คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 184 ความคุ้นเคยแปลกประหลาด

ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา ฉินอวี้โม่ก็เข้ามาอยู่ในดินแดนต้องห้ามเป็นเวลาเจ็ดวันแล้ว

ในช่วงหลายวันมานี้คุณหนูตระกูลฉินและคณะอสูรของนางพยายามมุ่งหน้าเดินล่วงเข้าไปในลึกของป่ามากขึ้นเรื่อย ๆ

นับเป็นเรื่องโชคดีอย่างยิ่งที่ตลอดเส้นทางอันรกชัฏและยาวไกลนั้นไม่มีสิ่งไม่คาดฝันใดเกิดขึ้น หรืออาจกล่าวให้ชัดเจนได้ว่า ตั้งแต่วันแรกจนถึงขณะนี้คณะเดินทางของฉินอวี้โม่ไม่ได้พบเจออสูรมายาที่แข็งแกร่งเลยแม้แต่ตัวเดียว

เพราะชื่อเสียงด้านความอันตรายของสถานที่ทำให้ฉินอวี้โม่ไม่กล้าประมาท อดีตสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูยังไม่อยากพบเจอเรื่องราวยุ่งยากตั้งแต่แรกเริ่มเข้ามาในดินแดนแสนลึกลับ ดังนั้นตลอดเส้นทางที่เดินผ่านมา นางจึงสั่งให้มารยาใช้ประสาทสัมผัสและการรับรู้อันเฉียบคมตรวจสอบบริเวณโดยรอบเพื่อป้องกันไม่ให้อสูรระดับสูงหรือพวกที่มีพลังแข็งแกร่งจนเกินต้านทานบุกเข้ามาจู่โจมคณะเดินทางได้

ทันทีที่มารยาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทรงพลังจากทิศทางใดทิศทางหนึ่งเบื้องหน้า ฉินอวี้โม่ก็จะตัดสินใจเดินอ้อมหรือเปลี่ยนเส้นทางในทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะได้พบเจอ ‘เจ้าของกลิ่นอายทรงพลัง’ ในทิศทางนั้น

ฉินอวี้โม่มุ่งมั่นเดินทางโดยอาศัยความช่วยจากมารยา แม้ว่าจะปรับเปลี่ยนเส้นทางอยู่หลายครั้งแต่ทิศทางหลักที่คุณหนูสี่และคณะอสูรก้าวเดินไปก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

โฉมนารีผู้มีวิญญาณของนักฆ่าบังเกิดความรู้สึกจากส่วนลึกของจิตใจว่า ในทิศทางที่นางมุ่งหน้าไปมีบางสิ่งกำลังเรียกหา ถึงแม้จะบอกไม่ได้ว่าคือสิ่งใด ทว่าเจ้าสิ่งประหลาดดังกล่าวกลับมีแรงดึงดูดอันมหาศาลต่อตัวนาง นั่นเองเป็นเหตุให้สตรีขี้สงสัยอย่างฉินอวี้โม่ต้องการเข้าไปตรวจสอบดูให้รู้แจ้ง

“นายหญิง ไม่ไกลจากตรงหน้าเรา มีอสูรสวรรค์ยักษาวานรอยู่ ความแข็งแกร่งของมันดูเหมือนจะไม่ด้อยไปกว่าท่านหลิวหยา พวกเราควรจะเข้าไปดูมันหน่อยดีหรือไม่ ?”

มารยาปลดปล่อยพลังในการรับรู้ของตัวเองออกไปปกคลุมพื้นที่โดยรอบอีกครั้ง ในครั้งนี้อสูรสาวโฉมงามสัมผัสถึงอสูรสวรรค์ตัวหนึ่งได้ มันคือ–ยักษาวานร

“ลองไปดูหน่อยก็ดี พวกเราอยู่ในป่าแห่งนี้มาเจ็ดวันแล้วแต่ก็ยังไม่พบอะไร ข้าคิดว่าอาจจะต้องทำให้มันเชื่องเพื่อลอบถามถึงสถานการณ์แปลก ๆ ของดินแดนต้องห้ามในตอนนี้”

อสูรทั้งหลายในสังกัด พยักหน้าแข็งขันก่อนจะออกเดินตามสตรีผู้เป็นนาย มุ่งตรงไปหาสิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า

หลังจากเดินทางต่อไปได้ไม่ไกลนักทัศนียภาพรอบข้างก็เปลี่ยนแปลง ฉินอวี้โม่และคณะพบว่าต้นไม้รอบกายเริ่มเบาบางลงเรื่อย ๆ กระทั่งในที่สุดที่ราบโล่งเตียงกว้างขวางก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทว่าสิ่งที่สะดุดสายตาชาวคณะมากที่สุดก็คือ อสูรที่มีร่างกายใหญ่โตมโหฬารตนหนึ่ง รูปร่างของมันคล้ายคลึงกับมนุษย์ทว่าทั่วทั้งตัวปกคลุมไปด้วยขนสีเหลือง ดูเหมือนว่าเจ้าอสูรขนาดยักษ์จะกำลังนอนหลับอยู่

“เฮ้ เจ้าตัวใหญ่ ลุกขึ้นมาคุยกันหน่อยสิ”

เสี่ยวเฮยร้องตะโกนเสียงดังพลางจ้องมองยักษาวานร น้ำเสียงของอาชาสีรัตติกาลเจือแววท้าทายเล็กน้อย

ด้านเจ้าอสูรร่างยักษ์นั้น เมื่อถูกเสี่ยวเฮยรบกวนการนอนก็ลืมตาตื่นขึ้น ใบหน้าใหญ่โตมีอารมณ์ขุ่นเคืองฉายชัด มันจ้องมองเสี่ยวเฮยด้วยสายตาดุร้าย ก่อนจะเหลือบไปเห็นฉินอวี้โม่ที่กำลังยืนยิ้มอยู่

“พวกเจ้า เหตุใดถึงกล้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของผู้อื่น !”

ยักษาวานรลุกขึ้นยืน ในท่ายืนเต็มความสูงเช่นนี้ร่างกายของมันไม่ต่างจากต้นไม้ขนาดมหึมา เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้ายักษ์ใหญ่ ฉินอวี้โม่มีความสูงเพียงแค่เท้าของมันเท่านั้น

“เจ้าตัวใหญ่ เจ้าจะยอมจำนนหรือจะตาย ?”

เสี่ยวจินโพล่งประโยคที่ฉินอวี้โม่และซิวมักจะใช้เป็นประจำออกมา ก่อนจะยิ้มเย้ยอสูรร่างมโหฬารตรงหน้า

แม้ว่ายักษาวานรจะถือว่าเป็นอสูรที่แข็งแกร่งและทรงพลังมากแต่มันก็มีปัญญา ยักษ์ขนเหลืองประเมินแล้วว่า การเผชิญหน้าอสูรระดับอสูรสวรรค์กับใกล้ล่วงอสูรสวรรค์จำนวนนับสิบเช่นนี้ ตัวมันมีแต่จะเสียเปรียบหนักหน่วงและไม่มีทางเอาชนะได้

ซึ่งก็ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เองที่ทำให้ทั้งเสี่ยวจินและเสี่ยวเฮยวางท่าเอ่ยวาจาขู่เข็ญฝ่ายตรงข้ามที่มีขนาดใหญ่กว่านับสิบเท่าอย่างไม่นึกเกรงกลัว ‘พวกพ้องของมันมากกว่า กับแค่ยักษ์มหึมาขนสีนกขมิ้นนี่ มีหรือจะกล้าแหย็ม’

และสิ่งที่อาชาโอหังคิดก็ไม่ผิดนัก เจ้ายักษาวานร ไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวสิ่งใดออกมาด้วยซ้ำ พิจารณาเพียงชั่วครู่ยักษ์ใหญ่ใจปลาซิวก็ยอมเปลี่ยนให้มีขนาดเท่ามนุษย์แล้วรอให้สตรีผู้เป็นนายของอสูรทรงพลังจำนวนมากเริ่มสร้างพันธสัญญาอย่างว่าง่าย

สำหรับยักษาวานร มันยกเรื่องนี้ให้เป็นความดีความชอบของสติปัญญาตนเอง  อสูรที่เฉลียวฉลาดจะรู้คิด แทนที่จะถูกรุมกระทืบจนเละก่อนจะถูกบีบให้เชื่องและทำพันธสัญญา มิสู้มันยอมศิโรราบแต่โดยดีเสียดีกว่า หากทำเช่นนี้จะได้ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อโดยไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม ในอีกแง่หนึ่งอสูรผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีบางตนกลับมองว่าเป็นเรื่องของอสูรใจเสาะไปเสีย

ด้วยอากัปกิริยาศิโรราบของอสูรขนาดมหึมาตนนี้ทำให้ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเริ่มกระบวนการทำพันธสัญญากับเจ้ายักษาวานรตัวนี้ทันที

“หือ ?! คุ้นเคยยิ่งนัก”

หลังจากเสร็จสิ้นการทำพันธสัญญา ยักษาวานรก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลจากกายของสตรีผู้เป็นนาย ในตอนนั้นเองที่มันชะงักและแข็งค้างไป เจ้ายักษ์ขนเหลืองมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอึ้งงัน

“เจ้าคุ้นเคยสิ่งใดอย่างนั้นหรือ ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของยักษาวานร ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถาม

“กลิ่นอายของนายหญิง”

อสูรมายาร่างยักษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย มันรู้สึกคลับคล้ายว่าเคยสัมผัสถึงกลิ่นอายเช่นนี้จากที่ใดที่หนึ่งมาก่อน

ฉินอวี้โม่เองก็อึ้งไปชั่วขณะ ยักษาวานรน่าจะกำลังสื่อความถึงกายเทพมายาของนาง มันคงจะรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายจากกายเทพมายา

… ‘แต่ทำไมเล่า ? เหตุใด ยักษาวานรที่อยู่ภายในดินแดนต้องห้ามจึงรู้สึกคุ้นเคยกับกายเทพมายาได้ ? นี่ฟังดูไม่สมเหตุผลแม้แต่น้อย เท่าที่อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูเข้าใจ กายเทพมายาเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมากว่าพันปีแล้วมิใช่หรือ ?’…

ทว่าหลังจากใช้เวลาทบทวนอยู่นาน อสูรสวรรค์ขนาดใหญ่ก็ยังนึกไม่ออกว่ามันรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายเช่นนี้ได้อย่างไรหรือเคยสัมผัสมาจากที่ไหน

เมื่อเห็นว่าสหายใหม่ตัวโตดูสับสนเป็นอย่างมาก ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดไถ่ถามเอาความอีก ในเมื่อยักษาวานรรู้สึกว่ามันคุ้นเคย นั่นแสดงว่ามันคงจะเคยสัมผัสถึงกลิ่นอายเช่นนี้จากที่ใดสักที่ในดินแดนต้องห้ามนี้แน่นอน คุณหนูตระกูลฉินคิดว่าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่แน่ว่าอีกไม่นานนางอาจจะได้พบสิ่งนั้นก็เป็นได้

อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ยักษาวานรรู้สึกประหลาดใจเป็นล้นพ้นคือตัวมันได้เลื่อนระดับขึ้นหลังจากผูกพันธสัญญากับฉินอวี้โม่ ทว่าความประหลาดใจนี้นำมาซึ่งความดีใจล้นเหลือ อสูรสีเหลืองในร่างมนุษย์หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ถึงอย่างไรเหล่าอสูรก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่โหยหาความแข็งแกร่ง การเลื่อนระดับมีความสำคัญกับพวกมันมากกว่าเหล่ามนุษย์หลายเท่านัก

“ยักษาวานร ข้ามีสิ่งต้องขอร้อง ช่วยอธิบายสภาพการณ์โดยภาพรวมขอผืนป่าแห่งนี้ให้พวกเราฟังหน่อย”

ฉินอวี้โม่ยเอ่ยปากถามฉับพลัน นี่เป็นสิ่งที่นางอยากรู้เหนือเรื่องอื่นใดในเวลานี้

ยักษาวานรพยักหน้าก่อนบอกเล่า “นายหญิง ในป่าแห่งนี้มีอสูรมายาที่ทรงพลังเป็นจำนวนมาก ที่แข็งแกร่งระดับเดียวกับข้าก็มีมากมายหลายตัว หรือพวกที่แข็งแกร่งกว่าข้าก็มีให้เห็นไม่น้อย ได้ยินมาว่าจุดที่น่ากลัวที่สุดในป่าแห่งนี้ก็คือบริเวณใจกลางของป่า บริเวณนั้นมีอสูรมายาที่ทรงพลังอยู่ทั้งหมดเจ็ดตัว แต่ละตัวอยู่ในระดับจักรพรรดิอสูรสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นมีบางตัวเกือบจะแตะเข้าสู่ระดับเทพอสูรด้วยซ้ำ แต่มันก็แค่เรื่องเล่าขาน ตัวข้าเองก็ไม่เคยเข้าไปบริเวณนั้นมาก่อน ข้าไม่รู้หรอกว่าเรื่องนี้จริงเท็จเพียงใด”

ยักษาวานร เข้าใจได้ในทันทีว่าฉินอวี้โม่ต้องการข้อมูลลักษณะใด มันจึงบอกเล่าข้อมูลที่ตัวมันเองคิดว่าน่าสนใจออกไปทั้งหมด

ฉินอวี้โม่พยักหน้า บริเวณใจกลางป่ามีอสูรที่แข็งแกร่งอาศัยอยู่มากมายนั่นย่อมหมายถึงมันจะต้องมีบางสิ่งที่ล้ำค่าถูกซุกซ่อนไว้ และไม่ว่าจะคิดอย่างไรอสูรระดับสูงทั้งเจ็ดตัวก็คงจะคอยเฝ้าของล้ำค่านั้นอยู่แน่นอน

“จริงสิ ข้านึกออกแล้ว”

จู่ ๆ ยักษาวานร ก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ “นายหญิง มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ข้ากำลังจะเข้าไปยังส่วนลึกของป่า ในตอนนั้นข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังมาก พอมาคิดดูตอนนี้ กลิ่นอายนั้นทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน ที่สำคัญมันให้ความรู้สึกที่คล้ายกับกลิ่นอายที่ข้าสัมผัสได้จากนายหญิง”

เมื่อเทียบกับเหล่าอสูรขาใหญ่ในถิ่นนี้ ยักษาวานรก็ไม่นับว่าแข็งแกร่งจนต้องยำเกรง อันที่จริงต้องกล่าวว่ามันแทบจะเป็นอสูรธรรมดาเสียมากกว่า แน่นอนว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลัง เจ้ายักษ์ใหญ่ก็ไม่กล้าเข้าไปบริเวณนั้นอีก ทว่านี่ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะอสูรมายาตัวอื่น ๆ ในป่าลึกลับแห่งนี้ก็ไม่มีตัวใดที่กล้าเข้าไปบริเวณใจกลางป่าเช่นกัน

กลิ่นอายนั้นทรงพลังถึงระดับที่พวกมันไม่มีทางต่อต้านได้เลย หากต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตเหนือชั้นผู้ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขามดังกล่าว อสูรทุกตัวต่างก็ทำได้เพียงยอมจำนน จนถึงตอนนี้ ยักษาวานรก็ยังไม่เคยล่วงรู้เลยว่ามันเป็นกลิ่นอายของสิ่งน่าสะพรึงกลัวแบบใดกันแน่

หลังจากผูกพันธสัญญากับฉินอวี้โม่ มันก็รับรู้กลิ่นอายจากกายเทพมายาของนาง ในตอนนั้น อสูรขนสีอำพันรู้คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นความคุ้นเคยในเชิงหวาดหวั่นจับใจ ในตอนนี้มันนึกขึ้นมาได้แล้วว่ากลิ่นอายที่มันรู้สึกหวาดผวาอย่างเคยคุ้นในครานั้นกับกลิ่นอายจากร่างกายของสตรีผู้เป็นเจ้านายไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

ข้อมูลที่ยักษาวานรบอกเล่าทำให้หัวใจของฉินอวี้โม่ถี่รัวขึ้นโดยไม่อาจควบคุม หากว่านางคาดเดาไม่ผิด ดินแดนลึกลับแห่งนี้จะต้องมีบางอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับกายเทพมายาซุกซ่อนอยู่แน่นอน และมีความเป็นไปได้สูงว่านั่นต้องเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่ทำให้ซิวรู้สึกคุ้นเคยจนต้องกำชับให้นางกลับเข้ามาที่นี่อีก

ทว่านี่ยังเป็นเพียงการคาดการของนางเท่านั้น หญิงสาวผู้ครอบครองกายเทพมายายังไม่มั่นใจนักว่ามันจะใช่สิ่งที่ซิวเอ่ยถึงจริงหรือไม่ ซึ่งไม่ว่าอย่างไร ก่อนที่ซิวจะตื่นขึ้นมา นางก็คงจะต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเองก่อน

“เฮ้อ~ มันคงจะง่ายกว่านี้มาก ถ้าตอนนี้ซิวตื่นแล้ว”

ฉินอวี้โม่ทอดถอนใจอย่างไร้หนทาง แต่ถึงแม้จะรำพึงรำพันเพียงใด นางก็ตัดสินใจพาคณะอสูรเดินทางไปล่วงลึกเข้าไปใจกลางผืนป่าอย่างมุ่งมั่น พื้นที่ต้องสงสัยบริเวณนั้นจะต้องได้รับการสำรวจก่อนเป็นอย่างแรก

แม้สิ่งที่ยักษาวานรบอกจะเป็นความจริง แต่ในป่าแห่งนี้ก็มีอสูรมายาที่แข็งแกร่งอยู่เป็นจำนวนมาก การจะไปให้ถึงจุดนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายดาย อย่างไรก็ตาม สตรีเช่นฉินอวี้โม่ก็ไม่นึกเกรงกลัว

เวลานี้นางคิดจะสำรวจไปพลาง ๆ ก่อนขณะรอให้ซิวตื่นขึ้นมา เมื่อถึงตอนนั้นนางเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างคงจะกระจ่างชัด

“ยักษาวานร เจ้าคุ้นกับเส้นทางในป่าแห่งนี้ เช่นนั้นช่วยนำทางพวกเราที ข้าและสหายตัวอื่น ๆ จะคอยคุ้มกันให้ มีพวกเราอยู่เจ้าวางใจได้ ถึงจะพบเจอกับอสูรทั้งเจ็ดตัวนั้นก็ไม่น่าจะมีอันตราย”

ฉินอวี้โม่เอ่ยขอสหายใหม่ร่างใหญ่ยักษ์พร้อมกับปลอบประโลมมัน เจ้ายักษาวานรอยู่ในป่าแห่งนี้มาเกือบร้อยปีแล้ว แน่นอนว่ามันคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าพวกนางอย่างไม่ต้องสงสัย

“รับทราบ นายหญิง”

ยักษาวานรพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นชายหนุ่มและเดินนำหน้าขบวนสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยหนึ่งมนุษย์กับหลายอสูร มุ่งหน้าตรงเข้าไปยังใจกลางป่าต้องห้าม

ด้วยการนำทางของอสูรมายาผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ทำให้การเดินทางของฉินอวี้โม่ราบรื่นกว่าเดิมไม่น้อย ในระยะเวลาเพียงสามวันคณะเดินทางอวี้โม่ก็ค่อย ๆ เข้าใกล้เขตใจกลางของป่าได้โดยไร้อุปสรรค

ต้องบอกเลยว่าความลึกลับของป่าต้องห้ามแห่งนี้ไม่ได้น้อยไปกว่าป่าเหมันต์ที่นางเคยไปมาก่อนหน้านี้เลยสักนิด ความกว้างใหญ่ไพศาลของพื้นที่เองก็ไม่ต่างกันมาก แม้ว่าจะเข้าใกล้ใจกลางแล้วก็ตาม แต่จากคำบอกเล่าของยักษาวานร เพียงการสำรวจพื้นที่ใจกลางนั้นอย่างเดียวก็คงจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน ๆ แล้ว

ในตอนนั้นเองอสูรสาวมารยาก็สัมผัสกลิ่นอายที่ทรงพลังและดูไม่ปกติอย่างหนึ่งได้ มันเป็นกลิ่นอายที่แข็งแกร่งถึงระดับที่เจ้าอสูรสาวยังรู้สึกอิจฉา อสูรผู้มีต้นกำเนิดมาจากน้ำแข็งรีบบอกตำแหน่งโดยประมาณของที่มาแห่งกลิ่นอายนั้นให้นายหญิงรับรู้เพื่อให้นางระวังตัวในทันที

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและใช้ความระมัดระวังมากขึ้น การประเมินกำลังสำคัญมาก หากเป็นในตอนที่ยังไม่มีซิวเช่นนี้ นางก็ยังไม่อยากพาคณะเดินทางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอสูรที่แข็งแกร่ง

เรื่องราวในป่าเหมันต์ก่อนหน้านี้ มีมังกรเหมันต์คือตัวอย่างชั้นดี แม้ว่าจะใช้นักเรียนหัวกะทิจากทั้งโรงเรียนราชสำนักช่วยกันต่อสู้ อีกทั้งยังได้เปรียบจากการที่หานอวี้ใช้แรงกดดันทางสายเลือดคอยข่มมันแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจเอาชนะได้

ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่เป็นมนุษย์เพียงหนึ่งเดียว อาจจะเรียกว่าอยู่ตัวคนเดียวก็ว่าได้ แม้ว่าจะมีอสูรมายามากมายคอยช่วย แต่เมื่อลองจินตนาการว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอสูรที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับมังกรเหมันต์ นางก็ยังคิดว่าไม่น่าจะรับมือกันมันได้อยู่ดี

จักรพรรดิอสูรสวรรค์และอสูรสวรรค์ธรรมดามีช่องว่างของพลังที่ห่างกันมาก อสูรสวรรค์ธรรมดาแม้ว่าจะมีอยู่นับสิบตัวแต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับจักรพรรดิอสูรสวรรค์เพียงตัวเดียว

ระหว่างอสูรด้วยกันเองจะมีสิ่งที่เรียกว่าแรงกดดันแห่งระดับพลังอยู่ สิ่งนี้นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการต่อสู้กันระหว่างอสูร มันเข้มข้นรุนแรงและมีอิทธิพลเหนือกว่าของมนุษย์ที่มีต่อกันมาก เพียงแรงกดดันของจักรพรรดิอสูรสวรรค์ก็สามารถลดพลังในการต่อสู้ของอสูรสวรรค์ธรรมดาไปได้อย่างมหาศาลแล้ว !

หลังจากเดินทางกันต่ออีกครึ่งวัน ต้นไม้รอบกายก็เริ่มหนาแน่นขึ้น ขณะนี้บรรยากาศรอบข้างให้ความรู้สึกกดดันและหนักอึ้งยากที่จะเคลื่อนไหว ดูราวกับว่าบางสิ่งที่ทรงพลังเหลือแสนใกล้จะปรากฏตัวออกมาแล้ว

“นายหญิง หากเรายังเดินทางกันต่อในไม่ช้าเราจะเข้าถึงเขตแดนของอสูรทรงอำนาจ พวกเราควรจะมุ่งหน้าต่อไปเช่นนี้หรือไม่ ?”

ยักษ์ใหญ่ผู้นำขบวนเอ่ยถามด้วยเสียงที่ติดจะสั่นเครือ ตรงหน้าของมันในตอนนี้น่าจะเป็นอาณาเขตของอสูรทรงพลังที่มันนึกหวาดหวั่น หากไม่ระมัดระวังให้ดีก็อาจถูกอสูรตัวนั้นพบเข้าและจะต้องตกอยู่ในอันตรายไม่อาจเลี่ยง

“เราจะเข้าไป แต่ต้องใช้การระวังภัยระดับสูงสุด ทุกตัวจำไว้ให้ดี ถ้าต้องเจออสูรที่ทรงพลังเราจะหนีก่อนเป็นอันดับแรก เวลานี้เราจะยังไม่สู้กับมัน ห้ามบุ่มบ่ามออกมาทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและตัดสินใจมุ่งหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง

จริงอยู่ว่าการเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอสูรสวรรค์หรืออสูรที่สูงกว่านั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่มาก เพราะแม้ว่าจะสู้ไม่ได้แต่ก็ยังหนีเอาตัวรอดได้ ทว่าสิ่งหนึ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งก็คือหากมีการปะทะเกิดขึ้น ก็อาจจะเป็นการดึงดูดความสนใจของอสูรขาใหญ่ทั้งเจ็ดให้เข้ามา ไม่ต้องกล่าวถึงการเข้ามาพร้อมกันเจ็ดตัวเลย เพราะแค่จำนวนสามตัวก็เพียงพอที่จะทำให้คณะเดินทางอวี้โม่กลายเป็นมื้ออาหารอันโอชะไปในพริบตาแล้ว

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ย่อมไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ก่อนที่ซิวจะตื่นขึ้น นางจะยังไม่เสี่ยงคิดต่อกรกับอสูรที่ทรงพลังซึ่ง ๆ หน้า

เสี่ยวเฮยและเหล่าสหายพยักหน้าก่อนจะหลบเข้าไปในกำไลมิติที่หานโม่ฉือเคยให้ฉินอวี้โม่ไว้เพื่อซ่อนตัว

ขณะนี้อสูรที่ยังอยู่ด้านนอกกับคุณหนูสี่ตระกูลฉินเหลือเพียงมารยาและยักษาวานรเท่านั้น ตัวหนึ่งเดินอยู่ด้านซ้าย ตัวหนึ่งอยู่ด้านขวาเคียงข้างไปกับนายหญิงของพวกมันเพื่อคุ้มกัน

หนึ่งคนกับอีกสองอสูรในร่างมนุษย์กำลังตรงเข้าไปในอาณาเขตของอสูรขาใหญ่อย่างช้า ๆ โดยใช้ความระมัดระวังถึงขีดสุด

ประสาทสัมผัสและพลังการรับรู้ของมารยานั้นเหนือชั้นไร้ที่เปรียบ อสูรสาวสามารถรับรู้ได้ถึงตำแหน่งของอสูรตัวอื่น ๆ และใช้ประโยชน์จากความสามารถนี้เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายได้ เมื่อรวมเข้ากับความคุ้นชินในพื้นที่ของยักษ์ใหญ่ยักษาวานรก็ทำให้การเดินทางของฉินอวี้โม่น่าจะราบรื่นแม้ว่าจะตกอยู่ในพื้นที่อันตราย

ด้วยการที่ในกลุ่มมีจำนวนเพียงสามทำให้ความคล่องตัวสูงขึ้นมาก แม้ว่าจะต้องตกอยู่ในวงล้อมของอสูรมายาก็น่าจะหนีเอาตัวรอดได้อย่างหมดห่วง

หลังจากก้าวเดินต่อไปได้อีกเพียงร้อยก้าว ทันใดนั้นเองมารยาก็ขมวดคิ้วแน่น

“นายหญิง ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งถึงตัว ดูเหมือนว่ามีอสูรมายาสองตัวกำลังต่อสู้กันอยู่”

คิ้วเรียวของอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูขมวดเล็กน้อยในทันที ก่อนริมฝีปากอิ่มจะเอ่ยคำสั่งการ “นำทางไป ข้าขอไปดูเสียหน่อย”

มารยาพยักหน้าและนำทางฉินอวี้โม่ไปยังตำแหน่งที่มันสัมผัสถึงกลิ่นอายดังกล่าว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 184 ความคุ้นเคยแปลกประหลาด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 184 ความคุ้นเคยแปลกประหลาด

ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา ฉินอวี้โม่ก็เข้ามาอยู่ในดินแดนต้องห้ามเป็นเวลาเจ็ดวันแล้ว

ในช่วงหลายวันมานี้คุณหนูตระกูลฉินและคณะอสูรของนางพยายามมุ่งหน้าเดินล่วงเข้าไปในลึกของป่ามากขึ้นเรื่อย ๆ

นับเป็นเรื่องโชคดีอย่างยิ่งที่ตลอดเส้นทางอันรกชัฏและยาวไกลนั้นไม่มีสิ่งไม่คาดฝันใดเกิดขึ้น หรืออาจกล่าวให้ชัดเจนได้ว่า ตั้งแต่วันแรกจนถึงขณะนี้คณะเดินทางของฉินอวี้โม่ไม่ได้พบเจออสูรมายาที่แข็งแกร่งเลยแม้แต่ตัวเดียว

เพราะชื่อเสียงด้านความอันตรายของสถานที่ทำให้ฉินอวี้โม่ไม่กล้าประมาท อดีตสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูยังไม่อยากพบเจอเรื่องราวยุ่งยากตั้งแต่แรกเริ่มเข้ามาในดินแดนแสนลึกลับ ดังนั้นตลอดเส้นทางที่เดินผ่านมา นางจึงสั่งให้มารยาใช้ประสาทสัมผัสและการรับรู้อันเฉียบคมตรวจสอบบริเวณโดยรอบเพื่อป้องกันไม่ให้อสูรระดับสูงหรือพวกที่มีพลังแข็งแกร่งจนเกินต้านทานบุกเข้ามาจู่โจมคณะเดินทางได้

ทันทีที่มารยาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทรงพลังจากทิศทางใดทิศทางหนึ่งเบื้องหน้า ฉินอวี้โม่ก็จะตัดสินใจเดินอ้อมหรือเปลี่ยนเส้นทางในทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะได้พบเจอ ‘เจ้าของกลิ่นอายทรงพลัง’ ในทิศทางนั้น

ฉินอวี้โม่มุ่งมั่นเดินทางโดยอาศัยความช่วยจากมารยา แม้ว่าจะปรับเปลี่ยนเส้นทางอยู่หลายครั้งแต่ทิศทางหลักที่คุณหนูสี่และคณะอสูรก้าวเดินไปก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

โฉมนารีผู้มีวิญญาณของนักฆ่าบังเกิดความรู้สึกจากส่วนลึกของจิตใจว่า ในทิศทางที่นางมุ่งหน้าไปมีบางสิ่งกำลังเรียกหา ถึงแม้จะบอกไม่ได้ว่าคือสิ่งใด ทว่าเจ้าสิ่งประหลาดดังกล่าวกลับมีแรงดึงดูดอันมหาศาลต่อตัวนาง นั่นเองเป็นเหตุให้สตรีขี้สงสัยอย่างฉินอวี้โม่ต้องการเข้าไปตรวจสอบดูให้รู้แจ้ง

“นายหญิง ไม่ไกลจากตรงหน้าเรา มีอสูรสวรรค์ยักษาวานรอยู่ ความแข็งแกร่งของมันดูเหมือนจะไม่ด้อยไปกว่าท่านหลิวหยา พวกเราควรจะเข้าไปดูมันหน่อยดีหรือไม่ ?”

มารยาปลดปล่อยพลังในการรับรู้ของตัวเองออกไปปกคลุมพื้นที่โดยรอบอีกครั้ง ในครั้งนี้อสูรสาวโฉมงามสัมผัสถึงอสูรสวรรค์ตัวหนึ่งได้ มันคือ–ยักษาวานร

“ลองไปดูหน่อยก็ดี พวกเราอยู่ในป่าแห่งนี้มาเจ็ดวันแล้วแต่ก็ยังไม่พบอะไร ข้าคิดว่าอาจจะต้องทำให้มันเชื่องเพื่อลอบถามถึงสถานการณ์แปลก ๆ ของดินแดนต้องห้ามในตอนนี้”

อสูรทั้งหลายในสังกัด พยักหน้าแข็งขันก่อนจะออกเดินตามสตรีผู้เป็นนาย มุ่งตรงไปหาสิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า

หลังจากเดินทางต่อไปได้ไม่ไกลนักทัศนียภาพรอบข้างก็เปลี่ยนแปลง ฉินอวี้โม่และคณะพบว่าต้นไม้รอบกายเริ่มเบาบางลงเรื่อย ๆ กระทั่งในที่สุดที่ราบโล่งเตียงกว้างขวางก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทว่าสิ่งที่สะดุดสายตาชาวคณะมากที่สุดก็คือ อสูรที่มีร่างกายใหญ่โตมโหฬารตนหนึ่ง รูปร่างของมันคล้ายคลึงกับมนุษย์ทว่าทั่วทั้งตัวปกคลุมไปด้วยขนสีเหลือง ดูเหมือนว่าเจ้าอสูรขนาดยักษ์จะกำลังนอนหลับอยู่

“เฮ้ เจ้าตัวใหญ่ ลุกขึ้นมาคุยกันหน่อยสิ”

เสี่ยวเฮยร้องตะโกนเสียงดังพลางจ้องมองยักษาวานร น้ำเสียงของอาชาสีรัตติกาลเจือแววท้าทายเล็กน้อย

ด้านเจ้าอสูรร่างยักษ์นั้น เมื่อถูกเสี่ยวเฮยรบกวนการนอนก็ลืมตาตื่นขึ้น ใบหน้าใหญ่โตมีอารมณ์ขุ่นเคืองฉายชัด มันจ้องมองเสี่ยวเฮยด้วยสายตาดุร้าย ก่อนจะเหลือบไปเห็นฉินอวี้โม่ที่กำลังยืนยิ้มอยู่

“พวกเจ้า เหตุใดถึงกล้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของผู้อื่น !”

ยักษาวานรลุกขึ้นยืน ในท่ายืนเต็มความสูงเช่นนี้ร่างกายของมันไม่ต่างจากต้นไม้ขนาดมหึมา เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้ายักษ์ใหญ่ ฉินอวี้โม่มีความสูงเพียงแค่เท้าของมันเท่านั้น

“เจ้าตัวใหญ่ เจ้าจะยอมจำนนหรือจะตาย ?”

เสี่ยวจินโพล่งประโยคที่ฉินอวี้โม่และซิวมักจะใช้เป็นประจำออกมา ก่อนจะยิ้มเย้ยอสูรร่างมโหฬารตรงหน้า

แม้ว่ายักษาวานรจะถือว่าเป็นอสูรที่แข็งแกร่งและทรงพลังมากแต่มันก็มีปัญญา ยักษ์ขนเหลืองประเมินแล้วว่า การเผชิญหน้าอสูรระดับอสูรสวรรค์กับใกล้ล่วงอสูรสวรรค์จำนวนนับสิบเช่นนี้ ตัวมันมีแต่จะเสียเปรียบหนักหน่วงและไม่มีทางเอาชนะได้

ซึ่งก็ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เองที่ทำให้ทั้งเสี่ยวจินและเสี่ยวเฮยวางท่าเอ่ยวาจาขู่เข็ญฝ่ายตรงข้ามที่มีขนาดใหญ่กว่านับสิบเท่าอย่างไม่นึกเกรงกลัว ‘พวกพ้องของมันมากกว่า กับแค่ยักษ์มหึมาขนสีนกขมิ้นนี่ มีหรือจะกล้าแหย็ม’

และสิ่งที่อาชาโอหังคิดก็ไม่ผิดนัก เจ้ายักษาวานร ไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวสิ่งใดออกมาด้วยซ้ำ พิจารณาเพียงชั่วครู่ยักษ์ใหญ่ใจปลาซิวก็ยอมเปลี่ยนให้มีขนาดเท่ามนุษย์แล้วรอให้สตรีผู้เป็นนายของอสูรทรงพลังจำนวนมากเริ่มสร้างพันธสัญญาอย่างว่าง่าย

สำหรับยักษาวานร มันยกเรื่องนี้ให้เป็นความดีความชอบของสติปัญญาตนเอง  อสูรที่เฉลียวฉลาดจะรู้คิด แทนที่จะถูกรุมกระทืบจนเละก่อนจะถูกบีบให้เชื่องและทำพันธสัญญา มิสู้มันยอมศิโรราบแต่โดยดีเสียดีกว่า หากทำเช่นนี้จะได้ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อโดยไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม ในอีกแง่หนึ่งอสูรผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีบางตนกลับมองว่าเป็นเรื่องของอสูรใจเสาะไปเสีย

ด้วยอากัปกิริยาศิโรราบของอสูรขนาดมหึมาตนนี้ทำให้ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเริ่มกระบวนการทำพันธสัญญากับเจ้ายักษาวานรตัวนี้ทันที

“หือ ?! คุ้นเคยยิ่งนัก”

หลังจากเสร็จสิ้นการทำพันธสัญญา ยักษาวานรก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลจากกายของสตรีผู้เป็นนาย ในตอนนั้นเองที่มันชะงักและแข็งค้างไป เจ้ายักษ์ขนเหลืองมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอึ้งงัน

“เจ้าคุ้นเคยสิ่งใดอย่างนั้นหรือ ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของยักษาวานร ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถาม

“กลิ่นอายของนายหญิง”

อสูรมายาร่างยักษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย มันรู้สึกคลับคล้ายว่าเคยสัมผัสถึงกลิ่นอายเช่นนี้จากที่ใดที่หนึ่งมาก่อน

ฉินอวี้โม่เองก็อึ้งไปชั่วขณะ ยักษาวานรน่าจะกำลังสื่อความถึงกายเทพมายาของนาง มันคงจะรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายจากกายเทพมายา

… ‘แต่ทำไมเล่า ? เหตุใด ยักษาวานรที่อยู่ภายในดินแดนต้องห้ามจึงรู้สึกคุ้นเคยกับกายเทพมายาได้ ? นี่ฟังดูไม่สมเหตุผลแม้แต่น้อย เท่าที่อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูเข้าใจ กายเทพมายาเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมากว่าพันปีแล้วมิใช่หรือ ?’…

ทว่าหลังจากใช้เวลาทบทวนอยู่นาน อสูรสวรรค์ขนาดใหญ่ก็ยังนึกไม่ออกว่ามันรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายเช่นนี้ได้อย่างไรหรือเคยสัมผัสมาจากที่ไหน

เมื่อเห็นว่าสหายใหม่ตัวโตดูสับสนเป็นอย่างมาก ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดไถ่ถามเอาความอีก ในเมื่อยักษาวานรรู้สึกว่ามันคุ้นเคย นั่นแสดงว่ามันคงจะเคยสัมผัสถึงกลิ่นอายเช่นนี้จากที่ใดสักที่ในดินแดนต้องห้ามนี้แน่นอน คุณหนูตระกูลฉินคิดว่าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่แน่ว่าอีกไม่นานนางอาจจะได้พบสิ่งนั้นก็เป็นได้

อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ยักษาวานรรู้สึกประหลาดใจเป็นล้นพ้นคือตัวมันได้เลื่อนระดับขึ้นหลังจากผูกพันธสัญญากับฉินอวี้โม่ ทว่าความประหลาดใจนี้นำมาซึ่งความดีใจล้นเหลือ อสูรสีเหลืองในร่างมนุษย์หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ถึงอย่างไรเหล่าอสูรก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่โหยหาความแข็งแกร่ง การเลื่อนระดับมีความสำคัญกับพวกมันมากกว่าเหล่ามนุษย์หลายเท่านัก

“ยักษาวานร ข้ามีสิ่งต้องขอร้อง ช่วยอธิบายสภาพการณ์โดยภาพรวมขอผืนป่าแห่งนี้ให้พวกเราฟังหน่อย”

ฉินอวี้โม่ยเอ่ยปากถามฉับพลัน นี่เป็นสิ่งที่นางอยากรู้เหนือเรื่องอื่นใดในเวลานี้

ยักษาวานรพยักหน้าก่อนบอกเล่า “นายหญิง ในป่าแห่งนี้มีอสูรมายาที่ทรงพลังเป็นจำนวนมาก ที่แข็งแกร่งระดับเดียวกับข้าก็มีมากมายหลายตัว หรือพวกที่แข็งแกร่งกว่าข้าก็มีให้เห็นไม่น้อย ได้ยินมาว่าจุดที่น่ากลัวที่สุดในป่าแห่งนี้ก็คือบริเวณใจกลางของป่า บริเวณนั้นมีอสูรมายาที่ทรงพลังอยู่ทั้งหมดเจ็ดตัว แต่ละตัวอยู่ในระดับจักรพรรดิอสูรสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นมีบางตัวเกือบจะแตะเข้าสู่ระดับเทพอสูรด้วยซ้ำ แต่มันก็แค่เรื่องเล่าขาน ตัวข้าเองก็ไม่เคยเข้าไปบริเวณนั้นมาก่อน ข้าไม่รู้หรอกว่าเรื่องนี้จริงเท็จเพียงใด”

ยักษาวานร เข้าใจได้ในทันทีว่าฉินอวี้โม่ต้องการข้อมูลลักษณะใด มันจึงบอกเล่าข้อมูลที่ตัวมันเองคิดว่าน่าสนใจออกไปทั้งหมด

ฉินอวี้โม่พยักหน้า บริเวณใจกลางป่ามีอสูรที่แข็งแกร่งอาศัยอยู่มากมายนั่นย่อมหมายถึงมันจะต้องมีบางสิ่งที่ล้ำค่าถูกซุกซ่อนไว้ และไม่ว่าจะคิดอย่างไรอสูรระดับสูงทั้งเจ็ดตัวก็คงจะคอยเฝ้าของล้ำค่านั้นอยู่แน่นอน

“จริงสิ ข้านึกออกแล้ว”

จู่ ๆ ยักษาวานร ก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ “นายหญิง มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ข้ากำลังจะเข้าไปยังส่วนลึกของป่า ในตอนนั้นข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังมาก พอมาคิดดูตอนนี้ กลิ่นอายนั้นทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน ที่สำคัญมันให้ความรู้สึกที่คล้ายกับกลิ่นอายที่ข้าสัมผัสได้จากนายหญิง”

เมื่อเทียบกับเหล่าอสูรขาใหญ่ในถิ่นนี้ ยักษาวานรก็ไม่นับว่าแข็งแกร่งจนต้องยำเกรง อันที่จริงต้องกล่าวว่ามันแทบจะเป็นอสูรธรรมดาเสียมากกว่า แน่นอนว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลัง เจ้ายักษ์ใหญ่ก็ไม่กล้าเข้าไปบริเวณนั้นอีก ทว่านี่ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะอสูรมายาตัวอื่น ๆ ในป่าลึกลับแห่งนี้ก็ไม่มีตัวใดที่กล้าเข้าไปบริเวณใจกลางป่าเช่นกัน

กลิ่นอายนั้นทรงพลังถึงระดับที่พวกมันไม่มีทางต่อต้านได้เลย หากต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตเหนือชั้นผู้ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขามดังกล่าว อสูรทุกตัวต่างก็ทำได้เพียงยอมจำนน จนถึงตอนนี้ ยักษาวานรก็ยังไม่เคยล่วงรู้เลยว่ามันเป็นกลิ่นอายของสิ่งน่าสะพรึงกลัวแบบใดกันแน่

หลังจากผูกพันธสัญญากับฉินอวี้โม่ มันก็รับรู้กลิ่นอายจากกายเทพมายาของนาง ในตอนนั้น อสูรขนสีอำพันรู้คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นความคุ้นเคยในเชิงหวาดหวั่นจับใจ ในตอนนี้มันนึกขึ้นมาได้แล้วว่ากลิ่นอายที่มันรู้สึกหวาดผวาอย่างเคยคุ้นในครานั้นกับกลิ่นอายจากร่างกายของสตรีผู้เป็นเจ้านายไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

ข้อมูลที่ยักษาวานรบอกเล่าทำให้หัวใจของฉินอวี้โม่ถี่รัวขึ้นโดยไม่อาจควบคุม หากว่านางคาดเดาไม่ผิด ดินแดนลึกลับแห่งนี้จะต้องมีบางอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับกายเทพมายาซุกซ่อนอยู่แน่นอน และมีความเป็นไปได้สูงว่านั่นต้องเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่ทำให้ซิวรู้สึกคุ้นเคยจนต้องกำชับให้นางกลับเข้ามาที่นี่อีก

ทว่านี่ยังเป็นเพียงการคาดการของนางเท่านั้น หญิงสาวผู้ครอบครองกายเทพมายายังไม่มั่นใจนักว่ามันจะใช่สิ่งที่ซิวเอ่ยถึงจริงหรือไม่ ซึ่งไม่ว่าอย่างไร ก่อนที่ซิวจะตื่นขึ้นมา นางก็คงจะต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเองก่อน

“เฮ้อ~ มันคงจะง่ายกว่านี้มาก ถ้าตอนนี้ซิวตื่นแล้ว”

ฉินอวี้โม่ทอดถอนใจอย่างไร้หนทาง แต่ถึงแม้จะรำพึงรำพันเพียงใด นางก็ตัดสินใจพาคณะอสูรเดินทางไปล่วงลึกเข้าไปใจกลางผืนป่าอย่างมุ่งมั่น พื้นที่ต้องสงสัยบริเวณนั้นจะต้องได้รับการสำรวจก่อนเป็นอย่างแรก

แม้สิ่งที่ยักษาวานรบอกจะเป็นความจริง แต่ในป่าแห่งนี้ก็มีอสูรมายาที่แข็งแกร่งอยู่เป็นจำนวนมาก การจะไปให้ถึงจุดนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายดาย อย่างไรก็ตาม สตรีเช่นฉินอวี้โม่ก็ไม่นึกเกรงกลัว

เวลานี้นางคิดจะสำรวจไปพลาง ๆ ก่อนขณะรอให้ซิวตื่นขึ้นมา เมื่อถึงตอนนั้นนางเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างคงจะกระจ่างชัด

“ยักษาวานร เจ้าคุ้นกับเส้นทางในป่าแห่งนี้ เช่นนั้นช่วยนำทางพวกเราที ข้าและสหายตัวอื่น ๆ จะคอยคุ้มกันให้ มีพวกเราอยู่เจ้าวางใจได้ ถึงจะพบเจอกับอสูรทั้งเจ็ดตัวนั้นก็ไม่น่าจะมีอันตราย”

ฉินอวี้โม่เอ่ยขอสหายใหม่ร่างใหญ่ยักษ์พร้อมกับปลอบประโลมมัน เจ้ายักษาวานรอยู่ในป่าแห่งนี้มาเกือบร้อยปีแล้ว แน่นอนว่ามันคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าพวกนางอย่างไม่ต้องสงสัย

“รับทราบ นายหญิง”

ยักษาวานรพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นชายหนุ่มและเดินนำหน้าขบวนสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยหนึ่งมนุษย์กับหลายอสูร มุ่งหน้าตรงเข้าไปยังใจกลางป่าต้องห้าม

ด้วยการนำทางของอสูรมายาผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ทำให้การเดินทางของฉินอวี้โม่ราบรื่นกว่าเดิมไม่น้อย ในระยะเวลาเพียงสามวันคณะเดินทางอวี้โม่ก็ค่อย ๆ เข้าใกล้เขตใจกลางของป่าได้โดยไร้อุปสรรค

ต้องบอกเลยว่าความลึกลับของป่าต้องห้ามแห่งนี้ไม่ได้น้อยไปกว่าป่าเหมันต์ที่นางเคยไปมาก่อนหน้านี้เลยสักนิด ความกว้างใหญ่ไพศาลของพื้นที่เองก็ไม่ต่างกันมาก แม้ว่าจะเข้าใกล้ใจกลางแล้วก็ตาม แต่จากคำบอกเล่าของยักษาวานร เพียงการสำรวจพื้นที่ใจกลางนั้นอย่างเดียวก็คงจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน ๆ แล้ว

ในตอนนั้นเองอสูรสาวมารยาก็สัมผัสกลิ่นอายที่ทรงพลังและดูไม่ปกติอย่างหนึ่งได้ มันเป็นกลิ่นอายที่แข็งแกร่งถึงระดับที่เจ้าอสูรสาวยังรู้สึกอิจฉา อสูรผู้มีต้นกำเนิดมาจากน้ำแข็งรีบบอกตำแหน่งโดยประมาณของที่มาแห่งกลิ่นอายนั้นให้นายหญิงรับรู้เพื่อให้นางระวังตัวในทันที

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและใช้ความระมัดระวังมากขึ้น การประเมินกำลังสำคัญมาก หากเป็นในตอนที่ยังไม่มีซิวเช่นนี้ นางก็ยังไม่อยากพาคณะเดินทางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอสูรที่แข็งแกร่ง

เรื่องราวในป่าเหมันต์ก่อนหน้านี้ มีมังกรเหมันต์คือตัวอย่างชั้นดี แม้ว่าจะใช้นักเรียนหัวกะทิจากทั้งโรงเรียนราชสำนักช่วยกันต่อสู้ อีกทั้งยังได้เปรียบจากการที่หานอวี้ใช้แรงกดดันทางสายเลือดคอยข่มมันแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจเอาชนะได้

ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่เป็นมนุษย์เพียงหนึ่งเดียว อาจจะเรียกว่าอยู่ตัวคนเดียวก็ว่าได้ แม้ว่าจะมีอสูรมายามากมายคอยช่วย แต่เมื่อลองจินตนาการว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอสูรที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับมังกรเหมันต์ นางก็ยังคิดว่าไม่น่าจะรับมือกันมันได้อยู่ดี

จักรพรรดิอสูรสวรรค์และอสูรสวรรค์ธรรมดามีช่องว่างของพลังที่ห่างกันมาก อสูรสวรรค์ธรรมดาแม้ว่าจะมีอยู่นับสิบตัวแต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับจักรพรรดิอสูรสวรรค์เพียงตัวเดียว

ระหว่างอสูรด้วยกันเองจะมีสิ่งที่เรียกว่าแรงกดดันแห่งระดับพลังอยู่ สิ่งนี้นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการต่อสู้กันระหว่างอสูร มันเข้มข้นรุนแรงและมีอิทธิพลเหนือกว่าของมนุษย์ที่มีต่อกันมาก เพียงแรงกดดันของจักรพรรดิอสูรสวรรค์ก็สามารถลดพลังในการต่อสู้ของอสูรสวรรค์ธรรมดาไปได้อย่างมหาศาลแล้ว !

หลังจากเดินทางกันต่ออีกครึ่งวัน ต้นไม้รอบกายก็เริ่มหนาแน่นขึ้น ขณะนี้บรรยากาศรอบข้างให้ความรู้สึกกดดันและหนักอึ้งยากที่จะเคลื่อนไหว ดูราวกับว่าบางสิ่งที่ทรงพลังเหลือแสนใกล้จะปรากฏตัวออกมาแล้ว

“นายหญิง หากเรายังเดินทางกันต่อในไม่ช้าเราจะเข้าถึงเขตแดนของอสูรทรงอำนาจ พวกเราควรจะมุ่งหน้าต่อไปเช่นนี้หรือไม่ ?”

ยักษ์ใหญ่ผู้นำขบวนเอ่ยถามด้วยเสียงที่ติดจะสั่นเครือ ตรงหน้าของมันในตอนนี้น่าจะเป็นอาณาเขตของอสูรทรงพลังที่มันนึกหวาดหวั่น หากไม่ระมัดระวังให้ดีก็อาจถูกอสูรตัวนั้นพบเข้าและจะต้องตกอยู่ในอันตรายไม่อาจเลี่ยง

“เราจะเข้าไป แต่ต้องใช้การระวังภัยระดับสูงสุด ทุกตัวจำไว้ให้ดี ถ้าต้องเจออสูรที่ทรงพลังเราจะหนีก่อนเป็นอันดับแรก เวลานี้เราจะยังไม่สู้กับมัน ห้ามบุ่มบ่ามออกมาทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและตัดสินใจมุ่งหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง

จริงอยู่ว่าการเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอสูรสวรรค์หรืออสูรที่สูงกว่านั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่มาก เพราะแม้ว่าจะสู้ไม่ได้แต่ก็ยังหนีเอาตัวรอดได้ ทว่าสิ่งหนึ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งก็คือหากมีการปะทะเกิดขึ้น ก็อาจจะเป็นการดึงดูดความสนใจของอสูรขาใหญ่ทั้งเจ็ดให้เข้ามา ไม่ต้องกล่าวถึงการเข้ามาพร้อมกันเจ็ดตัวเลย เพราะแค่จำนวนสามตัวก็เพียงพอที่จะทำให้คณะเดินทางอวี้โม่กลายเป็นมื้ออาหารอันโอชะไปในพริบตาแล้ว

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ย่อมไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ก่อนที่ซิวจะตื่นขึ้น นางจะยังไม่เสี่ยงคิดต่อกรกับอสูรที่ทรงพลังซึ่ง ๆ หน้า

เสี่ยวเฮยและเหล่าสหายพยักหน้าก่อนจะหลบเข้าไปในกำไลมิติที่หานโม่ฉือเคยให้ฉินอวี้โม่ไว้เพื่อซ่อนตัว

ขณะนี้อสูรที่ยังอยู่ด้านนอกกับคุณหนูสี่ตระกูลฉินเหลือเพียงมารยาและยักษาวานรเท่านั้น ตัวหนึ่งเดินอยู่ด้านซ้าย ตัวหนึ่งอยู่ด้านขวาเคียงข้างไปกับนายหญิงของพวกมันเพื่อคุ้มกัน

หนึ่งคนกับอีกสองอสูรในร่างมนุษย์กำลังตรงเข้าไปในอาณาเขตของอสูรขาใหญ่อย่างช้า ๆ โดยใช้ความระมัดระวังถึงขีดสุด

ประสาทสัมผัสและพลังการรับรู้ของมารยานั้นเหนือชั้นไร้ที่เปรียบ อสูรสาวสามารถรับรู้ได้ถึงตำแหน่งของอสูรตัวอื่น ๆ และใช้ประโยชน์จากความสามารถนี้เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายได้ เมื่อรวมเข้ากับความคุ้นชินในพื้นที่ของยักษ์ใหญ่ยักษาวานรก็ทำให้การเดินทางของฉินอวี้โม่น่าจะราบรื่นแม้ว่าจะตกอยู่ในพื้นที่อันตราย

ด้วยการที่ในกลุ่มมีจำนวนเพียงสามทำให้ความคล่องตัวสูงขึ้นมาก แม้ว่าจะต้องตกอยู่ในวงล้อมของอสูรมายาก็น่าจะหนีเอาตัวรอดได้อย่างหมดห่วง

หลังจากก้าวเดินต่อไปได้อีกเพียงร้อยก้าว ทันใดนั้นเองมารยาก็ขมวดคิ้วแน่น

“นายหญิง ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งถึงตัว ดูเหมือนว่ามีอสูรมายาสองตัวกำลังต่อสู้กันอยู่”

คิ้วเรียวของอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูขมวดเล็กน้อยในทันที ก่อนริมฝีปากอิ่มจะเอ่ยคำสั่งการ “นำทางไป ข้าขอไปดูเสียหน่อย”

มารยาพยักหน้าและนำทางฉินอวี้โม่ไปยังตำแหน่งที่มันสัมผัสถึงกลิ่นอายดังกล่าว

Options

not work with dark mode
Reset