คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 235 รวมใจเป็นหนึ่ง

ฉินอวี้โม่จ้องมองหลิงซาน ด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความกลัว

เมื่อครู่แม้ว่าเมื่อครู่นางจะจู่โจมได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วก็ตาม ทว่านางก็ยังตกอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าในด้านพลังแล้ว ฉินอวี้โม่ยังเป็นรองอีกฝ่ายอยู่มาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะกลัวหลิงซาน

เพราะหลังจากตวัดหอกออกกระบวนท่าปะทะกันไปในยกที่ผ่านมา ความรู้สึกกดดันจากความห่างชั้นของระดับพลังที่ฉินอวี้โม่ได้รับก็จางหายไปทั้งหมด ที่สำคัญเห็นชัดว่าความเร็วของนางก็ไม่ได้เป็นรองจ้าวอารามเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้นางก็มีซิวอยู่ด้วย

ทว่าจ้าวอารามเองก็ยังคงมั่นใจในความเหนือกว่าของตน “ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ เจ้ายังคิดว่าตัวเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อยู่อีกไหม ?”

หลิงซานเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ภาพที่เกิดขึ้นหลังจากปะทะกันเมื่อครู่นี้ ช่วยยืนยันความเหนือชั้นของเขาได้ชัดเจน

การที่ระดับพลังของเขาเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพเป็นการชั่วคราวช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เขาได้อย่างมหาศาล เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าในวันนี้เขาจะเอาชนะฉินอวี้โม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะทำให้สตรีน่าตายผู้นี้ได้รู้สำนึก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้นำสูงสุดแห่งอารามหวนหลิงก็ไม่ลังเลอีก ร่างของเขาหายไปก่อนจะพุ่งเข้าใส่ฉินอวี้โม่ด้วยความเร็วสูง

— เคร๊ง ! —

การปะทะกันครั้งต่อมาทำให้ฉินอวี้โม่ถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง กายบางถูกแรงสะท้อนผลักให้ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว

หลิงซานบุกเข้าโจมตีฉินอวี้โม่อย่างต่อเนื่องไม่ลังเล ความเร็วของเขาสูงมาก อีกทั้งทักษะในการจู่โจมก็เฉียบขาดไร้ช่องโหว่ จ้าวอารามแห่งหวนหลิงกวัดแกว่งกระบี่อย่างเอาเป็นเอาตายราวกับแทบจะอดใจรอชมหญิงสาวตรงหน้าสิ้นลมหายใจไม่ได้

ตอนนี้ ฉินอวี้โม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง นางกำลังถูกไล่ต้อนอย่างหนัก ในหัวของคุณหนูผู้มีวิญญาณอดีตนักฆ่าหมุนเร็วจี๋ขณะที่กำลังครุ่นคิดวิธีโต้ตอบ

ยิ่งเวลาผ่านไป นางก็เริ่มเข้าใจในความแข็งแกร่งของขอบเขตจ้าวพิภพมากขึ้น หากไม่ใช่เพราะวิชาเท้าทะยานคลื่นกับอสนีบาตที่มี ความเร็วของฉินอวี้โม่ก็คงจะเป็นรองอีกฝ่ายมาก และหากไม่ใช่เพราะมีซิวกับหานอวี้ช่วยเสริมพลัง นางก็คงจะเพลี่ยงพล้ำไปนานแล้วเช่นกัน

‘นายหญิง ไม่ต้องคิดให้ยุ่งยาก ทำลายอาวุธของมันก่อนเป็นอันดับแรก กล้ามาเทียบ ‘ความแข็ง’ กับข้า  เหอะ ! ช่างไม่เจียมตัว’

เสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ วาจาของเทพอสูรฟังดูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง

หอกที่เป็นอาวุธแปรสภาพของซิวแข็งแกร่งและไม่อาจทำลายได้โดยง่าย แม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแต่ทุกครั้งที่ปะทะกันกระบี่ของหลิงซานก็จะเกิดรอยบิ่นเล็ก ๆ ที่แทบมองไม่เห็นเสมอ เรื่องนี้แม้แต่ฉินอวี้โม่และตัวหลิงซานเองก็ไม่สังเกต

เมื่อได้ยินสิ่งที่ซิวบอก ผู้ครอบครองกายเทพมายาก็เข้าใจในทันทีว่าซิวมั่นใจว่าอาวุธของตัวเองแข็งกว่าและไม่มีวันถูกทำลายได้ แต่การจะทำลายอาวุธที่อยู่ในมือศัตรูไปอย่างฉับพลันจะเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ ?

เพราะอาวุธในมือของหลิงซานเองก็คงไม่ใช่อาวุธระดับธรรมดา

‘นายหญิงเคยได้ยินเรื่องกระบี่กับคนรวมเป็นหนึ่งบ้างหรือไม่ ?’

เสียงกระตุกความคิดจากอสูรแห่งโชคชะตาดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่อีกครั้ง ดูเหมือนว่าอสูรแห่งโชคชะตาของนางจะรับรู้ถึงสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่

ฉินอวี้โม่พยักหน้า เรื่องนี้คือเรื่องสำคัญมากสำหรับมือกระบี่

นางเคยอ่านตำราโบราณที่เขียนถึงมือกระบี่ระดับสูง มือกระบี่ดีจะสามารถเชื่อมจิตของตัวเองเข้ากับกระบี่ได้ ยิ่งเข้าถึงวิถีแห่งกระบี่และรวมจิตเป็นหนึ่งกับกระบี่ได้เมื่อใด ก็จะยิ่งก่อกำเนิดพลังทำลายล้างที่รุนแรงได้เท่านั้น

แม้นางจะมีความสนใจในเรื่องวิถีกระบี่มาก ศาสตร์แห่งกระบี่เต็มไปด้วยความพิศวงและยากจะหยั่งถึง

ฉินอวี้โม่เคยได้ยินเช่นกันว่าหาก ‘รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่’ ได้ก็จะช่วยให้การโจมตีรุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวี ในเรื่องนี้ตัวนางเองก็อยากเห็นเหลือเกินว่าจะเป็นความจริงสักแค่ไหน

‘หลับตาลงและสัมผัสถึงวิญญาณของข้าให้ได้…’

เสียงที่ดังขึ้นในห้วงจิต ดึงคุณหนูตระกูลฉินให้กลับมาจดจ่อกับสถานการณ์ตรงหน้า พริบตานั้นเองหอกเพลิงในมือบางก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นกระบี่คมกล้า

ฉินอวี้โม่หลับตาลงอย่างว่าง่ายก่อนจะส่งพลังจิตวิญญาณเข้าไปภายในกระบี่นั้นอย่างช้า ๆ

เมื่อเห็นว่า จู่ ๆ ฝ่ายตรงข้ามก็หลับตาลงและหยุดเคลื่อนไหวอีกทั้งอาวุธที่นางใช้ยังแปรสภาพไป หลิงซานก็รู้สึกประหลาดใจจนต้องขมวดคิ้ว

อย่างไรก็ตาม หลังจากงุนงงอยู่ชั่วขณะ ความโกรธก็เข้ามาทดแทน

ฉินอวี้โม่ทำเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทั้ง ๆ ที่ประมือกันอยู่กลับยังกล้าทำเช่นนี้ นี่มันหยามศักดิ์กันมากเกินไป เขาจะต้องให้สตรีตรงหน้าได้ชดใช้ !

กระบี่ในมือของหลงซานเปล่งแสงอันเจิดจ้าออกมา ก่อนที่ภาพของเงากระบี่นับสิบจะปรากฏขึ้นในพื้นที่ว่างเคียงข้างกระบี่จริงของเขา

“นภายุทธ์ —— กระบี่นภาลัย!”

หลิงซานเปล่งเสียงเย็นชาพลางตวัดวาดกระบี่ในมือ เงากระบี่นับสิบที่รายล้อมอยู่รอบกายพุ่งตรงเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่อย่างมุ่งหมายจะฉีกนางให้เป็นชิ้น ๆ

เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นหานโม่ฉือและคนอื่น ๆ ก็ตกใจไม่น้อย ทว่าพวกเขายังคงพัวพันอยู่กับการต่อสู้ของตนจนไม่อาจหลีกเร้นไปช่วยนางได้ สถานการณ์ฝ่ายของพวกเขาตึงมือเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามหานโม่ฉือก็ยังเชื่อมั่นใจตัวฉินอวี้โม่ นางจะต้องเอาชนะหลิงซานได้แน่

ทว่าในสายตาของผู้ไม่เกี่ยวข้องที่กำลังชมดูการต่อสู้ของฉินอวี้โม่อยู่นั้นต่างออกไป แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพราะภาพที่ได้เห็นคือเงากระบี่นับสิบกำลังพุ่งตรงเข้าใส่สตรีร่างบางโดยที่นางเอาแต่ยืนนิ่งไม่หลบหลีก ‘ไม่ทราบว่าเพราะตื่นตระหนกจนไม่อาจเคลื่อนไหวหรืออย่างไร แต่ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปนางก็คงไม่พ้นจะได้หมดลมหายใจลงตรงนั้นเป็นแน่’

หลิงซานที่เห็นว่านภายุทธ์ของตัวเองกำลังเข้าใกล้ร่างของฉินอวี้โม่ก็อดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ‘ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้ล้างแค้นเสียที ในที่สุดข้าก็กู้หน้ากลับคืนมาได้’

อย่างไรก็ตามขณะที่เหลือเพียงชุ่นเดียวเงากระบี่จะถึงตัวฉินอวี้โม่นั้น ภาพอันน่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น

หลิงซานเห็นร่างบางของศัตรูหายวับ นั่นไม่ใช่เพียงการเคลื่อนที่หลบหลีกที่ว่องไว แต่เป็นการหายไปอย่างชวนฉงน

เพราะ ณ จุดเดิมที่นางเคยยืนอยู่มีเพียงกระบี่ที่ห้องหุ้มด้วยเปลวเพลิงเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น กระบี่เล่มนั้นปลดปล่อยแรงดันอันมหาศาลและน่าสะพรึงกลัวออกมา เป็นแรงกดดันที่ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ขนหัวลุก

— ฟิ้ว ~ —

— เคร้ง ! เคร้ง ! เคร้ง ! —

กระบี่เพลิงหมุนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว เงากระบี่ของหลิงซานที่พุ่งเข้ามาถูกฟันร่วงลงไปราวใบไม้ที่ถูกลมพายุปลิดออกจากต้น กระจัดกระจายพร่างพรายไปในอากาศ

กระบี่เล่มจริงลอยกลับไปยังมือผู้เป็นเจ้าของ ในตอนนี้แสงที่ห่อหุ้มมันอยู่จางหายไปหมดแล้ว

ทว่ากระบี่เพลิงกลับไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันพุ่งตามกระบี่ของคู่ต่อสู้ไปติด ๆ ก่อนจะจ้วงแทงเข้าใส่กายของหลิงซานในทันที พลังอันมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ในกระบี่เล่มนี้น่ากลัวยิ่งนัก หากถูกมันเสียบทะลุร่างทั้ง ๆ ที่เป็นเช่นนี้ ผู้นำแห่งอารามหวนหลิงคงได้เหลือแต่เพียงนามฝากไว้ในแผ่นดินเป็นแน่

เมื่อเค้าลางแห่งความตายพุ่งเข้าประชิดตัวจนสัมผัสได้ หลิงซานก็รีบตัดสินใจ เขาหยิบเอาเครื่องรางคุ้มภัยสมบัติล้ำค่าที่มีเพียงชิ้นเดียวออกมาก่อนจะบดขยี้มัน ทันใดนั้นพื้นที่รอบกายจ้าวอารามก็มีกำแพงพลังอันแข็งแกร่งปรากฏขึ้นมาป้องกันไว้ กระบี่ในมือของเขาเปล่งแสงเรืองรองขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสวนแทงไปด้านหน้าเพื่อรับมือกับกระบี่เพลิงที่ตรงเข้ามาหา

— ตูม ! —

ทว่า กระบี่เพลิงกลับทะลวงผ่านม่านพลังของเขาเข้าไปราวกับไร้อุปสรรค พลันเข้าปะทะกับกระบี่ในมือของหลิงซาน

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีม่านพลังช่วยรับแรงกระแทกไว้ส่วนหนึ่งจึงส่งผลให้แรงกดดันที่หลิงซานได้รับลดน้อยลงไปมาก

ต้องบอกเลยว่า กระบี่เพลิงที่ดูคล้ายมีชีวิตนี้ทำให้หลิงซานรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง หากถูกมันโจมตีเข้าใส่ร่าง เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชีวิตรอดได้

ในตอนที่หลิงซานกำลังรู้สึกโล่งใจเพราะคิดว่ากระบี่ของตนรับกระบี่เพลิงนั้นได้ เสียงที่ฟังดูแปลกประหลาดก็ดังขึ้น

— แคระ แครก เคล้ง ! —

จู่ ๆ กระบี่ในมือของหลิงซานก็เกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน พริบตาถัดจากนั้นมันก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ เศษแวววาวร่วงกราวลงบนพื้น ตอนนี้ในมือของหลิงซานเหลือเพียงด้ามกระบี่ไว้ดูต่างหน้า

เวลานี้ฉินอวี้โม่ไม่ทราบเลยว่าตนเองอยู่ที่แห่งใด ในตอนที่ส่งพลังวิญญาณเข้าไปในกระบี่ของซิว จู่ ๆ คุณหนูผู้มีวิญญาณนักฆ่าก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายดับสูญ และเมื่อได้สติรู้ตัวอีกครั้ง นางก็พบว่าทั้งร่างกายและวิญญาณของตัวเองได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่เพลิงไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารูปแบบ ‘การรวมกัน’ จะแปลกจากที่นางเข้าใจอยู่ไม่น้อย แต่การผสานเข้ากับกระบี่ในแบบของซิวเช่นนี้ก็ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ

ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในร่าง เป็นพลังมหาศาลและน่ากลัวของการหลอมรวมเข้ากับกระบี่เพลิงของซิว เห็นได้ชัดว่าม่านพลังป้องกันรวมถึงกระบี่ของหลิงซานแทบไม่สามารถต้านทานมันได้เลย การโจมตีที่รุนแรงถึงเพียงนี้ หากเป็นตัวฉินอวี้โม่เองในตอนนี้ไม่มีทางทำได้

บัดนี้ แววตาของหลิงซานฉายชัดถึงความหวาดหวั่นอย่างไม่อาจปกปิด เมื่อเห็นว่ากระบี่เพลิงตรงหน้ายังไม่หยุดและยังพุ่งเข้ามาเขาก็ไม่ลังเล

เท้าของจ้าวอารามก้าวถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน มือที่เคยถือด้ามดาบก็ผสานเป็นผนึกสร้างม่านพลังป้องกันด้วยพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่

เพราะรู้สึกถึงภัยคุกคามถึงชีวิตและตระหนักว่าไม่อาจต้านทานกระบี่เพลิงตรงหน้าได้ จ้าวอารามแห่งหวนหลิงจึงได้แต่ใช้พลังทั้งหมดตั้งรับเพื่อรักษาชีวิต

— ตูม ! —

ครานี้กระบี่เพลิงไม่ได้ทะลวงผ่านการป้องกันอีกแล้ว แต่ก็กระแทกเข้ากับม่านพลังของหลิงซานอย่างรุนแรง ก่อนที่พลังสะท้อนมหาศาลจะส่งให้ร่างของเขากระเด็นออกไปไกลแล้วตกกระแทกพื้น

— พรวด ! —

ผู้นำอารามแห่งหวนหลิงได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที เลือดจำนวนมากมายไหลออกมาจากปาก ทว่าเวลานี้เขายังคงหายใจได้ บุรุษนามหลิงซานเพิ่งจะรอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด ถ้าไม่ใช่เพราะตัดสินใจใช้ม่านพลังเมื่อครู่เขาก็คงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว

— ฟุ่บ ! —

ร่างของฉินอวี้โม่ปรากฏตรงหน้าหลิงซานที่อยู่ไม่ไกลออกไป ตอนนี้นางออกจากสภาวะผสานกระบี่แล้ว

‘โชคไม่ดีที่ตอนนี้คนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก มิฉะนั้น ต่อให้มีม่านพลังป้องกันนั่น การโจมตีเมื่อครู่ยังปลิดชีวิตเขาได้โดยง่าย’

ซิวกล่าวในเชิงเสียดาย ทว่าน้ำเสียงกลับไม่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น

การที่ยอดฝีมือผสานร่างและพลังเข้ากับกระบี่หรือที่ซิวเรียกมันว่า ‘รวมใจเป็นหนึ่ง’ นี้ เป็นกระบวนท่าจู่โจมรุนแรงอย่างที่ยอดฝีมือทั่วไปไม่อาจต้านทาน อันที่จริงในตอนนี้มันและฉินอวี้โม่ยังไม่สามารถใช้กระบวนท่าระดับสูงได้ ทว่าด้วยวิธีการพิเศษบางประการที่เทพอสูรเอาออกมาใช้ เมื่อครู่มันและสตรีผู้เป็นนายจึงสามารถเรียกใช้กระบวนท่านี้ได้

ต้องรอให้ฉินอวี้โม่แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้อีกหน่อย ทั้งสองจึงจะสามารถใช้งานกระบวนท่ารวมใจเป็นหนึ่งได้อย่างแท้จริง ถึงตอนนั้นฉินอวี้โม่ก็จะมีท่าไม้ตายที่น่ากลัวในการรับมือศัตรู

เมื่อได้ยินสิ่งที่ซิวกล่าวคุณหนูตระกูลฉินก็แย้มรอยยิ้ม ตัวนางเองไม่ได้รู้สึกเสียดายสักนิด เพราะเพียงเท่านั้นก็ถือว่ากระบวนท่าที่ผสานรวมกับกระบี่นี้รุนแรงกว่าที่น่าจินตนาการไว้มากแล้ว

ในตอนนี้นางรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ต่อไปในอนาคตกระบวนท่ารวมใจเป็นหนึ่งจะกลายเป็นไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของนางอีกใบ

— ตูม ! —

ยังไม่ทันที่จะได้จัดการเรื่องของหลิงซานให้จบ เสียงที่ฟังคล้ายระเบิดก็ดังขึ้นเสียก่อน

เมื่อหันไปมองทางด้านนั้น ฉินอวี้โม่ก็เห็นมังกรดึกดบรรพ์ที่นางเรียกขานในใจว่า ‘เจ้าไดโนเสาร์เขี้ยวยาว’ กำลังอาละวาดอย่างกราดเกรี้ยว หางอันทรงพลังของมันฟาดเข้าใส่หลินเหยียนเต็ม ๆ ร่างของจอมยุทธ์พเนจรที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินกระเด็นไปปะทะป่าสนขนาดย่อม ๆ ที่อยู่ไกลออกเป็นผลให้ต้นสนหลายสิบต้นล้มระเนระนาด

วันนี้ถือว่าโชคดีไม่น้อยที่ทางนครเลือกใช้อุทยานในการจัดงานเลี้ยงแทนการใช้ห้องโถง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นไม่เพียงแต่ห้องโถงจะพังราบ แต่ทั้งจวนจ้าวนครก็อาจจะพังครืนไม่เหลือเลยก็ได้

“เจ้าพวกมนุษย์ที่น่ารังเกียจ พวกเจ้าทำอะไรผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าไม่ได้หรอก !”

มังกรดึกดำบรรพ์คำรามด้วยความโกรธ ดูเหมือนว่าหานโม่ฉือและคณะยอดฝีมือจากไป๋อวิ๋นจะทำให้มันรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

หากไม่ใช่เพราะระดับพลังของมันในตอนนี้ลดลงจากเมื่อก่อนอย่างมหาศาล เพียงมนุษย์อ่อนหัดตัวเล็ก ๆ ไม่กี่คนไม่มีทางทำอันตรายมันได้

ในตอนนี้มันถูกการโจมตีเข้าไปหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่ถึงกับบาดเจ็บ แต่ก็สร้างความรำคาญใจให้สัตว์ร้ายจากบรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่ไม่น้อยเลย การโจมตีกระหน่ำเข้ามาจากทุกทิศทางไม่หยุดยั้ง วิญญาณมังกรร้ายรู้สึกคล้ายกำลังถูกยั่วยุตลอดเวลา

หลินเหยียนเช็ดเลือดที่มุมปากและรีบลุกขึ้นยืน ร่างของเขาหายวับและไปปรากฏบริเวณใกล้ร่างมังกรดึกดำบรรพ์อีกครา

เงือกสาวแสนงาม ซึ่งเป็นอสูรมายาของมู่อวิ๋นรีบช่วยรักษาบาดแผลและเยียวยาอาการบาดเจ็บให้จอมยุทธ์พเนจรทันที

ในตอนนี้หานโม่ฉือ มู่อวิ๋นและหลินเหยียนกำลังยืนล้อมมังกรดึกดำบรรพ์เป็นรูปสามเหลี่ยม

แม้จะมีคนจากไป๋อวิ๋นอีกสามคนคอยสนับสนุนในจุดที่ห่างออกมา ทว่าด้วยขนาดที่ใหญ่เกินไปของมังกรดึกดำบรรพ์ทำให้พวกเขาทั้งหมดควบคุมสถานการณ์ได้ยากลำบากมาก

ศึกในจุดอื่น ๆ ก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจะปล่อยให้มันไปอาละวาดที่อื่นไม่ได้

อีกด้านหนึ่งแม้ซวนหนีจะแข็งแกร่งเหนือชั้นแต่หุ่นกลโลหะก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่า นอกจากไม่เป็นรองแล้วยังคล้ายเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่เสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะมันไม่มีเลือดเนื้อจึงไร้จุดอ่อนและไม่รู้จักอาการบาดเจ็บหรือหวาดกลัว

ถึงแม้จะถูกซวนหนีจู่โจมอย่างรุนแรงหลายครั้งหลายหน แต่เจ้าหุ่นกลก็ไม่สะทกสะท้าน ที่สำคัญพลังในการต่อสู้ก็ไม่ลดลงเลย นั่นทำให้อสูรที่มีชีวิตอย่างซวนหนีเริ่มเกิดความตระหนกและตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองแล้ว

กระนั้นความเป็นรองของซวนหนีก็เล็กน้อยจนแทบจะไม่อาจสังเกตเห็นได้ การปะทะกันของหนึ่งอสูรหายากกับหนึ่งสมบัติประหลาดนี้ หากจะให้รู้ผลแพ้ชนะก็คงต้องใช้เวลาอีกนาน

การต่อสู้ระหว่างอู่ซิงกับหลงจื้อเองก็ดุเดือดรุนแรง

ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ต่างกันมาก ก่อนหน้านี้ในดินแดนหนเหนือพวกเขาก็เคยประมือกันมาหลายครั้งแล้ว ครานี้การต่อสู้ของทั้งคู่ก็ยังเป็นไปอย่างสู้สีไม่มีฝ่ายใดที่เหนือกว่า และแน่นอนว่าคงยังไม่อาจรู้ผลในเวลาอันสั้น

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ที่ดูจะรุนแรงมากที่สุดกลับเป็นศึกสายเลือดของบุรุษสองพี่น้อง อวี๋จวินซานและอวี๋จวินเหยา

ในตอนนี้พลังของพวกเขาอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน เมื่อมีโอกาสเช่นนั้นอวี๋จวินเหยาจึงไม่แสดงความปรานีใด ๆ เขาทุ่มพลังทั้งหมดหวังจะปลิดชีวิตของพี่ชายให้ได้

อวี๋จวินซานเองก็โต้กลับอย่างหนักหน่วงไม่แพ้กัน ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเขามีมากกว่าอีกฝ่ายอย่างเทียบไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นรองในด้านพลังอยู่เล็กน้อยแต่ก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ

เมื่อเห็นสถานการณ์โดยรวมในสนามรบ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วแน่น ทว่านางก็ไม่มีเวลาสนใจจุดอื่นอีก อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูต้องทุ่มสมาธิกับหลงซานที่อยู่ตรงหน้านี้เสียก่อน

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 235 รวมใจเป็นหนึ่ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 235 รวมใจเป็นหนึ่ง

ฉินอวี้โม่จ้องมองหลิงซาน ด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความกลัว

เมื่อครู่แม้ว่าเมื่อครู่นางจะจู่โจมได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วก็ตาม ทว่านางก็ยังตกอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าในด้านพลังแล้ว ฉินอวี้โม่ยังเป็นรองอีกฝ่ายอยู่มาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะกลัวหลิงซาน

เพราะหลังจากตวัดหอกออกกระบวนท่าปะทะกันไปในยกที่ผ่านมา ความรู้สึกกดดันจากความห่างชั้นของระดับพลังที่ฉินอวี้โม่ได้รับก็จางหายไปทั้งหมด ที่สำคัญเห็นชัดว่าความเร็วของนางก็ไม่ได้เป็นรองจ้าวอารามเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้นางก็มีซิวอยู่ด้วย

ทว่าจ้าวอารามเองก็ยังคงมั่นใจในความเหนือกว่าของตน “ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ เจ้ายังคิดว่าตัวเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อยู่อีกไหม ?”

หลิงซานเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ภาพที่เกิดขึ้นหลังจากปะทะกันเมื่อครู่นี้ ช่วยยืนยันความเหนือชั้นของเขาได้ชัดเจน

การที่ระดับพลังของเขาเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพเป็นการชั่วคราวช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เขาได้อย่างมหาศาล เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าในวันนี้เขาจะเอาชนะฉินอวี้โม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะทำให้สตรีน่าตายผู้นี้ได้รู้สำนึก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้นำสูงสุดแห่งอารามหวนหลิงก็ไม่ลังเลอีก ร่างของเขาหายไปก่อนจะพุ่งเข้าใส่ฉินอวี้โม่ด้วยความเร็วสูง

— เคร๊ง ! —

การปะทะกันครั้งต่อมาทำให้ฉินอวี้โม่ถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง กายบางถูกแรงสะท้อนผลักให้ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว

หลิงซานบุกเข้าโจมตีฉินอวี้โม่อย่างต่อเนื่องไม่ลังเล ความเร็วของเขาสูงมาก อีกทั้งทักษะในการจู่โจมก็เฉียบขาดไร้ช่องโหว่ จ้าวอารามแห่งหวนหลิงกวัดแกว่งกระบี่อย่างเอาเป็นเอาตายราวกับแทบจะอดใจรอชมหญิงสาวตรงหน้าสิ้นลมหายใจไม่ได้

ตอนนี้ ฉินอวี้โม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง นางกำลังถูกไล่ต้อนอย่างหนัก ในหัวของคุณหนูผู้มีวิญญาณอดีตนักฆ่าหมุนเร็วจี๋ขณะที่กำลังครุ่นคิดวิธีโต้ตอบ

ยิ่งเวลาผ่านไป นางก็เริ่มเข้าใจในความแข็งแกร่งของขอบเขตจ้าวพิภพมากขึ้น หากไม่ใช่เพราะวิชาเท้าทะยานคลื่นกับอสนีบาตที่มี ความเร็วของฉินอวี้โม่ก็คงจะเป็นรองอีกฝ่ายมาก และหากไม่ใช่เพราะมีซิวกับหานอวี้ช่วยเสริมพลัง นางก็คงจะเพลี่ยงพล้ำไปนานแล้วเช่นกัน

‘นายหญิง ไม่ต้องคิดให้ยุ่งยาก ทำลายอาวุธของมันก่อนเป็นอันดับแรก กล้ามาเทียบ ‘ความแข็ง’ กับข้า  เหอะ ! ช่างไม่เจียมตัว’

เสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ วาจาของเทพอสูรฟังดูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง

หอกที่เป็นอาวุธแปรสภาพของซิวแข็งแกร่งและไม่อาจทำลายได้โดยง่าย แม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแต่ทุกครั้งที่ปะทะกันกระบี่ของหลิงซานก็จะเกิดรอยบิ่นเล็ก ๆ ที่แทบมองไม่เห็นเสมอ เรื่องนี้แม้แต่ฉินอวี้โม่และตัวหลิงซานเองก็ไม่สังเกต

เมื่อได้ยินสิ่งที่ซิวบอก ผู้ครอบครองกายเทพมายาก็เข้าใจในทันทีว่าซิวมั่นใจว่าอาวุธของตัวเองแข็งกว่าและไม่มีวันถูกทำลายได้ แต่การจะทำลายอาวุธที่อยู่ในมือศัตรูไปอย่างฉับพลันจะเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ ?

เพราะอาวุธในมือของหลิงซานเองก็คงไม่ใช่อาวุธระดับธรรมดา

‘นายหญิงเคยได้ยินเรื่องกระบี่กับคนรวมเป็นหนึ่งบ้างหรือไม่ ?’

เสียงกระตุกความคิดจากอสูรแห่งโชคชะตาดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่อีกครั้ง ดูเหมือนว่าอสูรแห่งโชคชะตาของนางจะรับรู้ถึงสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่

ฉินอวี้โม่พยักหน้า เรื่องนี้คือเรื่องสำคัญมากสำหรับมือกระบี่

นางเคยอ่านตำราโบราณที่เขียนถึงมือกระบี่ระดับสูง มือกระบี่ดีจะสามารถเชื่อมจิตของตัวเองเข้ากับกระบี่ได้ ยิ่งเข้าถึงวิถีแห่งกระบี่และรวมจิตเป็นหนึ่งกับกระบี่ได้เมื่อใด ก็จะยิ่งก่อกำเนิดพลังทำลายล้างที่รุนแรงได้เท่านั้น

แม้นางจะมีความสนใจในเรื่องวิถีกระบี่มาก ศาสตร์แห่งกระบี่เต็มไปด้วยความพิศวงและยากจะหยั่งถึง

ฉินอวี้โม่เคยได้ยินเช่นกันว่าหาก ‘รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่’ ได้ก็จะช่วยให้การโจมตีรุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวี ในเรื่องนี้ตัวนางเองก็อยากเห็นเหลือเกินว่าจะเป็นความจริงสักแค่ไหน

‘หลับตาลงและสัมผัสถึงวิญญาณของข้าให้ได้…’

เสียงที่ดังขึ้นในห้วงจิต ดึงคุณหนูตระกูลฉินให้กลับมาจดจ่อกับสถานการณ์ตรงหน้า พริบตานั้นเองหอกเพลิงในมือบางก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นกระบี่คมกล้า

ฉินอวี้โม่หลับตาลงอย่างว่าง่ายก่อนจะส่งพลังจิตวิญญาณเข้าไปภายในกระบี่นั้นอย่างช้า ๆ

เมื่อเห็นว่า จู่ ๆ ฝ่ายตรงข้ามก็หลับตาลงและหยุดเคลื่อนไหวอีกทั้งอาวุธที่นางใช้ยังแปรสภาพไป หลิงซานก็รู้สึกประหลาดใจจนต้องขมวดคิ้ว

อย่างไรก็ตาม หลังจากงุนงงอยู่ชั่วขณะ ความโกรธก็เข้ามาทดแทน

ฉินอวี้โม่ทำเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทั้ง ๆ ที่ประมือกันอยู่กลับยังกล้าทำเช่นนี้ นี่มันหยามศักดิ์กันมากเกินไป เขาจะต้องให้สตรีตรงหน้าได้ชดใช้ !

กระบี่ในมือของหลงซานเปล่งแสงอันเจิดจ้าออกมา ก่อนที่ภาพของเงากระบี่นับสิบจะปรากฏขึ้นในพื้นที่ว่างเคียงข้างกระบี่จริงของเขา

“นภายุทธ์ —— กระบี่นภาลัย!”

หลิงซานเปล่งเสียงเย็นชาพลางตวัดวาดกระบี่ในมือ เงากระบี่นับสิบที่รายล้อมอยู่รอบกายพุ่งตรงเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่อย่างมุ่งหมายจะฉีกนางให้เป็นชิ้น ๆ

เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นหานโม่ฉือและคนอื่น ๆ ก็ตกใจไม่น้อย ทว่าพวกเขายังคงพัวพันอยู่กับการต่อสู้ของตนจนไม่อาจหลีกเร้นไปช่วยนางได้ สถานการณ์ฝ่ายของพวกเขาตึงมือเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามหานโม่ฉือก็ยังเชื่อมั่นใจตัวฉินอวี้โม่ นางจะต้องเอาชนะหลิงซานได้แน่

ทว่าในสายตาของผู้ไม่เกี่ยวข้องที่กำลังชมดูการต่อสู้ของฉินอวี้โม่อยู่นั้นต่างออกไป แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพราะภาพที่ได้เห็นคือเงากระบี่นับสิบกำลังพุ่งตรงเข้าใส่สตรีร่างบางโดยที่นางเอาแต่ยืนนิ่งไม่หลบหลีก ‘ไม่ทราบว่าเพราะตื่นตระหนกจนไม่อาจเคลื่อนไหวหรืออย่างไร แต่ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปนางก็คงไม่พ้นจะได้หมดลมหายใจลงตรงนั้นเป็นแน่’

หลิงซานที่เห็นว่านภายุทธ์ของตัวเองกำลังเข้าใกล้ร่างของฉินอวี้โม่ก็อดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ‘ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้ล้างแค้นเสียที ในที่สุดข้าก็กู้หน้ากลับคืนมาได้’

อย่างไรก็ตามขณะที่เหลือเพียงชุ่นเดียวเงากระบี่จะถึงตัวฉินอวี้โม่นั้น ภาพอันน่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น

หลิงซานเห็นร่างบางของศัตรูหายวับ นั่นไม่ใช่เพียงการเคลื่อนที่หลบหลีกที่ว่องไว แต่เป็นการหายไปอย่างชวนฉงน

เพราะ ณ จุดเดิมที่นางเคยยืนอยู่มีเพียงกระบี่ที่ห้องหุ้มด้วยเปลวเพลิงเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น กระบี่เล่มนั้นปลดปล่อยแรงดันอันมหาศาลและน่าสะพรึงกลัวออกมา เป็นแรงกดดันที่ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ขนหัวลุก

— ฟิ้ว ~ —

— เคร้ง ! เคร้ง ! เคร้ง ! —

กระบี่เพลิงหมุนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว เงากระบี่ของหลิงซานที่พุ่งเข้ามาถูกฟันร่วงลงไปราวใบไม้ที่ถูกลมพายุปลิดออกจากต้น กระจัดกระจายพร่างพรายไปในอากาศ

กระบี่เล่มจริงลอยกลับไปยังมือผู้เป็นเจ้าของ ในตอนนี้แสงที่ห่อหุ้มมันอยู่จางหายไปหมดแล้ว

ทว่ากระบี่เพลิงกลับไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันพุ่งตามกระบี่ของคู่ต่อสู้ไปติด ๆ ก่อนจะจ้วงแทงเข้าใส่กายของหลิงซานในทันที พลังอันมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ในกระบี่เล่มนี้น่ากลัวยิ่งนัก หากถูกมันเสียบทะลุร่างทั้ง ๆ ที่เป็นเช่นนี้ ผู้นำแห่งอารามหวนหลิงคงได้เหลือแต่เพียงนามฝากไว้ในแผ่นดินเป็นแน่

เมื่อเค้าลางแห่งความตายพุ่งเข้าประชิดตัวจนสัมผัสได้ หลิงซานก็รีบตัดสินใจ เขาหยิบเอาเครื่องรางคุ้มภัยสมบัติล้ำค่าที่มีเพียงชิ้นเดียวออกมาก่อนจะบดขยี้มัน ทันใดนั้นพื้นที่รอบกายจ้าวอารามก็มีกำแพงพลังอันแข็งแกร่งปรากฏขึ้นมาป้องกันไว้ กระบี่ในมือของเขาเปล่งแสงเรืองรองขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสวนแทงไปด้านหน้าเพื่อรับมือกับกระบี่เพลิงที่ตรงเข้ามาหา

— ตูม ! —

ทว่า กระบี่เพลิงกลับทะลวงผ่านม่านพลังของเขาเข้าไปราวกับไร้อุปสรรค พลันเข้าปะทะกับกระบี่ในมือของหลิงซาน

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีม่านพลังช่วยรับแรงกระแทกไว้ส่วนหนึ่งจึงส่งผลให้แรงกดดันที่หลิงซานได้รับลดน้อยลงไปมาก

ต้องบอกเลยว่า กระบี่เพลิงที่ดูคล้ายมีชีวิตนี้ทำให้หลิงซานรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง หากถูกมันโจมตีเข้าใส่ร่าง เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชีวิตรอดได้

ในตอนที่หลิงซานกำลังรู้สึกโล่งใจเพราะคิดว่ากระบี่ของตนรับกระบี่เพลิงนั้นได้ เสียงที่ฟังดูแปลกประหลาดก็ดังขึ้น

— แคระ แครก เคล้ง ! —

จู่ ๆ กระบี่ในมือของหลิงซานก็เกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน พริบตาถัดจากนั้นมันก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ เศษแวววาวร่วงกราวลงบนพื้น ตอนนี้ในมือของหลิงซานเหลือเพียงด้ามกระบี่ไว้ดูต่างหน้า

เวลานี้ฉินอวี้โม่ไม่ทราบเลยว่าตนเองอยู่ที่แห่งใด ในตอนที่ส่งพลังวิญญาณเข้าไปในกระบี่ของซิว จู่ ๆ คุณหนูผู้มีวิญญาณนักฆ่าก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายดับสูญ และเมื่อได้สติรู้ตัวอีกครั้ง นางก็พบว่าทั้งร่างกายและวิญญาณของตัวเองได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่เพลิงไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารูปแบบ ‘การรวมกัน’ จะแปลกจากที่นางเข้าใจอยู่ไม่น้อย แต่การผสานเข้ากับกระบี่ในแบบของซิวเช่นนี้ก็ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ

ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในร่าง เป็นพลังมหาศาลและน่ากลัวของการหลอมรวมเข้ากับกระบี่เพลิงของซิว เห็นได้ชัดว่าม่านพลังป้องกันรวมถึงกระบี่ของหลิงซานแทบไม่สามารถต้านทานมันได้เลย การโจมตีที่รุนแรงถึงเพียงนี้ หากเป็นตัวฉินอวี้โม่เองในตอนนี้ไม่มีทางทำได้

บัดนี้ แววตาของหลิงซานฉายชัดถึงความหวาดหวั่นอย่างไม่อาจปกปิด เมื่อเห็นว่ากระบี่เพลิงตรงหน้ายังไม่หยุดและยังพุ่งเข้ามาเขาก็ไม่ลังเล

เท้าของจ้าวอารามก้าวถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน มือที่เคยถือด้ามดาบก็ผสานเป็นผนึกสร้างม่านพลังป้องกันด้วยพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่

เพราะรู้สึกถึงภัยคุกคามถึงชีวิตและตระหนักว่าไม่อาจต้านทานกระบี่เพลิงตรงหน้าได้ จ้าวอารามแห่งหวนหลิงจึงได้แต่ใช้พลังทั้งหมดตั้งรับเพื่อรักษาชีวิต

— ตูม ! —

ครานี้กระบี่เพลิงไม่ได้ทะลวงผ่านการป้องกันอีกแล้ว แต่ก็กระแทกเข้ากับม่านพลังของหลิงซานอย่างรุนแรง ก่อนที่พลังสะท้อนมหาศาลจะส่งให้ร่างของเขากระเด็นออกไปไกลแล้วตกกระแทกพื้น

— พรวด ! —

ผู้นำอารามแห่งหวนหลิงได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที เลือดจำนวนมากมายไหลออกมาจากปาก ทว่าเวลานี้เขายังคงหายใจได้ บุรุษนามหลิงซานเพิ่งจะรอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด ถ้าไม่ใช่เพราะตัดสินใจใช้ม่านพลังเมื่อครู่เขาก็คงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว

— ฟุ่บ ! —

ร่างของฉินอวี้โม่ปรากฏตรงหน้าหลิงซานที่อยู่ไม่ไกลออกไป ตอนนี้นางออกจากสภาวะผสานกระบี่แล้ว

‘โชคไม่ดีที่ตอนนี้คนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก มิฉะนั้น ต่อให้มีม่านพลังป้องกันนั่น การโจมตีเมื่อครู่ยังปลิดชีวิตเขาได้โดยง่าย’

ซิวกล่าวในเชิงเสียดาย ทว่าน้ำเสียงกลับไม่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น

การที่ยอดฝีมือผสานร่างและพลังเข้ากับกระบี่หรือที่ซิวเรียกมันว่า ‘รวมใจเป็นหนึ่ง’ นี้ เป็นกระบวนท่าจู่โจมรุนแรงอย่างที่ยอดฝีมือทั่วไปไม่อาจต้านทาน อันที่จริงในตอนนี้มันและฉินอวี้โม่ยังไม่สามารถใช้กระบวนท่าระดับสูงได้ ทว่าด้วยวิธีการพิเศษบางประการที่เทพอสูรเอาออกมาใช้ เมื่อครู่มันและสตรีผู้เป็นนายจึงสามารถเรียกใช้กระบวนท่านี้ได้

ต้องรอให้ฉินอวี้โม่แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้อีกหน่อย ทั้งสองจึงจะสามารถใช้งานกระบวนท่ารวมใจเป็นหนึ่งได้อย่างแท้จริง ถึงตอนนั้นฉินอวี้โม่ก็จะมีท่าไม้ตายที่น่ากลัวในการรับมือศัตรู

เมื่อได้ยินสิ่งที่ซิวกล่าวคุณหนูตระกูลฉินก็แย้มรอยยิ้ม ตัวนางเองไม่ได้รู้สึกเสียดายสักนิด เพราะเพียงเท่านั้นก็ถือว่ากระบวนท่าที่ผสานรวมกับกระบี่นี้รุนแรงกว่าที่น่าจินตนาการไว้มากแล้ว

ในตอนนี้นางรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ต่อไปในอนาคตกระบวนท่ารวมใจเป็นหนึ่งจะกลายเป็นไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของนางอีกใบ

— ตูม ! —

ยังไม่ทันที่จะได้จัดการเรื่องของหลิงซานให้จบ เสียงที่ฟังคล้ายระเบิดก็ดังขึ้นเสียก่อน

เมื่อหันไปมองทางด้านนั้น ฉินอวี้โม่ก็เห็นมังกรดึกดบรรพ์ที่นางเรียกขานในใจว่า ‘เจ้าไดโนเสาร์เขี้ยวยาว’ กำลังอาละวาดอย่างกราดเกรี้ยว หางอันทรงพลังของมันฟาดเข้าใส่หลินเหยียนเต็ม ๆ ร่างของจอมยุทธ์พเนจรที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินกระเด็นไปปะทะป่าสนขนาดย่อม ๆ ที่อยู่ไกลออกเป็นผลให้ต้นสนหลายสิบต้นล้มระเนระนาด

วันนี้ถือว่าโชคดีไม่น้อยที่ทางนครเลือกใช้อุทยานในการจัดงานเลี้ยงแทนการใช้ห้องโถง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นไม่เพียงแต่ห้องโถงจะพังราบ แต่ทั้งจวนจ้าวนครก็อาจจะพังครืนไม่เหลือเลยก็ได้

“เจ้าพวกมนุษย์ที่น่ารังเกียจ พวกเจ้าทำอะไรผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าไม่ได้หรอก !”

มังกรดึกดำบรรพ์คำรามด้วยความโกรธ ดูเหมือนว่าหานโม่ฉือและคณะยอดฝีมือจากไป๋อวิ๋นจะทำให้มันรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

หากไม่ใช่เพราะระดับพลังของมันในตอนนี้ลดลงจากเมื่อก่อนอย่างมหาศาล เพียงมนุษย์อ่อนหัดตัวเล็ก ๆ ไม่กี่คนไม่มีทางทำอันตรายมันได้

ในตอนนี้มันถูกการโจมตีเข้าไปหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่ถึงกับบาดเจ็บ แต่ก็สร้างความรำคาญใจให้สัตว์ร้ายจากบรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่ไม่น้อยเลย การโจมตีกระหน่ำเข้ามาจากทุกทิศทางไม่หยุดยั้ง วิญญาณมังกรร้ายรู้สึกคล้ายกำลังถูกยั่วยุตลอดเวลา

หลินเหยียนเช็ดเลือดที่มุมปากและรีบลุกขึ้นยืน ร่างของเขาหายวับและไปปรากฏบริเวณใกล้ร่างมังกรดึกดำบรรพ์อีกครา

เงือกสาวแสนงาม ซึ่งเป็นอสูรมายาของมู่อวิ๋นรีบช่วยรักษาบาดแผลและเยียวยาอาการบาดเจ็บให้จอมยุทธ์พเนจรทันที

ในตอนนี้หานโม่ฉือ มู่อวิ๋นและหลินเหยียนกำลังยืนล้อมมังกรดึกดำบรรพ์เป็นรูปสามเหลี่ยม

แม้จะมีคนจากไป๋อวิ๋นอีกสามคนคอยสนับสนุนในจุดที่ห่างออกมา ทว่าด้วยขนาดที่ใหญ่เกินไปของมังกรดึกดำบรรพ์ทำให้พวกเขาทั้งหมดควบคุมสถานการณ์ได้ยากลำบากมาก

ศึกในจุดอื่น ๆ ก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจะปล่อยให้มันไปอาละวาดที่อื่นไม่ได้

อีกด้านหนึ่งแม้ซวนหนีจะแข็งแกร่งเหนือชั้นแต่หุ่นกลโลหะก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่า นอกจากไม่เป็นรองแล้วยังคล้ายเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่เสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะมันไม่มีเลือดเนื้อจึงไร้จุดอ่อนและไม่รู้จักอาการบาดเจ็บหรือหวาดกลัว

ถึงแม้จะถูกซวนหนีจู่โจมอย่างรุนแรงหลายครั้งหลายหน แต่เจ้าหุ่นกลก็ไม่สะทกสะท้าน ที่สำคัญพลังในการต่อสู้ก็ไม่ลดลงเลย นั่นทำให้อสูรที่มีชีวิตอย่างซวนหนีเริ่มเกิดความตระหนกและตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองแล้ว

กระนั้นความเป็นรองของซวนหนีก็เล็กน้อยจนแทบจะไม่อาจสังเกตเห็นได้ การปะทะกันของหนึ่งอสูรหายากกับหนึ่งสมบัติประหลาดนี้ หากจะให้รู้ผลแพ้ชนะก็คงต้องใช้เวลาอีกนาน

การต่อสู้ระหว่างอู่ซิงกับหลงจื้อเองก็ดุเดือดรุนแรง

ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ต่างกันมาก ก่อนหน้านี้ในดินแดนหนเหนือพวกเขาก็เคยประมือกันมาหลายครั้งแล้ว ครานี้การต่อสู้ของทั้งคู่ก็ยังเป็นไปอย่างสู้สีไม่มีฝ่ายใดที่เหนือกว่า และแน่นอนว่าคงยังไม่อาจรู้ผลในเวลาอันสั้น

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ที่ดูจะรุนแรงมากที่สุดกลับเป็นศึกสายเลือดของบุรุษสองพี่น้อง อวี๋จวินซานและอวี๋จวินเหยา

ในตอนนี้พลังของพวกเขาอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน เมื่อมีโอกาสเช่นนั้นอวี๋จวินเหยาจึงไม่แสดงความปรานีใด ๆ เขาทุ่มพลังทั้งหมดหวังจะปลิดชีวิตของพี่ชายให้ได้

อวี๋จวินซานเองก็โต้กลับอย่างหนักหน่วงไม่แพ้กัน ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเขามีมากกว่าอีกฝ่ายอย่างเทียบไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นรองในด้านพลังอยู่เล็กน้อยแต่ก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ

เมื่อเห็นสถานการณ์โดยรวมในสนามรบ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วแน่น ทว่านางก็ไม่มีเวลาสนใจจุดอื่นอีก อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูต้องทุ่มสมาธิกับหลงซานที่อยู่ตรงหน้านี้เสียก่อน

.

Options

not work with dark mode
Reset