คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 469 กลุ่มแปดคน

‘ทุ่งหิมะทางเหนือ’ ตั้งอยู่เกือบเหนือสุดของดินแดนเทพมายา เนื่องจากที่แห่งนี้มีอสูรมายาจำนวนมากรวมถึงวัตถุหายากมากมาย มันจึงเป็นที่นิยมสำหรับจอมยุทธ์จากทุกหนแห่ง ไม่ว่าขุมกำลังน้อยใหญ่ของดินแดนเทพมายาต่างก็ชื่นชอบที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าวเพื่อสั่งสมประสบการณ์และไขว่คว้าหาโอกาส

หลังจากฉินอวี้โม่และฉินเฟิงออกจากเมืองเหลียว ทั้งสองก็มิได้รีรอให้เสียเวลาและมุ่งหน้าตรงไปตามทิศทางของทุ่งหิมะทางเหนือทันที

หลังจากเดินเท้าเป็นเวลานานสองก้านธูป ทุ่งหิมะกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏตรงหน้าคนทั้งคู่

เมื่อมองดูทุ่งหิมะขาวโพลนกว้างใหญ่ตรงหน้า จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็นึกย้อนไปถึงตอนที่ตนเข้าไปสำรวจปราสาทของราชินีเหมันต์กับเยว่ชิงเฉิงและคณะเดินทางเมื่อครั้งยังอยู่ในดินแดนหวนหลิง

ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด นางรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างฉายวาบในความคิดอย่างรวดเร็วทว่ามิอาจทำความเข้าใจและจับความหมายของมันได้ทัน

“เฮ้อ~ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นหิมะของจริง”

ฉินเฟิงกล่าวก่อนถอนหายใจเบา ๆ ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลง

แม้ใช้ชีวิตอยู่มาอย่างเนิ่นนาน เขาก็ไม่เคยได้เห็นหิมะของจริงมาก่อน ไม่ว่าตอนอยู่ในชนเผ่ามายาก่อนหน้านี้หรือตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมายา สถานที่ที่เขาอยู่ก็ไม่เคยมีหิมะตกเลยสักครา

บัดนี้เมื่อมองดูทิวทัศน์สีขาวโพลนกว้างใหญ่ไพศาลตรงหน้า เขาก็รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายทันที

เมื่อได้ยินวาจาและเสียงถอนหายใจของฉินเฟิง ฉินอวี้โม่ก็หันไปมองเขาด้วยแววตามีความหมาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความกดดันที่เขาต้องแบกรับนั้นใหญ่หลวงนัก และมันมากยิ่งกว่าแรงกดดันที่นางต้องเผชิญเสียอีก การที่เขาอดทนทุกอย่างและยืนหยัดกับมันอย่างเงียบ ๆ แสดงให้เห็นว่าจิตใจของเขาหนักแน่นและแข็งแกร่งมากเพียงใด

“เราเข้าไปดูกันเถอะ หวังว่าเราจะพบหยกขาวพันปีที่ตามหา คฤหาสน์เฟิงหัวของข้าจะได้พัฒนาขึ้นไปเสียที”

ฉินเฟิงยิ้มบาง ๆ และเริ่มออกเดินมุ่งหน้าไปก่อน ฉินอวี้โม่ก็เดินตามไปอย่างรวดเร็วด้วยความหวังและตั้งตารอสิ่งที่จะเผชิญข้างหน้า

……

ในขณะเดียวกัน ณ หุบเขาแห่งเดิมซึ่งมีดรุณีน้อยงดงามคนเดิมอยู่

“ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคุณหนู”

ก่อนหน้านี้นางกำลังจดจ่อกับการฝึกปรือฝีมือทว่าจู่ ๆ หัวใจก็เต้นตุบตับเป็นจังหวะราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่คุ้นเคย

“ลุงเหอ…”

ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น บุรุษวัยกลางคนก็ปรากฏตัวตรงหน้าสาวน้อยอีกครั้ง

“ข้าต้องการออกไปข้างนอก”

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ไปที่ไหนรึขอรับ ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น บุรุษวัยกลางคนก็แปลกใจเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วและเอ่ยถามออกไปทันที

“ทุ่งหิมะทางเหนือ”

โฉมงามกล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าน้ำเสียงของนางเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นอย่างชัดเจน นางรู้สึกได้ว่า ‘คนผู้นั้น’ ที่นางรักและห่วงหา ผู้ที่นางเฝ้ารอและสืบหาข่าวคราวมาตลอดได้ปรากฏตัวขึ้นมาในดินแดนแห่งนี้แล้ว และนางต้องไปที่นั่นเพื่อเห็นด้วยตาของตัวเอง

“แต่ว่า ตระกูลของเรา…”

บุรุษที่ถูกเรียกว่า ‘ลุงเหอ’ ขมวดคิ้วและรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“ไม่ต้องห่วง ข้าก็แค่ออกไปเดินเล่นสักพัก ข้าจะรีบกลับมาทันทีที่ยืนยันเรื่องบางอย่างได้”

ดรุณีน้อยทราบดีว่าบุรุษตรงหน้ากำลังคิดสิ่งใด นางจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจไม่เปลี่ยนแปลง

“เข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะรีบเตรียมการ”

ลุงเหอพยักศีรษะและตอบตกลงในที่สุด

ร่างของหญิงสาวมุ่งหน้าตรงออกจากหุบเขาอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียงไม่นาน นางก็นำคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายของตระกูลซึ่งนำไปสู่เมืองศูนย์กลางของพรมแดนทางเหนือ—เมืองโม่เป่ย

…………

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เวลานี้นางและศิษย์พี่ฉินเฟิงมุ่งหน้าลึกเข้าไปในทุ่งหิมะทางเหนือแล้ว

ยิ่งมุ่งหน้าลึกเข้าไปในทุ่งหิมะเพียงใดก็มีผู้คนปรากฏให้เห็นเพิ่มมากขึ้นเพียงนั้น ทั้งสองรู้สึกได้ว่าผู้คนข้างในนั้นกำลังตามหาอะไรบางอย่าง

แม้ว่าสภาพอากาศในพื้นที่บริเวณนี้จะถือว่าหนาวเย็นเล็กน้อย ทว่าก็ไม่มีผู้ใดที่หนาวเหน็บจนทนไม่ไหว พวกเขาต่างก็กำลังตามหาของสิ่งนั้นอย่างใจเย็น

“พี่ชาย พวกท่านกำลังหาอะไรกันอยู่รึ ?”

ฉินอวี้โม่แตะแขนของบุรุษคนหนึ่งก่อนเอ่ยถามอย่างสุภาพ นางพอจะเดาได้ว่าคนผู้นี้และคนอื่น ๆ ที่นี่กำลังตามหาหยกขาวพันปี นางเพียงถามเพื่อยืนยันเท่านั้น

บุรุษผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองนางโดยมิได้โกรธเคืองหรือหงุดหงิดใจแต่อย่างใด เขายิ้มให้นางอย่างเป็นมิตรและกล่าว “ข้าได้ข่าวมาว่าหยกขาวพันปีและผลผลึกน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ พวกเราจึงมาเพื่อเสี่ยงโชคด้วยความหวังว่าจะได้ของดีกลับไป”

ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงมองหน้ากันพร้อมพยักศีรษะเบา ๆ อย่างรู้กัน

“พี่ชาย ท่านพอจะบอกเราเกี่ยวกับหยกขาวพันปีที่ว่านี้ได้รึไม่ ?”

แม้ว่าเสี่ยวเอ้อจากโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้บอกมาแล้วเล็กน้อย แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ทราบข้อมูลมากนักและยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ชัดเจน ในเมื่อคนผู้นี้มาตามหาอยู่ที่นี่แล้ว เขาย่อมมีข้อมูลอยู่ไม่มากก็น้อย

“ได้สิ ไม่มีปัญหา”

บุรุษคนนั้นยิ้มและทิ้งตัวนั่งลงบนกองหิมะใกล้ตัว

ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็นั่งลงบนกองหิมะเช่นกันเพื่อรอให้อีกฝ่ายอธิบายข้อมูลโดยรวม

“เมื่อครึ่งเดือนก่อน มีคนจากเทือกเขาหิมะออกหาประสบการณ์ในทุ่งหิมะทางเหนือแห่งนี้ พวกเขาอยากเสี่ยงโชคดูว่าจะได้สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ติดไม้ติดมือกลับไปรึไม่ ทว่าเมื่อมาถึงกลางทุ่งหิมะแห่งนี้ พวกเขากลับพบหยกสีขาวใส ไม่ทราบได้ว่าจะบรรยายลักษณะของหยกชิ้นนั้นอย่างไรทว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดาอย่างแน่นอน คนเหล่านั้นคิดว่าจะต้องเป็นสิ่งของล้ำค่าและต้องการครอบครองมันมา เพียงแต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่ายังไม่ทันเข้าใกล้มันด้วยซ้ำ หยกขาวนั่นก็หายวับไปอย่างน่าประหลาด”

บุรุษผู้นั้นยิ้มและกล่าวโดยไม่ปิดบังขณะอธิบายกับฉินอวี้โม่และฉินเฟิง

“แล้วพวกท่านมั่นใจได้อย่างไรว่ามันคือหยกขาวพันปี ?”

หยกขาวพันปีเป็นวัตถุลึกลับที่ไม่มีข้อมูลใดเปิดเผยต่อคนทั่วไป ฉินอวี้โม่จึงฉงนสงสัยยิ่งนักว่าพวกเขายืนยันได้อย่างไรว่ามันคือของสิ่งนั้นจริง

“ฮ่า ๆ ๆ ง่ายมาก ความแตกต่างระหว่างหยกขาวพันปีและหยกขาวทั่วไปคือหยกขาวพันปีมีพลังมายาและสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้พบกับหยกขาวชิ้นนั้นอีกครั้ง มันกลายเป็นบุรุษหนุ่มที่ยิ้มให้พวกเขาอย่างเย้ยหยันซึ่งมีท่าทีเหมือนจะดูถูกเหยียดหยามพวกเขา นั่นคือวินาทีที่พวกเขาคาดเดาได้ว่ามันน่าจะเป็นหยกขาวพันปีในตำนาน”

เขายังคงเล่าความต่อไปพร้อมรอยยิ้มใจเย็น

บุรุษผู้นี้รู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่และฉินเฟิงไม่น้อย แม้ว่าทั้งสองดูรูปงามพอสมควร ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำให้ผู้คนชื่นชอบและอยากเข้าใกล้

“ขอบคุณพี่ชายมากที่บอกความจริงกับพวกเรา”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวขอบคุณบุรุษแปลกหน้า

“หากพวกท่านทั้งสองสนใจ มาร่วมกลุ่มกับพวกเราสิ ถึงแม้กลุ่มของข้าจะมีเพียงแปดคน พวกเราก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่น้อยหน้าใคร… ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมามีขุมกำลังที่ปรากฏตัวขึ้นมาที่ทุ่งหิมะแห่งนี้และสร้างความวุ่นวายใหญ่โต หากพวกท่านทั้งสองมีกันแค่สองคนเช่นนี้ก็อาจถูกคนเหล่านั้นขับไสไล่ส่งออกไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากพวกเขาฉวยโอกาสรีดไถและปล้นชิงสิ่งของของพวกท่านไป มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่”

เนื่องจากทั้งฉินอวี้โม่และฉินเฟิงซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงของตนเองไว้ อีกฝ่ายจึงมิอาจสัมผัสได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่และฉินเฟิงยังเยาว์วัยนัก เขาจึงคิดไปเองว่าทั้งสองอาจไม่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนออกมา

ฉินอวี้โม่ลอบมองบุรุษตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเก้าซึ่งถือว่าไม่เลวเลย และบรรดาคณะเดินทางของเขาก็มีความแข็งแกร่งอย่างน้อยในขอบเขตเซียนขั้นเจ็ด อีกทั้งยังมีอีกหนึ่งคนที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเก้าเหมือนเขาผู้นี้

กลุ่มของพวกเขามีทั้งหมดรวมแปดคน หกบุรุษและสองสตรี พวกเขาถือเป็นกลุ่มคนที่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ

เมื่อเห็นว่าบุรุษผู้นี้กำลังคุยกับฉินอวี้โม่และฉินเฟิง คนเหล่านั้นก็มองอย่างสงสัยใคร่รู้อยู่ครู่ใหญ่ก่อนหยุดการกระทำของตนเอง

เมื่อเห็นทั้งสองมองไปที่พวกเขาเช่นกัน พวกเขาเหล่านั้นก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรจริงใจ

“ฮ่า ๆ ๆ พี่ชายช่างเมตตาพวกข้ายิ่งนัก เราทั้งสองต้องขอบคุณท่านมาก อย่างไรก็ตาม พลังของเราอยู่ในระดับที่ธรรมดา ๆ เท่านั้น หากเดินทางไปกับพวกท่าน เกรงว่าเราอาจเป็นตัวถ่วงให้พวกท่านต้องเสียเวลาเปล่า ๆ”

แม้ว่ากลุ่มของผู้คนทั้งแปดนี้มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็ไม่คิดที่จะร่วมเดินทางและตามหาหยกขาวพันปีไปกับพวกเขา

เมื่อได้ยินเช่นนั้น บุรุษคนเดิมก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ถ้างั้นเราก็จะไม่บังคับ อย่างไรก็ตาม หากเกิดอะไรขึ้น พวกท่านมาหาเราได้เสมอ ตราบใดที่เราช่วยได้ พวกเราจะไม่ลังเลและช่วยอย่างเต็มที่”

แน่นอนว่าเขาก็รู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และฉินเฟิงจะต้องไม่ธรรมดาแน่ การที่ทั้งสองไม่ตอบตกลงร่วมกลุ่มกับเขานั้น เชื่อว่าทั้งสองคงจะมีเรื่องส่วนตัวต้องจัดการ เขาจึงไม่คิดอะไรมากนัก

เมื่ออีกเจ็ดคนได้ยินคำปฏิเสธอย่างไม่ลังเลของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็มิได้โกรธแค้นหรือไม่พอใจใด ๆ พวกเขายังคงส่งยิ้มให้จนนางรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

ทั้งสองพูดคุยกับคนผู้นั้นและกำลังจะหันหลังจากไป ทว่าจู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินน้ำเสียงยโสทะนงตนดังขึ้นมา

“ที่นี่คืออาณาเขตของพวกเราเทือกเขาหิมะ ใครที่รู้ว่าควรทำอย่างไรจงรีบไสหัวออกไปซะและอย่ากลับมาที่ทุ่งหิมะแห่งนี้อีก มิฉะนั้นอย่าโทษที่พวกเราจะทำตัวหยาบคายกับพวกเจ้า”

ผู้นำกลุ่มคนดังกล่าวคือบุรุษหนุ่มผมชี้ยุ่งเหยิงที่ดูจะไม่สบอารมณ์นัก ข้างหลังเขาคือคนหลายสิบคนที่มีพลังความแข็งแกร่งในขอบเขตเซียน ในบรรดาคนเหล่านี้มีจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้าอยู่สี่ถึงห้าคน และยังมีอีกมากกว่าสิบคนที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตเซียนขั้นเจ็ด แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มของเขาก็มีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสาม

เทือกเขาหิมะคือขุมกำลังระดับสองของดินแดนทางเหนือซึ่งไม่ได้มีขนาดใหญ่หรือมีสมาชิกมากเกินไปนัก ผู้นำของพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนและเขาถือเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งของทั้งดินแดนทางเหนือ เพราะเหตุนั้นขุมกำลังเทือกเขาหิมะจึงกระทำการโอหังมาเสมอ

ในครานี้ ข่าวเรื่องหยกขาวพันปีก็เริ่มต้นมาจากพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาก็หวังว่าจะครอบครองผลประโยชน์นี้มาโดยที่ไม่แบ่งให้กับผู้ใด

เมื่อเห็นกลุ่มคนของเทือกเขาหิมะปรากฏตัว จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดคนด้านข้างก็ปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วและเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องเอ่ย พวกเขาเข้ามาขวางกั้นข้างหน้าฉินอวี้โม่และฉินเฟิงทันที

“เหอะ พวกเจ้าคนของเทือกเขาหิมะช่างยโสโอหังยิ่งนัก ทุ่งหิมะเป็นที่สำหรับทุกคน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาสั่งสมประสบการณ์และไขว่คว้าหาโอกาสที่นี่ มันกลายเป็นอาณาเขตของพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ !?”

บุรุษผู้ที่พูดคุยกับฉินอวี้โม่อยู่ก่อนหน้านี้กล่าวขึ้นก่อน แม้เขาจะขมวดคิ้วเป็นปม ทว่าใบหน้าของเขาก็ไร้ซึ่งความหวาดหวั่นใด ๆ

“เหอะ ผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าด้อยกว่าพวกเรา ไม่ว่าพวกเราจะพูดอะไรเจ้าก็ต้องทำตาม ตอนนี้เจ้ายังมีโอกาสเลือกด้วยตัวเอง จะออกไปดี ๆ หรือจะให้พวกข้าเตะออกไป !?”

ผู้นำกลุ่มของฝ่ายเทือกเขาหิมะแค่นเสียงเย็นชาก่อนกวาดสายตามองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้ารังเกียจเหยียดหยาม

“เหตุใดพวกข้าจะต้องไป ? ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของเทือกเขาหิมะสักหน่อย”

ในบรรดากลุ่มคนทั้งแปด สตรีรูปงามคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าโมโหอย่างที่สุด

แม้ว่าความแข็งแกร่งของฝ่ายนางจะด้อยกว่าศัตรูเล็กน้อย มันก็มิได้หมายความว่าพวกนางจะต้องกลัวเลยสักนิด ‘ฆ่าได้หยามไม่ได้’ นี่คือคติของพวกนางทุกคน

“ไม่คิดเลยว่าจะได้พบโฉมงามที่นี่”

เมื่อได้ยินวาจาของสตรีในกลุ่มคนทั้งแปด ความปรารถนาแรงกล้าก็ฉายวาบในแววตาของผู้นำฝ่ายเทือกเขาหิมะ

“เฮ้ เฮ้ แม่สาวคนงาม เหตุใดเจ้าไม่มาเป็นนางสนมของข้าล่ะ ? ข้าสามารถพิจารณาให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่อได้”

บุรุษคนนั้นกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ วาจาของเขาทำให้สีหน้าของผู้คนทั้งแปดบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด

.

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset