คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 168 ชื่อเสียง

หลังจากกลุ่มนักเรียนผู้เข้าแข่งขันศึกประชันยุทธ์ทั้งหกตกลงใจปักหลักอยู่ภายในปราสาทเหมันต์ได้ไม่นานนัก ในที่สุดเสียงประกาศจากทางโรงเรียนราชสำนักก็ดังขึ้น

“นักเรียนที่รักทุกคน ขณะนี้กลุ่มจีหย่งถูกตัดสินออกจากการแข่งขัน !”

“นักเรียนที่รักทุกคน ขณะนี้กลุ่มจีชางถูกตัดสินออกจากการแข่งขัน !”

“นักเรียนที่รักทุกคน ขณะนี้กลุ่มปู้เฟยเทียนถูกตัดสินออกจากการแข่งขัน !”

ทว่าก็ไม่มีผู้ใดนึกประหลาดกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงอย่างไรการเผชิญหน้ากับคนที่แข็งแกร่งอย่างลั่วเฉินไม่ต้องกล่าวถึงพวกจีหย่งเลย ต่อให้เป็นพวกฉินอวี้โม่ก็ยังไม่แน่ว่าจะจับตัวคนกลุ่มนั้นได้

ยิ่งกว่านั้นป่าเหมันต์ก็กว้างใหญ่ไพศาล การจะตามหาคนเพียงห้าคนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว

“บัดซบ !”

จีหย่งสบถออกมา ในตอนนี้เขาและคนอื่น ๆ ได้ถูกส่งกลับมาภายในพื้นที่ของโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของแต่ละคนบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด ไม่คิดเลยว่าจะถูกลั่วเฉินหักหลังอย่างเจ็บแสบขนาดนี้ ซึ่งผู้ที่รู้สึกแค้นเคืองมากที่สุดก็คือจีหย่งเพราะนอกจากจะเสียตำแหน่งชนะเลิศไปแล้ว ตัวเขาเองยังถูกฉินอวี้โม่ปล้นเอาแหวนมิติไปด้วย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ บุรุษผู้ครองอันดับที่สามแห่งทำเนียบนภาก็โกรธแค้นจนแทบจะกระอักเลือดออกมา

“พี่ใหญ่ ตกลงมันยังไงกันแน่ เหตุใดผลเยือกมณีถึงไปอยู่ในมือพวกพันธมิตรของฉินอวี้โม่ได้ล่ะ ?”

จีชางเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด ในตอนที่พวกเขากำลังไล่ล่าลั่วเฉินอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของโรงเรียนประกาศว่าผลเยือกมณีตกไปอยู่ในมือของกลุ่มเพ่ยหลงสตรีที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศตัวเป็นศัตรูกับพวกเขาเพื่อช่วยเหลือฉินอวี้โม่ ก่อนจะตกไปอยู่ในมือของสตรีที่ชื่อเยว่ชิงเฉิงผู้เป็นหนึ่งในสหายสนิทของฉินอวี้โม่

อย่างไรก็ตามแม้จะได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เพราะเวลาสำหรับการชิงแผ่นป้ายของตนกลับคืนมาจากลั่วเฉินจวนเจียนจะหมดลงเต็มที ขณะที่พวกเขายังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนทรยศผู้นั้น

ในท้ายที่สุด แม้จะเร่งสะกดรอยตามลั่วเฉินและสหายออกมาไกลเพียงใดก็ไม่อาจพบเจอ และเมื่อเวลาหมดลงพวกเขาจึงต้องมานั่งเจ็บช้ำกันเช่นนี้

“หรือว่าไอ้คนบัดซบลั่วเฉินนั่นมันร่วมมือกับพวกปิงเสวียนตั้งแต่แรกแล้ว ?”

ปู้เฟยเทียนนึกขึ้นได้ ใบหน้าของเขาเจือความแตกตื่น ถ้าหากลั่วเฉินและกลุ่มพันธมิตรฉินอวี้โม่เป็นพวกเดียวกันจริง ๆ นั่นก็เท่ากันว่ากลุ่มของพวกเขาถูกต้มครั้งใหญ่ เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้สีหน้าของกลุ่มพันธมิตรจีหย่งทั้งหมดก็ปั้นยากถึงขีดสุด

“ไม่ต้องไปคิดให้มันปวดหัว รอให้ทางโรงเรียนประกาศผลลัพธ์เสียก่อน เดี๋ยวเราก็จะเข้าใจทุกอย่างเองนั่นแหละ !”

จีหย่งกดฟันกล่าว แม้ว่าจะรู้สึกไม่ยินยอมมากเพียงใด แต่เขาก็จนใจ ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแต่ต้องยอมรับโชคชะตาเท่านั้น

จีชางและคนอื่น ๆ พยักหน้ารับ ใบหน้าของแต่ละคนราวกับถูกบังคับให้กลืนยาขมทั้งหม้อ พวกเขาที่เคยเป็นว่าที่ผู้ชนะกลับพ่ายแพ้หมดท่า ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดโชคชะตาถึงได้กลั่นแกล้งกันถึงเพียงนี้

ในขณะเดียวกันสถานการณ์ภายในปราสาทเหมันต์ก็ค่อนข้างสงบนิ่ง หลายวันมานี้สมาชิกแห่งคณะพันธมิตรทั้งหกอยู่แต่เพียงในปราสาท ไม่มีผู้ใดมีความคิดที่จะไปออกตามหากลุ่มลั่วเฉิน พวกเขาต่างก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ฟื้นฟูร่างกายและฝึกฝนพลังเพื่อเตรียมความพร้อม ทั้งสามสิบคนกำลังรอให้เวลาในการแข่งขันสิ้นสุด

หลายวันมานี้ มังกรเหมันต์เองก็ไม่ได้กลับมาปรากฏตัวให้เห็น ทางด้านลั่วเฉินก็หายเงียบไปเลย ทุกอย่างเงียบสงบเป็นอย่างมาก

ในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อการแข่งขันจบลงในรุ่งเช้าวันหนึ่ง แสงสว่างเรืองรองที่มีลักษณะคล้ายกับแสงที่ส่งพวกเขามายังป่าเหมันต์แห่งนี้ก็ปรากฏขึ้นห่อหุ้มร่างของทุกคนไว้ก่อนจะเคลื่อนย้ายพวกเขากลับไปในโรงเรียน

เมื่อแสงค่อย ๆ จางลง นักเรียนทั้งสามสิบคนก็ค้นพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในจัตุรัสกลางของโรงเรียนราชสำนัก

ทันทีที่ได้เห็นสภาพแวดล้อมอันคุ้นตาพร้อมกับเห็นเพื่อนนักเรียนที่คุ้นหน้า ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็อมยิ้มน้อย ๆ อย่างสุขใจ

ในเวลานั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ขอแสดงความยินดีกับกลุ่มเยว่ชิงเฉิงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งในการแข่งขันประเภทหมู่คณะ ทันทีที่ส่งผลเยือกมณีให้ท่านอธิการโรงเรียน ผู้ชนะจะได้รับรางวัลชนะเลิศ”

“ขอแสดงความยินดีกับกลุ่มเยว่ชิงเฉิงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งในการแข่งขันประเภทหมู่คณะ ทันทีที่ส่งผลเยือกมณีให้ท่านอธิการโรงเรียน ผู้ชนะจะได้รับรางวัลชนะเลิศ”

“ขอแสดงความยินดีกับกลุ่มเยว่ชิงเฉิงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งในการแข่งขันประเภทหมู่คณะ ทันทีที่ส่งผลเยือกมณีให้ท่านอธิการโรงเรียน ผู้ชนะจะได้รับรางวัลชนะเลิศ”

เสียงประกาศแสดงความยินดีดังก้องไปทั่วโรงเรียนถึงสามครั้งซ้อนเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณของผู้ชนะการแข่งขัน ซึ่งนี่นับเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับกลุ่มของเยว่ชิงเฉิงเป็นอย่างมาก

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าข้าจะมีวันนี้”

เยว่ชิงเฉิงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ นางไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะมีวันที่น่าภาคภูมิใจเหมือนอย่างวันนี้

“ต้องขอบคุณฉินอวี้โม่และรุ่นพี่ทั้งหลาย ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนพวกเราคงทำไม่ได้ แม้แต่จะติดอันดับดี ๆ ก็ยังไม่ต้องพูดถึง”

โอวหยางชิงเฟิงกล่าวขอบคุณทุกคนด้วยรอยยิ้ม ในวันนี้กลุ่มของเขาได้รับเกียรติและชื่อเสียงที่เรียกได้ว่ามากมายมหาศาล ต่อไปนี้ชื่อของพวกเขาจะกลายเป็นที่จดจำและได้มีโอกาสขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าของนักเรียนทั้งหมดในโรงเรียน นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อแต่ก็เป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกพิเศษมากจริง ๆ

และความคิดของคุณชายตระกูลโอวหยางก็ไม่ผิดแม้แต่น้อย เพราะนักเรียนคนอื่น ๆ ต่างก็อยากรู้จักตัวตนของผู้ชนะ นับจากวันนั้นอัตชีวะประวัติโดยย่อของสมาชิกกลุ่มเยว่ชิงเฉิงทั้งห้าจึงถูกเล่าต่อ ๆ กันไปทั่วทั้งโรงเรียน และชื่อของพวกเขาก็กลายเป็นที่รู้จักภายในเวลาไม่นาน

เมื่อได้ยินคำขอบคุณอย่างจริงใจ ฉินอวี้โม่และเหล่านักเรียนแนวหน้าทั้งหลายก็ยิ้มกว้างก่อนจะพากันเข้าไปแสดงความยินดีกับสมาชิกในกลุ่มของเยว่ชิงเฉิง

“อะแฮ่ม”

ไม่ทราบว่าทำได้อย่างไรแต่ภายในชั่วพริบตา อธิการมู่อวิ๋น เหล่าผู้อาวุโสของโรงเรียน รวมถึงบรรดาอาจารย์ทั้งหลายก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที

“ฮ่า ๆ ๆ วันนี้ข้ารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม ในที่สุดการแข่งขันประเภทหมู่คณะก็จบลงเป็นที่เรียบร้อยและเราก็ได้ผู้ชนะที่ได้ผลเยือกมณีมา ข้าขอชมเชยทุกคนที่พยายามอย่างหนัก และขอแสดงความยินดีกับกลุ่มผู้ชนะด้วย”

มู๋อวิ๋นยิ้มกว้าง ผลลัพธ์ในการแข่งขันครั้งนี้เหนือการคาดการณ์ของเขามาก

เดิมทีเขาคิดว่ากลุ่มที่จะชนะก็น่าจะเป็นกลุ่มของปิงเสวียน ลั่วเฉิน หรือไม่ก็กลุ่มของนักเรียนหัวกะทิคนอื่น ๆ ไม่คิดเลยว่าผู้ชนะจะเป็นม้ามืดที่เป็นนักเรียนใหม่ทั้งหมดเช่นนี้

แม้ว่าทุกคนในกลุ่มจะถือเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่งในหมู่นักเรียนใหม่ แต่การจะก้าวขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าของโรงเรียนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องนี้นอกจากความสามารถแล้ว ยังต้องพึ่งพาโชควาสนาด้วยส่วนหนึ่ง

“เอาล่ะ กลุ่มเยว่ชิงเฉิงขึ้นมาได้ มอบผลเยือกมณีให้ข้า แล้วข้าจะมอบรางวัลให้กับพวกเจ้า”

มู่อวิ๋นยิ้มพลางส่งสัญญาณให้กลุ่มผู้ชนะขึ้นมาบนเวที

เยว่ชิงเฉิงและสหายทั้งสี่ก้าวขึ้นไปยืนข้างกายท่านอธิการ ก่อนที่คุณหนูตระกูลเยว่จะหยิบผลเยือกมณีออกมาจากแหวนมิติแล้วส่งมอบให้ผู้มีตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียนอย่างนอบน้อม

“ฮ่า ๆ ๆ ผลเยือกมณีนี้สำคัญสำหรับโรงเรียนราชสำนักของพวกเรามาก ข้าอยากจะขอบคุณพวกเจ้าจากใจจริงที่เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปนำมันกลับมา”

มู่อวิ๋นหัวเราะร่า ท่าทางดีใจที่ฉายชัดอยู่ทั้งในดวงตาและใบหน้านั้นราวกับได้รับสิ่งที่ตามหามานานแสนนาน ดูเหมือนว่าผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้จะมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของโรงเรียนไม่น้อยเลย

“ท่านอธิการ คำชมพวกเราก็อยากได้อยู่หรอก แต่พวกเราอยากได้รางวัลมากกว่า”

ในวันนี้บรรยากาศทั่วทั้งโรงเรียนชื่นมื่นยิ่งนัก และเพราะความอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษสตรีขี้เล่นอย่างเยว่ชิงเฉิงจึงอดกล่าววาจาหยอกล้อท่านอธิการออกมาไม่ได้ ตั้งแต่กลับมาถึงโรงเรียนคุณหนูตระกูลช่างหลอมก็ยังไม่สามารถหุบรอยยิ้มของนางลงได้เลย

เมื่อได้ยินคำพูดของเยว่ชิงเฉิง ผู้คนมากมายที่มารวมกลุ่มกันในพื้นที่จัตุรัสกลางของโรงเรียนก็หัวเราะลั่นอย่างสนุกสนาน

“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอน นี่คือรางวัลของพวกเจ้า”

ท่านอธิการผมสีมหาสมุทรก็หัวเราะลั่นเช่นกัน เขาสะบัดมือเบา ๆ ครั้งหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาขวดกระเบื้องขนาดเล็กจำนวนห้าขวดก็ปรากฏอยู่ในมือของเยว่ชิงเฉิง

“นี่ก็คือรางวัลของพวกเจ้า โอสถผสานสวรรค์ห้าเม็ด ยินดีด้วยอีกครั้ง ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะตั้งใจฝึกฝนต่อไปและกลายเป็นยอดฝีมือที่สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนของเรา”

เยว่ชิงเฉิงและสหายทั้งสี่พยักหน้ารับ ก่อนจะรับคำโดยพร้อมเพรียงกัน “พวกเราจะไม่ทำให้ท่านอธิการผิดหวัง !”

เมื่อทั้งห้าคนลงจากเวทีก็รีบกลับไปยังจุดที่คณะพันธมิตรปักหลักรวมตัวกันอยู่ คุณหนูช่างหลอมแจกจ่ายโอสถผสานสวรรค์ให้กับหัวหน้าทุกกลุ่มตามที่ได้ตกลงกันไว้

“ขอบคุณมาก”

ฉินอวี้โม่และหัวหน้ากลุ่มคนอื่น ๆ รับโอสถผสานสวรรค์มาแล้วกล่าวขอบคุณ นอกจากโอสถผสานสวรรค์แล้วคนทั้งหมดก็แจกจ่ายรอยยิ้มให้แก่กันและกันอย่างถ้วนทั่ว

“ฮ่า ๆ ๆ นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะได้อยู่แล้ว เป็นพวกเรามากกว่าที่ต้องขอบคุณทุกคน”

เป็นเยว่ชิงเฉิงและสหายที่ยิ้มกว้างกว่าผู้ใด อย่างไรก็ตามคำขอบคุณจากสมาชิกคนอื่น ๆ ในคณะพันธมิตรพวกนางไม่สามารถรับเอามาได้จริง ๆ ชื่อเสียงและเกียรติยศนี้สมควรมอบให้แก่ทุกคนเสียมากกว่า

เมื่อเห็นการกระทำแสนประหลาดของกลุ่มเยว่ชิงเฉิง มู่อวิ๋นก็ชะงักเล็กน้อย ในแววตาลุ่มลึกเจือร่องรอยแห่งความฉงนบาง ๆ ทว่าไม่นานนักมันก็เลือนหายไปและแปรเปลี่ยนเป็นความสุขเข้าแทนที่ บุรุษผมสีมหาสมุทรเผยรอยยิ้มอิ่มเอม วันนี้เขาได้เห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเกิดขึ้นกับนักเรียนในโรงเรียนของเขาแล้ว

“เอาล่ะ ลำดับถัดไปพวกเราจะขอประกาศอันดับของการแข่งขัน”

อาจารย์ลิ้วหยวย ผู้รับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลักของฝ่ายจัดการแข่งขันประจำโรงเรียนราชสำนักในครั้งนี้กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

ประโยคสั้น ๆ ของอาจารย์ลิ้วหยวยทำให้เสียงจ้อกแจ้กจอแจในฝูงชนที่มาเข้าร่วมฟังการประผลเงียบลงไปในฉับพลัน ทุกสายตาจับจ้องไปบนเวทีสูง ทุกคนนิ่งเงียบอย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอฟังผลการจัดอันดับ

“แน่นอนว่ารางวัลชนะเลิศอันดับที่หนึ่งทุกคนทราบอยู่แล้ว แต่ข้าขอประกาศให้ชัดเจนอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่าศึกประชันยุทธ์แห่งโรงเรียนราชสำนักในรอบหมู่คณะนี้ ผู้ชนะเลิศได้แก่ ‘กลุ่มเยว่ชิงเฉิง’ ซึ่งมีสมาชิกประกอบไปด้วย เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิง หลิงซวง เหย่าเซียนเอ๋อร์และหลิงเฟิง ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้ง”

อาจารย์ลิ้วหยวยประกาศรางวัลชนะเลิศเป็นอันดับแรก สิ้นเสียงประกาศดังกล่าวเหล่านักเรียนโรงเรียนราชสำนักที่อยู่ภายในจัตุรัสกลางทั้งหลายต่างก็พากันปรบมือแสดงความยินดี

“ต่อไปจะเป็นการประกาศผลรางวัลรองชนะเลิศ หรือก็คือผู้ที่ได้อันดับที่สองในการแข่งขัน รางวัลนั้นเป็นของ…”

ทว่าก่อนที่ลิ้วหยวยจะได้เอ่ยนามกลุ่มผู้ได้รับรางวัล เสียงตะโกนของนักเรียนคนหนึ่งดังแทรกขึ้น

“ช้าก่อน ท่านอาจารย์ลิ้วหยวย ท่านอธิการ ท่านผู้อาวุโสและอาจารย์ทั้งหลาย โปรดรอสักครู่ พวกเรามีเรื่องสำคัญจะรายงาน !”

ทันทีที่เสียงตะโกนนั้นจบลง คนกลุ่มหนึ่งที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าก็เดินแหวกฝูงชนออกมาด้านหน้า พวกเขาทั้งหมดเป็นบุรุษ มีจำนวนสี่คน และยังเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันประเภทหมู่คณะ

“หืม ? พวกเจ้ามีเรื่องอะไรจะบอกพวกเราอย่างนั้นหรือ ?”

อาจารย์ลิ้วหยวยหันไปสบตาท่านอธิการมู่อวิ๋น เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเขาจึงพักการประกาศรางวัลไว้ชั่วคราวแล้วหันไปสอบถามกลุ่มนักเรียนที่มาใหม่ แน่นอนว่าบนใบหน้าของบุรุษผู้เป็นอาจารย์ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“เรียนท่านอธิการและท่านอาจารย์ทั้งหลาย พวกเราจำได้ว่ากฎของโรงเรียนเรามีอยู่ว่าห้ามนักเรียนของโรงเรียนราชสำนักกระทำเรื่องเลวร้ายอย่างเช่น ‘การสังหารคน’ ได้ใช่หรือไม่ขอรับ?”

บุรุษหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มนักเรียนมาใหม่จ้องมองลิ้วหยวย มู่อวิ๋นและบรรดาผู้อาวุโสของโรงเรียนก่อนจะกล่าวเสียงดัง

เมื่อได้ยินวาจาดังกล่าว คนทั้งหมดในกลุ่มของฉินอวี้โม่และกลุ่มของฉีอวี้ก็นึกขึ้นได้ในทันที

คนทั้งสี่มิใช่ใครอื่น แต่เป็นสมาชิกของกลุ่มหนี้ป่าชี่ กลุ่มนักเรียนที่แย่งชิงแผ่นป้ายประจำกลุ่มของฉีอวี้ อีกทั้งยังทำตัวเสมือนโจรถ่อยปล้นอสูรมายาของลั่วอวิ๋นและทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัสตอนอยู่ในป่าเหมันต์

เมื่อได้ฟังสิ่งที่หนึ่งในสี่คนนั้นกล่าวกอปรกับไม่เห็นตัวหนี้ป่าชี่ผู้เป็นหัวหน้า ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

“เจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว โรงเรียนเรามีกฎเช่นนั้นอยู่จริง แต่ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงได้ถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ?”

อาจารย์ลิ้วหยวยยิ้ม เขาตอบก่อนจะถามคำถามเพื่อให้นักเรียนตรงหน้ากล่าวต่อ

“ท่านอาจารย์ วันนี้ที่พวกเราก้าวออกมาก็เพื่อจะเปิดโปงโฉมหน้าอันชั่วร้ายของคนผู้หนึ่ง”

หนึ่งในสมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่เปล่งเสียงดังลั่นด้วยความเดือดดาล ทันใดนั้นเขาก็ชี้นิ้วเข้าไปท่ามกลางผู้ชนพร้อมกับจ้องเขม็งไปยังคนผู้หนึ่ง

บุคคลที่เขาชี้อยู่นั้น ก็คือ คุณหนูสี่ตระกูลฉิน !

“เรียนท่านอธิการและท่านอาจารย์ทั้งหลาย ในป่าเหมันต์ฉินอวี้โม่เข้ามาแย่งชิงแผ่นป้ายของเรา เท่านั้นไม่พอ นางยังทำเรื่องหน้าไม่อายปล้นเอาอสูรมายาที่หัวหน้ากลุ่มเรากำลังสยบอยู่ หัวหน้ากลุ่มของเราไม่ยอมจึงต่อสู้สุดกำลังและสุดท้ายก็โดนนางสังหารอย่างป่าเถื่อน ข้าอยากจะถามว่าทางโรงเรียนจะจัดการอย่างไรกันคนที่ต่ำช้าเช่นนี้ ?!”

บุรุษผู้นั้นมองฉินอวี้โม่อย่างคั่งแค้น ปากพ่นพล่ามวาจาเรียกร้องหาความเป็นธรรม สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูขมขื่นเกือบจะมีน้ำตาไหลออกมา ที่เขาต้องยอมเสแสร้งเล่นละครถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะส่วนหนึ่งเขารู้สึกเกลียดฉินอวี้โม่เข้ากระดูกดำและอีกส่วนหนึ่งก็หวาดกลัวบุคคลผู้ลงมือสังหารหนี้ป่าชี่

“เพ่ย ! พวกหน้าด้าน ไร้ยางอาย กระทำเรื่องชั่วช้าแล้วยังกล้าใส่ร้ายผู้อื่นอีกเรอะ ?!”

ทันทีที่คนผู้นั้นกล่าวจบ สือซานก็อดตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธแค้นไม่ได้

“เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นพวกเจ้าต่างหากที่ต้องการชิงแผ่นป้ายของกลุ่มเรา แถมหัวหน้ากลุ่มพวกเจ้ายังทำตัวเลวทราม เมื่อเห็นลั่วอวิ๋นคนในกลุ่มเรากำลังสยบอสูรมายา พวกเจ้าไม่เพียงขัดขวางแต่ยังเลือดเย็นทำร้ายเขาถึงจิตวิญญาณเพื่อชิงอสูรมายาไป เท่านั้นไม่พอเมื่อเห็นลั่วอวิ๋นอ่อนแอพวกเจ้ากลับไม่ยอมละเว้น พยายามสังหารเขากับพวกเราที่เข้าไปช่วยให้ตาย ถ้าไม่ได้กลุ่มของฉินอวี้โม่ผ่านมาช่วยไว้ เกรงว่ากลุ่มของพวกเราทุกคนก็คงจะตายกันอยู่ในป่าเหมันต์ไปแล้ว”

“ใช่แล้ว ฝ่ายพวกเจ้าเป็นฝ่ายที่ทำร้ายพวกเราก่อน ฉินอวี้โม่คือสหายที่ดีของเรา นางทนดูพวกเราถูกทำร้ายไม่ได้จึงยื่นมือเข้าช่วย ที่สำคัญเราเป็นพยานได้ว่าอวี้โม่ไม่ได้ฆ่าใครเลย นางเพียงทำลายพลังยุทธ์ของหนี้ป่าชี่เท่านั้น ไม่ได้กระทำเลวทรามอย่างที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ต่ำช้า !”

บุรุษแซ่สือหนึ่งในน้องของสือซานกล่าวเสริมขึ้นมาด้วยโทสะ ไม่คิดเลยว่ากลุ่มของหนี้ป่าชี่จะชั่วร้ายและหน้าไม่อายขนาดนี้ พวกเขาทุกคนกำหมัดแน่น หากไม่ใช่เพราะต้องไว้หน้าท่านอธิการและอาจารย์ทั้งหลาย พวกเขาก็คงจะเปิดศึกกับกลุ่มคนชั่วพวกนี้ไปแล้ว

“เหอะ ! เจ้าเป็นพวกเดียวกับนางจะพูดอะไรก็พูดได้ ถึงอย่างไรหัวหน้าของพวกเราก็ตายไปแล้ว ข้าเห็นกับตาว่าฉินอวี้โม่คือคนที่ลงมือทำร้ายลูกพี่ของข้าไม่ยั้งมือ ถ้าคนที่ฆ่าเขาไม่ใช่นางแล้วจะเป็นใคร สตรีผู้นั้นเป็นพวกหน้าไม่อายกล้าโจมตีลอบกัดตอนที่ลูกพี่กำลังสยบอสูรมายาอยู่ และถ้าไม่ใช่เพราะลอบกัดพวกเจ้าคิดว่าน้ำหน้าอย่างนางจะสังหารหัวหน้าของเราได้ง่าย ๆ อย่างนั้นรึ ? ที่สำคัญของมีค่าของพวกเรารวมถึงอสูรมายาของคนในกลุ่มของนางก็แย่งชิงไปจากเรา ลองคนตัวนางดูก็ได้ เรามั่นใจว่าของที่นางปล้นไปต้องยังอยู่แน่”

เมื่อได้ยินคำตอบโต้ของพวกสือซาน คนผู้นั้นก็แค่นเสียงเหยียดหยาม ก่อนจะพล่ามวาจาปั้นน้ำเป็นตัว แต่งเรื่องป้ายสีผู้อื่นไม่หยุดยั้ง

“หุบปาก ! ขืนพวกเจ้ายังพูดจาเหลวไหลต่อไป เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถเลาะฟันทั้งหมดของพวกเจ้าได้ในชั่วพริบตา พวกเจ้าต่างหากที่เป็นฝ่ายกระทำการชั่วช้าเอง ตอนนี้ยังกล้ามากล่าวหาว่าพวกเราชิงของของเจ้าไปอีกรึ มันจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว !”

หลินซิวหยาเป็นคนตรงไปตรงมา บุรุษร่างใหญ่ยึดมั่นในคุณธรรมความถูกต้อง เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็ทำให้เขาเลือดขึ้นหน้าได้ง่าย ๆ

“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นพี่หลินซิวหยา ที่นี่คือโรงเรียนนะ นี่รุ่นพี่กล้าขู่พวกเราอย่างนั้นรึ ?”

เมื่อได้ยินคำข่มขู่ของหลินซิวหยา บุรุษผู้นั้นก็หัวเราะออกมาก่อนจะกล่าวต่อ “รุ่นพี่หลินซิวหยากล้าปฏิเสธไหมล่ะว่าแหวนมิติของพวกเราไม่ได้อยู่ในมือคนของกลุ่มรุ่นพี่ ? กล้าปฏิเสธไหมล่ะว่าสตรีผู้นั้นไม่ได้บีบบังคับเพื่อเอาอสูรมายาของพวกเราไป ?”

เมื่อเห็นหลิวซิวหยานิ่งเงียบไม่ตอบ เขาก็กล่าวต่อ “เหอะ ไม่กล้าปฏิเสธใช่ไหมล่ะ รุ่นพี่หลินซิวหยา พวกเราไม่มีทางยอมมอบแหวนมิติกับอสูรมายาให้แน่ถ้าเราไม่ได้ถูกข่มขู่และบีบบังคับ พวกเจ้าน่ะแม้แต่เรื่องที่สังหารหัวหน้ากลุ่มของเราไปก็ยังไม่กล้ายอมรับ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายและเสื่อมเสียจริง ๆ”

เมื่อได้ฟังทั้งคำบอกเล่า น้ำเสียง และเหตุผลของคนผู้นี้ นักเรียนคนอื่น ๆ ก็เดือดขึ้นมาในทันที ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องที่เลวร้ายจนยากเกินจะรับได้เช่นนี้ขึ้นภายในป่าเหมันต์ อำมหิตเพียงใดถึงกับต้องฆ่าแกงนักเรียนในโรงเรียนเดียวกัน ! แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจมากยิ่งกว่านั้นก็คือคนที่ลงมือยังเป็นฉินอวี้โม่ นักเรียนใหม่ผู้โดดเด่นคนนั้น

อย่างไรก็ตามนักเรียนหลายคนก็ยังมีข้อสงสัยในใจ พวกเขาล้วนไม่แน่ใจและไม่คิดว่าฉินอวี้โม่จะโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนั้น ที่สำคัญนางมีเหตุผลอะไรที่จะต้องสังหารหนี้ป่าชี่ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองคนก็ไม่น่าจะรู้จักมักคุ้น

นักเรียนทั้งโรงเรียนคิดเห็นแตกต่างกันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็เริ่มเชื่อสิ่งที่คนของหนี้ป่าชี่กล่าวหา บ้างก็ยังเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่

ท่ามกลางความงุนงงสงสัย และสายตากังขาของฝูงชนทั้งหมด สีหน้าของกลุ่มคนที่กล่าวหาฉินอวี้โม่กำลังเต็มไปด้วยความโกรธแค้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่าย ขณะที่กลุ่มผู้รู้ความจริงที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์กับฉินอวี้โม่ก็เดือดดาลไม่แพ้กัน

บรรยากาศภายในจัตุรัสกลางของโรงเรียนในตอนนี้จึงตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 168 ชื่อเสียง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 168 ชื่อเสียง

หลังจากกลุ่มนักเรียนผู้เข้าแข่งขันศึกประชันยุทธ์ทั้งหกตกลงใจปักหลักอยู่ภายในปราสาทเหมันต์ได้ไม่นานนัก ในที่สุดเสียงประกาศจากทางโรงเรียนราชสำนักก็ดังขึ้น

“นักเรียนที่รักทุกคน ขณะนี้กลุ่มจีหย่งถูกตัดสินออกจากการแข่งขัน !”

“นักเรียนที่รักทุกคน ขณะนี้กลุ่มจีชางถูกตัดสินออกจากการแข่งขัน !”

“นักเรียนที่รักทุกคน ขณะนี้กลุ่มปู้เฟยเทียนถูกตัดสินออกจากการแข่งขัน !”

ทว่าก็ไม่มีผู้ใดนึกประหลาดกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงอย่างไรการเผชิญหน้ากับคนที่แข็งแกร่งอย่างลั่วเฉินไม่ต้องกล่าวถึงพวกจีหย่งเลย ต่อให้เป็นพวกฉินอวี้โม่ก็ยังไม่แน่ว่าจะจับตัวคนกลุ่มนั้นได้

ยิ่งกว่านั้นป่าเหมันต์ก็กว้างใหญ่ไพศาล การจะตามหาคนเพียงห้าคนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว

“บัดซบ !”

จีหย่งสบถออกมา ในตอนนี้เขาและคนอื่น ๆ ได้ถูกส่งกลับมาภายในพื้นที่ของโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของแต่ละคนบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด ไม่คิดเลยว่าจะถูกลั่วเฉินหักหลังอย่างเจ็บแสบขนาดนี้ ซึ่งผู้ที่รู้สึกแค้นเคืองมากที่สุดก็คือจีหย่งเพราะนอกจากจะเสียตำแหน่งชนะเลิศไปแล้ว ตัวเขาเองยังถูกฉินอวี้โม่ปล้นเอาแหวนมิติไปด้วย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ บุรุษผู้ครองอันดับที่สามแห่งทำเนียบนภาก็โกรธแค้นจนแทบจะกระอักเลือดออกมา

“พี่ใหญ่ ตกลงมันยังไงกันแน่ เหตุใดผลเยือกมณีถึงไปอยู่ในมือพวกพันธมิตรของฉินอวี้โม่ได้ล่ะ ?”

จีชางเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด ในตอนที่พวกเขากำลังไล่ล่าลั่วเฉินอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของโรงเรียนประกาศว่าผลเยือกมณีตกไปอยู่ในมือของกลุ่มเพ่ยหลงสตรีที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศตัวเป็นศัตรูกับพวกเขาเพื่อช่วยเหลือฉินอวี้โม่ ก่อนจะตกไปอยู่ในมือของสตรีที่ชื่อเยว่ชิงเฉิงผู้เป็นหนึ่งในสหายสนิทของฉินอวี้โม่

อย่างไรก็ตามแม้จะได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เพราะเวลาสำหรับการชิงแผ่นป้ายของตนกลับคืนมาจากลั่วเฉินจวนเจียนจะหมดลงเต็มที ขณะที่พวกเขายังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนทรยศผู้นั้น

ในท้ายที่สุด แม้จะเร่งสะกดรอยตามลั่วเฉินและสหายออกมาไกลเพียงใดก็ไม่อาจพบเจอ และเมื่อเวลาหมดลงพวกเขาจึงต้องมานั่งเจ็บช้ำกันเช่นนี้

“หรือว่าไอ้คนบัดซบลั่วเฉินนั่นมันร่วมมือกับพวกปิงเสวียนตั้งแต่แรกแล้ว ?”

ปู้เฟยเทียนนึกขึ้นได้ ใบหน้าของเขาเจือความแตกตื่น ถ้าหากลั่วเฉินและกลุ่มพันธมิตรฉินอวี้โม่เป็นพวกเดียวกันจริง ๆ นั่นก็เท่ากันว่ากลุ่มของพวกเขาถูกต้มครั้งใหญ่ เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้สีหน้าของกลุ่มพันธมิตรจีหย่งทั้งหมดก็ปั้นยากถึงขีดสุด

“ไม่ต้องไปคิดให้มันปวดหัว รอให้ทางโรงเรียนประกาศผลลัพธ์เสียก่อน เดี๋ยวเราก็จะเข้าใจทุกอย่างเองนั่นแหละ !”

จีหย่งกดฟันกล่าว แม้ว่าจะรู้สึกไม่ยินยอมมากเพียงใด แต่เขาก็จนใจ ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแต่ต้องยอมรับโชคชะตาเท่านั้น

จีชางและคนอื่น ๆ พยักหน้ารับ ใบหน้าของแต่ละคนราวกับถูกบังคับให้กลืนยาขมทั้งหม้อ พวกเขาที่เคยเป็นว่าที่ผู้ชนะกลับพ่ายแพ้หมดท่า ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดโชคชะตาถึงได้กลั่นแกล้งกันถึงเพียงนี้

ในขณะเดียวกันสถานการณ์ภายในปราสาทเหมันต์ก็ค่อนข้างสงบนิ่ง หลายวันมานี้สมาชิกแห่งคณะพันธมิตรทั้งหกอยู่แต่เพียงในปราสาท ไม่มีผู้ใดมีความคิดที่จะไปออกตามหากลุ่มลั่วเฉิน พวกเขาต่างก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ฟื้นฟูร่างกายและฝึกฝนพลังเพื่อเตรียมความพร้อม ทั้งสามสิบคนกำลังรอให้เวลาในการแข่งขันสิ้นสุด

หลายวันมานี้ มังกรเหมันต์เองก็ไม่ได้กลับมาปรากฏตัวให้เห็น ทางด้านลั่วเฉินก็หายเงียบไปเลย ทุกอย่างเงียบสงบเป็นอย่างมาก

ในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อการแข่งขันจบลงในรุ่งเช้าวันหนึ่ง แสงสว่างเรืองรองที่มีลักษณะคล้ายกับแสงที่ส่งพวกเขามายังป่าเหมันต์แห่งนี้ก็ปรากฏขึ้นห่อหุ้มร่างของทุกคนไว้ก่อนจะเคลื่อนย้ายพวกเขากลับไปในโรงเรียน

เมื่อแสงค่อย ๆ จางลง นักเรียนทั้งสามสิบคนก็ค้นพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในจัตุรัสกลางของโรงเรียนราชสำนัก

ทันทีที่ได้เห็นสภาพแวดล้อมอันคุ้นตาพร้อมกับเห็นเพื่อนนักเรียนที่คุ้นหน้า ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็อมยิ้มน้อย ๆ อย่างสุขใจ

ในเวลานั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ขอแสดงความยินดีกับกลุ่มเยว่ชิงเฉิงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งในการแข่งขันประเภทหมู่คณะ ทันทีที่ส่งผลเยือกมณีให้ท่านอธิการโรงเรียน ผู้ชนะจะได้รับรางวัลชนะเลิศ”

“ขอแสดงความยินดีกับกลุ่มเยว่ชิงเฉิงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งในการแข่งขันประเภทหมู่คณะ ทันทีที่ส่งผลเยือกมณีให้ท่านอธิการโรงเรียน ผู้ชนะจะได้รับรางวัลชนะเลิศ”

“ขอแสดงความยินดีกับกลุ่มเยว่ชิงเฉิงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งในการแข่งขันประเภทหมู่คณะ ทันทีที่ส่งผลเยือกมณีให้ท่านอธิการโรงเรียน ผู้ชนะจะได้รับรางวัลชนะเลิศ”

เสียงประกาศแสดงความยินดีดังก้องไปทั่วโรงเรียนถึงสามครั้งซ้อนเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณของผู้ชนะการแข่งขัน ซึ่งนี่นับเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับกลุ่มของเยว่ชิงเฉิงเป็นอย่างมาก

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าข้าจะมีวันนี้”

เยว่ชิงเฉิงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ นางไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะมีวันที่น่าภาคภูมิใจเหมือนอย่างวันนี้

“ต้องขอบคุณฉินอวี้โม่และรุ่นพี่ทั้งหลาย ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนพวกเราคงทำไม่ได้ แม้แต่จะติดอันดับดี ๆ ก็ยังไม่ต้องพูดถึง”

โอวหยางชิงเฟิงกล่าวขอบคุณทุกคนด้วยรอยยิ้ม ในวันนี้กลุ่มของเขาได้รับเกียรติและชื่อเสียงที่เรียกได้ว่ามากมายมหาศาล ต่อไปนี้ชื่อของพวกเขาจะกลายเป็นที่จดจำและได้มีโอกาสขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าของนักเรียนทั้งหมดในโรงเรียน นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อแต่ก็เป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกพิเศษมากจริง ๆ

และความคิดของคุณชายตระกูลโอวหยางก็ไม่ผิดแม้แต่น้อย เพราะนักเรียนคนอื่น ๆ ต่างก็อยากรู้จักตัวตนของผู้ชนะ นับจากวันนั้นอัตชีวะประวัติโดยย่อของสมาชิกกลุ่มเยว่ชิงเฉิงทั้งห้าจึงถูกเล่าต่อ ๆ กันไปทั่วทั้งโรงเรียน และชื่อของพวกเขาก็กลายเป็นที่รู้จักภายในเวลาไม่นาน

เมื่อได้ยินคำขอบคุณอย่างจริงใจ ฉินอวี้โม่และเหล่านักเรียนแนวหน้าทั้งหลายก็ยิ้มกว้างก่อนจะพากันเข้าไปแสดงความยินดีกับสมาชิกในกลุ่มของเยว่ชิงเฉิง

“อะแฮ่ม”

ไม่ทราบว่าทำได้อย่างไรแต่ภายในชั่วพริบตา อธิการมู่อวิ๋น เหล่าผู้อาวุโสของโรงเรียน รวมถึงบรรดาอาจารย์ทั้งหลายก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที

“ฮ่า ๆ ๆ วันนี้ข้ารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม ในที่สุดการแข่งขันประเภทหมู่คณะก็จบลงเป็นที่เรียบร้อยและเราก็ได้ผู้ชนะที่ได้ผลเยือกมณีมา ข้าขอชมเชยทุกคนที่พยายามอย่างหนัก และขอแสดงความยินดีกับกลุ่มผู้ชนะด้วย”

มู๋อวิ๋นยิ้มกว้าง ผลลัพธ์ในการแข่งขันครั้งนี้เหนือการคาดการณ์ของเขามาก

เดิมทีเขาคิดว่ากลุ่มที่จะชนะก็น่าจะเป็นกลุ่มของปิงเสวียน ลั่วเฉิน หรือไม่ก็กลุ่มของนักเรียนหัวกะทิคนอื่น ๆ ไม่คิดเลยว่าผู้ชนะจะเป็นม้ามืดที่เป็นนักเรียนใหม่ทั้งหมดเช่นนี้

แม้ว่าทุกคนในกลุ่มจะถือเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่งในหมู่นักเรียนใหม่ แต่การจะก้าวขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าของโรงเรียนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องนี้นอกจากความสามารถแล้ว ยังต้องพึ่งพาโชควาสนาด้วยส่วนหนึ่ง

“เอาล่ะ กลุ่มเยว่ชิงเฉิงขึ้นมาได้ มอบผลเยือกมณีให้ข้า แล้วข้าจะมอบรางวัลให้กับพวกเจ้า”

มู่อวิ๋นยิ้มพลางส่งสัญญาณให้กลุ่มผู้ชนะขึ้นมาบนเวที

เยว่ชิงเฉิงและสหายทั้งสี่ก้าวขึ้นไปยืนข้างกายท่านอธิการ ก่อนที่คุณหนูตระกูลเยว่จะหยิบผลเยือกมณีออกมาจากแหวนมิติแล้วส่งมอบให้ผู้มีตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียนอย่างนอบน้อม

“ฮ่า ๆ ๆ ผลเยือกมณีนี้สำคัญสำหรับโรงเรียนราชสำนักของพวกเรามาก ข้าอยากจะขอบคุณพวกเจ้าจากใจจริงที่เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปนำมันกลับมา”

มู่อวิ๋นหัวเราะร่า ท่าทางดีใจที่ฉายชัดอยู่ทั้งในดวงตาและใบหน้านั้นราวกับได้รับสิ่งที่ตามหามานานแสนนาน ดูเหมือนว่าผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้จะมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของโรงเรียนไม่น้อยเลย

“ท่านอธิการ คำชมพวกเราก็อยากได้อยู่หรอก แต่พวกเราอยากได้รางวัลมากกว่า”

ในวันนี้บรรยากาศทั่วทั้งโรงเรียนชื่นมื่นยิ่งนัก และเพราะความอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษสตรีขี้เล่นอย่างเยว่ชิงเฉิงจึงอดกล่าววาจาหยอกล้อท่านอธิการออกมาไม่ได้ ตั้งแต่กลับมาถึงโรงเรียนคุณหนูตระกูลช่างหลอมก็ยังไม่สามารถหุบรอยยิ้มของนางลงได้เลย

เมื่อได้ยินคำพูดของเยว่ชิงเฉิง ผู้คนมากมายที่มารวมกลุ่มกันในพื้นที่จัตุรัสกลางของโรงเรียนก็หัวเราะลั่นอย่างสนุกสนาน

“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอน นี่คือรางวัลของพวกเจ้า”

ท่านอธิการผมสีมหาสมุทรก็หัวเราะลั่นเช่นกัน เขาสะบัดมือเบา ๆ ครั้งหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาขวดกระเบื้องขนาดเล็กจำนวนห้าขวดก็ปรากฏอยู่ในมือของเยว่ชิงเฉิง

“นี่ก็คือรางวัลของพวกเจ้า โอสถผสานสวรรค์ห้าเม็ด ยินดีด้วยอีกครั้ง ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะตั้งใจฝึกฝนต่อไปและกลายเป็นยอดฝีมือที่สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนของเรา”

เยว่ชิงเฉิงและสหายทั้งสี่พยักหน้ารับ ก่อนจะรับคำโดยพร้อมเพรียงกัน “พวกเราจะไม่ทำให้ท่านอธิการผิดหวัง !”

เมื่อทั้งห้าคนลงจากเวทีก็รีบกลับไปยังจุดที่คณะพันธมิตรปักหลักรวมตัวกันอยู่ คุณหนูช่างหลอมแจกจ่ายโอสถผสานสวรรค์ให้กับหัวหน้าทุกกลุ่มตามที่ได้ตกลงกันไว้

“ขอบคุณมาก”

ฉินอวี้โม่และหัวหน้ากลุ่มคนอื่น ๆ รับโอสถผสานสวรรค์มาแล้วกล่าวขอบคุณ นอกจากโอสถผสานสวรรค์แล้วคนทั้งหมดก็แจกจ่ายรอยยิ้มให้แก่กันและกันอย่างถ้วนทั่ว

“ฮ่า ๆ ๆ นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะได้อยู่แล้ว เป็นพวกเรามากกว่าที่ต้องขอบคุณทุกคน”

เป็นเยว่ชิงเฉิงและสหายที่ยิ้มกว้างกว่าผู้ใด อย่างไรก็ตามคำขอบคุณจากสมาชิกคนอื่น ๆ ในคณะพันธมิตรพวกนางไม่สามารถรับเอามาได้จริง ๆ ชื่อเสียงและเกียรติยศนี้สมควรมอบให้แก่ทุกคนเสียมากกว่า

เมื่อเห็นการกระทำแสนประหลาดของกลุ่มเยว่ชิงเฉิง มู่อวิ๋นก็ชะงักเล็กน้อย ในแววตาลุ่มลึกเจือร่องรอยแห่งความฉงนบาง ๆ ทว่าไม่นานนักมันก็เลือนหายไปและแปรเปลี่ยนเป็นความสุขเข้าแทนที่ บุรุษผมสีมหาสมุทรเผยรอยยิ้มอิ่มเอม วันนี้เขาได้เห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเกิดขึ้นกับนักเรียนในโรงเรียนของเขาแล้ว

“เอาล่ะ ลำดับถัดไปพวกเราจะขอประกาศอันดับของการแข่งขัน”

อาจารย์ลิ้วหยวย ผู้รับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลักของฝ่ายจัดการแข่งขันประจำโรงเรียนราชสำนักในครั้งนี้กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

ประโยคสั้น ๆ ของอาจารย์ลิ้วหยวยทำให้เสียงจ้อกแจ้กจอแจในฝูงชนที่มาเข้าร่วมฟังการประผลเงียบลงไปในฉับพลัน ทุกสายตาจับจ้องไปบนเวทีสูง ทุกคนนิ่งเงียบอย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอฟังผลการจัดอันดับ

“แน่นอนว่ารางวัลชนะเลิศอันดับที่หนึ่งทุกคนทราบอยู่แล้ว แต่ข้าขอประกาศให้ชัดเจนอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่าศึกประชันยุทธ์แห่งโรงเรียนราชสำนักในรอบหมู่คณะนี้ ผู้ชนะเลิศได้แก่ ‘กลุ่มเยว่ชิงเฉิง’ ซึ่งมีสมาชิกประกอบไปด้วย เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิง หลิงซวง เหย่าเซียนเอ๋อร์และหลิงเฟิง ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้ง”

อาจารย์ลิ้วหยวยประกาศรางวัลชนะเลิศเป็นอันดับแรก สิ้นเสียงประกาศดังกล่าวเหล่านักเรียนโรงเรียนราชสำนักที่อยู่ภายในจัตุรัสกลางทั้งหลายต่างก็พากันปรบมือแสดงความยินดี

“ต่อไปจะเป็นการประกาศผลรางวัลรองชนะเลิศ หรือก็คือผู้ที่ได้อันดับที่สองในการแข่งขัน รางวัลนั้นเป็นของ…”

ทว่าก่อนที่ลิ้วหยวยจะได้เอ่ยนามกลุ่มผู้ได้รับรางวัล เสียงตะโกนของนักเรียนคนหนึ่งดังแทรกขึ้น

“ช้าก่อน ท่านอาจารย์ลิ้วหยวย ท่านอธิการ ท่านผู้อาวุโสและอาจารย์ทั้งหลาย โปรดรอสักครู่ พวกเรามีเรื่องสำคัญจะรายงาน !”

ทันทีที่เสียงตะโกนนั้นจบลง คนกลุ่มหนึ่งที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าก็เดินแหวกฝูงชนออกมาด้านหน้า พวกเขาทั้งหมดเป็นบุรุษ มีจำนวนสี่คน และยังเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันประเภทหมู่คณะ

“หืม ? พวกเจ้ามีเรื่องอะไรจะบอกพวกเราอย่างนั้นหรือ ?”

อาจารย์ลิ้วหยวยหันไปสบตาท่านอธิการมู่อวิ๋น เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเขาจึงพักการประกาศรางวัลไว้ชั่วคราวแล้วหันไปสอบถามกลุ่มนักเรียนที่มาใหม่ แน่นอนว่าบนใบหน้าของบุรุษผู้เป็นอาจารย์ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“เรียนท่านอธิการและท่านอาจารย์ทั้งหลาย พวกเราจำได้ว่ากฎของโรงเรียนเรามีอยู่ว่าห้ามนักเรียนของโรงเรียนราชสำนักกระทำเรื่องเลวร้ายอย่างเช่น ‘การสังหารคน’ ได้ใช่หรือไม่ขอรับ?”

บุรุษหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มนักเรียนมาใหม่จ้องมองลิ้วหยวย มู่อวิ๋นและบรรดาผู้อาวุโสของโรงเรียนก่อนจะกล่าวเสียงดัง

เมื่อได้ยินวาจาดังกล่าว คนทั้งหมดในกลุ่มของฉินอวี้โม่และกลุ่มของฉีอวี้ก็นึกขึ้นได้ในทันที

คนทั้งสี่มิใช่ใครอื่น แต่เป็นสมาชิกของกลุ่มหนี้ป่าชี่ กลุ่มนักเรียนที่แย่งชิงแผ่นป้ายประจำกลุ่มของฉีอวี้ อีกทั้งยังทำตัวเสมือนโจรถ่อยปล้นอสูรมายาของลั่วอวิ๋นและทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัสตอนอยู่ในป่าเหมันต์

เมื่อได้ฟังสิ่งที่หนึ่งในสี่คนนั้นกล่าวกอปรกับไม่เห็นตัวหนี้ป่าชี่ผู้เป็นหัวหน้า ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

“เจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว โรงเรียนเรามีกฎเช่นนั้นอยู่จริง แต่ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงได้ถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ?”

อาจารย์ลิ้วหยวยยิ้ม เขาตอบก่อนจะถามคำถามเพื่อให้นักเรียนตรงหน้ากล่าวต่อ

“ท่านอาจารย์ วันนี้ที่พวกเราก้าวออกมาก็เพื่อจะเปิดโปงโฉมหน้าอันชั่วร้ายของคนผู้หนึ่ง”

หนึ่งในสมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่เปล่งเสียงดังลั่นด้วยความเดือดดาล ทันใดนั้นเขาก็ชี้นิ้วเข้าไปท่ามกลางผู้ชนพร้อมกับจ้องเขม็งไปยังคนผู้หนึ่ง

บุคคลที่เขาชี้อยู่นั้น ก็คือ คุณหนูสี่ตระกูลฉิน !

“เรียนท่านอธิการและท่านอาจารย์ทั้งหลาย ในป่าเหมันต์ฉินอวี้โม่เข้ามาแย่งชิงแผ่นป้ายของเรา เท่านั้นไม่พอ นางยังทำเรื่องหน้าไม่อายปล้นเอาอสูรมายาที่หัวหน้ากลุ่มเรากำลังสยบอยู่ หัวหน้ากลุ่มของเราไม่ยอมจึงต่อสู้สุดกำลังและสุดท้ายก็โดนนางสังหารอย่างป่าเถื่อน ข้าอยากจะถามว่าทางโรงเรียนจะจัดการอย่างไรกันคนที่ต่ำช้าเช่นนี้ ?!”

บุรุษผู้นั้นมองฉินอวี้โม่อย่างคั่งแค้น ปากพ่นพล่ามวาจาเรียกร้องหาความเป็นธรรม สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูขมขื่นเกือบจะมีน้ำตาไหลออกมา ที่เขาต้องยอมเสแสร้งเล่นละครถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะส่วนหนึ่งเขารู้สึกเกลียดฉินอวี้โม่เข้ากระดูกดำและอีกส่วนหนึ่งก็หวาดกลัวบุคคลผู้ลงมือสังหารหนี้ป่าชี่

“เพ่ย ! พวกหน้าด้าน ไร้ยางอาย กระทำเรื่องชั่วช้าแล้วยังกล้าใส่ร้ายผู้อื่นอีกเรอะ ?!”

ทันทีที่คนผู้นั้นกล่าวจบ สือซานก็อดตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธแค้นไม่ได้

“เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นพวกเจ้าต่างหากที่ต้องการชิงแผ่นป้ายของกลุ่มเรา แถมหัวหน้ากลุ่มพวกเจ้ายังทำตัวเลวทราม เมื่อเห็นลั่วอวิ๋นคนในกลุ่มเรากำลังสยบอสูรมายา พวกเจ้าไม่เพียงขัดขวางแต่ยังเลือดเย็นทำร้ายเขาถึงจิตวิญญาณเพื่อชิงอสูรมายาไป เท่านั้นไม่พอเมื่อเห็นลั่วอวิ๋นอ่อนแอพวกเจ้ากลับไม่ยอมละเว้น พยายามสังหารเขากับพวกเราที่เข้าไปช่วยให้ตาย ถ้าไม่ได้กลุ่มของฉินอวี้โม่ผ่านมาช่วยไว้ เกรงว่ากลุ่มของพวกเราทุกคนก็คงจะตายกันอยู่ในป่าเหมันต์ไปแล้ว”

“ใช่แล้ว ฝ่ายพวกเจ้าเป็นฝ่ายที่ทำร้ายพวกเราก่อน ฉินอวี้โม่คือสหายที่ดีของเรา นางทนดูพวกเราถูกทำร้ายไม่ได้จึงยื่นมือเข้าช่วย ที่สำคัญเราเป็นพยานได้ว่าอวี้โม่ไม่ได้ฆ่าใครเลย นางเพียงทำลายพลังยุทธ์ของหนี้ป่าชี่เท่านั้น ไม่ได้กระทำเลวทรามอย่างที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ต่ำช้า !”

บุรุษแซ่สือหนึ่งในน้องของสือซานกล่าวเสริมขึ้นมาด้วยโทสะ ไม่คิดเลยว่ากลุ่มของหนี้ป่าชี่จะชั่วร้ายและหน้าไม่อายขนาดนี้ พวกเขาทุกคนกำหมัดแน่น หากไม่ใช่เพราะต้องไว้หน้าท่านอธิการและอาจารย์ทั้งหลาย พวกเขาก็คงจะเปิดศึกกับกลุ่มคนชั่วพวกนี้ไปแล้ว

“เหอะ ! เจ้าเป็นพวกเดียวกับนางจะพูดอะไรก็พูดได้ ถึงอย่างไรหัวหน้าของพวกเราก็ตายไปแล้ว ข้าเห็นกับตาว่าฉินอวี้โม่คือคนที่ลงมือทำร้ายลูกพี่ของข้าไม่ยั้งมือ ถ้าคนที่ฆ่าเขาไม่ใช่นางแล้วจะเป็นใคร สตรีผู้นั้นเป็นพวกหน้าไม่อายกล้าโจมตีลอบกัดตอนที่ลูกพี่กำลังสยบอสูรมายาอยู่ และถ้าไม่ใช่เพราะลอบกัดพวกเจ้าคิดว่าน้ำหน้าอย่างนางจะสังหารหัวหน้าของเราได้ง่าย ๆ อย่างนั้นรึ ? ที่สำคัญของมีค่าของพวกเรารวมถึงอสูรมายาของคนในกลุ่มของนางก็แย่งชิงไปจากเรา ลองคนตัวนางดูก็ได้ เรามั่นใจว่าของที่นางปล้นไปต้องยังอยู่แน่”

เมื่อได้ยินคำตอบโต้ของพวกสือซาน คนผู้นั้นก็แค่นเสียงเหยียดหยาม ก่อนจะพล่ามวาจาปั้นน้ำเป็นตัว แต่งเรื่องป้ายสีผู้อื่นไม่หยุดยั้ง

“หุบปาก ! ขืนพวกเจ้ายังพูดจาเหลวไหลต่อไป เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถเลาะฟันทั้งหมดของพวกเจ้าได้ในชั่วพริบตา พวกเจ้าต่างหากที่เป็นฝ่ายกระทำการชั่วช้าเอง ตอนนี้ยังกล้ามากล่าวหาว่าพวกเราชิงของของเจ้าไปอีกรึ มันจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว !”

หลินซิวหยาเป็นคนตรงไปตรงมา บุรุษร่างใหญ่ยึดมั่นในคุณธรรมความถูกต้อง เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็ทำให้เขาเลือดขึ้นหน้าได้ง่าย ๆ

“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นพี่หลินซิวหยา ที่นี่คือโรงเรียนนะ นี่รุ่นพี่กล้าขู่พวกเราอย่างนั้นรึ ?”

เมื่อได้ยินคำข่มขู่ของหลินซิวหยา บุรุษผู้นั้นก็หัวเราะออกมาก่อนจะกล่าวต่อ “รุ่นพี่หลินซิวหยากล้าปฏิเสธไหมล่ะว่าแหวนมิติของพวกเราไม่ได้อยู่ในมือคนของกลุ่มรุ่นพี่ ? กล้าปฏิเสธไหมล่ะว่าสตรีผู้นั้นไม่ได้บีบบังคับเพื่อเอาอสูรมายาของพวกเราไป ?”

เมื่อเห็นหลิวซิวหยานิ่งเงียบไม่ตอบ เขาก็กล่าวต่อ “เหอะ ไม่กล้าปฏิเสธใช่ไหมล่ะ รุ่นพี่หลินซิวหยา พวกเราไม่มีทางยอมมอบแหวนมิติกับอสูรมายาให้แน่ถ้าเราไม่ได้ถูกข่มขู่และบีบบังคับ พวกเจ้าน่ะแม้แต่เรื่องที่สังหารหัวหน้ากลุ่มของเราไปก็ยังไม่กล้ายอมรับ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายและเสื่อมเสียจริง ๆ”

เมื่อได้ฟังทั้งคำบอกเล่า น้ำเสียง และเหตุผลของคนผู้นี้ นักเรียนคนอื่น ๆ ก็เดือดขึ้นมาในทันที ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องที่เลวร้ายจนยากเกินจะรับได้เช่นนี้ขึ้นภายในป่าเหมันต์ อำมหิตเพียงใดถึงกับต้องฆ่าแกงนักเรียนในโรงเรียนเดียวกัน ! แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจมากยิ่งกว่านั้นก็คือคนที่ลงมือยังเป็นฉินอวี้โม่ นักเรียนใหม่ผู้โดดเด่นคนนั้น

อย่างไรก็ตามนักเรียนหลายคนก็ยังมีข้อสงสัยในใจ พวกเขาล้วนไม่แน่ใจและไม่คิดว่าฉินอวี้โม่จะโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนั้น ที่สำคัญนางมีเหตุผลอะไรที่จะต้องสังหารหนี้ป่าชี่ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองคนก็ไม่น่าจะรู้จักมักคุ้น

นักเรียนทั้งโรงเรียนคิดเห็นแตกต่างกันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็เริ่มเชื่อสิ่งที่คนของหนี้ป่าชี่กล่าวหา บ้างก็ยังเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่

ท่ามกลางความงุนงงสงสัย และสายตากังขาของฝูงชนทั้งหมด สีหน้าของกลุ่มคนที่กล่าวหาฉินอวี้โม่กำลังเต็มไปด้วยความโกรธแค้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่าย ขณะที่กลุ่มผู้รู้ความจริงที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์กับฉินอวี้โม่ก็เดือดดาลไม่แพ้กัน

บรรยากาศภายในจัตุรัสกลางของโรงเรียนในตอนนี้จึงตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง

.

Options

not work with dark mode
Reset