม้แต่น้อย

“ฉินอวี้โม่ไม่ได้ถูกพิษ !”

เมื่อเห็นจีชางตกอยู่ในมือของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของจีหย่งก็บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด หากจะให้เปรียบเทียบ เขาคงจะเป็นบุรุษที่รักน้องชายมากที่สุดในแผ่นดิน ถ้าเกิดอุบัติเหตุอันน่าเศร้ากับชางเอ๋อร์ เขาก็คงได้แต่โทษตัวเองและไม่รู้จะกลับไปสู้หน้าบิดามารดาอย่างไร

“หึ พิษอ่อนหัดแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

ฉินอวี้โม่เอ่ยคำดูถูก “จีหย่ง ตอนนี้น้องชายของเจ้าอยู่ในมือข้าแล้ว ข้าสามารถเอาชีวิตของเขาได้ตลอดเวลา พี่ชายผู้แสนดี ลองคิดสิว่าจะทำอย่างไรดี ตอนนี้เจ้ายังอยากจะเอาชีวิตของข้าอยู่อีกหรือไม่ ?”

ที่ฉินอวี้โม่รออยู่นานก็คือโอกาส แม้ว่าถ้าต้องสู้กันอย่างเต็มกำลัง นางก็มั่นใจว่าฝ่ายของตนจะไม่เสียเปรียบ ทว่าหากเป็นเช่นนั้นก็คงหนีไม่พ้นจะต้องเกิดความเสียหายกันอย่างหนักทั้งสองฝ่ายเป็นแน่ ไม่มีผู้ใดอยากเห็นการห้ำหั่นกันจนเสียเลือดเนื้อระหว่างพี่น้องร่วมสถาบัน คุณหนูสี่ตระกูลฉินจึงตัดสินใจใช้วิธีการที่นุ่มนวลที่สุดสำหรับแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้

อันที่จริงก็คงต้องขอบคุณจีหย่ง การที่บุรุษแซ่จีผู้พี่มอบหน้าที่ในการสังหารนางให้จีชางถือว่าเป็นการมอบโอกาสทองมาให้นางใช้พลิกวิกฤตเลยทีเดียว ขอเพียงควบคุมตัวจีชางได้ จีหย่งก็จะไม่กล้าลงมือทำสิ่งใดแล้ว ผู้ที่รักน้องชายดั่งแก้วตาดวงใจอย่างเขาไม่มีทางบุ่มบ่ามทำเรื่องที่เสี่ยงต่อความเป็นความตายของผู้เป็นน้อง

“ลั่วเฉิน ไหนเจ้าบอกว่าพิษของเจ้าสมบูรณ์แบบอย่างไรเล่า ?!”

จีหย่งหันไปสาดสายตาอาฆาตเข้าใส่ลั่วเฉิน เวลานี้บุรุษแซ่จีกำลังเลือดขึ้นหน้าทว่ากลับไม่สามารถทำสิ่งใดฝ่ายของฉินอวี้โม่ได้ จีหย่งจึงหันไปกล่าวโทษว่าลั่วเฉินคือผู้ที่ทำให้น้องชายของเขาต้องตกอยู่ในอันตราย

“จีหย่ง เรื่องนี้เป็นเพราะเจ้าประมาทเกินไปที่ให้น้องชายอ่อนหัดของเจ้าลงมือ แล้วมาโยนความผิดให้พิษน้อย ๆ ที่ไร้ชีวิตจิตใจของข้าอย่างนั้นรึ หึ คนโง่ก็สมแล้วที่ทำแต่เรื่องโง่ ๆ”

ลั่วเฉินกล่าวตอบโต้ ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังคงประดับด้วยรอยยิ้มราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เขาทุกข์ร้อน เห็นชัดว่าเขาไม่ได้สนใจชีวิตของจีชางเลยแม้แต่น้อย

“พี่หย่งช่วยข้าด้วย !”

ความรู้สึกที่ถูกดาบคม ๆ เฉือนเนื้ออ่อน ๆ ตรงลำคอเช่นนี้แทบจะทำให้จีชางเป็นลมล้มพับไปได้ตลอดเวลา เขารู้สึกกลัวมาก ไม่รู้เลยว่าฉินอวี้โม่กำลังคิดสิ่งใดอยู่และนางจะตัดศีรษะของเขาตอนไหน บุรุษแซ่จีผู้น้องไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ยิ่งกว่านั้นพลังมายาในร่างกายของเขาก็ไม่สามารถใช้งานได้ มันทราบว่าทำได้อย่างไร แต่จีชางก็มั่นใจว่ามันถูกฉินอวี้โม่ผนึกเอาไว้อยู่

เมื่อทำสิ่งใดไม่ได้และยังไม่อยากตาย จีชางจึงตะโกนขอให้จีหย่งช่วย ผู้เป็นพี่ชายคือทางออกของทุกสิ่งทุกอย่างและทุกปัญหาในชีวิตแสนสุขสบายของเขาเสมอ

เมื่อจีหย่งได้ยินเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือของน้องชาย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ความเจ็บปวดและหวาดหวั่นเกาะกุมหัวใจของเขาจนหมดสิ้น พลันจีหย่งก็ตัดสินใจได้ เขารีบหันไปมองฉินอวี้โม่แล้วกล่าว

“ฉินอวี้โม่ ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะยอมปล่อยชางเอ๋อร์ ?”

“ง่ายมาก จีหย่งถ้าเจ้าอยากให้ข้าปล่อยน้องชายของเจ้า เจ้าก็ต้องเอายาถอนพิษมาแลก”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือถอนพิษให้ทุกคนก่อน

“พิษนี้เป็นของลั่วเฉิน แล้วข้าจะไปมียาถอนพิษได้ยังไง ?”

จีหย่งส่ายศีรษะ เขาไม่มียาถอนพิษจริง ๆ

“พวกเจ้าเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นไม่ใช่หรือ ถ้าเจ้าอยากช่วยชีวิตน้องชายก็รีบบอกให้พันธมิตรของเจ้าส่งยาถอนพิษมา !”

ฉินอวี้โม่โต้กลับ เหตุผลหนึ่งที่นางกล่าวออกไปเช่นนี้ก็เพราะต้องการจะหยั่งดูท่าทีของลั่วเฉินด้วย อดีตนักฆ่าสาวอยากจะแน่ใจในธาตุแท้ของคนผู้นี้ ที่สำคัญนางอยากจะรู้เป็นอย่างยิ่งว่าโฉมหน้าของบุรุษลึกลับผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาจะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ทุกคนคาดไม่ถึงแน่

.

Options

not work with dark mode
Reset