คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 178 ขับไล่

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ !”

เมื่อได้สติกลับคืนมาและได้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลิวหว่านเยียน ทุกคนก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

สตรีผู้เพิ่งกระทำเรื่องน่ารังเกียจถูกถีบตกลงไปจากลานประลองอย่างง่ายดาย ใบหน้าที่เคยเชิดสูงกระแทกเข้ากับพื้นน่าอนาถ ดูเหมือนว่าหลิวหว่านเยียนจะตั้งสติรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ทันจึงถูกถีบกระเด็นตกลงมาเช่นนั้น

ไม่มีผู้ใดเลยที่คิดจะเข้าไปช่วยรับตัวไว้ตอนเห็นนางตกลงมาจากด้านบน ยิ่งไปกว่านั้นคนหลายคนที่ยืนอยู่ในรัศมีกระทบพสุธาของนางก็ต่างพร้อมใจรีบแหวกทางหลบหลีกออกไป นั่นมิใช่ใจไม้ไส้ระกำ แต่เป็นเพราะพวกเขาเองก็ตกใจมากเช่นกัน

และผลลัพธ์สุดท้ายคือ หลิวหว่านเยียนตกลงไปอยู่บนพื้น ‘ในท่าหมากินอาหาร*’ ซึ่งดูน่าขำอยู่ไม่น้อย นี่เองจึงเป็นที่มาของเสียงหัวเราะที่ดังลั่นไปทั่วลานประลอง

*ท่าทางที่ก้นชี้ฟ้า ใบหน้าแนบชิดพื้นดิน

“สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดิน แม้แต่ในสภาพแบบนี้ก็ยังไม่ธรรมดา หากว่านี่คือการแข่งขันออกท่าทางให้งดงาม นางก็อาจจะชนะเลิศด้วยท่านี้ก็ได้ !”

เยว่ชิงเฉิงที่เพิ่งได้สติกลับมากล่าววาจาถากถาง

นางเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในตอนที่หลิวหว่านเยียนลอบใช้กระบี่แทงเข้าใส่โอวหยางชิงเฟิงจากทางด้านหลังในตอนที่เขาพลั้งเผลอ ทุกคนก็ได้เห็นกันอย่างชัดเจน

กับสตรีที่กระทำเรื่องไร้ยางอายอย่างหลิวหว่านเยียนผู้นี้ แน่นอนว่าเยว่ชิงเฉิงไม่คิดที่จะแสดงความเห็นใจหรือมีไมตรีด้วยโดยเด็ดขาด ตั้งแต่ส่งคนลอบทำร้ายฉินอวี้โม่จนถึงตอนนี้ก็ยังลอบเล่นงานโอวหยางชิงเฟิง โฉมงามผู้ใจทรามไม่เคยคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“ใช่ ศึกประชันยุทธ์ปีนี้เต็มไปด้วยสีสันจริง ๆ ขนาดหลิวหว่านเยียนที่เป็นถึงโฉมงามอันดับเจ็ดก็ยังลงทุนทำท่าทางน่าหัวเราะเช่นนั้นให้ดู คุ้มแล้วจริง ๆ ที่มาเข้าชมในวันนี้”

“นั่นสินะ แม่นางหลิว เจ้าประสบความสำเร็จในการเป็นที่สนใจของผู้คนแล้วล่ะ มีพฤติกรรมน่าขยะแขยงแบบนี้เจ้าคงจะกลายเป็นตำนานเล่าขานไปอีกนานเชียวล่ะ”

ผู้ชมทั้งชายหญิงหลายคนต่างพากันกล่าวสนับสนุนคำล้อเลียนของคุณหนูช่างหลอม ไม่มีใครแสดงความเห็นใจหลิวหว่านเยียนเลยแม้แต่คนเดียว เพราะเมื่อครู่นางเพิ่งจะกระทำการอันต่ำช้าไม่น่าให้อภัย เรื่องนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะยอมรับได้

ในการประลองโอวหยางชิงเฟิงสามารถเล่นงานหลิวหว่านเยียนให้บาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิตได้ แต่เขาก็หยุดมือลงเสียก่อน นั่นก็เพราะว่านี่เป็นเพียงการประชันยุทธ์ในโรงเรียน แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดอยากจะให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น แต่หลิวหว่านเยียนกลับใช้ประโยชน์จากความปรานีนั้นลอบเล่นงานอีกฝ่ายอย่างอำมหิต กระบี่นั้นของนางพุ่งตรงไปยังจุดตายของโอวหยางชิงเฟิง ส่อเจตนาชัดเจนว่าหมายใจจะทำให้เขาถึงแก่ชีวิต

นี่ไม่ใช่วิถีแห่งจอมยุทธ์ที่ดี มันถือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างที่สุดเลยด้วยซ้ำ ในโรงเรียนราชสำนักสิ่งที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์เรียนรู้ควบคู่ไปกับการพัฒนาความแข็งแกร่งคือคุณธรรม ในเมื่อคู่ต่อสู้ยอมละเว้นให้ อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงการประชันฝีมือระหว่างเพื่อนร่วมสถาบัน จงใจจะสังหารกันให้ตายเช่นนี้จึงเป็นเรื่องไม่สมควรอภัย

ในครั้งนี้หลิวหว่านเยียนนับว่าพลาดมหันต์ เพราะนางได้ขุดหลุมฝังตำแหน่งสาวงามที่เคยมีและหยิบยกเอาความริษยาของตนเองมาตีแผ่ต่อหน้าสาธารณชนแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันนักเรียนหลายคนก็นึกฉงนกับทักษะการเคลื่อนที่ประหลาดตาที่โอวหยางชิงเฟิงใช้หลบหลีกกระบี่ของสตรีริษยา ในตอนที่เห็นกระบี่ของหลิวหว่านเยียนแทงทะลุร่างของเขา ทุกคนต่างก็คิดว่าคุณชายรองตระกูลโอวหยางคงต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่ ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถปรากฏตัวด้านหลังคู่ต่อสู้ได้อย่างน่าประหลาด อีกทั้งยังถีบนางตกเวทีไปได้คล้ายกับไม่มีอาการบาดเจ็บ

ต้องบอกเลยว่าแม้แต่ฉินอวี้โม่เองก็ยังมองการเคลื่อนไหวของสหายได้ไม่ชัดเจน

“สตรีต่ำช้า ข้าไม่ควรจะยั้งมือให้เจ้าเลยจริง ๆ เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเตรียมรับมือไว้ก่อนหน้า ข้าคงจะถูกเจ้าฆ่าตายไปแล้ว ! ”

โอวหยางชิงมองคู่ประลองที่เล่นไม่ซื่อด้วยสายตาเดือดดาล หากไม่ใช่เพราะเขามีอุปกรณ์คุ้มภัยที่ได้มาจากตระกูลก็เกรงว่าถ้าไม่กลายเป็นศพเขาก็คงจะบาดเจ็บสาหัสด้วยน้ำมือของนางไปแล้วเป็นแน่

เหตุผลที่โอวหยางชิงเฟิงสามารถไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของหลิวหว่านเยียนได้ก็เป็นเพราะเขามียันต์คุ้มภัยติดกายไว้ ยันต์แผ่นนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ยันต์อักขระอัสนี’ 

แต่เดิมของสิ่งนี้เป็นสมบัติของผู้นำตระกูลโอวหยาง ยันต์อักขระอัสนีนี้เป็นสมบัติปกป้องชีวิตที่ถูกสร้างโดยสุดยอดฝีมือแห่งแผ่นดินผู้หนึ่งและนับเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างมหาศาล คุณสมบัติของมันคือสามารถเพิ่มความเร็วให้กับผู้ใช้งานได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่สำคัญยันต์ชนิดนี้ยังสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยตัวเองเมื่อสัมผัสได้ว่าผู้ครอบครองมีอันตรายถึงชีวิต

และความเร็วของโอวหยางชิงเฟิงในตอนที่อยู่ในการคุ้มครองของยันต์อักขระอัสนีนั้นสูงมากเสียจนทำให้เกิดภาพลวงตาได้ชั่วขณะ เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ทูตสวรรค์เก้าดาราหรืออาจจะสูงกว่าเสียด้วยซ้ำ

เมื่อเขาเร่งความเร็วในพริบตาจึงทำให้เกิดภาพเงาร่าง ณ จุดเดิมที่เคยอยู่ และที่มันสามารถคงอยู่ได้ชั่วครู่ก็เป็นผลจากการจำแลงของอักขระอัสนี ก่อนเคลื่อนย้ายคุณชายรองตระกูลโอวหยางมีเวลาเพียงพอที่จะแสร้งทำหน้าเจ็บปวด ในขณะที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจเงาลวงตา ตัวจริงของเขาก็ย้ายไปอยู่ด้านหลังของหลิวหว่านเยียนเป็นที่เรียบร้อย และสิ่งที่เห็นแตกสลายไปราวกับเม็ดทรายก็คือการสูญสลายของอักขระอัสนี

ด้วยวิธีนี้เองที่ทำให้โอวหยางชิงเฟิงคล้ายหายตัวได้ราวกับภูตผี และยังถีบคู่ต่อสู้ตกลงไปจากลานประลองได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของเขาก็อยู่ในสายตาของบุรุษผู้หนึ่งตลอดเวลา  คนผู้นั้นคือจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียนราชสำนัก–มู่อวิ๋น

เดิมทีท่านอธิการก็เตรียมพร้อมจะเคลื่อนไหวแล้ว ทว่าเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของโอวหยางชิงเฟิงเสียก่อนจึงนั่งนิ่งลงตามเดิม

นับเป็นโชคดีของดรุณีตระกูลหลิว เพราะถ้าหากให้มู่อวิ๋นลงมือ ผลลัพธ์อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เพราะวิธีเดียวที่จะหยุดหลิวหว่านเยียนในระยะไกลขนาดนี้ได้ทันท่วงทีในสถานการณ์แบบนี้ มีเพียงแต่ต้องส่งพลังวิญญาณพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของหลิวหว่านเยียนเพื่อทำให้นางหมดสติไปก่อน ซึ่งวิธีนี้ว่าอันตรายต่อตัวจอมยุทธ์สาวน้อยผู้นั้นเป็นอย่างมากและอาจจะทำให้นางสูญเสียพลังยุทธ์ไปอย่างถาวรเลยก็เป็นได้

“น่าละอายจริง ๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่ในโรงเรียน”

ตอนนั้นเองที่หลินซิวหยาเอ่ยปากขึ้นมา สำหรับบุรุษผู้ยึดมั่นในคุณธรรมแล้ว บุคคลที่เขาเกลียดมากก็คือผู้ที่ลอบกัดผู้อื่น หากสตรีผู้นั้นเอาชนะโอวหยางชิงเฟิงอย่างเปิดเผย เขาก็คงจะไม่นึกเดียดฉันท์นางเช่นนี้แน่

“ท่านอธิการ  ข้าอยากจะให้ขอให้ท่านพิจารณา บุคคลผู้นี้กล้าเล่นงานสหายร่วมโรงเรียนจากด้านหลังและตั้งใจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตซึ่งสมควรจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนราชสำนัก !”

บุรุษผู้รังเกียจการกระทำต่ำช้าจ้องมองผู้มีตำแหน่งสูงสุดของโรงเรียนแล้วเอ่ยปากขอให้เขาดำเนินมาตรการร้ายแรงกับสตรีน่าละอาย

“พวกเราเองก็เห็นด้วยกับรุ่นพี่หลินซิวหยา คนผู้นี้ไม่คู่ควรจะอยู่ในโรงเรียนเราอีกต่อไป โปรดไล่นางออกไปจากโรงเรียน เพราะหากว่านางยังอยู่ต่อไปก็จะทำให้ชื่อเสียงของโรงเรียนเสื่อมเสียได้”

นักเรียนบางคนเริ่มส่งเสียงสนับสนุน น้ำเสียงของทุกคนเต็มไปด้วยความหนักแน่นจริงจัง

แต่เดิมโรงเรียนราชสำนักมีกฎอยู่ว่าห้ามทำร้ายสหายร่วมสถาบัน เว้นเสียแต่จัดให้มีการประลองซึ่งเป็นที่ยินยอมทั้งสองฝ่าย ทว่าในกรณีนี้เป็นการแข่งขัน ดังนั้นกฎข้อนี้จึงถูกระงับเอาไว้

อย่างไรก็ตามการกระทำของหลิวหว่านเยียนถือว่าต่ำช้าเป็นอย่างมากเพราะนางตั้งใจจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงแก่ชีวิต อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของนักเรียนทั้งโรงเรียน แม้ว่าในกฎการแข่งขันจะไม่มีข้อห้ามเกี่ยวกับเรื่องการลอบทำร้าย แต่เหตุการณ์อุกอาจที่เกิดขึ้นไม่ว่านักเรียนคนใดก็ไม่อาจยอมรับได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ในสายตาของผู้คนเกือบทั้งหมดในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือเหล่าอาจารย์ ทุกคนต่างก็เห็นอย่างชัดเจนว่าก่อนหน้านี้โอวหยางชิงเฟิงได้รับชัยชนะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่หลิวหว่านเยียนกลับยังคงลงมือเล่นงานจากด้านหลัง ที่สำคัญนางถึงกับคิดจะสังหารเขา

ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรหลิวหว่านเยียนก็ควรจะถูกทางโรงเรียนลงโทษสถานหนัก

“ท่านอธิการโปรดไล่หลิวหว่านเยียนออกจากโรงเรียนด้วย !”

นักเรียนจำนวนมากมองหลิวหว่านเยียนที่อยู่บนพื้นด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนจะส่งเสียงร้องขอให้มู่อวิ๋นขับไล่สตรีจิตใจสกปรกออกไปจากโรงเรียนดังระงม

ท่านมู่อวิ๋นพยักหน้าพร้อมกับยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เขาเองก็ตัดสินใจได้แล้วเช่นกัน

“หลิวหว่านเยียนกล้าทำร้ายถึงขั้นหมายชีวิตของเพื่อนร่วมโรงเรียนลับหลัง การกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิดร้ายแรง ข้าขอประกาศว่านับตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าไม่ใช่นักเรียนแห่งโรงเรียนราชสำนักอีกแล้ว และทางโรงเรียนไม่ขอต้อนรับเจ้าเข้ามาอีกในอนาคต”

ในฐานะอาจารย์ เมื่อครั้งได้เห็นการกระทำของหลิวหว่านเยียนเขาก็ทั้งตกใจและเจ็บปวด เหตุใดศิษย์ในโรงเรียนราชสำนักถึงมีจิตใจอำมหิตไม่เกรงกลัวเช่นนั้น ทว่าในฐานะอธิการเรื่องนี้ก็ปล่อยไปไม่ได้เช่นกัน ต่อให้นักเรียนทั้งหลายไม่เรียกร้อง เขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้ดรุณีผู้นี้อยู่ในโรงเรียนต่อได้อีกแล้ว

เพราะถ้าหากปล่อยให้ผู้กระทำความผิดร้ายแรงยังลอยนวลอยู่ได้ในโรงเรียนก็อาจจะกลายเป็นตัวอย่างที่เลวร้าย นอกจากจะส่งผลต่อชื่อเสียงของสถาบันแล้ว ในอนาคตก็อาจจะมีผลให้มีนักเรียนบางคนยึดถือเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่เกรงกลัวการกระทำผิด ลงมือกับนักเรียนคนอื่นอย่างเหี้ยมโหด แน่นอนว่ามู่อวิ๋นจะไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้นได้โดยเด็ดขาด

ในตอนที่ลุกยืนขึ้นได้ หลิวหว่านเยียนก็ได้ยินสิ่งที่อธิการมู่อวิ๋นกล่าวพอดี แม้จะอยากกล่าวคำโต้แย้งก็มิอาจทำได้ ใบหน้าของนางซีดเผือดราวกับวิญญาณหลุดออกไปจากร่าง

เมื่อหันมองไปรอบข้าง โฉมงามอันดับเจ็ดก็พบเจอแต่สายตารังเกียจข้นแค้น

ในชั่วพริบตาใบหน้าของหลิวหว่านเยียนก็บิดเบี้ยวถึงขีดสุด

“ได้ เหตุการณ์ในวันนี้ ข้าหลิวหว่านเยีนจะขอจดจำเอาไว้ !”

นางจ้องมองฉินอวี้โม่ โอวหยางชิงเฟิงก่อนจะหันไปมองมู่อวิ๋น สายตาของสตรีงดงามผู้มีนิสัยริษยาอาฆาตแค้นเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดชิงชังสุดหัวใจ

สิ้นประโยคดังกล่าว หลิวหว่านเยียนก็เชิดหน้าขึ้นสูง วางท่าหยิ่งผยองราวกับเป็นราชินีผู้ยิ่งใหญ่ก่อนจะก้าวเท้าออกไปจากสนามประลองอย่างช้า ๆ

“คนผู้นี้ไม่สมควรจะอยู่ในสิบอันดับโฉมงาม ข้าจะหาวิธีประสานงานเพื่อให้นางหลุดออกไปจากตำแหน่งนี้ให้ได้”

เจียงหลิวเยว่เอ่ยวาจาไม่สั้นไม่ยาว ทว่ามันกลับสั่นคลอนหัวใจของหลิวหว่านเยียนหนักหน่วง ร่างกายเย้ายวนสั่นสะท้านไม่อาจควบคุม

การสูญเสียทั้งตำแหน่งสิบโฉมงามและสถานะของนักเรียนของโรงเรียนราชสำนัก แทบไม่ต่างกับการที่นางสูญสิ้นทุกอย่างในชีวิต

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กลับมีความรู้สึกเห็นใจผู้พ่ายแพ้ในศึกรอบนี้ที่น้อยนิดเหลือเกิน สำหรับหลิวหว่านเยียน ชะตาเช่นนี้นับว่าเหมาะสมกับสิ่งที่นางก่อแล้ว

เมื่อเห็นว่าสตรีโฉมงามผู้มีจิตใจไม่งามเดินน้ำตานองหน้ากลับไปยังหอพักเพื่อเก็บข้าวของ นักเรียนทุกคนก็เลิกสนใจนางและหันไปให้จดจ่อกับการแข่งขันรอบใหม่บนลานประลองแทน

นั่นก็เพราะว่าในศึกในคู่ถัดไปก็เป็นหนึ่งในศึกที่ทุกคนตั้งตารอคอยมากที่สุด

เพราะมันคือการเผชิญหน้ากันระหว่างหลินซิวหยาและหลินหยวน สองยอดฝีมือระดับแนวหน้าที่อยู่ยังแถวหน้าสุดของโรงเรียนราชสำนัก

หลินซิวหยาคือบุรุษที่ชื่นชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจจนถึงขั้นคลั่งไคล้ เขามีประสบการณ์อันโชกโชน บุรุษร่างใหญ่ผู้นี้ยิ้มแย้มแจ่มใสแต่ก็กล้าท้าทายทุกคนไม่เลือกข้าง ขอเพียงเป็นคนที่แข็งแกร่งจนเขาอยากประชันยุทธ์ด้วยจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ไม่นับว่าเกี่ยวข้อง

หลินหยวนคือบุรุษผู้เงียบขรึม เขาไม่เคยขึ้นไปชิงอันดับในทำเนียบนภาและเลือกจะรับภารกิจเพื่อให้ได้หินมายามาใช้ในการฝึกฝนแทน ไม่ว่าจะเป็นภารกิจตามหาสิ่งของ หาผู้คน หรือล่าอสูรมายาเขาก็ไม่เกี่ยง เขาเป็นผู้ที่ชื่นชอบการทำงานคนเดียว

ในเวลาเพียงหนึ่งปีหลินหยวนสามารถทำภารกิจระดับสูงสำเร็จได้นับไม่ถ้วน และเป็นเหตุผลให้เขาไม่เคยขาดแคลนหินมายาสำหรับการขึ้นไปยังหอคอยวิญญาณ ไม่ต้องกล่าวถึงอันดับในทำเนียบใด ๆ เพราะเพียงแค่ความเร็วในการทำภารกิจก็พิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของจ้าวแห่งภารกิจผู้นี้ได้แล้ว

นอกจากนี้ทั้งสองคนยังนับว่ามีรูปลักษณ์ที่ดูดีไม่น้อยเลยด้วย

หลินซิวหยารูปร่างกำยำ หน้าตาคมเข้ม เขาเป็นบุรุษอารมณ์ดี อัธยาศัยไมตรีเป็นเลิศ ในขณะที่หลินหยวนมีรูปลักษณ์สุขุมลึกล้ำแต่ทว่าก็สง่างามชวนค้นหา ใบหน้าติดหวานเล็กน้อย พวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นที่นิยมของสตรีทุกชั้นปีในโรงเรียน บางคนยังถึงกับแอบหมายปองจะได้ครองคู่กับหนึ่งในสองผู้แข็งแกร่งนี้อีกด้วย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงส่งผลให้การประลองของคนคู่นี้เป็นที่สนอกสนใจของนักเรียนทุกคน

แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดอยากจะพลาดชมการประลองของคู่นี้ หากสังเกตดี ๆ ในเวลานี้จะว่านักเรียนที่มารวมตัวกันบริเวณรอบเวทีประลองดูหนาตาขึ้นกว่ารอบก่อน ๆ มาก บางคนถึงกับรีบวิ่งหน้าตั้งออกไปตามสหายเพื่อมาชมการต่อสู้ของคู่นี้ ขณะที่หลายคนจับจองที่นั่งดี ๆ รอคอยสหาย

เมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้นพวกเขาก็ไม่ผิดหวัง การต่อสู้ของยอดฝีมือคู่นี้นับเป็นการประลองที่ดุเดือดติดอันดับต้น ๆ ตั้งแต่เริ่มการแข่งมา ไม่ใช่แค่เพียงพลังมายา แต่ทั้งคู่ต่างก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งไม่น้อยหน้ากัน ทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าปะทะกันตั้งแต่เริ่มต้น การต่อสู้เป็นไปในระยะประชิดที่มีพลังมายาเข้าเสริมสร้าง ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสูสี ต่างฝ่ายต่างใช้ทักษะยุทธ์ออกมาโดยไม่คิดออมมือ

ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็มองไม่ออกเลยว่าผู้ใดเป็นฝ่ายได้เปรียบ สองจอมยุทธ์พัวกันอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งการต่อสู้ล่วงเลยเข้าไปถึงชั่วยามที่สามที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มออกอาการอ่อนล้าจึงทราบผลแพ้ชนะได้

ผู้ชนะในศึกนี้ก็คือหลินซิวหยา ต้องทราบก่อนว่าในช่วงลมหายใจที่บุรุษร่างใหญ่พิชิตชัยได้นั้นก็ยังไม่มีผู้ใดมองเห็นสัญญาณของฝ่ายที่จะเป็นผู้เพลี่ยงพล้ำเลย

ทว่าเป็นเพราะในจังหวะสุดท้ายหลินซิวหยาจู่โจมได้เฉียบขาดและรวดเร็วกว่าอีกฝ่ายครึ่งก้าวจึงเอาชนะมาได้ เมื่อเห็นผลแล้วทั้งสองฝ่ายก็หยุดมือทันที

ทางด้านหลินหยวนเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากนัก บุรุษทั้งสองเดินมาจับมือกันก่อนจะเดินลงไปจากลานประลองท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องดังก้องสนามประลองของผู้ชมจำนวนมาก พวกเขาต่างก็คึกคักและมีความสุขกับการได้ชมการต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อและดุเดือดเลือดพล่าน

ฉินอวี้โม่ที่ได้ชมการประลองของรุ่นพี่ทั้งสองก็พยักหน้าด้วยความชอบใจเช่นกัน

แม้ว่าหลินซิวหยากับหลินหยวนจะต่อสู้กันอย่างสุดฝีมือกว่าจะทราบผลแพ้ชนะ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะงัดเอาไม้ตายอันรุนแรงอย่างนภายุทธ์ หรือเรียกอสูรมายาออกมาใช้งานเลย

ทั้งคู่ต่อสู้กันด้วยกระบวนท่าและทักษะการต่อสู้ที่แท้จริงของตนเอง อย่างไรก็ตาม การประลองพวกเขากลับเข้มข้นดุเดือดจนน่าอัศจรรย์

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งหลินซิวหยาและหลินหยวนไม่ได้ด้อยไปกว่าจีหย่งที่แตะเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ไปแล้วครึ่งก้าวเลยสักนิด ถ้าหากประมือกันโดยไม่พึ่งพาอสูรมายา ฉินอวี้โม่ก็คิดว่าบุรุษทั้งสองคงจะเหนือกว่าจีหย่งเสียด้วยซ้ำ

เมื่อชมการต่อสู้แสนเร่าร้อนเช่นนี้ก็ทำให้หลายคนอดนึกเสียดายไม่ได้ ถ้าวันนี้สุดยอดจอมยุทธ์อย่างปิงเสวียนและลั่วเฉินยังคงอยู่ พวกเขาก็น่าจะได้ชมการต่อสู้อันยิ่งกว่าสุดยอดจากทั้งสองคน

ทุกคนทราบดี ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนักเรียนอันดับหนึ่งและสองของโรงเรียนนั้นเหนือชั้นยิ่งกว่าหลินซิวหยาและหลินหยวนมาก ถ้าทั้งสองคนได้มาต่อสู้กันบนลานประลองแห่งนี้โดยงัดเอาศักยภาพที่แท้จริงของตนออกมาประชัน มันก็คงจะเป็นการต่อสู้แสนอัศจรรย์จนอยากที่จะลืมได้

และเมื่อรวมเข้ากับดาวรุ่งโดดเด่นที่ซึ่งมีพลังในระดับที่ยากจะหยั่งถึงอย่างฉินอวี้โม่แล้ว ศึกประชันยุทธ์ของโรงเรียนปีนี้ก็จะต้องกลายเป็นศึกที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนอย่างไม่ต้องสงสัย

น่าเสียดายที่เรื่องนั้นเป็นเพียงจินตนาการ เพราะทั้งลั่วเฉินและปิงเสวียนก็ไม่อยู่แล้ว เมื่อฉินอวี้โม่โค่นจีหย่งไปได้ก็ถือว่าเวลานี้ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่น่าจับตามองมากที่สุดและมีโอกาสคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้มากที่สุดมีอยู่สามคน ได้แก่หลินซิวหยา ฉินอวี้โม่ และอีกคนก็คือหลี่จิ้งที่ยังไม่ทราบถึงพลังและความเก่งกาจอันแน่ชัด

อีกเพียงครึ่งชั่วยามถัดมาการแข่งขันรอบสิบหกคนสุดท้ายก็สิ้นสุด

ก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้า ทางโรงเรียนก็ได้โฉมหน้าของนักเรียนที่เข้าสู่รอบแปดคนสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย

และหลังจากการจับสลากประกบคู่ ผลก็ปรากฏว่า ผู้ที่จะต้องรับมือกับหลินซิวหยาในรอบถัดไปก็คือโอวหยางชิงเฟิง หลี่จิ้งได้ประมือกับหลิวฉาน เนี่ยหรูเฟิงต้องพบกับลั่วอวิ๋น และคู่สุดท้ายเป็นศึกของสองนารี ฉินอวี้โม่พบเจอกับเพ่ยหลง

ผู้เข้าประชันในรอบแปดคนสุดท้ายนี้ล้วนเป็นบุคคลที่ฉินอวี้โม่รู้จักทั้งหมด ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ อดีตนักฆ่าสาวก็เชื่อว่ามันคงจะเป็นการต่อสู้ที่ดีและเต็มไปด้วยมิตรภาพ

แน่นอนว่าการต่อสู้ในคู่ของหลินซิวหยาและหลี่จิ้งหลายคนพอจะคาดเดาตัวตนของว่าที่ผู้ชนะได้แล้วจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นและคึกคักมากนัก

ทว่าการปะทะกันของเนี่ยหรูเฟิงและลั่วอวิ๋น กับฉินอวี้โม่และเพ่ยหลงนั้นสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เหลือล้น

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 178 ขับไล่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 178 ขับไล่

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ !”

เมื่อได้สติกลับคืนมาและได้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลิวหว่านเยียน ทุกคนก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

สตรีผู้เพิ่งกระทำเรื่องน่ารังเกียจถูกถีบตกลงไปจากลานประลองอย่างง่ายดาย ใบหน้าที่เคยเชิดสูงกระแทกเข้ากับพื้นน่าอนาถ ดูเหมือนว่าหลิวหว่านเยียนจะตั้งสติรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ทันจึงถูกถีบกระเด็นตกลงมาเช่นนั้น

ไม่มีผู้ใดเลยที่คิดจะเข้าไปช่วยรับตัวไว้ตอนเห็นนางตกลงมาจากด้านบน ยิ่งไปกว่านั้นคนหลายคนที่ยืนอยู่ในรัศมีกระทบพสุธาของนางก็ต่างพร้อมใจรีบแหวกทางหลบหลีกออกไป นั่นมิใช่ใจไม้ไส้ระกำ แต่เป็นเพราะพวกเขาเองก็ตกใจมากเช่นกัน

และผลลัพธ์สุดท้ายคือ หลิวหว่านเยียนตกลงไปอยู่บนพื้น ‘ในท่าหมากินอาหาร*’ ซึ่งดูน่าขำอยู่ไม่น้อย นี่เองจึงเป็นที่มาของเสียงหัวเราะที่ดังลั่นไปทั่วลานประลอง

*ท่าทางที่ก้นชี้ฟ้า ใบหน้าแนบชิดพื้นดิน

“สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดิน แม้แต่ในสภาพแบบนี้ก็ยังไม่ธรรมดา หากว่านี่คือการแข่งขันออกท่าทางให้งดงาม นางก็อาจจะชนะเลิศด้วยท่านี้ก็ได้ !”

เยว่ชิงเฉิงที่เพิ่งได้สติกลับมากล่าววาจาถากถาง

นางเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในตอนที่หลิวหว่านเยียนลอบใช้กระบี่แทงเข้าใส่โอวหยางชิงเฟิงจากทางด้านหลังในตอนที่เขาพลั้งเผลอ ทุกคนก็ได้เห็นกันอย่างชัดเจน

กับสตรีที่กระทำเรื่องไร้ยางอายอย่างหลิวหว่านเยียนผู้นี้ แน่นอนว่าเยว่ชิงเฉิงไม่คิดที่จะแสดงความเห็นใจหรือมีไมตรีด้วยโดยเด็ดขาด ตั้งแต่ส่งคนลอบทำร้ายฉินอวี้โม่จนถึงตอนนี้ก็ยังลอบเล่นงานโอวหยางชิงเฟิง โฉมงามผู้ใจทรามไม่เคยคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“ใช่ ศึกประชันยุทธ์ปีนี้เต็มไปด้วยสีสันจริง ๆ ขนาดหลิวหว่านเยียนที่เป็นถึงโฉมงามอันดับเจ็ดก็ยังลงทุนทำท่าทางน่าหัวเราะเช่นนั้นให้ดู คุ้มแล้วจริง ๆ ที่มาเข้าชมในวันนี้”

“นั่นสินะ แม่นางหลิว เจ้าประสบความสำเร็จในการเป็นที่สนใจของผู้คนแล้วล่ะ มีพฤติกรรมน่าขยะแขยงแบบนี้เจ้าคงจะกลายเป็นตำนานเล่าขานไปอีกนานเชียวล่ะ”

ผู้ชมทั้งชายหญิงหลายคนต่างพากันกล่าวสนับสนุนคำล้อเลียนของคุณหนูช่างหลอม ไม่มีใครแสดงความเห็นใจหลิวหว่านเยียนเลยแม้แต่คนเดียว เพราะเมื่อครู่นางเพิ่งจะกระทำการอันต่ำช้าไม่น่าให้อภัย เรื่องนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะยอมรับได้

ในการประลองโอวหยางชิงเฟิงสามารถเล่นงานหลิวหว่านเยียนให้บาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิตได้ แต่เขาก็หยุดมือลงเสียก่อน นั่นก็เพราะว่านี่เป็นเพียงการประชันยุทธ์ในโรงเรียน แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดอยากจะให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น แต่หลิวหว่านเยียนกลับใช้ประโยชน์จากความปรานีนั้นลอบเล่นงานอีกฝ่ายอย่างอำมหิต กระบี่นั้นของนางพุ่งตรงไปยังจุดตายของโอวหยางชิงเฟิง ส่อเจตนาชัดเจนว่าหมายใจจะทำให้เขาถึงแก่ชีวิต

นี่ไม่ใช่วิถีแห่งจอมยุทธ์ที่ดี มันถือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างที่สุดเลยด้วยซ้ำ ในโรงเรียนราชสำนักสิ่งที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์เรียนรู้ควบคู่ไปกับการพัฒนาความแข็งแกร่งคือคุณธรรม ในเมื่อคู่ต่อสู้ยอมละเว้นให้ อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงการประชันฝีมือระหว่างเพื่อนร่วมสถาบัน จงใจจะสังหารกันให้ตายเช่นนี้จึงเป็นเรื่องไม่สมควรอภัย

ในครั้งนี้หลิวหว่านเยียนนับว่าพลาดมหันต์ เพราะนางได้ขุดหลุมฝังตำแหน่งสาวงามที่เคยมีและหยิบยกเอาความริษยาของตนเองมาตีแผ่ต่อหน้าสาธารณชนแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันนักเรียนหลายคนก็นึกฉงนกับทักษะการเคลื่อนที่ประหลาดตาที่โอวหยางชิงเฟิงใช้หลบหลีกกระบี่ของสตรีริษยา ในตอนที่เห็นกระบี่ของหลิวหว่านเยียนแทงทะลุร่างของเขา ทุกคนต่างก็คิดว่าคุณชายรองตระกูลโอวหยางคงต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่ ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถปรากฏตัวด้านหลังคู่ต่อสู้ได้อย่างน่าประหลาด อีกทั้งยังถีบนางตกเวทีไปได้คล้ายกับไม่มีอาการบาดเจ็บ

ต้องบอกเลยว่าแม้แต่ฉินอวี้โม่เองก็ยังมองการเคลื่อนไหวของสหายได้ไม่ชัดเจน

“สตรีต่ำช้า ข้าไม่ควรจะยั้งมือให้เจ้าเลยจริง ๆ เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเตรียมรับมือไว้ก่อนหน้า ข้าคงจะถูกเจ้าฆ่าตายไปแล้ว ! ”

โอวหยางชิงมองคู่ประลองที่เล่นไม่ซื่อด้วยสายตาเดือดดาล หากไม่ใช่เพราะเขามีอุปกรณ์คุ้มภัยที่ได้มาจากตระกูลก็เกรงว่าถ้าไม่กลายเป็นศพเขาก็คงจะบาดเจ็บสาหัสด้วยน้ำมือของนางไปแล้วเป็นแน่

เหตุผลที่โอวหยางชิงเฟิงสามารถไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของหลิวหว่านเยียนได้ก็เป็นเพราะเขามียันต์คุ้มภัยติดกายไว้ ยันต์แผ่นนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ยันต์อักขระอัสนี’ 

แต่เดิมของสิ่งนี้เป็นสมบัติของผู้นำตระกูลโอวหยาง ยันต์อักขระอัสนีนี้เป็นสมบัติปกป้องชีวิตที่ถูกสร้างโดยสุดยอดฝีมือแห่งแผ่นดินผู้หนึ่งและนับเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างมหาศาล คุณสมบัติของมันคือสามารถเพิ่มความเร็วให้กับผู้ใช้งานได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่สำคัญยันต์ชนิดนี้ยังสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยตัวเองเมื่อสัมผัสได้ว่าผู้ครอบครองมีอันตรายถึงชีวิต

และความเร็วของโอวหยางชิงเฟิงในตอนที่อยู่ในการคุ้มครองของยันต์อักขระอัสนีนั้นสูงมากเสียจนทำให้เกิดภาพลวงตาได้ชั่วขณะ เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ทูตสวรรค์เก้าดาราหรืออาจจะสูงกว่าเสียด้วยซ้ำ

เมื่อเขาเร่งความเร็วในพริบตาจึงทำให้เกิดภาพเงาร่าง ณ จุดเดิมที่เคยอยู่ และที่มันสามารถคงอยู่ได้ชั่วครู่ก็เป็นผลจากการจำแลงของอักขระอัสนี ก่อนเคลื่อนย้ายคุณชายรองตระกูลโอวหยางมีเวลาเพียงพอที่จะแสร้งทำหน้าเจ็บปวด ในขณะที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจเงาลวงตา ตัวจริงของเขาก็ย้ายไปอยู่ด้านหลังของหลิวหว่านเยียนเป็นที่เรียบร้อย และสิ่งที่เห็นแตกสลายไปราวกับเม็ดทรายก็คือการสูญสลายของอักขระอัสนี

ด้วยวิธีนี้เองที่ทำให้โอวหยางชิงเฟิงคล้ายหายตัวได้ราวกับภูตผี และยังถีบคู่ต่อสู้ตกลงไปจากลานประลองได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของเขาก็อยู่ในสายตาของบุรุษผู้หนึ่งตลอดเวลา  คนผู้นั้นคือจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียนราชสำนัก–มู่อวิ๋น

เดิมทีท่านอธิการก็เตรียมพร้อมจะเคลื่อนไหวแล้ว ทว่าเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของโอวหยางชิงเฟิงเสียก่อนจึงนั่งนิ่งลงตามเดิม

นับเป็นโชคดีของดรุณีตระกูลหลิว เพราะถ้าหากให้มู่อวิ๋นลงมือ ผลลัพธ์อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เพราะวิธีเดียวที่จะหยุดหลิวหว่านเยียนในระยะไกลขนาดนี้ได้ทันท่วงทีในสถานการณ์แบบนี้ มีเพียงแต่ต้องส่งพลังวิญญาณพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของหลิวหว่านเยียนเพื่อทำให้นางหมดสติไปก่อน ซึ่งวิธีนี้ว่าอันตรายต่อตัวจอมยุทธ์สาวน้อยผู้นั้นเป็นอย่างมากและอาจจะทำให้นางสูญเสียพลังยุทธ์ไปอย่างถาวรเลยก็เป็นได้

“น่าละอายจริง ๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่ในโรงเรียน”

ตอนนั้นเองที่หลินซิวหยาเอ่ยปากขึ้นมา สำหรับบุรุษผู้ยึดมั่นในคุณธรรมแล้ว บุคคลที่เขาเกลียดมากก็คือผู้ที่ลอบกัดผู้อื่น หากสตรีผู้นั้นเอาชนะโอวหยางชิงเฟิงอย่างเปิดเผย เขาก็คงจะไม่นึกเดียดฉันท์นางเช่นนี้แน่

“ท่านอธิการ  ข้าอยากจะให้ขอให้ท่านพิจารณา บุคคลผู้นี้กล้าเล่นงานสหายร่วมโรงเรียนจากด้านหลังและตั้งใจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตซึ่งสมควรจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนราชสำนัก !”

บุรุษผู้รังเกียจการกระทำต่ำช้าจ้องมองผู้มีตำแหน่งสูงสุดของโรงเรียนแล้วเอ่ยปากขอให้เขาดำเนินมาตรการร้ายแรงกับสตรีน่าละอาย

“พวกเราเองก็เห็นด้วยกับรุ่นพี่หลินซิวหยา คนผู้นี้ไม่คู่ควรจะอยู่ในโรงเรียนเราอีกต่อไป โปรดไล่นางออกไปจากโรงเรียน เพราะหากว่านางยังอยู่ต่อไปก็จะทำให้ชื่อเสียงของโรงเรียนเสื่อมเสียได้”

นักเรียนบางคนเริ่มส่งเสียงสนับสนุน น้ำเสียงของทุกคนเต็มไปด้วยความหนักแน่นจริงจัง

แต่เดิมโรงเรียนราชสำนักมีกฎอยู่ว่าห้ามทำร้ายสหายร่วมสถาบัน เว้นเสียแต่จัดให้มีการประลองซึ่งเป็นที่ยินยอมทั้งสองฝ่าย ทว่าในกรณีนี้เป็นการแข่งขัน ดังนั้นกฎข้อนี้จึงถูกระงับเอาไว้

อย่างไรก็ตามการกระทำของหลิวหว่านเยียนถือว่าต่ำช้าเป็นอย่างมากเพราะนางตั้งใจจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงแก่ชีวิต อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของนักเรียนทั้งโรงเรียน แม้ว่าในกฎการแข่งขันจะไม่มีข้อห้ามเกี่ยวกับเรื่องการลอบทำร้าย แต่เหตุการณ์อุกอาจที่เกิดขึ้นไม่ว่านักเรียนคนใดก็ไม่อาจยอมรับได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ในสายตาของผู้คนเกือบทั้งหมดในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือเหล่าอาจารย์ ทุกคนต่างก็เห็นอย่างชัดเจนว่าก่อนหน้านี้โอวหยางชิงเฟิงได้รับชัยชนะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่หลิวหว่านเยียนกลับยังคงลงมือเล่นงานจากด้านหลัง ที่สำคัญนางถึงกับคิดจะสังหารเขา

ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรหลิวหว่านเยียนก็ควรจะถูกทางโรงเรียนลงโทษสถานหนัก

“ท่านอธิการโปรดไล่หลิวหว่านเยียนออกจากโรงเรียนด้วย !”

นักเรียนจำนวนมากมองหลิวหว่านเยียนที่อยู่บนพื้นด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนจะส่งเสียงร้องขอให้มู่อวิ๋นขับไล่สตรีจิตใจสกปรกออกไปจากโรงเรียนดังระงม

ท่านมู่อวิ๋นพยักหน้าพร้อมกับยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เขาเองก็ตัดสินใจได้แล้วเช่นกัน

“หลิวหว่านเยียนกล้าทำร้ายถึงขั้นหมายชีวิตของเพื่อนร่วมโรงเรียนลับหลัง การกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิดร้ายแรง ข้าขอประกาศว่านับตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าไม่ใช่นักเรียนแห่งโรงเรียนราชสำนักอีกแล้ว และทางโรงเรียนไม่ขอต้อนรับเจ้าเข้ามาอีกในอนาคต”

ในฐานะอาจารย์ เมื่อครั้งได้เห็นการกระทำของหลิวหว่านเยียนเขาก็ทั้งตกใจและเจ็บปวด เหตุใดศิษย์ในโรงเรียนราชสำนักถึงมีจิตใจอำมหิตไม่เกรงกลัวเช่นนั้น ทว่าในฐานะอธิการเรื่องนี้ก็ปล่อยไปไม่ได้เช่นกัน ต่อให้นักเรียนทั้งหลายไม่เรียกร้อง เขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้ดรุณีผู้นี้อยู่ในโรงเรียนต่อได้อีกแล้ว

เพราะถ้าหากปล่อยให้ผู้กระทำความผิดร้ายแรงยังลอยนวลอยู่ได้ในโรงเรียนก็อาจจะกลายเป็นตัวอย่างที่เลวร้าย นอกจากจะส่งผลต่อชื่อเสียงของสถาบันแล้ว ในอนาคตก็อาจจะมีผลให้มีนักเรียนบางคนยึดถือเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่เกรงกลัวการกระทำผิด ลงมือกับนักเรียนคนอื่นอย่างเหี้ยมโหด แน่นอนว่ามู่อวิ๋นจะไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้นได้โดยเด็ดขาด

ในตอนที่ลุกยืนขึ้นได้ หลิวหว่านเยียนก็ได้ยินสิ่งที่อธิการมู่อวิ๋นกล่าวพอดี แม้จะอยากกล่าวคำโต้แย้งก็มิอาจทำได้ ใบหน้าของนางซีดเผือดราวกับวิญญาณหลุดออกไปจากร่าง

เมื่อหันมองไปรอบข้าง โฉมงามอันดับเจ็ดก็พบเจอแต่สายตารังเกียจข้นแค้น

ในชั่วพริบตาใบหน้าของหลิวหว่านเยียนก็บิดเบี้ยวถึงขีดสุด

“ได้ เหตุการณ์ในวันนี้ ข้าหลิวหว่านเยีนจะขอจดจำเอาไว้ !”

นางจ้องมองฉินอวี้โม่ โอวหยางชิงเฟิงก่อนจะหันไปมองมู่อวิ๋น สายตาของสตรีงดงามผู้มีนิสัยริษยาอาฆาตแค้นเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดชิงชังสุดหัวใจ

สิ้นประโยคดังกล่าว หลิวหว่านเยียนก็เชิดหน้าขึ้นสูง วางท่าหยิ่งผยองราวกับเป็นราชินีผู้ยิ่งใหญ่ก่อนจะก้าวเท้าออกไปจากสนามประลองอย่างช้า ๆ

“คนผู้นี้ไม่สมควรจะอยู่ในสิบอันดับโฉมงาม ข้าจะหาวิธีประสานงานเพื่อให้นางหลุดออกไปจากตำแหน่งนี้ให้ได้”

เจียงหลิวเยว่เอ่ยวาจาไม่สั้นไม่ยาว ทว่ามันกลับสั่นคลอนหัวใจของหลิวหว่านเยียนหนักหน่วง ร่างกายเย้ายวนสั่นสะท้านไม่อาจควบคุม

การสูญเสียทั้งตำแหน่งสิบโฉมงามและสถานะของนักเรียนของโรงเรียนราชสำนัก แทบไม่ต่างกับการที่นางสูญสิ้นทุกอย่างในชีวิต

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กลับมีความรู้สึกเห็นใจผู้พ่ายแพ้ในศึกรอบนี้ที่น้อยนิดเหลือเกิน สำหรับหลิวหว่านเยียน ชะตาเช่นนี้นับว่าเหมาะสมกับสิ่งที่นางก่อแล้ว

เมื่อเห็นว่าสตรีโฉมงามผู้มีจิตใจไม่งามเดินน้ำตานองหน้ากลับไปยังหอพักเพื่อเก็บข้าวของ นักเรียนทุกคนก็เลิกสนใจนางและหันไปให้จดจ่อกับการแข่งขันรอบใหม่บนลานประลองแทน

นั่นก็เพราะว่าในศึกในคู่ถัดไปก็เป็นหนึ่งในศึกที่ทุกคนตั้งตารอคอยมากที่สุด

เพราะมันคือการเผชิญหน้ากันระหว่างหลินซิวหยาและหลินหยวน สองยอดฝีมือระดับแนวหน้าที่อยู่ยังแถวหน้าสุดของโรงเรียนราชสำนัก

หลินซิวหยาคือบุรุษที่ชื่นชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจจนถึงขั้นคลั่งไคล้ เขามีประสบการณ์อันโชกโชน บุรุษร่างใหญ่ผู้นี้ยิ้มแย้มแจ่มใสแต่ก็กล้าท้าทายทุกคนไม่เลือกข้าง ขอเพียงเป็นคนที่แข็งแกร่งจนเขาอยากประชันยุทธ์ด้วยจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ไม่นับว่าเกี่ยวข้อง

หลินหยวนคือบุรุษผู้เงียบขรึม เขาไม่เคยขึ้นไปชิงอันดับในทำเนียบนภาและเลือกจะรับภารกิจเพื่อให้ได้หินมายามาใช้ในการฝึกฝนแทน ไม่ว่าจะเป็นภารกิจตามหาสิ่งของ หาผู้คน หรือล่าอสูรมายาเขาก็ไม่เกี่ยง เขาเป็นผู้ที่ชื่นชอบการทำงานคนเดียว

ในเวลาเพียงหนึ่งปีหลินหยวนสามารถทำภารกิจระดับสูงสำเร็จได้นับไม่ถ้วน และเป็นเหตุผลให้เขาไม่เคยขาดแคลนหินมายาสำหรับการขึ้นไปยังหอคอยวิญญาณ ไม่ต้องกล่าวถึงอันดับในทำเนียบใด ๆ เพราะเพียงแค่ความเร็วในการทำภารกิจก็พิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของจ้าวแห่งภารกิจผู้นี้ได้แล้ว

นอกจากนี้ทั้งสองคนยังนับว่ามีรูปลักษณ์ที่ดูดีไม่น้อยเลยด้วย

หลินซิวหยารูปร่างกำยำ หน้าตาคมเข้ม เขาเป็นบุรุษอารมณ์ดี อัธยาศัยไมตรีเป็นเลิศ ในขณะที่หลินหยวนมีรูปลักษณ์สุขุมลึกล้ำแต่ทว่าก็สง่างามชวนค้นหา ใบหน้าติดหวานเล็กน้อย พวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นที่นิยมของสตรีทุกชั้นปีในโรงเรียน บางคนยังถึงกับแอบหมายปองจะได้ครองคู่กับหนึ่งในสองผู้แข็งแกร่งนี้อีกด้วย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงส่งผลให้การประลองของคนคู่นี้เป็นที่สนอกสนใจของนักเรียนทุกคน

แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดอยากจะพลาดชมการประลองของคู่นี้ หากสังเกตดี ๆ ในเวลานี้จะว่านักเรียนที่มารวมตัวกันบริเวณรอบเวทีประลองดูหนาตาขึ้นกว่ารอบก่อน ๆ มาก บางคนถึงกับรีบวิ่งหน้าตั้งออกไปตามสหายเพื่อมาชมการต่อสู้ของคู่นี้ ขณะที่หลายคนจับจองที่นั่งดี ๆ รอคอยสหาย

เมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้นพวกเขาก็ไม่ผิดหวัง การต่อสู้ของยอดฝีมือคู่นี้นับเป็นการประลองที่ดุเดือดติดอันดับต้น ๆ ตั้งแต่เริ่มการแข่งมา ไม่ใช่แค่เพียงพลังมายา แต่ทั้งคู่ต่างก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งไม่น้อยหน้ากัน ทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าปะทะกันตั้งแต่เริ่มต้น การต่อสู้เป็นไปในระยะประชิดที่มีพลังมายาเข้าเสริมสร้าง ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสูสี ต่างฝ่ายต่างใช้ทักษะยุทธ์ออกมาโดยไม่คิดออมมือ

ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็มองไม่ออกเลยว่าผู้ใดเป็นฝ่ายได้เปรียบ สองจอมยุทธ์พัวกันอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งการต่อสู้ล่วงเลยเข้าไปถึงชั่วยามที่สามที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มออกอาการอ่อนล้าจึงทราบผลแพ้ชนะได้

ผู้ชนะในศึกนี้ก็คือหลินซิวหยา ต้องทราบก่อนว่าในช่วงลมหายใจที่บุรุษร่างใหญ่พิชิตชัยได้นั้นก็ยังไม่มีผู้ใดมองเห็นสัญญาณของฝ่ายที่จะเป็นผู้เพลี่ยงพล้ำเลย

ทว่าเป็นเพราะในจังหวะสุดท้ายหลินซิวหยาจู่โจมได้เฉียบขาดและรวดเร็วกว่าอีกฝ่ายครึ่งก้าวจึงเอาชนะมาได้ เมื่อเห็นผลแล้วทั้งสองฝ่ายก็หยุดมือทันที

ทางด้านหลินหยวนเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากนัก บุรุษทั้งสองเดินมาจับมือกันก่อนจะเดินลงไปจากลานประลองท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องดังก้องสนามประลองของผู้ชมจำนวนมาก พวกเขาต่างก็คึกคักและมีความสุขกับการได้ชมการต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อและดุเดือดเลือดพล่าน

ฉินอวี้โม่ที่ได้ชมการประลองของรุ่นพี่ทั้งสองก็พยักหน้าด้วยความชอบใจเช่นกัน

แม้ว่าหลินซิวหยากับหลินหยวนจะต่อสู้กันอย่างสุดฝีมือกว่าจะทราบผลแพ้ชนะ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะงัดเอาไม้ตายอันรุนแรงอย่างนภายุทธ์ หรือเรียกอสูรมายาออกมาใช้งานเลย

ทั้งคู่ต่อสู้กันด้วยกระบวนท่าและทักษะการต่อสู้ที่แท้จริงของตนเอง อย่างไรก็ตาม การประลองพวกเขากลับเข้มข้นดุเดือดจนน่าอัศจรรย์

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งหลินซิวหยาและหลินหยวนไม่ได้ด้อยไปกว่าจีหย่งที่แตะเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ไปแล้วครึ่งก้าวเลยสักนิด ถ้าหากประมือกันโดยไม่พึ่งพาอสูรมายา ฉินอวี้โม่ก็คิดว่าบุรุษทั้งสองคงจะเหนือกว่าจีหย่งเสียด้วยซ้ำ

เมื่อชมการต่อสู้แสนเร่าร้อนเช่นนี้ก็ทำให้หลายคนอดนึกเสียดายไม่ได้ ถ้าวันนี้สุดยอดจอมยุทธ์อย่างปิงเสวียนและลั่วเฉินยังคงอยู่ พวกเขาก็น่าจะได้ชมการต่อสู้อันยิ่งกว่าสุดยอดจากทั้งสองคน

ทุกคนทราบดี ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนักเรียนอันดับหนึ่งและสองของโรงเรียนนั้นเหนือชั้นยิ่งกว่าหลินซิวหยาและหลินหยวนมาก ถ้าทั้งสองคนได้มาต่อสู้กันบนลานประลองแห่งนี้โดยงัดเอาศักยภาพที่แท้จริงของตนออกมาประชัน มันก็คงจะเป็นการต่อสู้แสนอัศจรรย์จนอยากที่จะลืมได้

และเมื่อรวมเข้ากับดาวรุ่งโดดเด่นที่ซึ่งมีพลังในระดับที่ยากจะหยั่งถึงอย่างฉินอวี้โม่แล้ว ศึกประชันยุทธ์ของโรงเรียนปีนี้ก็จะต้องกลายเป็นศึกที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนอย่างไม่ต้องสงสัย

น่าเสียดายที่เรื่องนั้นเป็นเพียงจินตนาการ เพราะทั้งลั่วเฉินและปิงเสวียนก็ไม่อยู่แล้ว เมื่อฉินอวี้โม่โค่นจีหย่งไปได้ก็ถือว่าเวลานี้ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่น่าจับตามองมากที่สุดและมีโอกาสคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้มากที่สุดมีอยู่สามคน ได้แก่หลินซิวหยา ฉินอวี้โม่ และอีกคนก็คือหลี่จิ้งที่ยังไม่ทราบถึงพลังและความเก่งกาจอันแน่ชัด

อีกเพียงครึ่งชั่วยามถัดมาการแข่งขันรอบสิบหกคนสุดท้ายก็สิ้นสุด

ก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้า ทางโรงเรียนก็ได้โฉมหน้าของนักเรียนที่เข้าสู่รอบแปดคนสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย

และหลังจากการจับสลากประกบคู่ ผลก็ปรากฏว่า ผู้ที่จะต้องรับมือกับหลินซิวหยาในรอบถัดไปก็คือโอวหยางชิงเฟิง หลี่จิ้งได้ประมือกับหลิวฉาน เนี่ยหรูเฟิงต้องพบกับลั่วอวิ๋น และคู่สุดท้ายเป็นศึกของสองนารี ฉินอวี้โม่พบเจอกับเพ่ยหลง

ผู้เข้าประชันในรอบแปดคนสุดท้ายนี้ล้วนเป็นบุคคลที่ฉินอวี้โม่รู้จักทั้งหมด ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ อดีตนักฆ่าสาวก็เชื่อว่ามันคงจะเป็นการต่อสู้ที่ดีและเต็มไปด้วยมิตรภาพ

แน่นอนว่าการต่อสู้ในคู่ของหลินซิวหยาและหลี่จิ้งหลายคนพอจะคาดเดาตัวตนของว่าที่ผู้ชนะได้แล้วจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นและคึกคักมากนัก

ทว่าการปะทะกันของเนี่ยหรูเฟิงและลั่วอวิ๋น กับฉินอวี้โม่และเพ่ยหลงนั้นสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เหลือล้น

.

Options

not work with dark mode
Reset