คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 33.2 การแข่งขัน (2)

“จริงเหรอ? พี่ฉินอวี้โม่ พี่จะไปที่นครไป๋อวิ๋นอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อฉีฉีได้ยินฉินอวี้โม่กล่าว รอยยิ้มยินดีก็ปรากฏบนใบหน้าไร้เดียงสาของนางอีกครั้ง หนูน้อยเอ่ยถามออกไปอย่างตื่นเต้นยินดี

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“พวกเรามาจากนครไป๋อวิ๋น ลุงหลัวเจี๋ยบอกว่าจะพาพวกเรามาหาประสบการณ์ หลังจากเทศกาลอสูรล้อมเมืองจบลงพวกเราก็จะกลับนครไป๋อวิ๋นกันแล้ว หากแม่นางฉินไม่รังเกียจ พวกเจ้าสองคนเดินทางไปพร้อมกับพวกเราดีหรือไม่?”

ฉีอวี้ยิ้มและเอ่ยขึ้นมา ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงเล็กน้อย

ฉินอวี้โม่พยักหน้า แต่ไม่ได้รับปากหรือตอบอะไรกลับไปตรงๆ นางต้องการจะรอดูสถานการณ์หลังจากนี้ก่อน

“รีบกินกันเถิด หลังจากกินข้าวเสร็จ ลุงหลัวเจี๋ยจะพาพวกเราออกไปเดินชมป่าแสงจันทร์”

หลิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปมองและกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ (บริกร) ที่กำลังยกถาดอาหารเข้ามา

“ก็ได้ ก็ได้ รีบกินแล้วก็ไปที่ป่าแสงจันทร์กันเถอะ”

ฉีฉีและฉีอวี้พยักหน้าก่อนจะหยุดบทสนทนาแล้วเริ่มลงมือทานอาหาร

ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วไม่ได้กินอะไรดีๆ มาหลายวันแล้ว เมื่อเห็นอาหารร้อนๆ หอมกรุ่นหน้าตาน่ากินมากมายบนโต๊ะ พวกนางก็เริ่มกินอย่างมีความสุขโดยไม่เกรงใจ

หลังจากอาหารมื้อเย็นจบลง หลัวเจี๋ยก็ลุกขึ้นเป็นคนแรก

“แม่นางอวี้โม่ เจ้าสนใจจะไปที่ป่าแสงจันทร์กับเราหรือไม่?”

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธคำชวนของหลัวเจี๋ย นางเองก็อยากรู้และอยากจะเห็นป่าแสงจันทร์ก่อนเทศกาลที่จะต้องสังหารอสูรสักครั้ง อีกทั้งหลังจากนี้นางก็จะต้องเดินทางผ่านป่าแห่งนี้ไปอยู่แล้ว เป็นการดีเสียอีกที่จะไปสำรวจด้วยตาตัวเองก่อน

“เสี่ยวโร่ว เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะ ข้าจะตามพวกเขาไปที่ป่าแสงจันทร์แล้วจะรีบกลับมา”

ฉินอวี้โม่บอกกับสาวใช้ผู้เสมือนเป็นน้องสาว ตอนนี้ระดับความแข็งแกร่งของเสี่ยวโร่วนับว่ายังอ่อนแออยู่มาก ถ้าหากให้นางติดตามไปที่ป่าแสงจันทร์ด้วย ฉินอวี้โม่เกรงว่าสาวน้อยอาจจะได้รับอันตราย

“เจ้าค่ะ งั้นข้าจะขอขึ้นไปนอนพักสักครู่ แล้วจะตื่นมาเตรียมน้ำอุ่นไว้รอคุณหนูกลับมาอาบนะเจ้าคะ”

เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย และไม่ได้ตื๊อจะตามฉินอวี้โม่ไป

“ข้าเองก็ขอตัว ข้าไม่อยากจะเข้าไปขัดความสนุกของเด็กๆ”

แม่นางเหวินหย่าผู้อ่อนโยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ขอรับ งั้นท่านแม่ไปพักผ่อนเถอะ ขอรับ”

ฉีอวี้และฉีฉีก้มศีรษะให้เหวินหย่าเล็กน้อย ดูเหมือนเมื่อพวกเขารู้ว่าผู้เป็นมารดาจะไม่ไปด้วย สองพี่น้องก็คล้ายจะสนุกกันมากกว่าเดิม

“พวกเจ้าสองคนนี่นะ”

เหวินหย่าอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะให้กับความรักสนุกเป็นเด็กๆ ของบุตรชายหญิง ทว่าใบหน้างามก็ยังคงมีรอยยิ้มละไม

“เสี่ยวโร่วงั้นเจ้าคอยดูแลนายหญิงเหวินหย่าด้วย ถ้ามีอะไรหรือนายหญิงต้องการออกไปเดินเล่นข้างนอก เจ้าก็ออกไปเป็นเพื่อนนางด้วย”

ฉินอวี้โม่เองก็รีบสั่งการให้เสี่ยวโร่วคอยอยู่เป็นเพื่อนสตรีวัยกลางคนผู้ดูสูงศักดิ์

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย

หลัวเจี๋ยพาฉีอวี้ หลิงเฟิง ฉินอวี้โม่และฉีฉีออกไปจากโรงเตี๊ยมและเดินมุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของป่าแสงจันทร์

ฉีฉีเกาะแขนของฉินอวี้โม่ไว้อย่างสนิทสนมและกุลีกุจอชี้ชวนนางดูสิ่งนั้นสิ่งนี้

ฉีอวี้และหลิงเฟิงเองก็ชวนฉินอวี้โม่คุยไปตลอดทางอย่างอบอุ่น

“พี่อวี้โม่ เหตุผลแรกที่เรามาที่เมืองเยว่กวางในครั้งนี้ก็เพื่อเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมือง และอย่างที่สองก็คือพวกเราตามหาผลไม้ชนิดหนึ่งที่จะปรากฏเฉพาะภายในป่าแสงจันทร์”

ฉีฉีเป็นหนูน้อยผู้ใสซื่อ นางไม่เคยปิดปกความลับใดๆ ขอเพียงชื่นชอบหรือมีความรู้สึกดีๆ ให้ใคร นางก็จะบอกอีกฝ่ายไปหมดทุกเรื่อง

ฉีอวี้ หลิงเฟิงและหลัวเจี๋ยเองก็รู้สึกดีกับฉินอวี้โม่ ฉะนั้นเมื่อได้ยินฉีฉีเอ่ยเรื่องนี้ออกไปพวกเขาจึงไม่ได้กล่าวห้าม

“พี่อวี้โม่ พี่รู้จักผลไม้แปลกๆ ที่เรียกว่าผลหลิวหลีไหม?”

ฉินอวี้โม่พยักหน้า

ผลหลิวหลีคือผลไม้หายากจนถึงยากมาก ทว่าขณะเดียวกันสรรพคุณของมันก็นับว่าวิเศษมากด้วย

ถ้าหากว่ากินผลหลิวหลีเข้าไปก็จะทำให้ผู้ฝึกพลังมายาในขอบเขตมายารัตนะสามารถทะลวงพลังขึ้นไปสู่ดาราที่สูงกว่าได้ ส่วนผู้ที่อยู่ในขอบเขตทิพย์มายาจะสามารถทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตมายารัตนะได้ทันที ซึ่งนั่นก็จะทำให้ความแข็งแกร่งของคนคนนั้นพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วย อย่างไรก็ตามการกินผลหลิวหลีถือเป็นอันตรายต่อผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายา เนื่องจากฤทธิ์ของผลไม้วิเศษชนิดนี้มีความรุนแรงมากเกินไป

“ท่านพี่ของข้ากำลังจะพัฒนาถึงระดับทิพย์มายาเก้าดารามาหลายวันแล้ว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรเขาถึงทะลวงขึ้นไปสู่ขอบเขตมายารัตนะไม่ได้ ฉะนั้นพวกเราทั้งหมดเลยมาที่นี่เพื่อหาผลหลิวหลี ถ้าเราหามันพบ ท่านพี่ของข้าจะได้ทะลวงพลังขึ้นไประดับสูงขึ้นได้”

ฉีฉีบอกเล่าจุดประสงค์ที่พวกนางมายังเมืองเยว่กวางแห่งนี้ออกไปตรงๆ นางไม่คิดจะปิดบังสิ่งใดกับฉินอวี้โม่ แท้จริงแล้วผลหลิวหลีนี้เป็นผลไม้ที่หายากมาก การที่มีโอกาสได้ออกไปตามหาผลไม้ชนิดนี้ร่วมกันกับผู้ฝึกกายาระดับสูงอย่างหลั่วเจี๋ย รวมทั้งฉีอวี้และหลิงเฟิงที่น่าจะมีฝีมือสูงนับว่าเป็นผลดีกับฉินอวี้โม่มาก

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับทราบเมื่อได้ยินวาจาใสซื่อไม่คิดปิดบังสิ่งใดของฉีฉี ในขณะที่ฉีอวี้และหลิงเฟิงก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาทุกข์ร้อนต่อคำพูดเจื้อยแจ้วของหนูน้อยแต่อย่างใด พวกเขายังคงมุ่งหน้าเดินกันไปต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อะแฮ่ม เด็กน้อยทั้งหลาย ข้าก็ไม่อยากจะขัดจังหวะการสนทนาของพวกเจ้าหรอกนะ แต่ตอนนี้มี ‘สหาย’ กลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งตรงมาหาเรา ข้าคิดว่าพวกเรากำลังจะได้สนุกกันแล้วล่ะ”

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างบทสนทนาอันแสนเพลิดเพลินนั้น พวกเขาก็ก้าวเข้าสู่เขตแดนของป่าแสงจันทร์อย่างไม่รู้ตัว ทว่ายังไม่ทันมุ่งหน้าไปได้ไกลนักเสียงเตือนของหลัวเจี๋ยก็ดังขึ้น

ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ ขยับตัวเตรียมพร้อมในทันที ทุกคนไม่กล้าประมาท ตอนนี้หัวใจของพวกเขาเต้นรัวจนรู้สึกได้ คนทั้งหมดมองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังขึ้น ฝูงหมาป่ากลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งตรงเข้าใส่พวกเขา

“สวรรค์ พวกมันคือฝูงหมาป่าสายลม”

นี่เป็นการผจญภัยครั้งแรกของสาวน้อยฉีฉี การที่ได้เห็นฝูงหมาป่าวิ่งเข้าใส่แบบนี้จึงทำให้นางตื่นเต้นและประหม่าจนอุทานออกมาเสียงดังอย่างช่วยไม่ได้

“พวกเด็กๆ ที่ข้าพาพวกเจ้าออกมาในครั้งนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้ประสบการณ์ และข้าก็อยากจะให้พวกเจ้าได้ออกแรงด้วยตัวเอง ถึงแม้ฝูงหมาป่าพวกนั้นจะค่อนข้างใหญ่ แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ไม่ได้สูงมากนัก ฉะนั้นครั้งนี้ข้าจะไม่ช่วย พวกเจ้าจงรับมือกับพวกมันด้วยตัวเอง ตั้งใจให้ดี อย่าได้ประมาท!”

กล่าวจบหลัวเจี๋ยก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ

“กริชเล่มนี้ถูกตีขึ้นมาโดยช่างหลอมอาวุธชื่อดังของนครไป๋อวิ๋น ชื่อของมันคือกริชน้ำแข็ง ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าครั้งนี้ใครจะสามารถสังหารหมาป่าสายลมได้มากที่สุด กริชเล่มนี้คือรางวัลสำหรับผู้ชนะ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะกริชน้ำแข็งเล่มนี้จะตกเป็นของคนผู้นั้นในทันที”

หลัวเจี๋ยล้วงเอากริชเล่มหนึ่งที่มีใบมีดเปล่งประกายระยิบระยับงดงามออกมาจากแหวนมิติ จากนั้นผู้ฝึกกายาก็ตวัดมันเข้าใส่แผ่นเหล็กอีกแผ่นที่เขานำออกมาพร้อมๆ กันต่อหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ

กริชน้ำแข็งสามารถตัดเหล็กให้ขาดได้อย่างง่ายดายราวกับตัดเต้าหู้ ภาพนั้นทำให้ดวงตาของฉีอวี้และหลงเฟิงเป็นประกายขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

“กริชน้ำแข็งของลุงหลัวเจี๋ยเล่มนี้ถือเป็นสมบัติล้ำค่า ข้าเคยขอเขาหลายครั้งแล้วแต่ก็ถูกปฏิเสธตลอด ไม่คิดเลยว่าเขาจะนำมันออกมาเป็นรางวัลในครั้งนี้”

ฉีอวี้กล่าวขึ้นพร้อมกับจ้องมองกริชในมือหลั่วเจี๋ยตาไม่กะพริบ เขาสนใจกริชเล่มนี้เป็นอย่างมาก

ฉินอวี้โม่เองก็มองกริชน้ำแข็งอย่างพิจารณา มันเป็นกริชที่งดงามมากจริงๆ นางเองก็รู้สึกชอบมันเช่นกัน

ในตอนนี้ตัวนางก็ยังไม่มีอาวุธที่เหมาะสม ที่ผ่านมานางใช้เพียงกริชธรรมดาๆ รวมเข้ากับทักษะการต่อสู้ที่มีติดกายเท่านั้น หากได้อาวุธดีๆ ก็น่าจะช่วยให้นางพัฒนาฝีมือได้มาก ดังนั้นกริชเล่มนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนาง

เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายและสีหน้ามุ่งมั่นของเด็กๆ ทุกคน หลัวเจี๋ยก็พยักหน้าด้วยความพอใจ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 33.2 การแข่งขัน (2)

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 33.2 การแข่งขัน (2)

“จริงเหรอ? พี่ฉินอวี้โม่ พี่จะไปที่นครไป๋อวิ๋นอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อฉีฉีได้ยินฉินอวี้โม่กล่าว รอยยิ้มยินดีก็ปรากฏบนใบหน้าไร้เดียงสาของนางอีกครั้ง หนูน้อยเอ่ยถามออกไปอย่างตื่นเต้นยินดี

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“พวกเรามาจากนครไป๋อวิ๋น ลุงหลัวเจี๋ยบอกว่าจะพาพวกเรามาหาประสบการณ์ หลังจากเทศกาลอสูรล้อมเมืองจบลงพวกเราก็จะกลับนครไป๋อวิ๋นกันแล้ว หากแม่นางฉินไม่รังเกียจ พวกเจ้าสองคนเดินทางไปพร้อมกับพวกเราดีหรือไม่?”

ฉีอวี้ยิ้มและเอ่ยขึ้นมา ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงเล็กน้อย

ฉินอวี้โม่พยักหน้า แต่ไม่ได้รับปากหรือตอบอะไรกลับไปตรงๆ นางต้องการจะรอดูสถานการณ์หลังจากนี้ก่อน

“รีบกินกันเถิด หลังจากกินข้าวเสร็จ ลุงหลัวเจี๋ยจะพาพวกเราออกไปเดินชมป่าแสงจันทร์”

หลิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปมองและกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ (บริกร) ที่กำลังยกถาดอาหารเข้ามา

“ก็ได้ ก็ได้ รีบกินแล้วก็ไปที่ป่าแสงจันทร์กันเถอะ”

ฉีฉีและฉีอวี้พยักหน้าก่อนจะหยุดบทสนทนาแล้วเริ่มลงมือทานอาหาร

ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วไม่ได้กินอะไรดีๆ มาหลายวันแล้ว เมื่อเห็นอาหารร้อนๆ หอมกรุ่นหน้าตาน่ากินมากมายบนโต๊ะ พวกนางก็เริ่มกินอย่างมีความสุขโดยไม่เกรงใจ

หลังจากอาหารมื้อเย็นจบลง หลัวเจี๋ยก็ลุกขึ้นเป็นคนแรก

“แม่นางอวี้โม่ เจ้าสนใจจะไปที่ป่าแสงจันทร์กับเราหรือไม่?”

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธคำชวนของหลัวเจี๋ย นางเองก็อยากรู้และอยากจะเห็นป่าแสงจันทร์ก่อนเทศกาลที่จะต้องสังหารอสูรสักครั้ง อีกทั้งหลังจากนี้นางก็จะต้องเดินทางผ่านป่าแห่งนี้ไปอยู่แล้ว เป็นการดีเสียอีกที่จะไปสำรวจด้วยตาตัวเองก่อน

“เสี่ยวโร่ว เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะ ข้าจะตามพวกเขาไปที่ป่าแสงจันทร์แล้วจะรีบกลับมา”

ฉินอวี้โม่บอกกับสาวใช้ผู้เสมือนเป็นน้องสาว ตอนนี้ระดับความแข็งแกร่งของเสี่ยวโร่วนับว่ายังอ่อนแออยู่มาก ถ้าหากให้นางติดตามไปที่ป่าแสงจันทร์ด้วย ฉินอวี้โม่เกรงว่าสาวน้อยอาจจะได้รับอันตราย

“เจ้าค่ะ งั้นข้าจะขอขึ้นไปนอนพักสักครู่ แล้วจะตื่นมาเตรียมน้ำอุ่นไว้รอคุณหนูกลับมาอาบนะเจ้าคะ”

เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย และไม่ได้ตื๊อจะตามฉินอวี้โม่ไป

“ข้าเองก็ขอตัว ข้าไม่อยากจะเข้าไปขัดความสนุกของเด็กๆ”

แม่นางเหวินหย่าผู้อ่อนโยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ขอรับ งั้นท่านแม่ไปพักผ่อนเถอะ ขอรับ”

ฉีอวี้และฉีฉีก้มศีรษะให้เหวินหย่าเล็กน้อย ดูเหมือนเมื่อพวกเขารู้ว่าผู้เป็นมารดาจะไม่ไปด้วย สองพี่น้องก็คล้ายจะสนุกกันมากกว่าเดิม

“พวกเจ้าสองคนนี่นะ”

เหวินหย่าอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะให้กับความรักสนุกเป็นเด็กๆ ของบุตรชายหญิง ทว่าใบหน้างามก็ยังคงมีรอยยิ้มละไม

“เสี่ยวโร่วงั้นเจ้าคอยดูแลนายหญิงเหวินหย่าด้วย ถ้ามีอะไรหรือนายหญิงต้องการออกไปเดินเล่นข้างนอก เจ้าก็ออกไปเป็นเพื่อนนางด้วย”

ฉินอวี้โม่เองก็รีบสั่งการให้เสี่ยวโร่วคอยอยู่เป็นเพื่อนสตรีวัยกลางคนผู้ดูสูงศักดิ์

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย

หลัวเจี๋ยพาฉีอวี้ หลิงเฟิง ฉินอวี้โม่และฉีฉีออกไปจากโรงเตี๊ยมและเดินมุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของป่าแสงจันทร์

ฉีฉีเกาะแขนของฉินอวี้โม่ไว้อย่างสนิทสนมและกุลีกุจอชี้ชวนนางดูสิ่งนั้นสิ่งนี้

ฉีอวี้และหลิงเฟิงเองก็ชวนฉินอวี้โม่คุยไปตลอดทางอย่างอบอุ่น

“พี่อวี้โม่ เหตุผลแรกที่เรามาที่เมืองเยว่กวางในครั้งนี้ก็เพื่อเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมือง และอย่างที่สองก็คือพวกเราตามหาผลไม้ชนิดหนึ่งที่จะปรากฏเฉพาะภายในป่าแสงจันทร์”

ฉีฉีเป็นหนูน้อยผู้ใสซื่อ นางไม่เคยปิดปกความลับใดๆ ขอเพียงชื่นชอบหรือมีความรู้สึกดีๆ ให้ใคร นางก็จะบอกอีกฝ่ายไปหมดทุกเรื่อง

ฉีอวี้ หลิงเฟิงและหลัวเจี๋ยเองก็รู้สึกดีกับฉินอวี้โม่ ฉะนั้นเมื่อได้ยินฉีฉีเอ่ยเรื่องนี้ออกไปพวกเขาจึงไม่ได้กล่าวห้าม

“พี่อวี้โม่ พี่รู้จักผลไม้แปลกๆ ที่เรียกว่าผลหลิวหลีไหม?”

ฉินอวี้โม่พยักหน้า

ผลหลิวหลีคือผลไม้หายากจนถึงยากมาก ทว่าขณะเดียวกันสรรพคุณของมันก็นับว่าวิเศษมากด้วย

ถ้าหากว่ากินผลหลิวหลีเข้าไปก็จะทำให้ผู้ฝึกพลังมายาในขอบเขตมายารัตนะสามารถทะลวงพลังขึ้นไปสู่ดาราที่สูงกว่าได้ ส่วนผู้ที่อยู่ในขอบเขตทิพย์มายาจะสามารถทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตมายารัตนะได้ทันที ซึ่งนั่นก็จะทำให้ความแข็งแกร่งของคนคนนั้นพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วย อย่างไรก็ตามการกินผลหลิวหลีถือเป็นอันตรายต่อผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายา เนื่องจากฤทธิ์ของผลไม้วิเศษชนิดนี้มีความรุนแรงมากเกินไป

“ท่านพี่ของข้ากำลังจะพัฒนาถึงระดับทิพย์มายาเก้าดารามาหลายวันแล้ว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรเขาถึงทะลวงขึ้นไปสู่ขอบเขตมายารัตนะไม่ได้ ฉะนั้นพวกเราทั้งหมดเลยมาที่นี่เพื่อหาผลหลิวหลี ถ้าเราหามันพบ ท่านพี่ของข้าจะได้ทะลวงพลังขึ้นไประดับสูงขึ้นได้”

ฉีฉีบอกเล่าจุดประสงค์ที่พวกนางมายังเมืองเยว่กวางแห่งนี้ออกไปตรงๆ นางไม่คิดจะปิดบังสิ่งใดกับฉินอวี้โม่ แท้จริงแล้วผลหลิวหลีนี้เป็นผลไม้ที่หายากมาก การที่มีโอกาสได้ออกไปตามหาผลไม้ชนิดนี้ร่วมกันกับผู้ฝึกกายาระดับสูงอย่างหลั่วเจี๋ย รวมทั้งฉีอวี้และหลิงเฟิงที่น่าจะมีฝีมือสูงนับว่าเป็นผลดีกับฉินอวี้โม่มาก

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับทราบเมื่อได้ยินวาจาใสซื่อไม่คิดปิดบังสิ่งใดของฉีฉี ในขณะที่ฉีอวี้และหลิงเฟิงก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาทุกข์ร้อนต่อคำพูดเจื้อยแจ้วของหนูน้อยแต่อย่างใด พวกเขายังคงมุ่งหน้าเดินกันไปต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อะแฮ่ม เด็กน้อยทั้งหลาย ข้าก็ไม่อยากจะขัดจังหวะการสนทนาของพวกเจ้าหรอกนะ แต่ตอนนี้มี ‘สหาย’ กลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งตรงมาหาเรา ข้าคิดว่าพวกเรากำลังจะได้สนุกกันแล้วล่ะ”

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างบทสนทนาอันแสนเพลิดเพลินนั้น พวกเขาก็ก้าวเข้าสู่เขตแดนของป่าแสงจันทร์อย่างไม่รู้ตัว ทว่ายังไม่ทันมุ่งหน้าไปได้ไกลนักเสียงเตือนของหลัวเจี๋ยก็ดังขึ้น

ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ ขยับตัวเตรียมพร้อมในทันที ทุกคนไม่กล้าประมาท ตอนนี้หัวใจของพวกเขาเต้นรัวจนรู้สึกได้ คนทั้งหมดมองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังขึ้น ฝูงหมาป่ากลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งตรงเข้าใส่พวกเขา

“สวรรค์ พวกมันคือฝูงหมาป่าสายลม”

นี่เป็นการผจญภัยครั้งแรกของสาวน้อยฉีฉี การที่ได้เห็นฝูงหมาป่าวิ่งเข้าใส่แบบนี้จึงทำให้นางตื่นเต้นและประหม่าจนอุทานออกมาเสียงดังอย่างช่วยไม่ได้

“พวกเด็กๆ ที่ข้าพาพวกเจ้าออกมาในครั้งนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้ประสบการณ์ และข้าก็อยากจะให้พวกเจ้าได้ออกแรงด้วยตัวเอง ถึงแม้ฝูงหมาป่าพวกนั้นจะค่อนข้างใหญ่ แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ไม่ได้สูงมากนัก ฉะนั้นครั้งนี้ข้าจะไม่ช่วย พวกเจ้าจงรับมือกับพวกมันด้วยตัวเอง ตั้งใจให้ดี อย่าได้ประมาท!”

กล่าวจบหลัวเจี๋ยก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ

“กริชเล่มนี้ถูกตีขึ้นมาโดยช่างหลอมอาวุธชื่อดังของนครไป๋อวิ๋น ชื่อของมันคือกริชน้ำแข็ง ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าครั้งนี้ใครจะสามารถสังหารหมาป่าสายลมได้มากที่สุด กริชเล่มนี้คือรางวัลสำหรับผู้ชนะ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะกริชน้ำแข็งเล่มนี้จะตกเป็นของคนผู้นั้นในทันที”

หลัวเจี๋ยล้วงเอากริชเล่มหนึ่งที่มีใบมีดเปล่งประกายระยิบระยับงดงามออกมาจากแหวนมิติ จากนั้นผู้ฝึกกายาก็ตวัดมันเข้าใส่แผ่นเหล็กอีกแผ่นที่เขานำออกมาพร้อมๆ กันต่อหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ

กริชน้ำแข็งสามารถตัดเหล็กให้ขาดได้อย่างง่ายดายราวกับตัดเต้าหู้ ภาพนั้นทำให้ดวงตาของฉีอวี้และหลงเฟิงเป็นประกายขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

“กริชน้ำแข็งของลุงหลัวเจี๋ยเล่มนี้ถือเป็นสมบัติล้ำค่า ข้าเคยขอเขาหลายครั้งแล้วแต่ก็ถูกปฏิเสธตลอด ไม่คิดเลยว่าเขาจะนำมันออกมาเป็นรางวัลในครั้งนี้”

ฉีอวี้กล่าวขึ้นพร้อมกับจ้องมองกริชในมือหลั่วเจี๋ยตาไม่กะพริบ เขาสนใจกริชเล่มนี้เป็นอย่างมาก

ฉินอวี้โม่เองก็มองกริชน้ำแข็งอย่างพิจารณา มันเป็นกริชที่งดงามมากจริงๆ นางเองก็รู้สึกชอบมันเช่นกัน

ในตอนนี้ตัวนางก็ยังไม่มีอาวุธที่เหมาะสม ที่ผ่านมานางใช้เพียงกริชธรรมดาๆ รวมเข้ากับทักษะการต่อสู้ที่มีติดกายเท่านั้น หากได้อาวุธดีๆ ก็น่าจะช่วยให้นางพัฒนาฝีมือได้มาก ดังนั้นกริชเล่มนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนาง

เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายและสีหน้ามุ่งมั่นของเด็กๆ ทุกคน หลัวเจี๋ยก็พยักหน้าด้วยความพอใจ

Options

not work with dark mode
Reset