คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 244 เบื้องหลังความบ้าคลั่ง

ห่างออกไปทางทิศใต้ ในป่ากว้างที่ซึ่งไม่ไกลจากเขตหมู่บ้านมากนัก ปรากฏกลิ่นอายแปลกประหลาดอบอวลสอดผสานไปกับเสียงขลุ่ยบรรเลงพลิ้วไหว

หากไม่ใช่เพราะเข้ามาใกล้ป่าแห่งนี้มากแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เกรงว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่จะได้ยินเสียงขลุ่ยหวานแต่แสนแผ่วเบานั้น

ณ จุดหนึ่งในป่า บนหลังเสือโคร่งสีแดงเพลิงตัวใหญ่มีเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบสี่ถึงสิบห้าปีสวมชุดสีเขียวอ่อนนั่งอยู่

ผมยาวของเด็กหญิงผู้นี้หยักศกและเป็นสีเปลือกไม้ ปลายผมม้วนขอดที่ถูกผูกรวบไว้สองข้างทิ้งตัวลงมาเคลียไหล่ ดวงตากลมโตภายใต้แพขนตาดกหนาฉายแววซุกซนและขี้เล่น เด็กสาวชุดเขียวผู้นี้ดูน่ารักเป็นอย่างมาก

ในมือของนางถือขลุ่ยเลาหนึ่ง ขณะที่ปากน้อย ๆ ฉ่ำวาวดูคล้ายผลอิงเถากำลังเป่าลมผ่านส่วนของรูเป่า ศิลปินสาวแสนน่ารักกำลังบรรเลงดนตรีเป็นท่วงทำนองแสนอ่อนโยน

ฉินอวี้โม่รีบปกปิดกลิ่นอายของตัวเองในทันทีขณะที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้สาวน้อยชุดเขียวอย่างช้า ๆ แม้แต่อดีตนักฆ่ามือฉกาจอย่างนางก็ยังเกือบจะหลงใหลไปกับท่วงทำนองแว่วหวานที่คล้ายต้องการจะขับกล่อมทั้งโลกหล้านั้น

‘นายหญิง สิ่งที่ควบคุมอสูรมายาที่โจมตีหมู่บ้านจันทราก็คือเจ้าขลุ่ยอันนั้น ขอเพียงหยุดเสียงขลุ่ยนั่นได้ อสูรมายาบ้าคลั่งก็จะได้สติกลับมา’

คำแนะนำของมารยาดังขึ้นมาในห้วงจิตของฉินอวี้โม่

‘ใช่ แค่ได้ยินเสียงขลุ่ยบ้านั่น ข้าก็หัวหมุนตาลายคล้ายจะเป็นลมแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นอสูรของนายหญิง ป่านนี้ทั้งข้ากะเจ้าพวกในนี้หลายตัวก็คงถูกเสียงขลุ่ยนั่นควบคุมไปด้วยเหมือนกัน’

เสี่ยวเฮยกล่าวขึ้นบ้าง

เสียงบรรเลงเพลงขลุ่ยนั้นทรงพลังอย่างน่าประหลาด การที่พวกมันไม่ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดก็เป็นเพราะได้ทำพันธสัญญากับฉินอวี้โม่ไปแล้ว มิฉะนั้น หากอยู่ที่นี่ชะตากรรมของพวกมันก็คงเป็นเช่นเดียวกับอสูรมายาทั้งหลายที่บุกโจมตีหมู่บ้านจันทรา

‘อ๋าาาา~ ที่แท้ก็เป็นอสูรหายากมากนี่เอง’

จู่ ๆ หานอวี้โม่ก็พูดออกมาด้วยความประหลาดใจ ทั้งน้ำเสียงและถ้อยคำแฝงความตื่นเต้นไว้ไม่น้อย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะมันได้พบอสูรมายาที่พิเศษมาก ๆ เข้าแล้ว

“อสูรหายาก ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของมังกรน้อย ฉินอวี้โม่ก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

เสือโคร่งสีแดงเพลิงตัวนั้นดูแล้วก็น่าจะเป็นเพียงอสูรธรรมดาที่มีระดับไม่สูงนัก ที่สำคัญตรงจุดนั้นไม่มีสิ่งที่คล้ายอสูรอื่นใดอยู่อีกแล้ว หรืออสูร ‘หายากมาก’ ที่หานอวี้กล่าวถึงจะเป็นเด็กสาวที่กำลังนั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนหลังเสือ ?

แต่นั่นก็นับว่าประหลาดมากอยู่ดี เพราะมองดูอย่างไรเด็กสาวน่ารักผู้นั้นก็ไม่คล้ายเป็นอสูร ที่สำคัญกลิ่นอายที่สัมผัสได้จากกายนางก็ไม่เหมือนเหล่าอสูรจำแลงที่คุณหนูตระกูลฉินเคยพบเจอเลยแม้แต่น้อย

‘ท่านแม่ เคยได้ยินเรื่อง ‘อสูรพฤกษา’ อสูรที่หายากมาก ๆ บ้างหรือไม่ ?’

หานอวี้เอ่ยถามฉินอวี้โม่

เมื่อได้ยินคำถาม ฉินอวี้โม่ก็นิ่งไปอย่างใช้ความคิด หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับอสูรมายาประเภทพืช นางเคยได้ยินมาบ้างอีกทั้งยังเคยจับมันไปประมูลอยู่ครั้งหนึ่ง อสูรมายาประเภทพืชนี้กล่าวได้ว่าเป็นอสูรที่หายากมากประเภทหนึ่ง ไม่ทราบว่าทั้งสองจะคล้ายกันหรือไม่ แต่คำว่า ‘อสูรพฤกษา’ นี้ยิ่งฟังก็ยิ่งดูเหมือนจะพิเศษกว่าอสูรมายาประเภทพืชที่เรียกได้ว่าหายากแล้วนี้หลายเท่า

หานอวี้เล่าว่า การถือกำเนิดของอสูรพฤกษามิใช่เรื่องง่าย อันที่จริงมันเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยก็ว่าได้ กล่าวกันว่าอสูรพวกนี้จะถือกำเนิดจาก ‘ต้นไม้วิญญาณ’ ที่ได้ดูดซับพลังแห่งฟ้าดินอย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่าล้านปี กระทั่งถึงจุดจุดหนึ่ง มันจะมีพลังจนสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้ และเมื่อถึงจุดนี้มันก็จะมีรูปลักษณ์และคุณสมบัติไม่ต่างจากอสูรมายาทั่วไป

ทว่าอสูรพฤกษานี้มีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่งและมีพรสวรรค์สูงกว่าอสูรมายาทั่วไปมาก หากจะเปรียบเทียบแล้ว ความพิเศษของมันจะค่อนข้างคล้ายคลึงกับมารยาที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากเศษน้ำแข็งบนยอดหอคอยของปราสาทเหมันต์

‘ถ้าข้าจำไม่ผิด ผู้หญิงชุดเขียวนั่นน่าจะเป็นอสูรพฤกษาที่มีชื่อเรียกว่า ‘พลับพลึงแดง’ มันคงดูดซับพลังแห่งฟ้าดินมานานแสนนานแล้วถึงจำแลงร่างมนุษย์ได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้ เจ้าตัวนี้มีทักษะคือควบคุมอสูรตัวอื่น ๆ ได้ มันสามารถทำให้อสูรจำนวนมากมายกลายเป็นทาสรับใช้มันได้เลย’

หานอวี้จ้องมองสตรีชุดเขียวพลางกล่าวถึงข้อมูลที่มีอยู่ในความทรงจำมังกรในตำนานของมัน

ในฐานะที่เป็นมังกรทองผู้มีสายเลือดระดับสูง ก็ย่อมแน่นอนว่าไม่เพียงทรงพลังน่าเกรงขามแต่หานอวี้ยังรอบรู้อีกด้วย แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่แข็งแกร่งมากมายนัก แต่ความทรงจำที่มันได้รับสืบทอดมาก็ช่วยมันได้มาก ยิ่งมันเติบโตขึ้น ความทรงจำเก่า ๆ ก็ยิ่งฟื้นคืนกลับมามากขึ้นเรื่อย ๆ

‘พลับพลึงแดง !’

ทันทีที่มารยาและอสูรตัวอื่น ๆ ในสังกัดอวี้โม่ได้ยินนามเรียกขานแห่งอสูรพฤกษาตนนี้ พวกมันก็อุทานออกมาก่อนจะมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

พลับพลึงแดงนั้นเป็นพืชระดับสูงชนิดหนึ่ง มันถูกจัดเป็นหนึ่งในสุดยอดวัตถุดิบหายากและล้ำค่าที่ถูกนำมาหลอมเป็นโอสถชั้นเลิศ

ความพิเศษอย่างหนึ่งของพลับพลึงแดงคือมันเป็นพืชที่มีพลังมายาอยู่ในตัวเองและมีอยู่ในปริมาณที่สูงมาก เมื่อใดก็ตามที่มีอสูรมายารุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตของมัน พืชชนิดนี้ก็จะปลดปล่อยแรงกดดันที่น่าเกรงขามออกมาเพื่อขับไล่ นี่เองทำให้มันเป็นที่โจษขานในหมู่อสูรมายาทั้งหลาย ดังนั้นแล้ว ถึงแม้มารยาและเหล่าอสูรในสังกัดอวี้โม่จะไม่เคยเห็นพืชชนิดนี้แต่ก็เคยได้ยินชื่ออยู่บ้าง

และยิ่งเป็นพืชระดับสูงเท่าไหร่ เมื่อผ่านการฝึกฝนบ่มเพาะและดูดซับพลังแห่งฟ้าดินจนจำแลงร่างมนุษย์ได้ก็จะยิ่งแข็งแกร่งเหนือกว่าอสูรมายาตัวอื่น ๆ

‘ความสามารถในการควบคุม’ นั้นเป็นความสามารถที่ถือว่าพิเศษสุดแสน การควบคุมอสูรตัวอื่น ๆ ได้นั้นก็เท่ากับได้กองทัพมาช่วยต่อสู้กับศัตรูโดยที่ตนไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อย

‘ท่านแม่ต้องระวังให้มาก การรับมือกับพลับพลึงแดงไม่ง่ายเลย’

หานอวี้กล่าวเตือนฉินอวี้โม่เพื่อให้นางไม่ประมาท

อย่าว่าแต่เอาชนะ แม้แต่การจะรับมือกับอสูรพฤกษาโดยเฉพาะพลับพลึงแดงที่มีความสามารถในการควบคุมให้ได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก หากพลาดพลั้งไปก็อาจกลับกลายเป็นถูกอีกฝ่ายควบคุมไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ สายตาที่อดีตนักฆ่าใช้จ้องมองพลับพลึงแดงดูมีความระมัดระวังมากขึ้น

ดูเหมือนว่าศึกครั้งนี้คงจะไม่ง่ายเสียแล้ว หากจะใช้อสูรมายาของนางออกไปต่อสู้ก็เกรงว่าจะถูกควบคุม เรื่องนี้ต้องคิดและตัดสินใจอย่างรอบคอบ

‘สิ่งที่อสูรมายาประเภทนี้กลัวมากที่สุดก็คือเพลิงระดับสูง โดยเฉพาะเพลิงของมังกรทอง น่าเสียดายที่ท่านซิวหลับอยู่ มิฉะนั้นด้วยเพลิงบริสุทธิ์ของเขาเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอจะทำให้พลับพลึงแดงยอมแพ้ได้แล้ว’

หงส์แดงกล่าวด้วยเสียงฮึดฮัด

เป็นจริงดังที่อสูรสาวธาตุไฟกล่าวเพราะฝันร้ายของอสูรพฤกษาก็คือเพลิงระดับสูง

ด้วยเพลิงที่น่าเกรงขามของซิว การจะจัดการกับพลับพลึงแดงไม่ถือว่าเป็นปัญหาเลยสักนิด แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เทพอสูรผู้แข็งแกร่งของฉินอวี้โม่กำลังอยู่ในสภาวะหลับใหลเพื่อบ่มเพาะพลัง

‘พี่ซิวไม่อยู่ แต่ก็ยังมีข้าอยู่ไม่ใช่หรือ ?’

หานอวี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ ขณะเดียวกันเด็กชายมังกรก็เชิดหน้าขึ้นนิด ๆ ยืดอกอีกเล็กน้อย  ตัวมันก็เป็นมังกรทอง ทั้งยังเป็นถึงมังกรทองห้าเล็บ แล้วจะไม่มีเพลิงระดับสูงได้อย่างไร

แม้ว่าจะไม่สูงส่งเท่ากับเพลิงของมังกรทองสิบเล็บในตำนานอย่างซิว แต่เพียงแค่ใช้มันจัดการกับอสูรพฤกษาตรงหน้านั่นย่อมไร้ปัญหา

‘ใช่ ข้าลืมไปเลยว่าหานอวี้เป็นมังกรทองห้าเล็บ มังกรทองไม่ว่าจะเป็นระดับใดก็ล้วนมีเพลิงเป็นอาวุธ ยิ่งเป็นมังกรทองที่สายเลือดสูงส่งก็ยิ่งมีพลังเพลิงอันร้ายกาจ ที่ผ่านมาเพราะข้าไม่เคยเห็นหานอวี้ใช้จึงหลงลืมไป’

หงส์แดงรีบเอ่ยปาก เมื่อครู่มันก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าหานอวี้ตัวน้อยคือมังกรทองห้าเล็บ เช่นนั้นเพลิงของมันก็ย่อมต้องใช้ได้

ไม่ใช่เพียงหงส์แดงเท่านั้นที่หลงลืมพลังเพลิงของหานอวี้ แท้จริงแล้วในเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการที่เพลิงของซิวทรงพลานุภาพและใช้ได้ผลมากเกินไปจนสหายในสังกัดอวี้โม่ตัวอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้เพลิงของตน หานอวี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่สำคัญมังกรน้อยยังเยาว์วัยอยู่มาก และมันก็เพิ่งได้เริ่มเข้าร่วมการต่อสู้กับคณะเมื่อไม่นานมานี้

ฉินอวี้โม่แย้มรอยยิ้ม คุณหนูตระกูลฉินไม่กล่าวคำใดให้เสียเวลาอีก ร่างของนางหายวับไปก่อนจะปรากฏอีกครั้งตรงหน้าอสูรหายากในร่างสาวน้อยนักดนตรีในชุดสีเขียว

“พลับพลึงแดง เป็นอสูรอยู่ที่นี่ก็สมควรอยู่ในที่ของตัวเอง เหตุใดต้องระรานมนุษย์ บังคับควบคุมฝูงอสูรมายาแสนดุร้ายไปไล่เข่นฆ่าพวกเขาเช่นนั้น ?”

ในทันทีที่หยุดเคลื่อนไหว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวถามอีกฝ่ายออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เหอะ เจ้ามนุษย์ที่น่ารังเกียจ กล้ามากนะที่บุกเข้ามาในอาณาเขตของข้า”

พลับพลึงแดงไม่คิดจะตอบคำถาม สาวน้อยแสนงดงามไม่นึกเกรงกลัวมนุษย์โอหังตรงหน้าเลยสักนิด สิ้นวาจาดูหมิ่น เพลงขลุ่ยของมันก็บรรเลงต่อไปอีกครั้ง และยังคงดังผะแผ่วต่อไปอีกอย่างไม่หยุดหย่อน

อย่างไรก็ตาม เสือสีแดงเพลิงที่นางขี่อยู่ก็ยังไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน ดวงตาที่มันใช้มองฉินอวี้โม่นั้นดูเซื่องซึมและเฉยชาเป็นอย่างมาก

“เหอะ เป็นเพียงดอกไม้น้อย ๆ แต่กล้ากระทำเพียงนี้ เจ้าจะโอหังมากเกินไปแล้ว เท่าที่ข้าเห็นหมู่บ้านจันทราอยู่อย่างสงบสุขมาโดยตลอด พวกเขาเคยกระทำสิ่งใดให้เจ้าแค้นเคืองหรือ เหตุใดต้องมุ่งหมายทำลายล้างกันเช่นนั้นด้วย ? ”

ฉินอวี้โม่สาดวาจาเย็นชากลับไป อสูรมายาตรงหน้านางถือว่าจองหองมากเกินไปจนน่ารังเกียจ แม้จะอยู่ต่อหน้านางก็ยังไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยสักนิด การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากลูกวัวไร้เดียงสาที่ไม่เคยรู้จักนางพยัคฆ์ จึงไม่คิดกริ่งเกรง

“ข้าก็แค่อยากจะลองทดสอบพลังตัวเองหลังจากสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้ หมู่บ้านนี้ก็แค่โชคไม่ดีที่มาตั้งอยู่ใกล้ ๆ ให้ข้าได้ใช้เป็นเหยื่อทดลอง อย่างไรมนุษย์กับอสูรมายาก็เป็นศัตรูตลอดกาลของกันและกันอยู่แล้ว ฉะนั้นสิ่งที่ข้าทำไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

พลับพลึงแดงยังไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกผิด มันกล่าวโต้ตอบด้วยท่าทีไม่แยแส

เมื่อได้ฟังได้เห็นวาจาและท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่าย สีหน้าของฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนไปฉับพลัน จิตสังหารของนางพุ่งสูงขึ้นในพริบตา แรงกดดันอันมหาศาลไหลทะลักออกมาจากร่างบางอย่างไม่อาจควบคุมได้

“แค่อยากจะทดสอบพลังของตัวเองก็ถึงกับต้องส่งอสูรดุร้ายบุกโจมตีที่พำนักของผู้อื่น ทำร้ายผู้คนเป็นเรื่องเล่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปมันส่งผลอย่างไรบ้าง มีคนบริสุทธิ์กี่คนที่อาจจะต้องตายเพราะการกระทำแสนโง่เขลาของเจ้า”

ฉินอวี้โม่ยอมรับว่าแท้จริงแล้วตัวนางก็มิใช่ผู้พิทักษ์ความเป็นธรรม นางเองก็เห็นด้วยกับหลักการที่ว่าผู้ที่แข็งแกร่งกว่าควรจะได้รับความเคารพยำเกรง

กระนั้นนางกลับไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อยที่ผู้ที่แข็งแกร่งจะใช้พลังอันเหนือกว่าข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าตน

โดยเฉพาะหมู่บ้านที่สงบสุขมาโดยตลอดอย่างหมู่บ้านจันทราไม่สมควรจะต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายโดยที่พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลยเช่นนี้

หากเมื่อครึ่งเดือนก่อนนางไม่ได้มาปรากฏตัวที่นี่ก็แทบไม่ต้องจินตนาการถึงชะตากรรมของพวกเขาเลย ไม่รู้ว่าจะมีชาวบ้านกี่คนที่ต้องตกเป็นอาหารของอสูรมายาเหล่านั้น

การกระทำของพลับพลึงแดงนับเป็นเรื่องเลวร้ายเกินกว่าจะให้อภัย

“หยุดการกระทำของเจ้าและปล่อยพวกอสูรมายาตัวอื่น ๆ ไป มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน และในภายหลังอย่ากล่าวหาว่าข้ารังแกเจ้า”

ฉินอวี้โม่กล่าว เสียงของคุณหนูผู้มีวิญญาณอดีตนักฆ่าเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากอีกฝ่ายยังคงดื้อดึงปฏิเสธ นางก็ไม่ลังเลที่จะลงมือขั้นเด็ดขาด

“ฮ่า ๆ ๆ น่าขำ บุกเข้ามาในอาณาเขตของเข้าแล้วยังวางท่าโอหังเช่นนั้น เจ้าเสียสติไปแล้วรึ ? เสือโคร่งที่ข้าขี่อยู่ถึงจะดูธรรมดาแต่ก็เป็นถึงอสูรระดับจ้าวพิภพ ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันหรอก ที่สำคัญเจ้าคงเห็นแล้วนะว่าพลังในการควบคุมของข้า ทรงพลังมากเพียงใด”

แม้ว่าจะอยู่ในร่างของสาวน้อย แต่พลับพลึงแดงกลับไม่มีท่าทีเกรงกลัวฉินอวี้โม่เลยสักนิด อสูรพฤกษาหายากเอามือตบไปบนหลังเสือโคร่งที่ขี่อยู่เบา ๆ ก่อนจะยิ้มเย้ยฉินอวี้โม่ราวกับตนเองคือผู้ชนะ

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พืชอย่างมันจะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ เมื่อจำแลงร่างมนุษย์ได้ทั้งที อสูรพฤกษาสาวจึงอยากจะลองทดสอบพลังที่มีอยู่ให้แน่ชัด ความเร็วในการพัฒนาตัวเองของอสูรประเภทพืชนั้นเชื่องช้ากว่าอสูรทั่วไปหลายเท่าตัว แต่กล่าวกันว่าถ้าฝึกจนสำเร็จแล้วก็จะทรงพลังจนน่ากลัวกว่าเป็นเท่าทวี

และก็เป็นจริงดังคำกล่าว เพราะตอนนี้ระดับพลังของมันอยู่ในขั้นอสูรสวรรค์จักรพรรดิเท่านั้น ทว่ามันกลับควบคุมอสูรจ้าวพิภพได้ เท่านี้ก็เพียงพอจะยืนยันความน่ากลัวของอสูรพฤกษาได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะเป็นข้อพิสูจน์ที่มันพึงพอใจได้

“ดื้อด้านนัก !”

เมื่อได้ยินคำตอบของอสูรในร่างสาวน้อย ฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลอีก นางเรียกอสูรมายาของตัวเองออกมาทันที

การจะจัดการกับศัตรูตรงหน้าไม่จำเป็นต้องใช้อสูรมายาทั้งหมด ขอเพียงมารยาสามารถถ่วงเวลาเสือโคร่งระดับจ้าวพิภพตัวนี้ไว้ด้วยข่ายอาคมได้ นางก็จะร่วมมือกับหานอวี้เพื่อจัดการกับตัวต้นตอได้ในทันที เรื่องนี้ไม่น่าจะยากเย็นมากนัก

ถึงอย่างไร ฉินอวี้โม่ก็ยังมีหงส์แดงและอสูรระดับสูงตัวอื่น ๆ เป็นแผนสำรอง เพียงแต่ในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกมันจะต้องลงมือเอง

หงส์แดงเองก็เป็นอสูรธาตุไฟ อสูรสาวใช้ไฟเป็นอาวุธเช่นกัน แม้ว่าจะไม่มีเปลวเพลิงที่น่าเกรงขามเท่ากับมังกรทองห้าเล็บ แต่ถ้าใช้อย่างเหมาะสมก็น่าจะเพียงพอสำหรับใช้จัดการกับศัตรูตรงหน้าได้ ทว่าฉินอวี้โม่อยากจะจบการต่อสู้นี้โดยเร็วจึงเรียกใช้หานอวี้เพื่อจัดการกับปัญหานี้ขั้นเด็ดขาด

“มารยา ตอนนี้พลังของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว ฉะนั้นพลังของข่ายอาคมของเจ้าก็น่าจะทรงพลังขึ้นไม่น้อย วันนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ทดสอบพลังของข่ายอาคม เจ้าช่วยข้าถ่วงเวลาของเจ้าเสือโคร่งตัวนั้นที”

ฉินอวี้โม่หันไปสั่งการกับมารยาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเองนายหญิง”

มารยาพยักหน้า สีหน้าแววตาของมันดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ในช่วงนี้มันได้เรียนรู้ทักษะด้านข่ายอาคมใหม่ ๆ จากตำราข่ายอาคมที่ได้มาจากถ้ำของเทพมายาไปพร้อม ๆ กับฉินอวี้โม่ ดังนั้นแล้วมันจึงอยากจะลองทดสอบพลังของตัวเองเป็นอย่างมาก

หานอวี้ปรากฏตัวขึ้นเคียงข้างฉินอวี้โม่ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ปล่อยเจ้าพลับพลึงแดงนี่ให้เป็นหน้าที่ข้า  ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไม่ปรานีมันแน่”

ฉินอวี้โม่ดึงแก้มนุ่มนิ่มอวบอิ่มของหานอวี้เล่นก่อนจะกล่าว “รีบลงมือเร็วเข้า เจ้ามังกรน้อยขี้คุย เดี๋ยวข้าจะคอยช่วยเจ้าอีกแรง”

หานอวี้ยิ้มออกมา ในตอนนั้นเองมารยาก็ลงมือจู่โจมฝ่ายตรงข้ามที่ประกอบด้วยหนึ่งอสูรพฤกษาและหนึ่งเสือโคร่งจ้าวพิภพด้วยวิชาข่ายอาคม

สีหน้าของอสูรในร่างเด็กสาวชุดเขียวเปลี่ยนไปฉับพลัน มันไม่กล้าประมาทพลังของพวกฉินอวี้โม่อีก อสูรพฤกษาสั่งให้เสือโคร่งของตนตรงเข้าจัดการกับมารยาและหานอวี้ทันที

— โฮก ! —

เสือโคร่งคำรามลั่นป่าก่อนที่ร่างของมันจะกระโจนขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ในพริบตานั้น ขนาดของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดพอ ๆ กับช้างตัวใหญ่พลันพุ่งตรงเข้าใส่มารยาในทันที

ส่วนสาวน้อยเจ้าของเพลงขลุ่ยก็ยกเครื่องดนตรีคู่กายกลับมาวางที่ปากเช่นเดิมแล้วเป่ามันต่อไปอย่างไม่ไยดี

.

.

.

———————

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 244 เบื้องหลังความบ้าคลั่ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 244 เบื้องหลังความบ้าคลั่ง

ห่างออกไปทางทิศใต้ ในป่ากว้างที่ซึ่งไม่ไกลจากเขตหมู่บ้านมากนัก ปรากฏกลิ่นอายแปลกประหลาดอบอวลสอดผสานไปกับเสียงขลุ่ยบรรเลงพลิ้วไหว

หากไม่ใช่เพราะเข้ามาใกล้ป่าแห่งนี้มากแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เกรงว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่จะได้ยินเสียงขลุ่ยหวานแต่แสนแผ่วเบานั้น

ณ จุดหนึ่งในป่า บนหลังเสือโคร่งสีแดงเพลิงตัวใหญ่มีเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบสี่ถึงสิบห้าปีสวมชุดสีเขียวอ่อนนั่งอยู่

ผมยาวของเด็กหญิงผู้นี้หยักศกและเป็นสีเปลือกไม้ ปลายผมม้วนขอดที่ถูกผูกรวบไว้สองข้างทิ้งตัวลงมาเคลียไหล่ ดวงตากลมโตภายใต้แพขนตาดกหนาฉายแววซุกซนและขี้เล่น เด็กสาวชุดเขียวผู้นี้ดูน่ารักเป็นอย่างมาก

ในมือของนางถือขลุ่ยเลาหนึ่ง ขณะที่ปากน้อย ๆ ฉ่ำวาวดูคล้ายผลอิงเถากำลังเป่าลมผ่านส่วนของรูเป่า ศิลปินสาวแสนน่ารักกำลังบรรเลงดนตรีเป็นท่วงทำนองแสนอ่อนโยน

ฉินอวี้โม่รีบปกปิดกลิ่นอายของตัวเองในทันทีขณะที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้สาวน้อยชุดเขียวอย่างช้า ๆ แม้แต่อดีตนักฆ่ามือฉกาจอย่างนางก็ยังเกือบจะหลงใหลไปกับท่วงทำนองแว่วหวานที่คล้ายต้องการจะขับกล่อมทั้งโลกหล้านั้น

‘นายหญิง สิ่งที่ควบคุมอสูรมายาที่โจมตีหมู่บ้านจันทราก็คือเจ้าขลุ่ยอันนั้น ขอเพียงหยุดเสียงขลุ่ยนั่นได้ อสูรมายาบ้าคลั่งก็จะได้สติกลับมา’

คำแนะนำของมารยาดังขึ้นมาในห้วงจิตของฉินอวี้โม่

‘ใช่ แค่ได้ยินเสียงขลุ่ยบ้านั่น ข้าก็หัวหมุนตาลายคล้ายจะเป็นลมแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นอสูรของนายหญิง ป่านนี้ทั้งข้ากะเจ้าพวกในนี้หลายตัวก็คงถูกเสียงขลุ่ยนั่นควบคุมไปด้วยเหมือนกัน’

เสี่ยวเฮยกล่าวขึ้นบ้าง

เสียงบรรเลงเพลงขลุ่ยนั้นทรงพลังอย่างน่าประหลาด การที่พวกมันไม่ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดก็เป็นเพราะได้ทำพันธสัญญากับฉินอวี้โม่ไปแล้ว มิฉะนั้น หากอยู่ที่นี่ชะตากรรมของพวกมันก็คงเป็นเช่นเดียวกับอสูรมายาทั้งหลายที่บุกโจมตีหมู่บ้านจันทรา

‘อ๋าาาา~ ที่แท้ก็เป็นอสูรหายากมากนี่เอง’

จู่ ๆ หานอวี้โม่ก็พูดออกมาด้วยความประหลาดใจ ทั้งน้ำเสียงและถ้อยคำแฝงความตื่นเต้นไว้ไม่น้อย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะมันได้พบอสูรมายาที่พิเศษมาก ๆ เข้าแล้ว

“อสูรหายาก ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของมังกรน้อย ฉินอวี้โม่ก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

เสือโคร่งสีแดงเพลิงตัวนั้นดูแล้วก็น่าจะเป็นเพียงอสูรธรรมดาที่มีระดับไม่สูงนัก ที่สำคัญตรงจุดนั้นไม่มีสิ่งที่คล้ายอสูรอื่นใดอยู่อีกแล้ว หรืออสูร ‘หายากมาก’ ที่หานอวี้กล่าวถึงจะเป็นเด็กสาวที่กำลังนั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนหลังเสือ ?

แต่นั่นก็นับว่าประหลาดมากอยู่ดี เพราะมองดูอย่างไรเด็กสาวน่ารักผู้นั้นก็ไม่คล้ายเป็นอสูร ที่สำคัญกลิ่นอายที่สัมผัสได้จากกายนางก็ไม่เหมือนเหล่าอสูรจำแลงที่คุณหนูตระกูลฉินเคยพบเจอเลยแม้แต่น้อย

‘ท่านแม่ เคยได้ยินเรื่อง ‘อสูรพฤกษา’ อสูรที่หายากมาก ๆ บ้างหรือไม่ ?’

หานอวี้เอ่ยถามฉินอวี้โม่

เมื่อได้ยินคำถาม ฉินอวี้โม่ก็นิ่งไปอย่างใช้ความคิด หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับอสูรมายาประเภทพืช นางเคยได้ยินมาบ้างอีกทั้งยังเคยจับมันไปประมูลอยู่ครั้งหนึ่ง อสูรมายาประเภทพืชนี้กล่าวได้ว่าเป็นอสูรที่หายากมากประเภทหนึ่ง ไม่ทราบว่าทั้งสองจะคล้ายกันหรือไม่ แต่คำว่า ‘อสูรพฤกษา’ นี้ยิ่งฟังก็ยิ่งดูเหมือนจะพิเศษกว่าอสูรมายาประเภทพืชที่เรียกได้ว่าหายากแล้วนี้หลายเท่า

หานอวี้เล่าว่า การถือกำเนิดของอสูรพฤกษามิใช่เรื่องง่าย อันที่จริงมันเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยก็ว่าได้ กล่าวกันว่าอสูรพวกนี้จะถือกำเนิดจาก ‘ต้นไม้วิญญาณ’ ที่ได้ดูดซับพลังแห่งฟ้าดินอย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่าล้านปี กระทั่งถึงจุดจุดหนึ่ง มันจะมีพลังจนสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้ และเมื่อถึงจุดนี้มันก็จะมีรูปลักษณ์และคุณสมบัติไม่ต่างจากอสูรมายาทั่วไป

ทว่าอสูรพฤกษานี้มีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่งและมีพรสวรรค์สูงกว่าอสูรมายาทั่วไปมาก หากจะเปรียบเทียบแล้ว ความพิเศษของมันจะค่อนข้างคล้ายคลึงกับมารยาที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากเศษน้ำแข็งบนยอดหอคอยของปราสาทเหมันต์

‘ถ้าข้าจำไม่ผิด ผู้หญิงชุดเขียวนั่นน่าจะเป็นอสูรพฤกษาที่มีชื่อเรียกว่า ‘พลับพลึงแดง’ มันคงดูดซับพลังแห่งฟ้าดินมานานแสนนานแล้วถึงจำแลงร่างมนุษย์ได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้ เจ้าตัวนี้มีทักษะคือควบคุมอสูรตัวอื่น ๆ ได้ มันสามารถทำให้อสูรจำนวนมากมายกลายเป็นทาสรับใช้มันได้เลย’

หานอวี้จ้องมองสตรีชุดเขียวพลางกล่าวถึงข้อมูลที่มีอยู่ในความทรงจำมังกรในตำนานของมัน

ในฐานะที่เป็นมังกรทองผู้มีสายเลือดระดับสูง ก็ย่อมแน่นอนว่าไม่เพียงทรงพลังน่าเกรงขามแต่หานอวี้ยังรอบรู้อีกด้วย แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่แข็งแกร่งมากมายนัก แต่ความทรงจำที่มันได้รับสืบทอดมาก็ช่วยมันได้มาก ยิ่งมันเติบโตขึ้น ความทรงจำเก่า ๆ ก็ยิ่งฟื้นคืนกลับมามากขึ้นเรื่อย ๆ

‘พลับพลึงแดง !’

ทันทีที่มารยาและอสูรตัวอื่น ๆ ในสังกัดอวี้โม่ได้ยินนามเรียกขานแห่งอสูรพฤกษาตนนี้ พวกมันก็อุทานออกมาก่อนจะมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

พลับพลึงแดงนั้นเป็นพืชระดับสูงชนิดหนึ่ง มันถูกจัดเป็นหนึ่งในสุดยอดวัตถุดิบหายากและล้ำค่าที่ถูกนำมาหลอมเป็นโอสถชั้นเลิศ

ความพิเศษอย่างหนึ่งของพลับพลึงแดงคือมันเป็นพืชที่มีพลังมายาอยู่ในตัวเองและมีอยู่ในปริมาณที่สูงมาก เมื่อใดก็ตามที่มีอสูรมายารุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตของมัน พืชชนิดนี้ก็จะปลดปล่อยแรงกดดันที่น่าเกรงขามออกมาเพื่อขับไล่ นี่เองทำให้มันเป็นที่โจษขานในหมู่อสูรมายาทั้งหลาย ดังนั้นแล้ว ถึงแม้มารยาและเหล่าอสูรในสังกัดอวี้โม่จะไม่เคยเห็นพืชชนิดนี้แต่ก็เคยได้ยินชื่ออยู่บ้าง

และยิ่งเป็นพืชระดับสูงเท่าไหร่ เมื่อผ่านการฝึกฝนบ่มเพาะและดูดซับพลังแห่งฟ้าดินจนจำแลงร่างมนุษย์ได้ก็จะยิ่งแข็งแกร่งเหนือกว่าอสูรมายาตัวอื่น ๆ

‘ความสามารถในการควบคุม’ นั้นเป็นความสามารถที่ถือว่าพิเศษสุดแสน การควบคุมอสูรตัวอื่น ๆ ได้นั้นก็เท่ากับได้กองทัพมาช่วยต่อสู้กับศัตรูโดยที่ตนไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อย

‘ท่านแม่ต้องระวังให้มาก การรับมือกับพลับพลึงแดงไม่ง่ายเลย’

หานอวี้กล่าวเตือนฉินอวี้โม่เพื่อให้นางไม่ประมาท

อย่าว่าแต่เอาชนะ แม้แต่การจะรับมือกับอสูรพฤกษาโดยเฉพาะพลับพลึงแดงที่มีความสามารถในการควบคุมให้ได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก หากพลาดพลั้งไปก็อาจกลับกลายเป็นถูกอีกฝ่ายควบคุมไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ สายตาที่อดีตนักฆ่าใช้จ้องมองพลับพลึงแดงดูมีความระมัดระวังมากขึ้น

ดูเหมือนว่าศึกครั้งนี้คงจะไม่ง่ายเสียแล้ว หากจะใช้อสูรมายาของนางออกไปต่อสู้ก็เกรงว่าจะถูกควบคุม เรื่องนี้ต้องคิดและตัดสินใจอย่างรอบคอบ

‘สิ่งที่อสูรมายาประเภทนี้กลัวมากที่สุดก็คือเพลิงระดับสูง โดยเฉพาะเพลิงของมังกรทอง น่าเสียดายที่ท่านซิวหลับอยู่ มิฉะนั้นด้วยเพลิงบริสุทธิ์ของเขาเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอจะทำให้พลับพลึงแดงยอมแพ้ได้แล้ว’

หงส์แดงกล่าวด้วยเสียงฮึดฮัด

เป็นจริงดังที่อสูรสาวธาตุไฟกล่าวเพราะฝันร้ายของอสูรพฤกษาก็คือเพลิงระดับสูง

ด้วยเพลิงที่น่าเกรงขามของซิว การจะจัดการกับพลับพลึงแดงไม่ถือว่าเป็นปัญหาเลยสักนิด แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เทพอสูรผู้แข็งแกร่งของฉินอวี้โม่กำลังอยู่ในสภาวะหลับใหลเพื่อบ่มเพาะพลัง

‘พี่ซิวไม่อยู่ แต่ก็ยังมีข้าอยู่ไม่ใช่หรือ ?’

หานอวี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ ขณะเดียวกันเด็กชายมังกรก็เชิดหน้าขึ้นนิด ๆ ยืดอกอีกเล็กน้อย  ตัวมันก็เป็นมังกรทอง ทั้งยังเป็นถึงมังกรทองห้าเล็บ แล้วจะไม่มีเพลิงระดับสูงได้อย่างไร

แม้ว่าจะไม่สูงส่งเท่ากับเพลิงของมังกรทองสิบเล็บในตำนานอย่างซิว แต่เพียงแค่ใช้มันจัดการกับอสูรพฤกษาตรงหน้านั่นย่อมไร้ปัญหา

‘ใช่ ข้าลืมไปเลยว่าหานอวี้เป็นมังกรทองห้าเล็บ มังกรทองไม่ว่าจะเป็นระดับใดก็ล้วนมีเพลิงเป็นอาวุธ ยิ่งเป็นมังกรทองที่สายเลือดสูงส่งก็ยิ่งมีพลังเพลิงอันร้ายกาจ ที่ผ่านมาเพราะข้าไม่เคยเห็นหานอวี้ใช้จึงหลงลืมไป’

หงส์แดงรีบเอ่ยปาก เมื่อครู่มันก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าหานอวี้ตัวน้อยคือมังกรทองห้าเล็บ เช่นนั้นเพลิงของมันก็ย่อมต้องใช้ได้

ไม่ใช่เพียงหงส์แดงเท่านั้นที่หลงลืมพลังเพลิงของหานอวี้ แท้จริงแล้วในเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการที่เพลิงของซิวทรงพลานุภาพและใช้ได้ผลมากเกินไปจนสหายในสังกัดอวี้โม่ตัวอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้เพลิงของตน หานอวี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่สำคัญมังกรน้อยยังเยาว์วัยอยู่มาก และมันก็เพิ่งได้เริ่มเข้าร่วมการต่อสู้กับคณะเมื่อไม่นานมานี้

ฉินอวี้โม่แย้มรอยยิ้ม คุณหนูตระกูลฉินไม่กล่าวคำใดให้เสียเวลาอีก ร่างของนางหายวับไปก่อนจะปรากฏอีกครั้งตรงหน้าอสูรหายากในร่างสาวน้อยนักดนตรีในชุดสีเขียว

“พลับพลึงแดง เป็นอสูรอยู่ที่นี่ก็สมควรอยู่ในที่ของตัวเอง เหตุใดต้องระรานมนุษย์ บังคับควบคุมฝูงอสูรมายาแสนดุร้ายไปไล่เข่นฆ่าพวกเขาเช่นนั้น ?”

ในทันทีที่หยุดเคลื่อนไหว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวถามอีกฝ่ายออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เหอะ เจ้ามนุษย์ที่น่ารังเกียจ กล้ามากนะที่บุกเข้ามาในอาณาเขตของข้า”

พลับพลึงแดงไม่คิดจะตอบคำถาม สาวน้อยแสนงดงามไม่นึกเกรงกลัวมนุษย์โอหังตรงหน้าเลยสักนิด สิ้นวาจาดูหมิ่น เพลงขลุ่ยของมันก็บรรเลงต่อไปอีกครั้ง และยังคงดังผะแผ่วต่อไปอีกอย่างไม่หยุดหย่อน

อย่างไรก็ตาม เสือสีแดงเพลิงที่นางขี่อยู่ก็ยังไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน ดวงตาที่มันใช้มองฉินอวี้โม่นั้นดูเซื่องซึมและเฉยชาเป็นอย่างมาก

“เหอะ เป็นเพียงดอกไม้น้อย ๆ แต่กล้ากระทำเพียงนี้ เจ้าจะโอหังมากเกินไปแล้ว เท่าที่ข้าเห็นหมู่บ้านจันทราอยู่อย่างสงบสุขมาโดยตลอด พวกเขาเคยกระทำสิ่งใดให้เจ้าแค้นเคืองหรือ เหตุใดต้องมุ่งหมายทำลายล้างกันเช่นนั้นด้วย ? ”

ฉินอวี้โม่สาดวาจาเย็นชากลับไป อสูรมายาตรงหน้านางถือว่าจองหองมากเกินไปจนน่ารังเกียจ แม้จะอยู่ต่อหน้านางก็ยังไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยสักนิด การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากลูกวัวไร้เดียงสาที่ไม่เคยรู้จักนางพยัคฆ์ จึงไม่คิดกริ่งเกรง

“ข้าก็แค่อยากจะลองทดสอบพลังตัวเองหลังจากสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้ หมู่บ้านนี้ก็แค่โชคไม่ดีที่มาตั้งอยู่ใกล้ ๆ ให้ข้าได้ใช้เป็นเหยื่อทดลอง อย่างไรมนุษย์กับอสูรมายาก็เป็นศัตรูตลอดกาลของกันและกันอยู่แล้ว ฉะนั้นสิ่งที่ข้าทำไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

พลับพลึงแดงยังไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกผิด มันกล่าวโต้ตอบด้วยท่าทีไม่แยแส

เมื่อได้ฟังได้เห็นวาจาและท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่าย สีหน้าของฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนไปฉับพลัน จิตสังหารของนางพุ่งสูงขึ้นในพริบตา แรงกดดันอันมหาศาลไหลทะลักออกมาจากร่างบางอย่างไม่อาจควบคุมได้

“แค่อยากจะทดสอบพลังของตัวเองก็ถึงกับต้องส่งอสูรดุร้ายบุกโจมตีที่พำนักของผู้อื่น ทำร้ายผู้คนเป็นเรื่องเล่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปมันส่งผลอย่างไรบ้าง มีคนบริสุทธิ์กี่คนที่อาจจะต้องตายเพราะการกระทำแสนโง่เขลาของเจ้า”

ฉินอวี้โม่ยอมรับว่าแท้จริงแล้วตัวนางก็มิใช่ผู้พิทักษ์ความเป็นธรรม นางเองก็เห็นด้วยกับหลักการที่ว่าผู้ที่แข็งแกร่งกว่าควรจะได้รับความเคารพยำเกรง

กระนั้นนางกลับไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อยที่ผู้ที่แข็งแกร่งจะใช้พลังอันเหนือกว่าข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าตน

โดยเฉพาะหมู่บ้านที่สงบสุขมาโดยตลอดอย่างหมู่บ้านจันทราไม่สมควรจะต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายโดยที่พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลยเช่นนี้

หากเมื่อครึ่งเดือนก่อนนางไม่ได้มาปรากฏตัวที่นี่ก็แทบไม่ต้องจินตนาการถึงชะตากรรมของพวกเขาเลย ไม่รู้ว่าจะมีชาวบ้านกี่คนที่ต้องตกเป็นอาหารของอสูรมายาเหล่านั้น

การกระทำของพลับพลึงแดงนับเป็นเรื่องเลวร้ายเกินกว่าจะให้อภัย

“หยุดการกระทำของเจ้าและปล่อยพวกอสูรมายาตัวอื่น ๆ ไป มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน และในภายหลังอย่ากล่าวหาว่าข้ารังแกเจ้า”

ฉินอวี้โม่กล่าว เสียงของคุณหนูผู้มีวิญญาณอดีตนักฆ่าเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากอีกฝ่ายยังคงดื้อดึงปฏิเสธ นางก็ไม่ลังเลที่จะลงมือขั้นเด็ดขาด

“ฮ่า ๆ ๆ น่าขำ บุกเข้ามาในอาณาเขตของเข้าแล้วยังวางท่าโอหังเช่นนั้น เจ้าเสียสติไปแล้วรึ ? เสือโคร่งที่ข้าขี่อยู่ถึงจะดูธรรมดาแต่ก็เป็นถึงอสูรระดับจ้าวพิภพ ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันหรอก ที่สำคัญเจ้าคงเห็นแล้วนะว่าพลังในการควบคุมของข้า ทรงพลังมากเพียงใด”

แม้ว่าจะอยู่ในร่างของสาวน้อย แต่พลับพลึงแดงกลับไม่มีท่าทีเกรงกลัวฉินอวี้โม่เลยสักนิด อสูรพฤกษาหายากเอามือตบไปบนหลังเสือโคร่งที่ขี่อยู่เบา ๆ ก่อนจะยิ้มเย้ยฉินอวี้โม่ราวกับตนเองคือผู้ชนะ

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พืชอย่างมันจะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ เมื่อจำแลงร่างมนุษย์ได้ทั้งที อสูรพฤกษาสาวจึงอยากจะลองทดสอบพลังที่มีอยู่ให้แน่ชัด ความเร็วในการพัฒนาตัวเองของอสูรประเภทพืชนั้นเชื่องช้ากว่าอสูรทั่วไปหลายเท่าตัว แต่กล่าวกันว่าถ้าฝึกจนสำเร็จแล้วก็จะทรงพลังจนน่ากลัวกว่าเป็นเท่าทวี

และก็เป็นจริงดังคำกล่าว เพราะตอนนี้ระดับพลังของมันอยู่ในขั้นอสูรสวรรค์จักรพรรดิเท่านั้น ทว่ามันกลับควบคุมอสูรจ้าวพิภพได้ เท่านี้ก็เพียงพอจะยืนยันความน่ากลัวของอสูรพฤกษาได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะเป็นข้อพิสูจน์ที่มันพึงพอใจได้

“ดื้อด้านนัก !”

เมื่อได้ยินคำตอบของอสูรในร่างสาวน้อย ฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลอีก นางเรียกอสูรมายาของตัวเองออกมาทันที

การจะจัดการกับศัตรูตรงหน้าไม่จำเป็นต้องใช้อสูรมายาทั้งหมด ขอเพียงมารยาสามารถถ่วงเวลาเสือโคร่งระดับจ้าวพิภพตัวนี้ไว้ด้วยข่ายอาคมได้ นางก็จะร่วมมือกับหานอวี้เพื่อจัดการกับตัวต้นตอได้ในทันที เรื่องนี้ไม่น่าจะยากเย็นมากนัก

ถึงอย่างไร ฉินอวี้โม่ก็ยังมีหงส์แดงและอสูรระดับสูงตัวอื่น ๆ เป็นแผนสำรอง เพียงแต่ในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกมันจะต้องลงมือเอง

หงส์แดงเองก็เป็นอสูรธาตุไฟ อสูรสาวใช้ไฟเป็นอาวุธเช่นกัน แม้ว่าจะไม่มีเปลวเพลิงที่น่าเกรงขามเท่ากับมังกรทองห้าเล็บ แต่ถ้าใช้อย่างเหมาะสมก็น่าจะเพียงพอสำหรับใช้จัดการกับศัตรูตรงหน้าได้ ทว่าฉินอวี้โม่อยากจะจบการต่อสู้นี้โดยเร็วจึงเรียกใช้หานอวี้เพื่อจัดการกับปัญหานี้ขั้นเด็ดขาด

“มารยา ตอนนี้พลังของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว ฉะนั้นพลังของข่ายอาคมของเจ้าก็น่าจะทรงพลังขึ้นไม่น้อย วันนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ทดสอบพลังของข่ายอาคม เจ้าช่วยข้าถ่วงเวลาของเจ้าเสือโคร่งตัวนั้นที”

ฉินอวี้โม่หันไปสั่งการกับมารยาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเองนายหญิง”

มารยาพยักหน้า สีหน้าแววตาของมันดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ในช่วงนี้มันได้เรียนรู้ทักษะด้านข่ายอาคมใหม่ ๆ จากตำราข่ายอาคมที่ได้มาจากถ้ำของเทพมายาไปพร้อม ๆ กับฉินอวี้โม่ ดังนั้นแล้วมันจึงอยากจะลองทดสอบพลังของตัวเองเป็นอย่างมาก

หานอวี้ปรากฏตัวขึ้นเคียงข้างฉินอวี้โม่ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ปล่อยเจ้าพลับพลึงแดงนี่ให้เป็นหน้าที่ข้า  ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไม่ปรานีมันแน่”

ฉินอวี้โม่ดึงแก้มนุ่มนิ่มอวบอิ่มของหานอวี้เล่นก่อนจะกล่าว “รีบลงมือเร็วเข้า เจ้ามังกรน้อยขี้คุย เดี๋ยวข้าจะคอยช่วยเจ้าอีกแรง”

หานอวี้ยิ้มออกมา ในตอนนั้นเองมารยาก็ลงมือจู่โจมฝ่ายตรงข้ามที่ประกอบด้วยหนึ่งอสูรพฤกษาและหนึ่งเสือโคร่งจ้าวพิภพด้วยวิชาข่ายอาคม

สีหน้าของอสูรในร่างเด็กสาวชุดเขียวเปลี่ยนไปฉับพลัน มันไม่กล้าประมาทพลังของพวกฉินอวี้โม่อีก อสูรพฤกษาสั่งให้เสือโคร่งของตนตรงเข้าจัดการกับมารยาและหานอวี้ทันที

— โฮก ! —

เสือโคร่งคำรามลั่นป่าก่อนที่ร่างของมันจะกระโจนขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ในพริบตานั้น ขนาดของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดพอ ๆ กับช้างตัวใหญ่พลันพุ่งตรงเข้าใส่มารยาในทันที

ส่วนสาวน้อยเจ้าของเพลงขลุ่ยก็ยกเครื่องดนตรีคู่กายกลับมาวางที่ปากเช่นเดิมแล้วเป่ามันต่อไปอย่างไม่ไยดี

.

.

.

———————

Options

not work with dark mode
Reset