คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 343 สร้างเส้นชีพจรใหม่

ภายในห้องโถงตระกูลฉู่ ทุกคนนั่งลงทีละคนพร้อมด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้า

“ฮ่าๆๆ มันช่างบังเอิญจริงๆ ข้าช่วยชีวิตสหายน้อยฉินเทียนไว้โดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน ครานี้แม่นางอวี้โม่ก็ช่วยชีวิตของเสี่ยวเจี๋ย ฉู่ชิงซานและคนอื่นๆ อีกทั้งยังคิดที่จะช่วยแก้ปัญหาร่างกายของเสี่ยวเจี๋ยเพื่อให้เขาดีขึ้นเช่นกัน”

ฉู่เหิงยิ้มด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในความโชคดีที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

หากเขาไม่ช่วยชีวิตฉินเทียนในอดีต บางทีวันนี้ฉินอวี้โม่ก็อาจไม่ได้ช่วยฉู่เจี๋ยเช่นกัน สิ่งนี้น่าจะเป็นรูปแบบหนึ่งของการ ‘ทำดีได้ดี’

“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าจะช่วยรักษาปัญหาของเสี่ยวเจี๋ยและทำให้เขากลายเป็นเหมือนคนทั่วไปได้จริงๆรึ?”

โหรวชู–มารดาของเสี่ยวเจี๋ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

ฉู่เจี๋ยคือบุตรชายในสายเลือดของนางและแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดที่จะเป็นกังวลและเป็นห่วงเขาเกินไปกว่านาง ในฐานะมารดา นางรู้ดีว่าฉู่เจี๋ยต้องทุกข์ทรมานมากเพียงใดตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทว่านางก็ไม่มีทางเลือก

หากเป็นไปได้ นางก็ต้องการแบกรับความทรมานทั้งหมดนี้แทนบุตรชาย เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เนื่องด้วยวันเกิดครบอายุสิบหกปีของฉู่เจี๋ยใกล้ที่จะเข้ามาทุกทีและสุขภาพร่างกายของเขาก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ โหรวชูจึงเป็นกังวลอย่างยิ่ง

คราสุดท้ายที่นางบอกให้ฉู่เจี๋ยออกเดินทางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลเฟิงก็เพื่อให้เขาได้ออกไปพบปะโลกภายนอกก่อนตาย ไม่คิดเลยว่าจะมีข่าวดีกลับมาว่าปัญหาที่ทำให้บุตรชายต้องทุกข์ทนมานานมีทางแก้ไขและฉู่เจี๋ยจะได้มีชีวิตอยู่ต่อ

หลังจากได้รับข่าว ตระกูลฉู่ก็มีความสุขเป็นอย่างมาก ราวกับความหวังที่เคยดับไปมีประกายสว่างขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าพวกเขาต้องตามหาสมุนไพรที่เรียกว่า ‘หญ้าฟื้นชีวา’ พวกเขาจึงไม่รอช้าและส่งคนออกไปตามหามันแทบพลิกแผ่นดินทันที

และในที่สุดความพยายามก็เกิดผล เมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเขาก็พบหญ้าฟื้นชีวาที่ตามหา และเป็นเพราะพวกเขาร้อนใจจึงแจ้งให้ฉู่เจี๋ยเชิญฉินอวี้โม่กลับมาที่จวนโดยเร็ว มีเพียงการถามและยืนยันต่อหน้าเท่านั้นที่พวกเขาจะวางใจได้

“ท่านป้า ข้ามีวิธีช่วยเสี่ยวเจี๋ยจริงๆเจ้าค่ะ เพียงแต่กระบวนการของมันอันตรายมากและอาจไม่สัมฤทธิผล เพราะฉะนั้นหากพวกท่านเลือกดำเนินการตามวิธีนี้จริงๆ โปรดเตรียมใจไว้ด้วยเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวตามความจริง สาเหตุที่นางเลือกเดินทางมาที่จวนตระกูลฉู่เพื่อช่วยฉู่เจี๋ยก็เป็นเพราะเหตุผลนี้

แม้ว่าฉู่เจี๋ยได้ลั่นวาจาไว้อย่างหนักแน่นแล้วว่าเขาจะลองใช้วิธีนั้น ทว่าถึงอย่างไรก็ยังต้องแจ้งให้สมาชิกตระกูลที่เป็นห่วงเขาได้รับทราบเช่นกัน ถึงอย่างไรแล้วในฐานะญาติใกล้ชิดของเด็กหนุ่ม พวกเขามีสิทธิ์และควรได้รับรู้ถึงเรื่องนี้

“ก่อนหน้านี้ตอนที่ชิงซานให้คนส่งข่าวมา เราก็พอจะรู้แผนการคร่าวๆอยู่แล้ว เพียงแต่เส้นชีพจรเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะช่วยให้เสี่ยวเจี๋ยกลายเป็นเหมือนคนธรรมดาได้อย่างสมบูรณ์?”

ฉู่เหิงเอ่ยพร้อมมองฉินอวี้โม่อย่างต้องการคำตอบที่แท้จริง

ฉินอวี้โม่ไม่ต้องการปิดบังสิ่งใด นางได้พูดคุยกับมารยาไว้ก่อนหน้านี้แล้วและได้ข้อมูลต่างๆพอสมควร

“บอกตามตรง ข้ามั่นใจเพียงไม่ถึงสามในสิบส่วน ถึงอย่างไรแล้วการสร้างเส้นชีพจรก็เป็นเรื่องยากมากและข้าไม่เคยทำอะไรเช่นนี้มาก่อน”

นี่คือสิ่งที่มารยาบอกกับฉินอวี้โม่และนางก็เอ่ยบอกคนของตระกูลฉู่ตามความจริงเพื่อให้พวกเขาเผื่อใจไว้ก่อน

เมื่อได้ยินว่ามีความมั่นใจเพียงสามในสิบส่วนเท่านั้น สีหน้าของหลายคนก็ดูไม่สู้ดีนัก

ความมั่นใจเพียงสามในสิบส่วนมันน้อยเกินไปจริงๆ นี่ยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

“ท่านปู่ ไม่ต้องห่วงขอรับ ยังไงข้าก็ไม่มีอะไรจะเสีย”

สมาชิกตระกูลฉู่หลายคนหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด ฉู่เจี๋ยจึงยิ้มและเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว

“ก่อนหน้านี้ข้าถูกกำหนดให้มีชีวิตอยู่ได้เพียงสิบหกปีเท่านั้น ตอนนี้เมื่อข้าได้โอกาสถึงสามในสิบส่วนที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ถือว่าเป็นความเมตตาของสวรรค์แล้ว ข้ารู้ว่าทุกคนเป็นห่วงข้า แต่ครานี้ขอให้ข้าได้ลองดูเถอะ”

วาจาของฉู่เจี๋ยราบเรียบและแน่วแน่ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

เขาใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์มาตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา บัดนี้เขายอมทุบหม้อข้าวจมเรือแทนที่จะต้องทนกับชีวิตนี้ต่อไป

** 破釜沉舟 ทุบหม้อข้าวจมเรือ เหมือนกับ ไปตายเอาดาบหน้า หมายถึง การตัดสินใจเด็ดขาด เมื่อคิดจะทำแล้วต้องทำต่อไปให้ถึงที่สุด

เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มและอากัปกิริยาแน่วแน่ของเขา บรรดาสมาชิกตระกูลฉู่ต่างก็ส่ายศีรษะเบาๆอย่างหมดคำพูด

“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าขอฝากชีวิตของเสี่ยวเจี๋ยไว้กับเจ้า”

ฉู่เหิงกล่าวพร้อมลุกขึ้นยืนและก้มตัวไปข้างหน้าด้วยความจริงใจทันที

“ท่านผู้นำฉู่ อย่าเลยเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ประคองเขาให้ยืดตัวขึ้นทันที นางไม่อาจรับการขอบคุณเช่นนี้ได้

“เสี่ยวอวี้โม่ พวกเราก็ต้องขอฝากเสี่ยวเจี๋ยไว้กับเจ้าเช่นกัน”

ฉู่เฟยหยางและคนอื่นๆก็โน้มตัวออกมาข้างหน้า การกระทำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขารักและให้ความสำคัญกับฉู่เจี๋ยมากเพียงใด

“ทุกคน ลุกขึ้นเถอะ ข้าทนไม่ได้หรอกที่พวกท่านทำเช่นนี้”

ฉินอวี้โม่หวั่นไหวในใจเล็กน้อยเมื่อเห็นการกระทำของพวกเขา ความรักที่แน่นแฟ้นของตระกูลเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกกดดันพอสมควร

นางสัมผัสได้ว่าตนเองกำลังแบกรับความหวังของทุกคนในตระกูลฉู่

“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าจะเริ่มต้นเมื่อใด? ข้าจะส่งคนไปเตรียมห้อง”

ฉู่เหิงส่งสัญญาณให้ทุกคนลุกขึ้นและพวกเขาทุกคนก็ทำตามนั้นทว่ายังคงมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความเคารพ

“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ แค่เอาหญ้าฟื้นชีวามาให้ข้าก็พอ ข้าจะทำการรักษาเสี่ยวเจี๋ยในคฤหาสน์เฟิงหัวของข้า”

ฉินอวี้โม่กล่าวตอบ ครานี้นางต้องการความช่วยเหลือจากมารยาและนางก็จำเป็นต้องใช้สถานที่ที่มีสภาวะพลังหนาแน่นและเงียบสงบ  เพราะเหตุนั้น คฤหาสน์หลังน้อยของนางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

คนตระกูลฉู่รับรู้เรื่องคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่อยู่แล้ว เมื่อได้ยินความต้องการของนาง พวกเขาจึงพยักศีรษะโดยไม่เอ่ยอะไรให้มากความ

“เสี่ยวอวี้โม่ นี่คือหญ้าฟื้นชีวา รับไปสิ”

ฉู่เหิงหยิบกล่องผ้าปักดอกออกมาจากแหวนมิติและส่งให้ฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่รับมันมาและยิ้มพร้อมกล่าวกับผู้นำตระกูลฉู่ “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”

“พี่อวี้โม่ ไปเตรียมตัวก่อนเถอะ ข้าขอพูดคุยกับท่านปู่สักหน่อย”

ฉู่เจี๋ยเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มและบอกให้นางเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อเตรียมความพร้อมก่อน

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและวางคฤหาสน์เฟิงหัวลงบนโต๊ะก่อนเข้าไปข้างใน

“สหายชิงซาน ช่วยพาข้าไปเยี่ยมชมรอบๆหุบเขาหมื่นบุปผาหน่อยสิ”

ฉินเทียนเดาว่าฉู่เจี๋ยน่าจะมีเรื่องบางอย่างที่ไม่ต้องการให้เขารับรู้ เขาจึงหันไปกล่าวกับฉู่ชิงซาน

“ได้เลย ท่านผู้นำฉินเทียน ตามข้ามาเถอะ”

ฉู่ชิงซานยิ้มตอบก่อนเดินออกไปพร้อมกับฉินเทียน

จากนั้นภายในห้องโถงก็เหลือสมาชิกตระกูลฉู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

“หลานเอ๋ย พวกเราต้องขอโทษเจ้าจริงๆ”

เฟิงหรูชวงสวมกอดฉู่เจี๋ยและพยายามกลั้นน้ำตาที่รื้นขอบตาพร้อมกล่าวออกไป

“ท่านย่า ท่านพูดอะไรเล่า หากมีใครที่จะต้องขอโทษ มันก็ต้องเป็นข้าต่างหากที่จะต้องขอโทษท่าน”

ฉู่เจี๋ยกอดตอบเฟิงหรูชวง ในใจของเขาไม่มั่นใจเลยว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้เรียก ‘ท่านย่า’ อีกหรือไม่

“ท่านปู่ ครานี้ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร โปรดอย่าถือสาโกรธเคืองอะไรพี่อวี้โม่นะขอรับ ไม่ว่าผลจะออกมาในทิศทางใด ข้าเชื่อว่านางพยายามทำดีที่สุดแล้ว”

ฉู่เจี๋ยเดินเข้าไปหาฉู่เหิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาแน่วแน่

“เด็กโง่เอ๋ย เจ้าคิดว่าปู่ของเจ้าเป็นคนแบบนั้นรึ”

ฉู่เหิงยิ้มให้หลานชายด้วยความเอ็นดูก่อนสวมกอดเขาและกล่าว “เข้มแข็งเข้าไว้ พวกเราเชื่อว่าเจ้าจะต้องปลอดภัย”

ฉู่เจี๋ยพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ

จากนั้นเขาก็เข้าไปกอดมารดาและบิดาก่อนเดินตรงไปหาพี่ชาย–ฉู่รุ่ยและหยุดลง

“เจ้าเด็กโง่ ไปเถอะ ข้าจะรอเจ้าออกมา เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะช่วยเจ้าสยบอสูรมายา ชี้แนะแนวทางการฝึกยุทธ์ให้กับเจ้าและพาเจ้าออกไปฝึกปรือฝีมือ”

ฉู่รุ่ยยื่นมือออกไปดึงร่างน้องชายเข้ามากอด ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องคู่นี้สนิทสนมกันอย่างมาก บัดนี้น้องชายของเขากำลังจะต้องเผชิญภยันตราย แน่นอนว่าฉู่รุ่ยทั้งเป็นห่วงและเป็นกังวล

อย่างไรก็ตาม ในฐานะพี่ชายคนโตที่ฉู่เจี๋ยเคารพนับถือ เขาไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นฉู่รุ่ยก็เชื่อมั่นในตัวฉู่เจี๋ยและฉินอวี้โม่อย่างเต็มเปี่ยม

“หากข้าไม่กลับออกมา ฝากท่านพี่ดูแลท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ด้วย”

ฉู่เจี๋ยพยักศีรษะก่อนกระซิบเบาๆข้างหูฉู่รุ่ย

“เจ้าเด็กโง่ ไม่มีทาง เจ้าจะต้องกลับออกมาอย่างแน่นอน อย่าลืมสิ เจ้ายังไม่ได้เห็นข้าแต่งงานมีภรรยาและมีลูกเลย เจ้ายังไม่ได้พบหน้าว่าที่พี่สะใภ้ของเจ้าเลยนะ”

ฉู่รุ่ยแตะศีรษะน้องชายเบาๆและกล่าวให้กำลังใจพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น

ฉู่เจี๋ยยิ้มกว้างเช่นกันทว่าไม่ได้กล่าวอะไรอีก จากนั้นเขาก็เดินตรงไปที่คฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ มารยาและอสูรมายาตัวอื่นๆก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

“ช่างเป็นตระกูลที่น่าประทับใจยิ่งนัก”

มารยาอดกล่าวออกมาไม่ได้ จู่ๆมันก็เริ่มรู้สึกผิดที่แนะนำวิธีการที่อันตรายเช่นนี้ออกมา

ดวงตาของฉินอวี้โม่ก็รื้นด้วยน้ำตา นางได้ยินทุกอย่างที่ฉู่เจี๋ยกล่าวเมื่อครู่

ความรู้สึกที่ลึกซึ้งและจริงใจของตระกูลฉู่ทำให้นางรู้สึกประทับใจและคำพูดที่ฉู่เจี๋ยกล่าวกับท่านปู่ฉู่เหิงก็ทำให้นางเศร้าใจไม่น้อย

ฉู่เจี๋ยผู้นี้ช่างเป็นเด็กโง่จริงๆ!

“มารยา เราจะต้องทำอย่างสุดความสามารถ ต่อให้วิธีการนี้จะล้มเหลว เราก็ต้องหาทางช่วยชีวิตฉู่เจี๋ยไว้ให้ได้ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ มันก็จะยังมีโอกาสในอนาคต”

ฉินอวี้โม่กล่าวกับมารยาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นผิดปกติ

ครานี้ทั้งสองจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่สุด ต่อให้จะเกิดความเสียหายต่อสภาวะพลังของพวกเขาเพราะเรื่องนี้ มันก็จะไม่มีความลังเลใดๆ

“นายหญิง ไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจดี”

มารยาพยักหน้าพร้อมสูดหายใจเข้าลึกๆและเตรียมความพร้อม

อีกฟากหนึ่ง ฉู่ชิงซานพาฉินเทียนออกไปจากห้องโถง เพียงแต่ไม่ได้ออกจากจวนตระกูลฉู่ทว่าไปที่เรือนของเขาโดยตรง

“เสี่ยวเจี๋ยช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารจริงๆ”

ฉู่ชิงซานผายมือให้ฉินเทียนนั่งลงก่อนรินน้ำชาและกล่าวออกไปอย่างอดไม่ได้

“ใช่แล้ว เขาน่าสงสารจริงๆ”

ฉินเทียนเองก็ทอดถอนหายใจและกล่าวเช่นกัน “วางใจในตัวเสี่ยวโม่เอ๋อร์เถอะ นางจะช่วยเสี่ยวเจี๋ยจัดการปัญหายุ่งยากได้อย่างแน่นอน”

ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ได้สร้างผลงานมากมายที่แม้แต่เขาเองก็ยังต้องประหลาดใจ เขาเชื่อว่านางจะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นได้

“คงต้องเป็นเช่นนั้น ในช่วงนี้เราทำได้เพียงเอาใจช่วยนางอยู่ข้างนอกนี่และรอฟังผล”

ฉู่ชิงซานพยักศีรษะเบาๆ เมื่อครู่เขาต้องการพาฉินเทียนออกไปท่องหุบเขา เพียงแค่ฉินเทียนปฏิเสธ

พวกเขาไม่มีความคิดที่จะเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ใดๆทั้งนั้น บัดนี้ยังไม่มีข่าวจากฉู่เจี๋ยและฉินอวี้โม่ พวกเขาจึงไม่สามารถใจเย็นได้เลย

เนื่องจากรู้ว่าจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจนามว่าฉินอวี้โม่กำลังจะช่วยฉู่เจี๋ยสร้างเส้นชีพจรขึ้นใหม่ บรรดาสมาชิกจากตระกูลฉู่ต่างก็มารวมตัวกันที่ลานกว้างราวกับเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด พวกเขานั่งขัดสมาธิและสวดภาวนาให้กับฉู่เจี๋ยอย่างเงียบๆ

สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตระกูลฉู๋แน่นแฟ้นและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากเพียงใด ฉู่เจี๋ยโชคดีมากที่เกิดมาในตระกูลนี้ แม้ว่าเขาฝึกยุทธ์ไม่ได้ก็ไม่มีผู้ใดในตระกูลที่ไม่ชอบหน้าหรือดูหมิ่นเขา ในทางกลับกัน ทุกคนรักเขาด้วยใจจริงและมีแต่ความหวังดีต่อกัน ไม่แปลกใจเลยที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะมองโลกในแง่ดียิ่งนัก

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่เห็นฉู่เจี๋ยใกล้เข้ามาพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าและอดก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อสวมกอดผู้ที่เป็นเหมือนน้องชายไม่ได้

ใบหน้าของฉู่เจี๋ยชมพูระเรื่อเล็กน้อย ถึงอย่างไรแล้วฉินอวี้โม่ก็เป็นสตรีและเขาก็เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปี

“เสี่ยวเจี๋ย เชื่อเถอะว่าเราจะต้องทำสำเร็จ”

ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปด้วยวาจาที่ฟังดูราวกับปลอบใจทั้งฉู่เจี๋ยและบอกกับตัวเอง

“ข้าเชื่อว่าเราจะทำสำเร็จ”

ฉู่เจี๋ยพยักศีรษะและกล่าวด้วยน้ำเสี่ยงที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น

“กินหญ้าฟื้นชีวานี่ก่อน จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าและลงไปในอ่าง เราจะได้เริ่มกระบวนการ”

หลังจากพบห้องที่มีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ อดีตนักฆ่าสาวก็ส่งสัญญาณบอกให้ฉู่เจี๋ยเข้าไปในนั้นและเตรียมความพร้อมเพื่อเริ่มการสร้างเส้นชีพจรใหม่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 343 สร้างเส้นชีพจรใหม่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 343 สร้างเส้นชีพจรใหม่

ภายในห้องโถงตระกูลฉู่ ทุกคนนั่งลงทีละคนพร้อมด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้า

“ฮ่าๆๆ มันช่างบังเอิญจริงๆ ข้าช่วยชีวิตสหายน้อยฉินเทียนไว้โดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน ครานี้แม่นางอวี้โม่ก็ช่วยชีวิตของเสี่ยวเจี๋ย ฉู่ชิงซานและคนอื่นๆ อีกทั้งยังคิดที่จะช่วยแก้ปัญหาร่างกายของเสี่ยวเจี๋ยเพื่อให้เขาดีขึ้นเช่นกัน”

ฉู่เหิงยิ้มด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในความโชคดีที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

หากเขาไม่ช่วยชีวิตฉินเทียนในอดีต บางทีวันนี้ฉินอวี้โม่ก็อาจไม่ได้ช่วยฉู่เจี๋ยเช่นกัน สิ่งนี้น่าจะเป็นรูปแบบหนึ่งของการ ‘ทำดีได้ดี’

“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าจะช่วยรักษาปัญหาของเสี่ยวเจี๋ยและทำให้เขากลายเป็นเหมือนคนทั่วไปได้จริงๆรึ?”

โหรวชู–มารดาของเสี่ยวเจี๋ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

ฉู่เจี๋ยคือบุตรชายในสายเลือดของนางและแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดที่จะเป็นกังวลและเป็นห่วงเขาเกินไปกว่านาง ในฐานะมารดา นางรู้ดีว่าฉู่เจี๋ยต้องทุกข์ทรมานมากเพียงใดตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทว่านางก็ไม่มีทางเลือก

หากเป็นไปได้ นางก็ต้องการแบกรับความทรมานทั้งหมดนี้แทนบุตรชาย เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เนื่องด้วยวันเกิดครบอายุสิบหกปีของฉู่เจี๋ยใกล้ที่จะเข้ามาทุกทีและสุขภาพร่างกายของเขาก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ โหรวชูจึงเป็นกังวลอย่างยิ่ง

คราสุดท้ายที่นางบอกให้ฉู่เจี๋ยออกเดินทางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลเฟิงก็เพื่อให้เขาได้ออกไปพบปะโลกภายนอกก่อนตาย ไม่คิดเลยว่าจะมีข่าวดีกลับมาว่าปัญหาที่ทำให้บุตรชายต้องทุกข์ทนมานานมีทางแก้ไขและฉู่เจี๋ยจะได้มีชีวิตอยู่ต่อ

หลังจากได้รับข่าว ตระกูลฉู่ก็มีความสุขเป็นอย่างมาก ราวกับความหวังที่เคยดับไปมีประกายสว่างขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าพวกเขาต้องตามหาสมุนไพรที่เรียกว่า ‘หญ้าฟื้นชีวา’ พวกเขาจึงไม่รอช้าและส่งคนออกไปตามหามันแทบพลิกแผ่นดินทันที

และในที่สุดความพยายามก็เกิดผล เมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเขาก็พบหญ้าฟื้นชีวาที่ตามหา และเป็นเพราะพวกเขาร้อนใจจึงแจ้งให้ฉู่เจี๋ยเชิญฉินอวี้โม่กลับมาที่จวนโดยเร็ว มีเพียงการถามและยืนยันต่อหน้าเท่านั้นที่พวกเขาจะวางใจได้

“ท่านป้า ข้ามีวิธีช่วยเสี่ยวเจี๋ยจริงๆเจ้าค่ะ เพียงแต่กระบวนการของมันอันตรายมากและอาจไม่สัมฤทธิผล เพราะฉะนั้นหากพวกท่านเลือกดำเนินการตามวิธีนี้จริงๆ โปรดเตรียมใจไว้ด้วยเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวตามความจริง สาเหตุที่นางเลือกเดินทางมาที่จวนตระกูลฉู่เพื่อช่วยฉู่เจี๋ยก็เป็นเพราะเหตุผลนี้

แม้ว่าฉู่เจี๋ยได้ลั่นวาจาไว้อย่างหนักแน่นแล้วว่าเขาจะลองใช้วิธีนั้น ทว่าถึงอย่างไรก็ยังต้องแจ้งให้สมาชิกตระกูลที่เป็นห่วงเขาได้รับทราบเช่นกัน ถึงอย่างไรแล้วในฐานะญาติใกล้ชิดของเด็กหนุ่ม พวกเขามีสิทธิ์และควรได้รับรู้ถึงเรื่องนี้

“ก่อนหน้านี้ตอนที่ชิงซานให้คนส่งข่าวมา เราก็พอจะรู้แผนการคร่าวๆอยู่แล้ว เพียงแต่เส้นชีพจรเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะช่วยให้เสี่ยวเจี๋ยกลายเป็นเหมือนคนธรรมดาได้อย่างสมบูรณ์?”

ฉู่เหิงเอ่ยพร้อมมองฉินอวี้โม่อย่างต้องการคำตอบที่แท้จริง

ฉินอวี้โม่ไม่ต้องการปิดบังสิ่งใด นางได้พูดคุยกับมารยาไว้ก่อนหน้านี้แล้วและได้ข้อมูลต่างๆพอสมควร

“บอกตามตรง ข้ามั่นใจเพียงไม่ถึงสามในสิบส่วน ถึงอย่างไรแล้วการสร้างเส้นชีพจรก็เป็นเรื่องยากมากและข้าไม่เคยทำอะไรเช่นนี้มาก่อน”

นี่คือสิ่งที่มารยาบอกกับฉินอวี้โม่และนางก็เอ่ยบอกคนของตระกูลฉู่ตามความจริงเพื่อให้พวกเขาเผื่อใจไว้ก่อน

เมื่อได้ยินว่ามีความมั่นใจเพียงสามในสิบส่วนเท่านั้น สีหน้าของหลายคนก็ดูไม่สู้ดีนัก

ความมั่นใจเพียงสามในสิบส่วนมันน้อยเกินไปจริงๆ นี่ยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

“ท่านปู่ ไม่ต้องห่วงขอรับ ยังไงข้าก็ไม่มีอะไรจะเสีย”

สมาชิกตระกูลฉู่หลายคนหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด ฉู่เจี๋ยจึงยิ้มและเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว

“ก่อนหน้านี้ข้าถูกกำหนดให้มีชีวิตอยู่ได้เพียงสิบหกปีเท่านั้น ตอนนี้เมื่อข้าได้โอกาสถึงสามในสิบส่วนที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ถือว่าเป็นความเมตตาของสวรรค์แล้ว ข้ารู้ว่าทุกคนเป็นห่วงข้า แต่ครานี้ขอให้ข้าได้ลองดูเถอะ”

วาจาของฉู่เจี๋ยราบเรียบและแน่วแน่ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

เขาใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์มาตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา บัดนี้เขายอมทุบหม้อข้าวจมเรือแทนที่จะต้องทนกับชีวิตนี้ต่อไป

** 破釜沉舟 ทุบหม้อข้าวจมเรือ เหมือนกับ ไปตายเอาดาบหน้า หมายถึง การตัดสินใจเด็ดขาด เมื่อคิดจะทำแล้วต้องทำต่อไปให้ถึงที่สุด

เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มและอากัปกิริยาแน่วแน่ของเขา บรรดาสมาชิกตระกูลฉู่ต่างก็ส่ายศีรษะเบาๆอย่างหมดคำพูด

“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าขอฝากชีวิตของเสี่ยวเจี๋ยไว้กับเจ้า”

ฉู่เหิงกล่าวพร้อมลุกขึ้นยืนและก้มตัวไปข้างหน้าด้วยความจริงใจทันที

“ท่านผู้นำฉู่ อย่าเลยเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ประคองเขาให้ยืดตัวขึ้นทันที นางไม่อาจรับการขอบคุณเช่นนี้ได้

“เสี่ยวอวี้โม่ พวกเราก็ต้องขอฝากเสี่ยวเจี๋ยไว้กับเจ้าเช่นกัน”

ฉู่เฟยหยางและคนอื่นๆก็โน้มตัวออกมาข้างหน้า การกระทำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขารักและให้ความสำคัญกับฉู่เจี๋ยมากเพียงใด

“ทุกคน ลุกขึ้นเถอะ ข้าทนไม่ได้หรอกที่พวกท่านทำเช่นนี้”

ฉินอวี้โม่หวั่นไหวในใจเล็กน้อยเมื่อเห็นการกระทำของพวกเขา ความรักที่แน่นแฟ้นของตระกูลเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกกดดันพอสมควร

นางสัมผัสได้ว่าตนเองกำลังแบกรับความหวังของทุกคนในตระกูลฉู่

“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าจะเริ่มต้นเมื่อใด? ข้าจะส่งคนไปเตรียมห้อง”

ฉู่เหิงส่งสัญญาณให้ทุกคนลุกขึ้นและพวกเขาทุกคนก็ทำตามนั้นทว่ายังคงมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความเคารพ

“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ แค่เอาหญ้าฟื้นชีวามาให้ข้าก็พอ ข้าจะทำการรักษาเสี่ยวเจี๋ยในคฤหาสน์เฟิงหัวของข้า”

ฉินอวี้โม่กล่าวตอบ ครานี้นางต้องการความช่วยเหลือจากมารยาและนางก็จำเป็นต้องใช้สถานที่ที่มีสภาวะพลังหนาแน่นและเงียบสงบ  เพราะเหตุนั้น คฤหาสน์หลังน้อยของนางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

คนตระกูลฉู่รับรู้เรื่องคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่อยู่แล้ว เมื่อได้ยินความต้องการของนาง พวกเขาจึงพยักศีรษะโดยไม่เอ่ยอะไรให้มากความ

“เสี่ยวอวี้โม่ นี่คือหญ้าฟื้นชีวา รับไปสิ”

ฉู่เหิงหยิบกล่องผ้าปักดอกออกมาจากแหวนมิติและส่งให้ฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่รับมันมาและยิ้มพร้อมกล่าวกับผู้นำตระกูลฉู่ “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”

“พี่อวี้โม่ ไปเตรียมตัวก่อนเถอะ ข้าขอพูดคุยกับท่านปู่สักหน่อย”

ฉู่เจี๋ยเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มและบอกให้นางเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อเตรียมความพร้อมก่อน

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและวางคฤหาสน์เฟิงหัวลงบนโต๊ะก่อนเข้าไปข้างใน

“สหายชิงซาน ช่วยพาข้าไปเยี่ยมชมรอบๆหุบเขาหมื่นบุปผาหน่อยสิ”

ฉินเทียนเดาว่าฉู่เจี๋ยน่าจะมีเรื่องบางอย่างที่ไม่ต้องการให้เขารับรู้ เขาจึงหันไปกล่าวกับฉู่ชิงซาน

“ได้เลย ท่านผู้นำฉินเทียน ตามข้ามาเถอะ”

ฉู่ชิงซานยิ้มตอบก่อนเดินออกไปพร้อมกับฉินเทียน

จากนั้นภายในห้องโถงก็เหลือสมาชิกตระกูลฉู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

“หลานเอ๋ย พวกเราต้องขอโทษเจ้าจริงๆ”

เฟิงหรูชวงสวมกอดฉู่เจี๋ยและพยายามกลั้นน้ำตาที่รื้นขอบตาพร้อมกล่าวออกไป

“ท่านย่า ท่านพูดอะไรเล่า หากมีใครที่จะต้องขอโทษ มันก็ต้องเป็นข้าต่างหากที่จะต้องขอโทษท่าน”

ฉู่เจี๋ยกอดตอบเฟิงหรูชวง ในใจของเขาไม่มั่นใจเลยว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้เรียก ‘ท่านย่า’ อีกหรือไม่

“ท่านปู่ ครานี้ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร โปรดอย่าถือสาโกรธเคืองอะไรพี่อวี้โม่นะขอรับ ไม่ว่าผลจะออกมาในทิศทางใด ข้าเชื่อว่านางพยายามทำดีที่สุดแล้ว”

ฉู่เจี๋ยเดินเข้าไปหาฉู่เหิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาแน่วแน่

“เด็กโง่เอ๋ย เจ้าคิดว่าปู่ของเจ้าเป็นคนแบบนั้นรึ”

ฉู่เหิงยิ้มให้หลานชายด้วยความเอ็นดูก่อนสวมกอดเขาและกล่าว “เข้มแข็งเข้าไว้ พวกเราเชื่อว่าเจ้าจะต้องปลอดภัย”

ฉู่เจี๋ยพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ

จากนั้นเขาก็เข้าไปกอดมารดาและบิดาก่อนเดินตรงไปหาพี่ชาย–ฉู่รุ่ยและหยุดลง

“เจ้าเด็กโง่ ไปเถอะ ข้าจะรอเจ้าออกมา เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะช่วยเจ้าสยบอสูรมายา ชี้แนะแนวทางการฝึกยุทธ์ให้กับเจ้าและพาเจ้าออกไปฝึกปรือฝีมือ”

ฉู่รุ่ยยื่นมือออกไปดึงร่างน้องชายเข้ามากอด ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องคู่นี้สนิทสนมกันอย่างมาก บัดนี้น้องชายของเขากำลังจะต้องเผชิญภยันตราย แน่นอนว่าฉู่รุ่ยทั้งเป็นห่วงและเป็นกังวล

อย่างไรก็ตาม ในฐานะพี่ชายคนโตที่ฉู่เจี๋ยเคารพนับถือ เขาไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นฉู่รุ่ยก็เชื่อมั่นในตัวฉู่เจี๋ยและฉินอวี้โม่อย่างเต็มเปี่ยม

“หากข้าไม่กลับออกมา ฝากท่านพี่ดูแลท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ด้วย”

ฉู่เจี๋ยพยักศีรษะก่อนกระซิบเบาๆข้างหูฉู่รุ่ย

“เจ้าเด็กโง่ ไม่มีทาง เจ้าจะต้องกลับออกมาอย่างแน่นอน อย่าลืมสิ เจ้ายังไม่ได้เห็นข้าแต่งงานมีภรรยาและมีลูกเลย เจ้ายังไม่ได้พบหน้าว่าที่พี่สะใภ้ของเจ้าเลยนะ”

ฉู่รุ่ยแตะศีรษะน้องชายเบาๆและกล่าวให้กำลังใจพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น

ฉู่เจี๋ยยิ้มกว้างเช่นกันทว่าไม่ได้กล่าวอะไรอีก จากนั้นเขาก็เดินตรงไปที่คฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ มารยาและอสูรมายาตัวอื่นๆก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

“ช่างเป็นตระกูลที่น่าประทับใจยิ่งนัก”

มารยาอดกล่าวออกมาไม่ได้ จู่ๆมันก็เริ่มรู้สึกผิดที่แนะนำวิธีการที่อันตรายเช่นนี้ออกมา

ดวงตาของฉินอวี้โม่ก็รื้นด้วยน้ำตา นางได้ยินทุกอย่างที่ฉู่เจี๋ยกล่าวเมื่อครู่

ความรู้สึกที่ลึกซึ้งและจริงใจของตระกูลฉู่ทำให้นางรู้สึกประทับใจและคำพูดที่ฉู่เจี๋ยกล่าวกับท่านปู่ฉู่เหิงก็ทำให้นางเศร้าใจไม่น้อย

ฉู่เจี๋ยผู้นี้ช่างเป็นเด็กโง่จริงๆ!

“มารยา เราจะต้องทำอย่างสุดความสามารถ ต่อให้วิธีการนี้จะล้มเหลว เราก็ต้องหาทางช่วยชีวิตฉู่เจี๋ยไว้ให้ได้ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ มันก็จะยังมีโอกาสในอนาคต”

ฉินอวี้โม่กล่าวกับมารยาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นผิดปกติ

ครานี้ทั้งสองจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่สุด ต่อให้จะเกิดความเสียหายต่อสภาวะพลังของพวกเขาเพราะเรื่องนี้ มันก็จะไม่มีความลังเลใดๆ

“นายหญิง ไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจดี”

มารยาพยักหน้าพร้อมสูดหายใจเข้าลึกๆและเตรียมความพร้อม

อีกฟากหนึ่ง ฉู่ชิงซานพาฉินเทียนออกไปจากห้องโถง เพียงแต่ไม่ได้ออกจากจวนตระกูลฉู่ทว่าไปที่เรือนของเขาโดยตรง

“เสี่ยวเจี๋ยช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารจริงๆ”

ฉู่ชิงซานผายมือให้ฉินเทียนนั่งลงก่อนรินน้ำชาและกล่าวออกไปอย่างอดไม่ได้

“ใช่แล้ว เขาน่าสงสารจริงๆ”

ฉินเทียนเองก็ทอดถอนหายใจและกล่าวเช่นกัน “วางใจในตัวเสี่ยวโม่เอ๋อร์เถอะ นางจะช่วยเสี่ยวเจี๋ยจัดการปัญหายุ่งยากได้อย่างแน่นอน”

ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ได้สร้างผลงานมากมายที่แม้แต่เขาเองก็ยังต้องประหลาดใจ เขาเชื่อว่านางจะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นได้

“คงต้องเป็นเช่นนั้น ในช่วงนี้เราทำได้เพียงเอาใจช่วยนางอยู่ข้างนอกนี่และรอฟังผล”

ฉู่ชิงซานพยักศีรษะเบาๆ เมื่อครู่เขาต้องการพาฉินเทียนออกไปท่องหุบเขา เพียงแค่ฉินเทียนปฏิเสธ

พวกเขาไม่มีความคิดที่จะเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ใดๆทั้งนั้น บัดนี้ยังไม่มีข่าวจากฉู่เจี๋ยและฉินอวี้โม่ พวกเขาจึงไม่สามารถใจเย็นได้เลย

เนื่องจากรู้ว่าจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจนามว่าฉินอวี้โม่กำลังจะช่วยฉู่เจี๋ยสร้างเส้นชีพจรขึ้นใหม่ บรรดาสมาชิกจากตระกูลฉู่ต่างก็มารวมตัวกันที่ลานกว้างราวกับเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด พวกเขานั่งขัดสมาธิและสวดภาวนาให้กับฉู่เจี๋ยอย่างเงียบๆ

สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตระกูลฉู๋แน่นแฟ้นและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากเพียงใด ฉู่เจี๋ยโชคดีมากที่เกิดมาในตระกูลนี้ แม้ว่าเขาฝึกยุทธ์ไม่ได้ก็ไม่มีผู้ใดในตระกูลที่ไม่ชอบหน้าหรือดูหมิ่นเขา ในทางกลับกัน ทุกคนรักเขาด้วยใจจริงและมีแต่ความหวังดีต่อกัน ไม่แปลกใจเลยที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะมองโลกในแง่ดียิ่งนัก

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่เห็นฉู่เจี๋ยใกล้เข้ามาพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าและอดก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อสวมกอดผู้ที่เป็นเหมือนน้องชายไม่ได้

ใบหน้าของฉู่เจี๋ยชมพูระเรื่อเล็กน้อย ถึงอย่างไรแล้วฉินอวี้โม่ก็เป็นสตรีและเขาก็เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปี

“เสี่ยวเจี๋ย เชื่อเถอะว่าเราจะต้องทำสำเร็จ”

ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปด้วยวาจาที่ฟังดูราวกับปลอบใจทั้งฉู่เจี๋ยและบอกกับตัวเอง

“ข้าเชื่อว่าเราจะทำสำเร็จ”

ฉู่เจี๋ยพยักศีรษะและกล่าวด้วยน้ำเสี่ยงที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น

“กินหญ้าฟื้นชีวานี่ก่อน จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าและลงไปในอ่าง เราจะได้เริ่มกระบวนการ”

หลังจากพบห้องที่มีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ อดีตนักฆ่าสาวก็ส่งสัญญาณบอกให้ฉู่เจี๋ยเข้าไปในนั้นและเตรียมความพร้อมเพื่อเริ่มการสร้างเส้นชีพจรใหม่

Options

not work with dark mode
Reset