คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 279 แผนการสมคบคิดที่บังเอิญได้ยิน

ตลอดช่วงหลายวันต่อมา ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมายปลายทางที่เมืองไป๋อวี้โดยไม่รีรอ

ระหว่างเดินทาง นอกเหนือจากการสนทนาพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ พวกเขาก็ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปอย่างเปล่าประโยชน์และฝึกฝนทักษะอย่างต่อเนื่อง บางครั้งคณะเดินทางก็หยุดพักเพื่อฟื้นฟูพละกำลังทางร่างกายเมื่อเดินทางผ่านตัวเมือง

และเวลาสิบวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับชั่วพริบตา

“ถ้าผ่านผืนป่านี้ไป พวกเราก็จะไปถึงเขตเมืองไป๋อวี้”

เมื่อถึงนอกผืนป่าที่ดูไร้จุดสิ้นสุด ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางก็หยุดฝีเท้าชั่วคราว

‘ป่าเมฆาลัย’ คือผืนป่ากว้างใหญ่ทางตะวันตกของเมืองไป๋อวี้และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สมาคมช่างหลอมซึ่งอยู่ใกล้เมืองไป๋อวี้

ภายในป่าเมฆาลัยแห่งนี้มีอสูรมายาระดับสูงอาศัยอยู่ไม่มากนัก ทว่ามันเป็นพื้นที่ที่จอมยุทธ์หลายคนชอบมาฝึกปรือสั่งสมประสบการณ์

และนั่นเป็นเพราะป่าเมฆาลัยนี้มีวัสดุหลอมที่ล้ำค่าเป็นจำนวนมาก หากโชคดี จอมยุทธ์ธรรมดาบางคนอาจค้นพบวัสดุล้ำค่าโดยบังเอิญซึ่งสามารถนำไปแลกเป็นผลึกวิญญาณจำนวนมากได้

ยิ่งไปกว่านั้น ป่าผืนนี้เป็นจุดที่ทุกคนต้องผ่านหากต้องการเข้าสู่เมืองไป๋อวี้จากทางตะวันตกไปสู่ทางตะวันออกและแน่นอนว่ามีผู้คนมากพอสมควรกระจายตัวอยู่ภายในนี้

หลังจากหารือและเตรียมความพร้อมข้างนอกป่า ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มุ่งหน้าตรงเข้าไปเพื่อไปถึงจุดหมาย

“เรายังมีเวลาอีกพอสมควร เราจะท่องอยู่ในป่าเมฆาลัยนี้สองถึงสามวันและอาจพบวัสดุระดับสูงจำนวนหนึ่ง มันอาจช่วยอวี้โม่และเหวินซื่อชู่ในงานชุมนุมช่างหลอมได้”

ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มและกล่าวกับคณะเดินทาง หากพวกเขาเดินทางด้วยความเร็วเต็มที่ก็จะผ่านป่าเมฆาลัยไปถึงเมืองไป๋อวี้ได้ในเวลาไม่ถึงสามวัน

บัดนี้ยังมีเวลาอีกสิบสองวันก่อนงานชุมนุมช่างหลอมจะเริ่มต้นขึ้นและพวกเขาสามารถใช้เวลาท่องอยู่ในป่าแห่งนี้ได้อีกหลายวันเพื่อหาวัสดุที่ล้ำค่าหรือวัสดุที่น่าสนใจ

“ข้าขอตัวแยกตัวก่อนและจะตามไปสมทบที่นอกเมืองไป๋อวี้ทีหลัง”

ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับทุกคนและตัดสินใจว่าจะเดินทางลำพังสักระยะ

ในเมื่อมาถึงป่าที่เป็นแหล่งวัสดุและอาจรวมถึงอสูรมายาชั้นดีเช่นนี้ แน่นอนว่านางย่อมอยากสำรวจให้ทั่วว่ามีอสูรมายาระดับสูงที่จะสามารถสยบมาเป็นอสูรของตนหรือไม่

ในการประจันหน้ากับบุรุษผู้แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าพลังของตนเองยังไม่เพียงพอ นางยังต้องพัฒนาพลังและความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอในการเอาชนะจอมยุทธ์จากทั่วใต้หล้า

แม้ว่าเหวินซื่อชู่ ฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางแล้ว บรรดาลูกน้องของพวกเขายังไม่รู้เรื่องนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาน่าปวดหัวตามมา ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจที่จะใช้เวลาช่วงนี้ในการเคลื่อนไหวเพียงคนเดียว

“เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ”

แน่นอนว่าฉีอวิ๋นเหล่ยและอีกสองคนก็เข้าใจความคิดของฉินอวี้โม่และรู้ว่านางคิดจะทำอะไร ทั้งสามจึงไม่พยายามคัดค้าน

แม้ว่าซูเสี่ยวจวิ้นอยากติดสอยห้อยตามไปกับฉินอวี้โม่เป็นที่สุด นางก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอม ท้ายที่สุดดรุณีน้อยเพียงบอกให้ ‘พี่สาว’ ระวังตัวและไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูสี่ก็เรียกราชาเขาเงินออกมาและมุ่งหน้าเดินตรงไปในทิศทางที่แตกต่างกับคณะเดินทางฉีอวิ๋นเหล่ย

“นายหญิง หากเดินไปตามทิศทางนี้อีกประมาณยี่สิบลี้ ดูเหมือนว่าจะมีสมุนไพรหายากอยู่บางส่วน”

ร่างของพลับพลึงแดงปรากฏข้างกายฉินอวี้โม่และสูดดมซึมซับกลิ่นอายของสมุนไพรระดับสูงที่คุ้นเคย

ในฐานะอสูรพฤกษา แน่นอนว่าประสาทสัมผัสของมันไวต่อกลิ่นสมุนไพรเหล่านี้เป็นอย่างมาก

ตลอดช่วงที่ผ่านมา เพื่อไม่เป็นการนำไปสู่ปัญหาความวุ่นวายที่ไม่จำเป็น ฉินอวี้โม่จึงไม่ได้ปล่อยให้เสี่ยวม่านและอสูรมายาตัวอื่น ๆ ออกมา

ทว่าตอนนี้เมื่อไม่มีใครอื่นเตร่อยู่ในพงไพรหนาทึบแห่งนี้ พวกมันจึงได้ออกมาสูดอากาศภายนอกได้

เมื่อได้ยินคำกล่าวของเสี่ยวม่าน ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อยและมุ่งหน้าตรงไปตามทิศทางที่มันบอกอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อมุ่งหน้าไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป อดีตนักฆ่าสาวก็มองเห็นว่าท่ามกลางต้นไม้หนาทึบฟากหนึ่งมีบุปผาที่ดูบอบบางผิดปกติผลิบานอยู่อย่างมั่นคงและส่งกลิ่นหอมรัญจวนจาง ๆ ออกมาทั่วบริเวณ

“ที่แท้ก็เป็นกล้วยไม้ผีเสื้อที่สามารถเสริมสรรพคุณทางยานี่เอง”

ร่างของพลับพลึงแดงกะพริบพุ่งตรงไปปรากฏอีกครั้งข้างบุปผาดอกนั้น มือเล็กกระจิริดยื่นออกไปและคว้าบุปผามาไว้ในมือของมัน

‘กล้วยไม้ผีเสื้อ’ เป็นสมุนไพรที่พบได้ยากอย่างยิ่ง การได้บังเอิญพบมันในผืนป่ากว้างใหญ่เช่นนี้ถือว่าเป็นความโชคดีไม่น้อย

การผสมมันลงในโอสถจะเพิ่มคุณภาพและฤทธิ์ของโอสถได้ดีขึ้นซึ่งถือว่าเป็นส่วนผสมที่ผู้หลอมโอสถส่วนใหญ่ชื่นชอบเป็นที่สุด

เสี่ยวม่านยื่นมันให้ฉินอวี้โม่และนางเก็บมันลงในแหวนมิติอย่างรวดเร็วโดยไม่มีพิธีรีตอง

ถึงแม้นางไม่ใช่ผู้หลอมโอสถที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้สูงสุด คุณหนูสี่ก็สามารถขายมันเพื่อแลกเป็นเงินได้

“นายหญิง ข้าสัมผัสได้ว่าข้างหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ”

เสียงของราชาเขาเงินดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ ดูเหมือนว่ามันจะค้นพบบางอย่างที่อยู่ไกลออกไป

บัดนี้ซิว หานอวี้และมารยาล้วนอยู่ในช่วงเก็บตัวเพื่อวิวัฒนาการซึ่งไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะพวกมันจะตื่นขึ้นมาจากสภาวะนั้นเมื่อใด

ในบรรดาอสูรพันธสัญญาทั้งหมดของฉินอวี้โม่ ตัวที่ทรงพลังที่สุดในตอนนี้ก็คือราชาเขาเงินและมันมีความสามารถการรับรู้ที่ยอดเยี่ยมและเฉียบแหลมเป็นที่สุด

“นายหญิง ท่านจะเข้าไปสำรวจดูรึไม่ ?”

เสี่ยวเฮยกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้อย่างชัดเจน

แม้ว่าฉินอวี้โม่มิใช่คนที่ชอบก้าวก่ายเรื่องผู้อื่นเพื่อความสนุกสนาน ทว่าในเมื่อพบกลุ่มคนในป่ากว้างใหญ่เช่นนี้โดยบังเอิญ แน่นอนว่านางจะไม่พลาดโอกาสนี้และตัดสินใจไปดูด้วยตัวเอง

ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีสิ่งอื่นที่ต้องทำและยังไม่ได้พบเห็นอสูรมายาระดับสูงแม้แต่ตัวเดียว การไปหาเรื่องสนุก ๆ ทำฆ่าเวลาก็ถือว่าไม่เลวเลย

หนึ่งสตรีและอสูรมายาหลายตัวก็กะพริบพุ่งตรงไปในทิศทางที่ราชาเขาเงินรายงาน

ก่อนเข้าไปใกล้คนกลุ่มนั้น จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินคำพูดหนึ่งที่ฟังดูคุ้นหูดังมาจากพวกเขา—ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ

เมื่อได้ยินว่าเรื่องที่พวกเขากำลังหารือกันเกี่ยวข้องกับขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬซึ่งเป็นขุมกำลังภายใต้การปกครองของบิดาตนเอง นางจึงตัดสินใจเข้าไปดูว่าคนเหล่านั้นคือใครและมีความลับอะไร

หลังเข้าสู่สภาวะล่องหนอำพรางตัว อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูสี่ก็กระโจนขึ้นไปบนต้นไม้และเลือกจุดที่มองเห็นภาพเหตุการณ์ข้างล่างได้อย่างชัดเจน

ในพื้นที่โล่งด้านล่างมีกลุ่มคนนับสิบนั่งรายล้อมและหารือบางสิ่งบางอย่างกันอย่างจริงจัง

คนนับสิบเหล่านั้นมาจากสองกลุ่มอย่างชัดเจนโดยมีผู้นำสองคนที่กำลังหารือกันอย่างจริงจัง ซึ่งฉินอวี้โม่ก็ไม่เคยเห็นหรือรู้จักคนเหล่านี้

“สหายไห่ เราจะฆ่าบุตรชายคนรองของผู้นำขุมกำลังสงครามเดือดและโยนความผิดให้ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬจริง ๆ งั้นรึ ?”

บุรุษวัยกลางคนกล่าวกับบุรุษอีกคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยท่าทางลังเลไม่มั่นใจ

“ก็ใช่น่ะสิ อย่าลืมว่ามันเป็นวิธีเดียวหากเจ้าต้องการจะผูกมิตรกับตระกูลเฟิงและขุมกำลังพญายม”

บุรุษอีกคนกล่าวก่อนพูดเสริมเพิ่มเติม “อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ เราจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้ได้อย่างไร ? หากมีโอกาสจัดการคนพวกนั้น พวกเราจะลังเลไม่ได้เด็ดขาด”

เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย บุรุษอีกคนก็พยักศีรษะและคิดตาม

“สหายไห่พูดถูก หากไม่ใช่เพราะพวกเสื้อคลุมทมิฬ เป็นไปได้อย่างไรที่เราจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”

อย่างไรก็ตาม เขายังคงขมวดคิ้วเป็นปมด้วยท่าทีกลัดกลุ้มใจ

“ข้าได้ยินมาว่าพวกเสื้อคลุมทมิฬมีความสัมพันธ์ที่ดีกับขุมกำลังราชาสวรรค์และไร้คู่เปรียบ ถึงแม้ตระกูลเฟิงจะแข็งแกร่งและขุมกำลังพญายมก็ไม่ได้ถือว่าเป็นรองใคร ทว่ามันก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับขุมกำลังทั้งสามนั่นได้”

“ฮ่าฮ่า สหายอู๋พูดถูก ความสัมพันธ์ระหว่างขุมกำลังทั้งสามแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ถ้าเราหาทางยุแยงให้สามขุมกำลังนี้ห้ำหั่นกันเองได้ มันก็ง่ายที่เราจะเอาชนะขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬไม่ใช่รึ ?”

น้ำเสียงของบุรุษที่ถูกเรียกว่า ‘สหายไห่’ แสดงถึงความชั่วร้ายอย่างชัดเจน

“สหายไห่หมายความว่า…”

‘สหายอู๋’ ยังมีท่าทีสับสนไม่มั่นใจ เขามองอีกฝ่ายและเอ่ยถามด้วยความฉงนเต็มหัวใจ

“ข้าได้ข่าวมาว่ามีคนจากราชาสวรรค์และไร้คู่เปรียบเข้าร่วมงานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้ เมื่อถึงตอนนั้น หากเราทำให้ทั้งสองขุมกำลังขัดแย้งกับพวกเสื้อคลุมทมิฬ เราก็ไม่ต้องกังวลหรือจัดการอะไรให้เปลืองแรง !”

สหายไห่แสดงท่าลากนิ้วผ่านลำคอของตนเองและกลิ่นอายความอาฆาตมาดร้ายแผ่รังสีจากร่างกายของเขาอย่างไม่ปิดบัง

ดูเหมือนว่าสหายอู๋จะเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีและยกยิ้มมุมปากเล็ก ๆ อย่างมีเลศนัย

“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นกลยุทธ์ที่ดีทีเดียว ถ้าเรากำจัดเสื้อคลุมทมิฬได้สำเร็จและผูกมิตรไมตรีกับตระกูลเฟิงและขุมกำลังพญายมได้ เราก็จะได้พลังอำนาจกลับคืนมาในอนาคต !”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังตกลงแผนการชั่วร้ายกันอยู่นั้น บุรุษคนหนึ่งก็วิ่งโร่เข้ามากระซิบข้างหูสหายไห่

“ฮ่าฮ่าฮ่า พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ตอนนี้เหวินซื่อชู่ ฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นเข้ามาในเขตป่าเมฆาลัยแล้วและกำลังมุ่งหน้ามาในทิศทางของเรา”

สหายไห่ยิ้มอย่างสุขใจและเหยียดกายลุกขึ้น

“สหายอู๋ ความสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับตอนนี้ ตราบใดที่เราฆ่าหนึ่งในนั้นและโยนความผิดให้พวกเสื้อคลุมทมิฬได้ เราก็รอดตัวแล้ว”

สหายอู๋ยืนขึ้น ทว่านิ่วหน้าเล็กน้อยและกล่าว “เหวินซื่อชู่และฉีอวิ๋นเหล่ยไม่ใช่เป้าหมายที่จัดการได้ง่ายเลย พวกเขาต้องมีไม้เด็ดอยู่มากทีเดียว เราจะฆ่าหนึ่งในนั้นได้จริงๆรึ ?”

สหายไห่มีสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านและกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่แฝงด้วยความหมายบางอย่าง “หากเราสู้กันซึ่งๆหน้า มันก็ไม่ง่ายหรอก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราอยู่ในเงามืดและพวกเขาอยู่ในที่แจ้ง ตราบใดที่ใช้กลอุบายบางอย่าง…มันก็ไม่เป็นปัญหา”

“สหายอู๋ เข้ามานี่สิ แผนของเราคือแบบนี้..”

สหายไห่กวักมือเรียกอีกฝ่ายเข้าไปใกล้ตัวและสหายอู๋เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้น เขาก็กระซิบบางอย่างข้างหูสหายอู๋และจู่ๆก็ฟาดฝ่ามือตบหน้าอีกฝ่ายอย่างรุนแรงจนล้มลงบนพื้น

สหายอู๋ผู้ถูกฝ่ามือฟาดเข้าใส่มีท่าทีหวั่นเกรงฉายชัด เขารีบลุกขึ้นโดยเร็วและวิ่งตรงไปในทิศทางหนึ่ง

“นายหญิง นั่นมันทิศทางที่สหายของท่านอยู่”

ราชาเขาเงินกล่าวเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่

อดีตนักฆ่าสาวพยักศีรษะและมุมปากยกยิ้มเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้คิดจะใช้วิธีสกปรกหลอกล่อสหายของนาง

หากนางเดาไม่ผิด คนเหล่านี้จะใช้กลอุบายชั่วช้าโดยให้สหายอู๋ตบตาสร้างความเชื่อใจกับคณะเดินทางฉีอวิ๋นเหล่ย หลังจากนั้นคนชั่วพวกนี้ก็จะฉวยโอกาสจังหวะที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัวเพื่อลงมือทำร้ายและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

ฉินอวี้โม่รู้สึกทันทีว่าสหายไห่และสหายอู๋ทั้งสองชั่วร้ายอย่างที่สุด นางสัมผัสได้ว่าทั้งสองมีพลังอยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะ ทว่ากลับไม่กล้าประจันหน้ากับฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่อย่างเปิดเผยและเลือกใช้วิธีสุนัขลอบกัดเช่นนี้

แม้ว่าเหวินซื่อชู่และฉีอวิ๋นเหล่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะจัดการได้ง่าย คนชั่วสองคนนี้ก็ใช้วิธีที่ต่ำช้าอย่างแท้จริง

ในเมื่อพวกเขาหมายหัวขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็คำนวณในความคิดอย่างรวดเร็วและคาดเดาได้ถึงตัวตนของบุรุษชั่วช้าทั้งสองทันที

หากนางเดาไม่ผิด ทั้งสองน่าจะเป็นบุคคลระดับสูงของสองขุมกำลังที่ถูกทำลายโดยฝีมือฉินเทียนจึงเกิดความอาฆาตเคียดแค้นต่อขุมกำลังของเขาอย่างที่สุดและหาทางเอาคืนเช่นนี้

ขุมกำลังพญายมและขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ไหนแต่ไร ทว่านางไม่คิดว่าตระกูลเฟิงจะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

บัดนี้เสี่ยวเหยียนมีศักดิ์เป็นหลานสาวของผู้นำตระกูลเฟิง หากตระกูลนั้นหมายจะทำลายขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬจริง นางและน้องสาวจากหมู่บ้านจันทราจะต้องกลายเป็นศัตรูกันอย่างนั้นหรือ ?

นี่เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่ภาวนาไม่ให้เกิดขึ้น

ถ้าหากเสื้อคลุมทมิฬรบรากับตระกูลเฟิง ความสัมพันธ์ของนางและเสี่ยวเหยียนจะต้องซับซ้อนอย่างแน่นอน

“นายหญิง ท่านคิดอะไรอยู่งั้นรึ? ท่านจะตามไปดูหรือไม่ ?”

เสี่ยวม่านกล่าวขัดจังหวะภวังค์ความคิดที่ล่องลอยไปไกลของผู้เป็นนาย

ฉินอวี้โม่เรียกสติกลับมาและพยักศีรษะเล็กน้อยก่อนมุ่งหน้าตามไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องไร้สาระที่ยังมาไม่ถึง สิ่งสำคัญที่สุดคือจับตาดูว่าแผนชั่วร้ายของสองสหายจะดำเนินไปอย่างไรและแน่นอนว่านางจะต้องเข้าไปร่วมด้วย

ในเมื่อรู้แผนการสมคบคิดของพวกเขาแล้ว อดีตนักฆ่าสาวก็จะตีหน้าเล่นละครฉากใหญ่กับพวกเขาเสียหน่อย!

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 279 แผนการสมคบคิดที่บังเอิญได้ยิน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 279 แผนการสมคบคิดที่บังเอิญได้ยิน

ตลอดช่วงหลายวันต่อมา ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมายปลายทางที่เมืองไป๋อวี้โดยไม่รีรอ

ระหว่างเดินทาง นอกเหนือจากการสนทนาพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ พวกเขาก็ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปอย่างเปล่าประโยชน์และฝึกฝนทักษะอย่างต่อเนื่อง บางครั้งคณะเดินทางก็หยุดพักเพื่อฟื้นฟูพละกำลังทางร่างกายเมื่อเดินทางผ่านตัวเมือง

และเวลาสิบวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับชั่วพริบตา

“ถ้าผ่านผืนป่านี้ไป พวกเราก็จะไปถึงเขตเมืองไป๋อวี้”

เมื่อถึงนอกผืนป่าที่ดูไร้จุดสิ้นสุด ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางก็หยุดฝีเท้าชั่วคราว

‘ป่าเมฆาลัย’ คือผืนป่ากว้างใหญ่ทางตะวันตกของเมืองไป๋อวี้และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สมาคมช่างหลอมซึ่งอยู่ใกล้เมืองไป๋อวี้

ภายในป่าเมฆาลัยแห่งนี้มีอสูรมายาระดับสูงอาศัยอยู่ไม่มากนัก ทว่ามันเป็นพื้นที่ที่จอมยุทธ์หลายคนชอบมาฝึกปรือสั่งสมประสบการณ์

และนั่นเป็นเพราะป่าเมฆาลัยนี้มีวัสดุหลอมที่ล้ำค่าเป็นจำนวนมาก หากโชคดี จอมยุทธ์ธรรมดาบางคนอาจค้นพบวัสดุล้ำค่าโดยบังเอิญซึ่งสามารถนำไปแลกเป็นผลึกวิญญาณจำนวนมากได้

ยิ่งไปกว่านั้น ป่าผืนนี้เป็นจุดที่ทุกคนต้องผ่านหากต้องการเข้าสู่เมืองไป๋อวี้จากทางตะวันตกไปสู่ทางตะวันออกและแน่นอนว่ามีผู้คนมากพอสมควรกระจายตัวอยู่ภายในนี้

หลังจากหารือและเตรียมความพร้อมข้างนอกป่า ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มุ่งหน้าตรงเข้าไปเพื่อไปถึงจุดหมาย

“เรายังมีเวลาอีกพอสมควร เราจะท่องอยู่ในป่าเมฆาลัยนี้สองถึงสามวันและอาจพบวัสดุระดับสูงจำนวนหนึ่ง มันอาจช่วยอวี้โม่และเหวินซื่อชู่ในงานชุมนุมช่างหลอมได้”

ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มและกล่าวกับคณะเดินทาง หากพวกเขาเดินทางด้วยความเร็วเต็มที่ก็จะผ่านป่าเมฆาลัยไปถึงเมืองไป๋อวี้ได้ในเวลาไม่ถึงสามวัน

บัดนี้ยังมีเวลาอีกสิบสองวันก่อนงานชุมนุมช่างหลอมจะเริ่มต้นขึ้นและพวกเขาสามารถใช้เวลาท่องอยู่ในป่าแห่งนี้ได้อีกหลายวันเพื่อหาวัสดุที่ล้ำค่าหรือวัสดุที่น่าสนใจ

“ข้าขอตัวแยกตัวก่อนและจะตามไปสมทบที่นอกเมืองไป๋อวี้ทีหลัง”

ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับทุกคนและตัดสินใจว่าจะเดินทางลำพังสักระยะ

ในเมื่อมาถึงป่าที่เป็นแหล่งวัสดุและอาจรวมถึงอสูรมายาชั้นดีเช่นนี้ แน่นอนว่านางย่อมอยากสำรวจให้ทั่วว่ามีอสูรมายาระดับสูงที่จะสามารถสยบมาเป็นอสูรของตนหรือไม่

ในการประจันหน้ากับบุรุษผู้แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าพลังของตนเองยังไม่เพียงพอ นางยังต้องพัฒนาพลังและความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอในการเอาชนะจอมยุทธ์จากทั่วใต้หล้า

แม้ว่าเหวินซื่อชู่ ฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางแล้ว บรรดาลูกน้องของพวกเขายังไม่รู้เรื่องนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาน่าปวดหัวตามมา ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจที่จะใช้เวลาช่วงนี้ในการเคลื่อนไหวเพียงคนเดียว

“เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ”

แน่นอนว่าฉีอวิ๋นเหล่ยและอีกสองคนก็เข้าใจความคิดของฉินอวี้โม่และรู้ว่านางคิดจะทำอะไร ทั้งสามจึงไม่พยายามคัดค้าน

แม้ว่าซูเสี่ยวจวิ้นอยากติดสอยห้อยตามไปกับฉินอวี้โม่เป็นที่สุด นางก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอม ท้ายที่สุดดรุณีน้อยเพียงบอกให้ ‘พี่สาว’ ระวังตัวและไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูสี่ก็เรียกราชาเขาเงินออกมาและมุ่งหน้าเดินตรงไปในทิศทางที่แตกต่างกับคณะเดินทางฉีอวิ๋นเหล่ย

“นายหญิง หากเดินไปตามทิศทางนี้อีกประมาณยี่สิบลี้ ดูเหมือนว่าจะมีสมุนไพรหายากอยู่บางส่วน”

ร่างของพลับพลึงแดงปรากฏข้างกายฉินอวี้โม่และสูดดมซึมซับกลิ่นอายของสมุนไพรระดับสูงที่คุ้นเคย

ในฐานะอสูรพฤกษา แน่นอนว่าประสาทสัมผัสของมันไวต่อกลิ่นสมุนไพรเหล่านี้เป็นอย่างมาก

ตลอดช่วงที่ผ่านมา เพื่อไม่เป็นการนำไปสู่ปัญหาความวุ่นวายที่ไม่จำเป็น ฉินอวี้โม่จึงไม่ได้ปล่อยให้เสี่ยวม่านและอสูรมายาตัวอื่น ๆ ออกมา

ทว่าตอนนี้เมื่อไม่มีใครอื่นเตร่อยู่ในพงไพรหนาทึบแห่งนี้ พวกมันจึงได้ออกมาสูดอากาศภายนอกได้

เมื่อได้ยินคำกล่าวของเสี่ยวม่าน ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อยและมุ่งหน้าตรงไปตามทิศทางที่มันบอกอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อมุ่งหน้าไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป อดีตนักฆ่าสาวก็มองเห็นว่าท่ามกลางต้นไม้หนาทึบฟากหนึ่งมีบุปผาที่ดูบอบบางผิดปกติผลิบานอยู่อย่างมั่นคงและส่งกลิ่นหอมรัญจวนจาง ๆ ออกมาทั่วบริเวณ

“ที่แท้ก็เป็นกล้วยไม้ผีเสื้อที่สามารถเสริมสรรพคุณทางยานี่เอง”

ร่างของพลับพลึงแดงกะพริบพุ่งตรงไปปรากฏอีกครั้งข้างบุปผาดอกนั้น มือเล็กกระจิริดยื่นออกไปและคว้าบุปผามาไว้ในมือของมัน

‘กล้วยไม้ผีเสื้อ’ เป็นสมุนไพรที่พบได้ยากอย่างยิ่ง การได้บังเอิญพบมันในผืนป่ากว้างใหญ่เช่นนี้ถือว่าเป็นความโชคดีไม่น้อย

การผสมมันลงในโอสถจะเพิ่มคุณภาพและฤทธิ์ของโอสถได้ดีขึ้นซึ่งถือว่าเป็นส่วนผสมที่ผู้หลอมโอสถส่วนใหญ่ชื่นชอบเป็นที่สุด

เสี่ยวม่านยื่นมันให้ฉินอวี้โม่และนางเก็บมันลงในแหวนมิติอย่างรวดเร็วโดยไม่มีพิธีรีตอง

ถึงแม้นางไม่ใช่ผู้หลอมโอสถที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้สูงสุด คุณหนูสี่ก็สามารถขายมันเพื่อแลกเป็นเงินได้

“นายหญิง ข้าสัมผัสได้ว่าข้างหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ”

เสียงของราชาเขาเงินดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ ดูเหมือนว่ามันจะค้นพบบางอย่างที่อยู่ไกลออกไป

บัดนี้ซิว หานอวี้และมารยาล้วนอยู่ในช่วงเก็บตัวเพื่อวิวัฒนาการซึ่งไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะพวกมันจะตื่นขึ้นมาจากสภาวะนั้นเมื่อใด

ในบรรดาอสูรพันธสัญญาทั้งหมดของฉินอวี้โม่ ตัวที่ทรงพลังที่สุดในตอนนี้ก็คือราชาเขาเงินและมันมีความสามารถการรับรู้ที่ยอดเยี่ยมและเฉียบแหลมเป็นที่สุด

“นายหญิง ท่านจะเข้าไปสำรวจดูรึไม่ ?”

เสี่ยวเฮยกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้อย่างชัดเจน

แม้ว่าฉินอวี้โม่มิใช่คนที่ชอบก้าวก่ายเรื่องผู้อื่นเพื่อความสนุกสนาน ทว่าในเมื่อพบกลุ่มคนในป่ากว้างใหญ่เช่นนี้โดยบังเอิญ แน่นอนว่านางจะไม่พลาดโอกาสนี้และตัดสินใจไปดูด้วยตัวเอง

ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีสิ่งอื่นที่ต้องทำและยังไม่ได้พบเห็นอสูรมายาระดับสูงแม้แต่ตัวเดียว การไปหาเรื่องสนุก ๆ ทำฆ่าเวลาก็ถือว่าไม่เลวเลย

หนึ่งสตรีและอสูรมายาหลายตัวก็กะพริบพุ่งตรงไปในทิศทางที่ราชาเขาเงินรายงาน

ก่อนเข้าไปใกล้คนกลุ่มนั้น จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินคำพูดหนึ่งที่ฟังดูคุ้นหูดังมาจากพวกเขา—ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ

เมื่อได้ยินว่าเรื่องที่พวกเขากำลังหารือกันเกี่ยวข้องกับขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬซึ่งเป็นขุมกำลังภายใต้การปกครองของบิดาตนเอง นางจึงตัดสินใจเข้าไปดูว่าคนเหล่านั้นคือใครและมีความลับอะไร

หลังเข้าสู่สภาวะล่องหนอำพรางตัว อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูสี่ก็กระโจนขึ้นไปบนต้นไม้และเลือกจุดที่มองเห็นภาพเหตุการณ์ข้างล่างได้อย่างชัดเจน

ในพื้นที่โล่งด้านล่างมีกลุ่มคนนับสิบนั่งรายล้อมและหารือบางสิ่งบางอย่างกันอย่างจริงจัง

คนนับสิบเหล่านั้นมาจากสองกลุ่มอย่างชัดเจนโดยมีผู้นำสองคนที่กำลังหารือกันอย่างจริงจัง ซึ่งฉินอวี้โม่ก็ไม่เคยเห็นหรือรู้จักคนเหล่านี้

“สหายไห่ เราจะฆ่าบุตรชายคนรองของผู้นำขุมกำลังสงครามเดือดและโยนความผิดให้ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬจริง ๆ งั้นรึ ?”

บุรุษวัยกลางคนกล่าวกับบุรุษอีกคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยท่าทางลังเลไม่มั่นใจ

“ก็ใช่น่ะสิ อย่าลืมว่ามันเป็นวิธีเดียวหากเจ้าต้องการจะผูกมิตรกับตระกูลเฟิงและขุมกำลังพญายม”

บุรุษอีกคนกล่าวก่อนพูดเสริมเพิ่มเติม “อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ เราจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้ได้อย่างไร ? หากมีโอกาสจัดการคนพวกนั้น พวกเราจะลังเลไม่ได้เด็ดขาด”

เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย บุรุษอีกคนก็พยักศีรษะและคิดตาม

“สหายไห่พูดถูก หากไม่ใช่เพราะพวกเสื้อคลุมทมิฬ เป็นไปได้อย่างไรที่เราจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”

อย่างไรก็ตาม เขายังคงขมวดคิ้วเป็นปมด้วยท่าทีกลัดกลุ้มใจ

“ข้าได้ยินมาว่าพวกเสื้อคลุมทมิฬมีความสัมพันธ์ที่ดีกับขุมกำลังราชาสวรรค์และไร้คู่เปรียบ ถึงแม้ตระกูลเฟิงจะแข็งแกร่งและขุมกำลังพญายมก็ไม่ได้ถือว่าเป็นรองใคร ทว่ามันก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับขุมกำลังทั้งสามนั่นได้”

“ฮ่าฮ่า สหายอู๋พูดถูก ความสัมพันธ์ระหว่างขุมกำลังทั้งสามแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ถ้าเราหาทางยุแยงให้สามขุมกำลังนี้ห้ำหั่นกันเองได้ มันก็ง่ายที่เราจะเอาชนะขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬไม่ใช่รึ ?”

น้ำเสียงของบุรุษที่ถูกเรียกว่า ‘สหายไห่’ แสดงถึงความชั่วร้ายอย่างชัดเจน

“สหายไห่หมายความว่า…”

‘สหายอู๋’ ยังมีท่าทีสับสนไม่มั่นใจ เขามองอีกฝ่ายและเอ่ยถามด้วยความฉงนเต็มหัวใจ

“ข้าได้ข่าวมาว่ามีคนจากราชาสวรรค์และไร้คู่เปรียบเข้าร่วมงานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้ เมื่อถึงตอนนั้น หากเราทำให้ทั้งสองขุมกำลังขัดแย้งกับพวกเสื้อคลุมทมิฬ เราก็ไม่ต้องกังวลหรือจัดการอะไรให้เปลืองแรง !”

สหายไห่แสดงท่าลากนิ้วผ่านลำคอของตนเองและกลิ่นอายความอาฆาตมาดร้ายแผ่รังสีจากร่างกายของเขาอย่างไม่ปิดบัง

ดูเหมือนว่าสหายอู๋จะเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีและยกยิ้มมุมปากเล็ก ๆ อย่างมีเลศนัย

“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นกลยุทธ์ที่ดีทีเดียว ถ้าเรากำจัดเสื้อคลุมทมิฬได้สำเร็จและผูกมิตรไมตรีกับตระกูลเฟิงและขุมกำลังพญายมได้ เราก็จะได้พลังอำนาจกลับคืนมาในอนาคต !”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังตกลงแผนการชั่วร้ายกันอยู่นั้น บุรุษคนหนึ่งก็วิ่งโร่เข้ามากระซิบข้างหูสหายไห่

“ฮ่าฮ่าฮ่า พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ตอนนี้เหวินซื่อชู่ ฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นเข้ามาในเขตป่าเมฆาลัยแล้วและกำลังมุ่งหน้ามาในทิศทางของเรา”

สหายไห่ยิ้มอย่างสุขใจและเหยียดกายลุกขึ้น

“สหายอู๋ ความสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับตอนนี้ ตราบใดที่เราฆ่าหนึ่งในนั้นและโยนความผิดให้พวกเสื้อคลุมทมิฬได้ เราก็รอดตัวแล้ว”

สหายอู๋ยืนขึ้น ทว่านิ่วหน้าเล็กน้อยและกล่าว “เหวินซื่อชู่และฉีอวิ๋นเหล่ยไม่ใช่เป้าหมายที่จัดการได้ง่ายเลย พวกเขาต้องมีไม้เด็ดอยู่มากทีเดียว เราจะฆ่าหนึ่งในนั้นได้จริงๆรึ ?”

สหายไห่มีสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านและกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่แฝงด้วยความหมายบางอย่าง “หากเราสู้กันซึ่งๆหน้า มันก็ไม่ง่ายหรอก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราอยู่ในเงามืดและพวกเขาอยู่ในที่แจ้ง ตราบใดที่ใช้กลอุบายบางอย่าง…มันก็ไม่เป็นปัญหา”

“สหายอู๋ เข้ามานี่สิ แผนของเราคือแบบนี้..”

สหายไห่กวักมือเรียกอีกฝ่ายเข้าไปใกล้ตัวและสหายอู๋เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้น เขาก็กระซิบบางอย่างข้างหูสหายอู๋และจู่ๆก็ฟาดฝ่ามือตบหน้าอีกฝ่ายอย่างรุนแรงจนล้มลงบนพื้น

สหายอู๋ผู้ถูกฝ่ามือฟาดเข้าใส่มีท่าทีหวั่นเกรงฉายชัด เขารีบลุกขึ้นโดยเร็วและวิ่งตรงไปในทิศทางหนึ่ง

“นายหญิง นั่นมันทิศทางที่สหายของท่านอยู่”

ราชาเขาเงินกล่าวเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่

อดีตนักฆ่าสาวพยักศีรษะและมุมปากยกยิ้มเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้คิดจะใช้วิธีสกปรกหลอกล่อสหายของนาง

หากนางเดาไม่ผิด คนเหล่านี้จะใช้กลอุบายชั่วช้าโดยให้สหายอู๋ตบตาสร้างความเชื่อใจกับคณะเดินทางฉีอวิ๋นเหล่ย หลังจากนั้นคนชั่วพวกนี้ก็จะฉวยโอกาสจังหวะที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัวเพื่อลงมือทำร้ายและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

ฉินอวี้โม่รู้สึกทันทีว่าสหายไห่และสหายอู๋ทั้งสองชั่วร้ายอย่างที่สุด นางสัมผัสได้ว่าทั้งสองมีพลังอยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะ ทว่ากลับไม่กล้าประจันหน้ากับฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่อย่างเปิดเผยและเลือกใช้วิธีสุนัขลอบกัดเช่นนี้

แม้ว่าเหวินซื่อชู่และฉีอวิ๋นเหล่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะจัดการได้ง่าย คนชั่วสองคนนี้ก็ใช้วิธีที่ต่ำช้าอย่างแท้จริง

ในเมื่อพวกเขาหมายหัวขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็คำนวณในความคิดอย่างรวดเร็วและคาดเดาได้ถึงตัวตนของบุรุษชั่วช้าทั้งสองทันที

หากนางเดาไม่ผิด ทั้งสองน่าจะเป็นบุคคลระดับสูงของสองขุมกำลังที่ถูกทำลายโดยฝีมือฉินเทียนจึงเกิดความอาฆาตเคียดแค้นต่อขุมกำลังของเขาอย่างที่สุดและหาทางเอาคืนเช่นนี้

ขุมกำลังพญายมและขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ไหนแต่ไร ทว่านางไม่คิดว่าตระกูลเฟิงจะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

บัดนี้เสี่ยวเหยียนมีศักดิ์เป็นหลานสาวของผู้นำตระกูลเฟิง หากตระกูลนั้นหมายจะทำลายขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬจริง นางและน้องสาวจากหมู่บ้านจันทราจะต้องกลายเป็นศัตรูกันอย่างนั้นหรือ ?

นี่เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่ภาวนาไม่ให้เกิดขึ้น

ถ้าหากเสื้อคลุมทมิฬรบรากับตระกูลเฟิง ความสัมพันธ์ของนางและเสี่ยวเหยียนจะต้องซับซ้อนอย่างแน่นอน

“นายหญิง ท่านคิดอะไรอยู่งั้นรึ? ท่านจะตามไปดูหรือไม่ ?”

เสี่ยวม่านกล่าวขัดจังหวะภวังค์ความคิดที่ล่องลอยไปไกลของผู้เป็นนาย

ฉินอวี้โม่เรียกสติกลับมาและพยักศีรษะเล็กน้อยก่อนมุ่งหน้าตามไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องไร้สาระที่ยังมาไม่ถึง สิ่งสำคัญที่สุดคือจับตาดูว่าแผนชั่วร้ายของสองสหายจะดำเนินไปอย่างไรและแน่นอนว่านางจะต้องเข้าไปร่วมด้วย

ในเมื่อรู้แผนการสมคบคิดของพวกเขาแล้ว อดีตนักฆ่าสาวก็จะตีหน้าเล่นละครฉากใหญ่กับพวกเขาเสียหน่อย!

.

Options

not work with dark mode
Reset