คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 410 แตกหัก

ทั่วบริเวณสวนตกอยู่ท่ามกลางความเงียบอีกครา วาจาไม่ไว้หน้าผู้ใดของฉินอวี้โม่ทำให้ทุกคนพูดไม่ออกอย่างแท้จริง พวกเขาไม่อาจสรรหาคำพูดใดมาเพื่อโน้มน้าวใจให้นางยอมช่วยสยบอสูรมายาให้กับเมืองเพลิงมายาได้เลย

“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ท่านพูดถูก แน่นอนว่าการที่ท่านพักอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา อย่าเพิ่งขุ่นเคืองใจไปเลย ถึงอย่างไรแล้วทุกคนก็เพียงกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่มีใครที่จะบังคับท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ได้”

ใบหน้าของฉินส่าวชิงบิดเบี้ยวเล็กน้อยทว่าเขาปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมยิ้มเล็กน้อย

ทว่าขณะมองไปที่ฉินอวี้โม่ ฉินส่าวชิงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำจนบรรดาชาวเมืองเพลิงมายาคิดว่าทัศนคติของฉินอวี้โม่นั้นเย่อหยิ่งและเริ่มพากันไม่พอใจนาง

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉิน ข้าว่านี่เป็นความคิดที่อยู่ในใจท่านต่างหาก”

ฉินอวี้โม่ไม่ไว้หน้าฉินส่าวชิงแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย นางก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าวถากถาง

“เจ้าเมืองฉินคิดว่าข้ามองไม่ออกงั้นรึ? ท่านต้องการให้คนมากมายเหล่านี้กดดันเพื่อที่ข้าจะได้อยู่ต่อที่จวนเจ้าเมืองและช่วยเมืองเพลิงมายาสยบอสูรมายา”

เมื่อไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป ฉินอวี้โม่ก็ยืนขึ้นและกล่าวอย่างตรงไปตรง

“เพียงแต่ว่า.. เจ้าเมืองฉิน หากท่านไม่ได้พาคนบุกรุกไปที่ชนเผ่าเมฆาครามก่อนหน้านี้และคิดที่จะจับตัวข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าก็อาจช่วยเมืองเพลิงมายาสยบอสูรอย่างไม่ลังเล ถึงอย่างไรข้าก็พักอยู่ในชนเผ่าเมฆาคราม การทำหน้าที่คนของเมืองเพลิงมายามิใช่ปัญหาหรอก อย่างไรก็ตาม หากข้าช่วยคนในเมืองนี้สยบอสูรมายาและเจ้าเมืองฉินฆ่าลาเมื่องานเสร็จ มันก็คงไม่ดีต่อข้าและชนเผ่าเมฆาคราม เพราะฉะนั้นเจ้าเมืองฉิน บอกเหตุผลมาสักข้อเถอะว่าเหตุใดข้าจึงต้องช่วยท่านสยบอสูรมายา?”

* 卸磨杀驴 ฆ่าลาเมื่องานเสร็จ ตรงกับคำภาษาไทยว่า เสร็จงานฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล หมายถึง กำจัดคนที่ช่วยเมื่องานลุล่วง , ถูกกำจัดออกเมื่อหมดผลประโยชน์

ภายในไม่กี่ประโยค ฉินอวี้โม่ก็ได้กล่าวถึงความบาดหมางที่ฉินส่าวชิงมีต่อนางและชนเผ่าเมฆาครามอย่างเปิดเผย แม้ว่าหลายคนในที่นี้ไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอย่างแน่ชัด พวกเขาก็ทราบความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเมืองฉินและชนเผ่าเมฆาครามเป็นอย่างดี  เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงไม่แปลกใจเมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่

หลังจากไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยิน ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉินอวี้โม่จึงแสดงทัศนคติเช่นนี้ออกมา

ในชั่วขณะหนึ่ง หลายคนที่ไม่ทราบความจริงทั้งหมดก็เริ่มมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาความเข้าใจ พวกเขาสลัดความเป็นปฏิปักษ์ก่อนหน้านี้และแทนที่ด้วยความชื่นชม

หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็คงจะโหดเหี้ยมมากยิ่งกว่าฉินอวี้โม่เสียอีก

สีหน้าของฉินส่าวชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาตรงไปตรงมาของฉินอวี้โม่เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

เดิมทีเขาคิดว่าฉินอวี้โม่คงจะเกรงใจเขาสักนิดและไม่กล้าฉีกหน้าเขาต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้นางจะไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย

การเอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ลังเลแสดงให้เห็นแล้วว่าฉินอวี้โม่ไม่สะทกสะท้านหรือหวาดหวั่นต่ออำนาจของเขา

“ทุกๆท่าน หากผู้ใดต้องการให้ข้าช่วยสยบอสูรมายา มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่พวกท่านไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับจวนเจ้าเมืองและชนเผ่าเพลิงคำราม ท่านก็สามารถจับอสูรมายามาที่ชนเผ่าเมฆาครามได้เลย เมื่อถึงตอนนั้นข้ายินดีที่จะช่วยสยบมันให้ อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำอสูรมายาระดับต่ำมาให้ข้าสยบเอง”

ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองทุกคนและทราบดีว่ายังมีอีกหลายกลุ่มหลายขุมกำลังที่ไม่ชอบหน้าเจ้าเมืองฉินและชนเผ่าเพลิงคำราม นางไม่มีทางพลาดโอกาสซื้อใจขุมกำลังเล็กๆทั้งหลายนี้ ดังนั้นนางจึงประกาศออกไปอย่างเปิดเผยเช่นนี้

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของบรรดาผู้นำหลายขุมกำลังก็แสดงถึงความสุขออกมาทันที

พวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ได้อย่างไร? หากมีโอกาสติดต่อหรือข้องเกี่ยวกับผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ สำหรับพวกเขามันก็เป็นผลประโยชน์ยิ่งใหญ่และไม่มีสิ่งใดเสียหาย

สำหรับจวนเจ้าเมืองและชนเผ่าเพลิงคำรามนั้น แม้ว่าพวกเขาจะแอบหวาดหวั่นอยู่บ้าง ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ถึงขั้นที่จะเกรงกลัว

หลายคนตัดสินใจในทันทีว่าหลังจากกลับไปจากที่นี่ พวกเขาจะไปที่ชนเผ่าเมฆาครามเพื่อเยี่ยมเยือนและพบปะกับฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน

“ฮ่าๆๆ ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ เมื่อครู่นี้พวกเราอาจจะพูดจารุนแรงเกินไป เราไม่ทราบเรื่องความบาดหมางของท่านมาก่อน เราจึงอาจพูดจาในสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ท่านอย่าถือสาเลย”

บุรุษคนหนึ่งคิดไตร่ตรองและไม่อยากมีเรื่องขุ่นเคืองใจกับฉินอวี้โม่ ถึงอย่างไรแล้วหลังจากตัวตนของนางแพร่งพรายออกไป เกรงว่าฉินเหยียนอาจจะเดินทางมาพบนางด้วยตัวเอง เมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าเรื่องบาดหมางใดๆก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

“ถูกต้อง ข้าคิดว่าจะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างระหว่างท่านจอมยุทธ์อวี้โม่และเจ้าเมืองฉินมาก่อน นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเหล่านั้น วันนี้คงจะดีหากท่านและเจ้าเมืองฉินสะสางปัญหาและปรับความเข้าใจกับเรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมด”

อีกคนเห็นด้วยและกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความดุดันเหมือนก่อนหน้านี้และมีเพียงความสุภาพนอบน้อม

“เจ้าเมืองฉินรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่ และจุดประสงค์ที่เชิญพวกข้ามาที่จวนเจ้าเมืองในวันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้ว หากไม่มีเรื่องอะไรแล้วพวกเราคงต้องขอตัวก่อน”

ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบาๆและไม่อยากสนใจพวกเขาเหล่านี้อีกต่อไป จากนั้นนางก็ออกเดินตรงไปนอกประตูอย่างไม่รีรอ

ซูวั่งชวนและคนอื่นๆไม่รอช้าและลุกตามไปทันที หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะสุภาพกับฉินส่าวชิงอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ก่อนไปถึงประตู ผู้อาวุโสหลายคนของจวนเจ้าเมืองก็ปรี่เข้ามาขวางหน้าฉินอวี้โม่ไว้

“อะไรกัน? เจ้าเมืองฉินต้องการที่จะบีบบังคับให้ข้าอยู่ต่องั้นรึ?”

ฉินอวี้โม่มองบรรดาผู้อาวุโสตรงหน้าอย่างไร้ซึ่งความหวาดหวั่นใดๆ

ฉินส่าวชิงไม่สงวนท่าทีอีกต่อไปขณะกล่าวพร้อมสีหน้าที่เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ “ข้าเพียงอยากให้ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่อยู่ที่จวนเจ้าเมืองต่ออีกสักหน่อย ถึงอย่างไรเมื่อตัวตนของท่านแพร่งพรายออกไปข้างนอก ข้าก็ไม่อยากให้ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ไปผูกมิตรกับเมืองอื่นและกลายเป็นศัตรูกับเมืองเพลิงมายาของเรา”

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉินคิดว่าพวกเขาเหล่านี้จะหยุดข้าได้งั้นรึ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเย็นชาอย่างไม่แยแส ทันใดนั้นพลังมหาศาลก็ก่อตัวรอบร่างกายของนางและเพลิงรุนแรงปะทุจากปลายนิ้วมือ

“ในเมื่อเจ้าเมืองฉินต้องการจะหยุดข้า ข้าก็มีของขวัญชิ้นพิเศษที่จะมอบให้”

พร้อมด้วยรอยยิ้มมุมปากบางๆและการสะบัดปลายนิ้วมือเล็กน้อย ท้องฟ้าเหนือจวนเจ้าเมืองก็ปกคลุมไปด้วยเพลิงโหมกระหน่ำทันที

“สามพันเพลิงคำราม!”

เสียงเบาๆดังขึ้นมาจากริมฝีปากของฉินอวี้โม่ จากนั้นนางและคนอื่นๆก็หายวับไปจากลานสวนทันที

คนอื่นๆก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลจากเพลิงที่อยู่บนอากาศและใบหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวอย่างยิ่ง

ทุกคนไม่รอช้าและหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็วเพราะทราบดีว่าหากเพลิงนั้นสัมผัสเข้ากับร่างกาย พวกเขาไม่มีทางเผชิญกับจุดจบที่ดีแน่

“บัดซบ!”

สีหน้าของฉินส่าวชิงเปลี่ยนไปและร่างของเขาปรากฏกลางอากาศพร้อมด้วยพลังมหาศาลก่อตัวขึ้นในมือและพยายามต้านทานเพลิงเหล่านั้นไว้

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะสัมผัสมัน เขาก็มองเห็นเพลิงก่อตัวเป็นภาพอสรพิษขนาดเล็กจำนวนมากก่อนพุ่งลงจากท้องฟ้าและครอบไปทั่วจวนเจ้าเมือง

อึดใจต่อมา จวนเจ้าเมืองก็ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงและเปลี่ยนกลายเป็นคบเพลิงขนาดยักษ์ที่ดูน่าตื่นตา

“อวี้โม่ ชนเผ่าเมฆาคราม ความอัปยศอดสูในวันนี้ ข้าจะทำให้พวกเจ้าชดใช้ด้วยชีวิต!”

ฉินส่าวชิงตะโกนกร้าวเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณและเขาถอยออกไปอย่างรวดเร็ว พลังจากเพลิงโหมกระหน่ำนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไปจนแม้แต่เขาก็ยังสั่นสะท้าน

“สวรรค์ ช่างเป็นเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก”

ใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจวนเจ้าเมืองอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ เขาตกตะลึงกับพลังของฉินอวี้โม่เป็นอย่างยิ่ง

“ไม่คิดเลยว่าจอมยุทธ์อวี้โม่จะไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเท่านั้น พลังของนางก็สะพรึงกลัวอย่างยิ่งเช่นกัน อีกอย่างดูเหมือนว่านางก็ยังมีอายุน้อย นี่มันสัตว์ประหลาดในหมู่มวลมนุษย์ชัดๆ!”

อีกคนอดถอนหายใจไม่ได้เช่นกันและกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความชื่นชมอย่างไม่ปกปิด

“ความองอาจกล้าหาญของจอมยุทธ์อวี้โม่คือสิ่งที่น่าชื่นชมที่สุด ฉินส่าวชิงผู้นี้คุ้นชินกับการใช้อำนาจอย่างเผด็จการมานานและยโสโอหังอย่างมาก ทว่าจอมยุทธ์อวี้โม่กลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด นางสั่งสอนบทเรียนครั้งใหญ่ให้กับเขาและทำลายจวนเจ้าเมืองไปโดยตรง ข้าอยากเห็นนักว่าในอนาคตเขาจะหยิ่งยโสได้อีกหรือไม่”

“เจ้าคิดว่าฉินส่าวชิงจะอาฆาตแค้นและนำกำลังคนไปโจมตีชนเผ่าเมฆาครามรึไม่?”

“ไม่ต้องห่วง เขาไม่ใช่คนเขลา ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความแข็งแกร่งของชนเผ่าเมฆาครามในตอนนี้ ข้าเชื่อว่าฉินส่าวชิงจะต้องชั่งใจและไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน”

………..

ที่นั่นยังคงมีการหารือกันอย่างต่อเนื่อง ทว่าในอีกฝั่งหนึ่ง ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้วและกำลังมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของชนเผ่าเมฆาคราม

“อวี้โม่ เมื่อครู่นี้เจ้าเจ๋งสุดๆไปเลย!”

ซูน่ายกนิ้วให้ฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวด้วยความตื่นเต้น นางเรียนรู้คำนี้และความหมายของมันมาจากหานอวี้ ครานี้ซูน่ารู้สึกว่ามีเพียงคำนี้เท่านั้นที่จะอธิบายถึงฉินอวี้โม่ได้อย่างเหมาะสมที่สุด

“ยโสโอหังเกินไป ข้าคิดว่าครานี้ฉินส่าวชิงนั่นคงรู้สึกเจ็บปวดจนถึงขั้นกระอักเลือดเป็นแน่”

จูเฟยชวี่อดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ เมื่อได้เห็นอานุภาพของสามพันเพลิงคำราม เขาก็พาคนของตนเองวิ่งออกไปในอีกทิศทางหนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อได้รับข้อความจากฉินอวี้โม่ผ่านทางกระแสจิต เขาก็เข้ามารวมตัวกับทุกคนในคฤหาสน์เฟิงหัวนี้

“ใช่แล้ว เขาวางตนและกดขี่ข่มเหงผู้อื่นมาโดยตลอด คาดการณ์ได้ว่าเขาคงจะไม่เคยรู้สึกอับอายเช่นนี้ ครานี้อวี้โม่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

ซูวั่งชวนยิ้มและกล่าวด้วยความชื่นชมต่อฉินอวี้โม่เช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าเมฆาคราม ฉินอวี้โม่ หรือแม้แต่ชนเผ่าวิหคโบยบิน พวกเขาก็ไม่กังวลเกี่ยวกับการล้างแค้นของฉินส่าวชิงเลยสักนิด

ต่อให้ฉินส่าวชิงจะต้องการล้างแค้น เขาก็คงจะไม่กล้าทำอะไรไปอีกสักพักใหญ่ๆ เวลานี้ซากปรักหักพังปลอมของพวกเขาใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นก่อนที่ฉินส่าวชิงจะได้จัดการกับพวกเขา เกรงว่าเขาคงกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว

“ข้าเชื่อว่าในอีกไม่นานจะต้องมีคนมาเยี่ยมเยียนชนเผ่าเมฆาครามเป็นจำนวนมากแน่”

“อวี้โม่ ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ อย่าหักโหมตนเองจนเกินไป หากมีอะไรก็ปล่อยให้ผู้นำซูและคนอื่นๆจัดการ เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก”

หลังจากกล่าวกับฉินอวี้โม่จบ จูเฟยชวี่ก็นึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเด็กในครรภ์ของนางเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจทราบได้ว่าเด็กคนนั้นจะสืบทอดกายเทพมายาของนางและกลายเป็นเทพมายาคนต่อไปหรือไม่

“ข้าจะพยายามรักษาตัวและดูแลตนเอง คนเหล่านั้นน่าจะเข้ามาเยี่ยมเยือนและทักทายเท่านั้น ในเวลาสั้นๆ คงจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะเรียกร้องให้ข้าสยบอสูรมายาให้”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพลางคิดว่าคงจะไม่มีใครที่จับอสูรมายามาให้นางสยบในช่วงนี้

“อีกอย่าง ท่านลุงจู ท่านลุงซู ข้ามีบางอย่างที่ต้องการจะขอความช่วยเหลือจากพวกท่าน”

เมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความต้องการอย่างจริงจังของฉินอวี้โม่ ชื่อเรียกของจูเฟยชวี่และซูชิงได้เปลี่ยนกลายเป็น ‘ท่านลุง’

“มีอะไรก็ว่ามาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ”

จูเฟยชวี่และซูชิงมองหน้ากันก่อนบอกให้ฉินอวี้โม่เอ่ยออกมาโดยไม่ต้องเกรงใจ

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 410 แตกหัก

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 410 แตกหัก

ทั่วบริเวณสวนตกอยู่ท่ามกลางความเงียบอีกครา วาจาไม่ไว้หน้าผู้ใดของฉินอวี้โม่ทำให้ทุกคนพูดไม่ออกอย่างแท้จริง พวกเขาไม่อาจสรรหาคำพูดใดมาเพื่อโน้มน้าวใจให้นางยอมช่วยสยบอสูรมายาให้กับเมืองเพลิงมายาได้เลย

“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ท่านพูดถูก แน่นอนว่าการที่ท่านพักอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา อย่าเพิ่งขุ่นเคืองใจไปเลย ถึงอย่างไรแล้วทุกคนก็เพียงกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่มีใครที่จะบังคับท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ได้”

ใบหน้าของฉินส่าวชิงบิดเบี้ยวเล็กน้อยทว่าเขาปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมยิ้มเล็กน้อย

ทว่าขณะมองไปที่ฉินอวี้โม่ ฉินส่าวชิงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำจนบรรดาชาวเมืองเพลิงมายาคิดว่าทัศนคติของฉินอวี้โม่นั้นเย่อหยิ่งและเริ่มพากันไม่พอใจนาง

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉิน ข้าว่านี่เป็นความคิดที่อยู่ในใจท่านต่างหาก”

ฉินอวี้โม่ไม่ไว้หน้าฉินส่าวชิงแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย นางก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าวถากถาง

“เจ้าเมืองฉินคิดว่าข้ามองไม่ออกงั้นรึ? ท่านต้องการให้คนมากมายเหล่านี้กดดันเพื่อที่ข้าจะได้อยู่ต่อที่จวนเจ้าเมืองและช่วยเมืองเพลิงมายาสยบอสูรมายา”

เมื่อไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป ฉินอวี้โม่ก็ยืนขึ้นและกล่าวอย่างตรงไปตรง

“เพียงแต่ว่า.. เจ้าเมืองฉิน หากท่านไม่ได้พาคนบุกรุกไปที่ชนเผ่าเมฆาครามก่อนหน้านี้และคิดที่จะจับตัวข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าก็อาจช่วยเมืองเพลิงมายาสยบอสูรอย่างไม่ลังเล ถึงอย่างไรข้าก็พักอยู่ในชนเผ่าเมฆาคราม การทำหน้าที่คนของเมืองเพลิงมายามิใช่ปัญหาหรอก อย่างไรก็ตาม หากข้าช่วยคนในเมืองนี้สยบอสูรมายาและเจ้าเมืองฉินฆ่าลาเมื่องานเสร็จ มันก็คงไม่ดีต่อข้าและชนเผ่าเมฆาคราม เพราะฉะนั้นเจ้าเมืองฉิน บอกเหตุผลมาสักข้อเถอะว่าเหตุใดข้าจึงต้องช่วยท่านสยบอสูรมายา?”

* 卸磨杀驴 ฆ่าลาเมื่องานเสร็จ ตรงกับคำภาษาไทยว่า เสร็จงานฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล หมายถึง กำจัดคนที่ช่วยเมื่องานลุล่วง , ถูกกำจัดออกเมื่อหมดผลประโยชน์

ภายในไม่กี่ประโยค ฉินอวี้โม่ก็ได้กล่าวถึงความบาดหมางที่ฉินส่าวชิงมีต่อนางและชนเผ่าเมฆาครามอย่างเปิดเผย แม้ว่าหลายคนในที่นี้ไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอย่างแน่ชัด พวกเขาก็ทราบความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเมืองฉินและชนเผ่าเมฆาครามเป็นอย่างดี  เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงไม่แปลกใจเมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่

หลังจากไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยิน ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉินอวี้โม่จึงแสดงทัศนคติเช่นนี้ออกมา

ในชั่วขณะหนึ่ง หลายคนที่ไม่ทราบความจริงทั้งหมดก็เริ่มมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาความเข้าใจ พวกเขาสลัดความเป็นปฏิปักษ์ก่อนหน้านี้และแทนที่ด้วยความชื่นชม

หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็คงจะโหดเหี้ยมมากยิ่งกว่าฉินอวี้โม่เสียอีก

สีหน้าของฉินส่าวชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาตรงไปตรงมาของฉินอวี้โม่เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

เดิมทีเขาคิดว่าฉินอวี้โม่คงจะเกรงใจเขาสักนิดและไม่กล้าฉีกหน้าเขาต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้นางจะไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย

การเอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ลังเลแสดงให้เห็นแล้วว่าฉินอวี้โม่ไม่สะทกสะท้านหรือหวาดหวั่นต่ออำนาจของเขา

“ทุกๆท่าน หากผู้ใดต้องการให้ข้าช่วยสยบอสูรมายา มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่พวกท่านไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับจวนเจ้าเมืองและชนเผ่าเพลิงคำราม ท่านก็สามารถจับอสูรมายามาที่ชนเผ่าเมฆาครามได้เลย เมื่อถึงตอนนั้นข้ายินดีที่จะช่วยสยบมันให้ อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำอสูรมายาระดับต่ำมาให้ข้าสยบเอง”

ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองทุกคนและทราบดีว่ายังมีอีกหลายกลุ่มหลายขุมกำลังที่ไม่ชอบหน้าเจ้าเมืองฉินและชนเผ่าเพลิงคำราม นางไม่มีทางพลาดโอกาสซื้อใจขุมกำลังเล็กๆทั้งหลายนี้ ดังนั้นนางจึงประกาศออกไปอย่างเปิดเผยเช่นนี้

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของบรรดาผู้นำหลายขุมกำลังก็แสดงถึงความสุขออกมาทันที

พวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ได้อย่างไร? หากมีโอกาสติดต่อหรือข้องเกี่ยวกับผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ สำหรับพวกเขามันก็เป็นผลประโยชน์ยิ่งใหญ่และไม่มีสิ่งใดเสียหาย

สำหรับจวนเจ้าเมืองและชนเผ่าเพลิงคำรามนั้น แม้ว่าพวกเขาจะแอบหวาดหวั่นอยู่บ้าง ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ถึงขั้นที่จะเกรงกลัว

หลายคนตัดสินใจในทันทีว่าหลังจากกลับไปจากที่นี่ พวกเขาจะไปที่ชนเผ่าเมฆาครามเพื่อเยี่ยมเยือนและพบปะกับฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน

“ฮ่าๆๆ ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ เมื่อครู่นี้พวกเราอาจจะพูดจารุนแรงเกินไป เราไม่ทราบเรื่องความบาดหมางของท่านมาก่อน เราจึงอาจพูดจาในสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ท่านอย่าถือสาเลย”

บุรุษคนหนึ่งคิดไตร่ตรองและไม่อยากมีเรื่องขุ่นเคืองใจกับฉินอวี้โม่ ถึงอย่างไรแล้วหลังจากตัวตนของนางแพร่งพรายออกไป เกรงว่าฉินเหยียนอาจจะเดินทางมาพบนางด้วยตัวเอง เมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าเรื่องบาดหมางใดๆก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

“ถูกต้อง ข้าคิดว่าจะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างระหว่างท่านจอมยุทธ์อวี้โม่และเจ้าเมืองฉินมาก่อน นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเหล่านั้น วันนี้คงจะดีหากท่านและเจ้าเมืองฉินสะสางปัญหาและปรับความเข้าใจกับเรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมด”

อีกคนเห็นด้วยและกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความดุดันเหมือนก่อนหน้านี้และมีเพียงความสุภาพนอบน้อม

“เจ้าเมืองฉินรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่ และจุดประสงค์ที่เชิญพวกข้ามาที่จวนเจ้าเมืองในวันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้ว หากไม่มีเรื่องอะไรแล้วพวกเราคงต้องขอตัวก่อน”

ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบาๆและไม่อยากสนใจพวกเขาเหล่านี้อีกต่อไป จากนั้นนางก็ออกเดินตรงไปนอกประตูอย่างไม่รีรอ

ซูวั่งชวนและคนอื่นๆไม่รอช้าและลุกตามไปทันที หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะสุภาพกับฉินส่าวชิงอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ก่อนไปถึงประตู ผู้อาวุโสหลายคนของจวนเจ้าเมืองก็ปรี่เข้ามาขวางหน้าฉินอวี้โม่ไว้

“อะไรกัน? เจ้าเมืองฉินต้องการที่จะบีบบังคับให้ข้าอยู่ต่องั้นรึ?”

ฉินอวี้โม่มองบรรดาผู้อาวุโสตรงหน้าอย่างไร้ซึ่งความหวาดหวั่นใดๆ

ฉินส่าวชิงไม่สงวนท่าทีอีกต่อไปขณะกล่าวพร้อมสีหน้าที่เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ “ข้าเพียงอยากให้ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่อยู่ที่จวนเจ้าเมืองต่ออีกสักหน่อย ถึงอย่างไรเมื่อตัวตนของท่านแพร่งพรายออกไปข้างนอก ข้าก็ไม่อยากให้ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ไปผูกมิตรกับเมืองอื่นและกลายเป็นศัตรูกับเมืองเพลิงมายาของเรา”

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉินคิดว่าพวกเขาเหล่านี้จะหยุดข้าได้งั้นรึ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเย็นชาอย่างไม่แยแส ทันใดนั้นพลังมหาศาลก็ก่อตัวรอบร่างกายของนางและเพลิงรุนแรงปะทุจากปลายนิ้วมือ

“ในเมื่อเจ้าเมืองฉินต้องการจะหยุดข้า ข้าก็มีของขวัญชิ้นพิเศษที่จะมอบให้”

พร้อมด้วยรอยยิ้มมุมปากบางๆและการสะบัดปลายนิ้วมือเล็กน้อย ท้องฟ้าเหนือจวนเจ้าเมืองก็ปกคลุมไปด้วยเพลิงโหมกระหน่ำทันที

“สามพันเพลิงคำราม!”

เสียงเบาๆดังขึ้นมาจากริมฝีปากของฉินอวี้โม่ จากนั้นนางและคนอื่นๆก็หายวับไปจากลานสวนทันที

คนอื่นๆก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลจากเพลิงที่อยู่บนอากาศและใบหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวอย่างยิ่ง

ทุกคนไม่รอช้าและหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็วเพราะทราบดีว่าหากเพลิงนั้นสัมผัสเข้ากับร่างกาย พวกเขาไม่มีทางเผชิญกับจุดจบที่ดีแน่

“บัดซบ!”

สีหน้าของฉินส่าวชิงเปลี่ยนไปและร่างของเขาปรากฏกลางอากาศพร้อมด้วยพลังมหาศาลก่อตัวขึ้นในมือและพยายามต้านทานเพลิงเหล่านั้นไว้

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะสัมผัสมัน เขาก็มองเห็นเพลิงก่อตัวเป็นภาพอสรพิษขนาดเล็กจำนวนมากก่อนพุ่งลงจากท้องฟ้าและครอบไปทั่วจวนเจ้าเมือง

อึดใจต่อมา จวนเจ้าเมืองก็ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงและเปลี่ยนกลายเป็นคบเพลิงขนาดยักษ์ที่ดูน่าตื่นตา

“อวี้โม่ ชนเผ่าเมฆาคราม ความอัปยศอดสูในวันนี้ ข้าจะทำให้พวกเจ้าชดใช้ด้วยชีวิต!”

ฉินส่าวชิงตะโกนกร้าวเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณและเขาถอยออกไปอย่างรวดเร็ว พลังจากเพลิงโหมกระหน่ำนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไปจนแม้แต่เขาก็ยังสั่นสะท้าน

“สวรรค์ ช่างเป็นเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก”

ใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจวนเจ้าเมืองอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ เขาตกตะลึงกับพลังของฉินอวี้โม่เป็นอย่างยิ่ง

“ไม่คิดเลยว่าจอมยุทธ์อวี้โม่จะไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเท่านั้น พลังของนางก็สะพรึงกลัวอย่างยิ่งเช่นกัน อีกอย่างดูเหมือนว่านางก็ยังมีอายุน้อย นี่มันสัตว์ประหลาดในหมู่มวลมนุษย์ชัดๆ!”

อีกคนอดถอนหายใจไม่ได้เช่นกันและกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความชื่นชมอย่างไม่ปกปิด

“ความองอาจกล้าหาญของจอมยุทธ์อวี้โม่คือสิ่งที่น่าชื่นชมที่สุด ฉินส่าวชิงผู้นี้คุ้นชินกับการใช้อำนาจอย่างเผด็จการมานานและยโสโอหังอย่างมาก ทว่าจอมยุทธ์อวี้โม่กลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด นางสั่งสอนบทเรียนครั้งใหญ่ให้กับเขาและทำลายจวนเจ้าเมืองไปโดยตรง ข้าอยากเห็นนักว่าในอนาคตเขาจะหยิ่งยโสได้อีกหรือไม่”

“เจ้าคิดว่าฉินส่าวชิงจะอาฆาตแค้นและนำกำลังคนไปโจมตีชนเผ่าเมฆาครามรึไม่?”

“ไม่ต้องห่วง เขาไม่ใช่คนเขลา ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความแข็งแกร่งของชนเผ่าเมฆาครามในตอนนี้ ข้าเชื่อว่าฉินส่าวชิงจะต้องชั่งใจและไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน”

………..

ที่นั่นยังคงมีการหารือกันอย่างต่อเนื่อง ทว่าในอีกฝั่งหนึ่ง ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้วและกำลังมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของชนเผ่าเมฆาคราม

“อวี้โม่ เมื่อครู่นี้เจ้าเจ๋งสุดๆไปเลย!”

ซูน่ายกนิ้วให้ฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวด้วยความตื่นเต้น นางเรียนรู้คำนี้และความหมายของมันมาจากหานอวี้ ครานี้ซูน่ารู้สึกว่ามีเพียงคำนี้เท่านั้นที่จะอธิบายถึงฉินอวี้โม่ได้อย่างเหมาะสมที่สุด

“ยโสโอหังเกินไป ข้าคิดว่าครานี้ฉินส่าวชิงนั่นคงรู้สึกเจ็บปวดจนถึงขั้นกระอักเลือดเป็นแน่”

จูเฟยชวี่อดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ เมื่อได้เห็นอานุภาพของสามพันเพลิงคำราม เขาก็พาคนของตนเองวิ่งออกไปในอีกทิศทางหนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อได้รับข้อความจากฉินอวี้โม่ผ่านทางกระแสจิต เขาก็เข้ามารวมตัวกับทุกคนในคฤหาสน์เฟิงหัวนี้

“ใช่แล้ว เขาวางตนและกดขี่ข่มเหงผู้อื่นมาโดยตลอด คาดการณ์ได้ว่าเขาคงจะไม่เคยรู้สึกอับอายเช่นนี้ ครานี้อวี้โม่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

ซูวั่งชวนยิ้มและกล่าวด้วยความชื่นชมต่อฉินอวี้โม่เช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าเมฆาคราม ฉินอวี้โม่ หรือแม้แต่ชนเผ่าวิหคโบยบิน พวกเขาก็ไม่กังวลเกี่ยวกับการล้างแค้นของฉินส่าวชิงเลยสักนิด

ต่อให้ฉินส่าวชิงจะต้องการล้างแค้น เขาก็คงจะไม่กล้าทำอะไรไปอีกสักพักใหญ่ๆ เวลานี้ซากปรักหักพังปลอมของพวกเขาใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นก่อนที่ฉินส่าวชิงจะได้จัดการกับพวกเขา เกรงว่าเขาคงกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว

“ข้าเชื่อว่าในอีกไม่นานจะต้องมีคนมาเยี่ยมเยียนชนเผ่าเมฆาครามเป็นจำนวนมากแน่”

“อวี้โม่ ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ อย่าหักโหมตนเองจนเกินไป หากมีอะไรก็ปล่อยให้ผู้นำซูและคนอื่นๆจัดการ เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก”

หลังจากกล่าวกับฉินอวี้โม่จบ จูเฟยชวี่ก็นึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเด็กในครรภ์ของนางเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจทราบได้ว่าเด็กคนนั้นจะสืบทอดกายเทพมายาของนางและกลายเป็นเทพมายาคนต่อไปหรือไม่

“ข้าจะพยายามรักษาตัวและดูแลตนเอง คนเหล่านั้นน่าจะเข้ามาเยี่ยมเยือนและทักทายเท่านั้น ในเวลาสั้นๆ คงจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะเรียกร้องให้ข้าสยบอสูรมายาให้”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพลางคิดว่าคงจะไม่มีใครที่จับอสูรมายามาให้นางสยบในช่วงนี้

“อีกอย่าง ท่านลุงจู ท่านลุงซู ข้ามีบางอย่างที่ต้องการจะขอความช่วยเหลือจากพวกท่าน”

เมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความต้องการอย่างจริงจังของฉินอวี้โม่ ชื่อเรียกของจูเฟยชวี่และซูชิงได้เปลี่ยนกลายเป็น ‘ท่านลุง’

“มีอะไรก็ว่ามาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ”

จูเฟยชวี่และซูชิงมองหน้ากันก่อนบอกให้ฉินอวี้โม่เอ่ยออกมาโดยไม่ต้องเกรงใจ

.

Options

not work with dark mode
Reset