คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 220 คุณนายจงหนาวไปทั้งตัว

พอได้ยินแบบนี้ สายตาของคุณนายจงก็หยุดนิ่ง “คุณฟางหมายความว่าไงคะ”

“ไม่มีอะไรครับ” ฟางจื้อเฉิงยกถ้วยชา พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แค่อยากดูว่าเขามีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า เกิดไปหาเรื่องเข้า แบบนั้นจะไม่ดี”

ฟางรั่วถงเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ถึงแม้อาการจะไม่ได้หนักมาก แต่บางครั้งเลือดจะไหล กระดูกอกกับกระดูกขาเจ็บปวดเรื้อรัง

ฟางจื้อเฉิงตามหาไขกระดูกที่เข้ากับฟางรั่วถงได้มาตลอด

เพียงแต่น่าเสียดาย เขาตามหาที่คลังไขกระดูกทั่วหนิงชวนแล้วก็ยังไม่มีของใครที่เข้ากับฟางรั่วถงได้

ครั้นแล้วเขาจึงจับจ้องไปที่เมืองฮู่เฉิง เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกโล่งอกคือ ทางฮู่เฉิงมีสิบคน

เขามีลูกชายสามคน มีฟางรั่วถงเป็นลูกสาวแค่คนเดียว ย่อมไม่มีทางทนเห็นเธอทุกข์ทรมานได้

ครั้นแล้วเขาจึงติดต่อคุณนายจง เพื่อขอให้เธอช่วยไปหาสิบคนนี้ สุดท้ายค่อยดูว่าไขกระดูกของใครที่เหมาะสมกว่า

ตระกูลฟางเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในหนิงชวน ย่อมเคยมีการติดต่อธุรกิจกับตระกูลจง

เพียงแต่ตอนที่ฟางจื้อเฉิงติดต่อคุณนายจง ยังไม่รู้ว่าเธอได้หย่ากับจงไห่เหยียนและถูกขับไล่ออกจากตระกูลจงแล้ว

แต่หลังจากที่รู้ฟางจื้อเฉิงกลับวางใจ

แต่ไหนแต่ไรมาเขาทำอะไรมีลับลมคมใน ตระกูลฟางกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของหนิงชวนได้ก็ใช่ว่าจะใช้วิธีที่ใสสะอาดอะไร

เนื่องจากเคยไปมาหาสู่กับตระกูลจงหลายครั้ง ฟางจื้อเฉิงจึงรู้ว่าผู้เฒ่าจงกับพวกผู้ถือหุ้นของตระกูลจงทำอะไรตรงไปตรงมา ทนเห็นเรื่องสกปรกไม่ได้มากที่สุด

ดังนั้นเขาถึงได้ไม่ไปหาผู้เฒ่าจง

“เบื้องลึกเบื้องหลังเหรอคะ” ฟังถึงตรงนี้คุณนายจงก็ยิ้ม “คนบ้านนอกที่มาจากอำเภอชิงสุ่ย เมื่อก่อนแม้แต่ข้าวก็ยังกินไม่อิ่ม ยังจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรได้คะ”

ถ้าเวินเฟิงเหมียนมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรจริง ยังจะใช้ชีวิตอยู่ในอำเภอชิงสุ่ยอีกเหรอ

ต่อให้มีจริง ยังจะเหนือไปกว่าตระกูลฟางได้อีกเหรอ

หลังจากที่เธอออกจากตระกูลจงก็ไร้อิทธิพล ลงมือกับอิ๋งจื่อจินและตระกูลเวินไม่ได้

เมื่อไรที่เธอเข้าใกล้แถวคอนโดนั้นก็จะมีบอดี้การ์ดรูปร่างสูงใหญ่ออกมาจับตาดูเธอ

ต่อให้เธอมีวิธีพาเวินทิงหลานกับเวินเฟิงเหมียนออกมาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

ในขณะที่คุณนายจงไม่อยากยอมแพ้ ฟางจื้อเฉิงก็ติดต่อเธอมา

พอดีกับที่เวินทิงหลานเป็นหนึ่งในสิบคนนั้น

คุณนายจงจึงไม่แม้แต่จะดูอีกเก้าคนที่เหลือ พุ่งเป้าไปที่เวินทิงหลานทันที

ใช้นักเรียนชิงจื้อหลอกเวินทิงหลานให้มาที่คิงคลับ

หลอกเวินทิงหลานเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

ถึงแม้เขาจะไอคิวสูง ขี้หวาดระแวง

แต่เนื่องจากหลายปีมานี้เป็นออทิสติกและสภาพจิตใจมีปัญหา ขาดการติดต่อกับโลกภายนอก แค่ใช้แผนนิดหน่อยก็ติดกับแล้ว

ไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิด

ด้วยเหตุนี้คุณนายจงจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ

“งั้นผมก็วางใจแล้วครับ” ฟางจื้อเฉิงพยักหน้า “คุณหยวนรอสักครู่นะครับ พวกเราต้องขอตรวจดูไขกระดูกก่อนว่าใช้ได้หรือเปล่า”

คุณนายจงจิบชาอีกครั้งด้วยท่าทางสง่างาม “เชิญตามสบายค่ะ”

ฟางจื้อเฉิงลุกขึ้น ทิ้งคุณนายฟางให้อยู่เป็นเพื่อนในห้องรับแขก

หลังจากเขาออกไปก็ไปที่ห้องทำงาน

บนหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเวินเฟิงเหมียนที่ลูกน้องของเขาเพิ่งส่งมา

ฟางจื้อเฉิงเชื่อคำพูดของคุณนายจงแค่สิบยี่สิบเปอร์เซ็นต์

เขาเลื่อนเม้าส์เริ่มอ่านเอกสารชุดนี้

ข้อมูลสั้นมาก มีแค่หน้าเดียว

หลังอ่านจบฟางจื้อเฉิงก็ขมวดคิ้ว

ข้อมูลระบุว่า เวินเฟิงเหมียนเติบโตที่อำเภอชิงสุ่ยตั้งแต่เด็ก เกิดปี 1974 ปีนี้อายุสี่สิบหก

ตอนปี 1999 เขาแต่งงานกับผู้หญิงต่างอำเภอและมีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคน

ตอนปี 2004 ทั้งสองคนก็ได้ให้กำเนิดเวินทิงหลานขึ้นมาอีกคน

ในเดือนเดียวกัน ภรรยาของเขาก็พาลูกสาวคนโตหนีไปพร้อมกับทรัพย์สินที่มีค่าทั้งหมดในบ้าน

ข้อมูลหลังจากนั้นบรรยายว่าชีวิตสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ของเวินเฟิงเหมียนลำบากเพียงใด

แต่ฟางจื้อเฉิงกลับสังเกตได้ว่า ในข้อมูลไม่มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนปี 1999 มันดูสะอาดเกินไป

ฟางจื้อเฉิงขมวดคิ้วครุ่นคิดอีกสักพักถึงส่ายหน้าแล้วแสยะยิ้ม

เขาคิดมากเกินไปแล้ว

ถ้าเวินเฟิงเหมียนมีอะไรที่ผิดปกติจริง ยังจะไม่มีเงินรักษาตัวได้เหรอ

ชีวิตคงเรียบง่ายเกินไปจนไม่มีอะไรให้เขียน

ฟางจื้อเฉิงวางใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร “ไปดูทางคุณหนูว่าเป็นไงบ้างแล้ว”

อีกด้านหนึ่ง

นี่เป็นห้องผ่าตัดที่ตระกูลฟางสร้างให้ฟางรั่วถงโดยเฉพาะ ไม่ด้อยไปกว่าโรงพยาบาลระดับสาม

อย่างไรเสียเรื่องบางอย่างพวกเขาก็ทำกันอย่างลับๆ ไปโรงพยาบาลใหญ่ๆ ไม่ได้

ที่นี่มีหมอส่วนตัวดำเนินการตรวจความเข้ากันของไขกระดูก

ปีนี้ฟางรั่วถงอายุสิบเก้าปี เธอพักการเรียนมาหนึ่งปีแล้วเนื่องจากป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ริมฝีปากของเธอทาลิปสติก แต่ก็ยากจะปกปิดใบหน้าที่ซีดเซียว

“นี่มันนานเท่าไรแล้ว นายยังจะคิดอีกเหรอ” ฟางรั่วถงนั่งข้างเด็กหนุ่ม โยนโทรศัพท์มือถือของเขาเล่นอยู่ในมือ “ก็แค่บริจาคไขกระดูกไม่ใช่เหรอ ไม่ได้จะเอาไตของนายเสียหน่อย ถึงกับเป็นขนาดนี้เลยเหรอ”

เวินทิงหลานไม่ตอบ

ดวงตาดำขลับฉายแววเย็นชา

หัวใจของฟางรั่วถงหดเกร็ง แต่เธอกลับยิ้ม “นายไม่เคยหายไปจากบ้านใช่ไหม คิดถึงบ้านเหรอ งั้นเอาแบบนี้ ฉันจะให้พ่อฉันรับคนในครอบครัวนายมาดีไหม”

คำพูดนี้ทำให้ในที่สุดเวินทิงหลานก็ตอบสนอง “ตกลงกันแล้วว่าจะไม่แตะต้องพวกเขา ผมถึงได้มากับพวกคุณ”

“ก็ได้ ไม่แตะ” ฟางรั่วถงบิดขี้เกียจ คำพูดเหมือนไม่ใส่ใจ แต่กลับให้อารมณ์ข่มขู่ “แต่มันก็ต้องดูพฤติกรรมของนายด้วย”

เธอชี้เครื่องมือที่อยู่ด้านข้างแล้วยิ้มอย่างร่าเริง “โอ๊ะ อีกเดี๋ยวผลตรวจความเข้ากันของพวกเราก็ออกมาแล้ว นายก็แค่เซ็นยินยอมลงบนเอกสารนี้ แล้วฉันถึงจะไม่ให้พ่อแตะต้องคนในครอบครัวของนาย”

“แน่นอนว่าถ้านายไม่เซ็นฉันก็มีวิธีทำให้นายยอมเซ็นเหมือนกัน แต่พอถึงตอนนั้นนายจะเสียหายใหญ่หลวงเลยล่ะ”

ฟางรั่วถงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นแล้วทำเสียงฮึดฮัด “จะลองดูก็ได้นะว่าพี่สาวกับพ่อของนายจะสู้กับตระกูลฟางไหวหรือเปล่า”

เวินทิงหลานไม่ปล่อยให้เธอเข้าใกล้ได้สำเร็จ เขาหลบแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ขยะแขยง”

“ขยะแขยงก็ขยะแขยงสิ” ไม่เพียงแต่ฟางรั่วถงจะไม่โกรธ กลับยิ้มอย่างมีความสุขยิ่งกว่าเดิม

เธอวางปากกาด้ามหนึ่งลงตรงหน้าเวินทิงหลาน กอดอกมองเขา “เซ็นซะ แล้วจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

ภายในห้องรับแขก

น้ำชาหนึ่งกาถูกดื่มหมดแล้ว

คุณนายจงเช็ดปาก หยิบโทรศัพท์มือถือ “ขอโทรศัพท์หน่อยนะคะ”

คุณนายฟางไม่ว่าอะไร “ตามสบายค่ะ”

คุณนายจงกดเบอร์

ครั้งนี้เธอฉลาดแล้ว ไม่โทรหาอิ๋งจื่อจิน แต่โทรหาเวินเฟิงเหมียน

ด้วยอิทธิพลของตระกูลฟาง การสืบหาเบอร์โทรศัพท์แค่เบอร์เดียวไม่ใช่เรื่องยาก

“ฮัลโหล ใช่เวินเฟิงเหมียนพ่อของเวินทิงหลานหรือเปล่า” หลังจากมีคนรับ คุณนายจงก็เข้าประเด็นทันที แสยะยิ้ม “จริงสิ คงไม่รู้สินะว่าฉันเป็นใคร ฉันชื่อหยวนลี่ซือ แม่ของจงจือหว่าน”

“ลูกสาวของแกทำให้ลูกสาวของฉันต้องระหกระเหินไปอยู่เมืองนอก ฉันก็ถูกไล่ออกจากตระกูลจง ก่อนหน้านี้ฉันเตือนลูกสาวแกแล้วนะว่าถ้ายังไม่ยอมถอยให้อีก พวกแกจะต้องชดใช้”

ขณะพูดคุณนายจงก็ยิ้มออกมา “เวินทิงหลานได้บอกแกหรือเปล่าว่าจะไปงานเลี้ยงกับเพื่อน แถมยังบอกว่าจะกลับเย็น”

“ขอโทษนะ ฉันนี่แหละที่เอาตัวเขาไป ตอนเย็นเขาไม่กลับไปแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าอาจไม่กลับไปอีก”

พอเธอพูดจบปลายสายกลับไม่มีเสียงอะไร

“ฮัลโหล เวินเฟิงเหมียน ได้ยินหรือเปล่า” คุณนายจงทั้งสงสัยทั้งหงุดหงิด “ถ้าได้ยินก็ไปบอกลูกสาวตัวดีของแกนะว่าทางที่ดีให้มาสำนึกผิดกับฉันทันที แล้วให้ท่านผู้เฒ่ารับฉันกลับไป”

“แบบนี้ฉันถึงจะบอกพวกแกว่าเวินทิงหลานอยู่ที่ไหน”

ทันใดนั้นก็มีเสียงแสยะยิ้มดังในโทรศัพท์

ในที่สุดปลายสายก็ตอบสนองแล้ว

เป็นเสียงทุ้มต่ำของผู้ชาย ทั้งๆ ที่กำลังหัวเราะ แต่กลับชวนให้รู้สึกเย็นวาบ

“นี่ฟู่อวิ๋นเซิน”

ตุบ คุณนายจงมือสั่น โทรศัพท์หลุดลงบนโต๊ะกระจก

คุณนายฟางสะดุ้งตกใจ “เป็นอะไรไปคะ”

คุณนายจงรู้สึกหนาวไปทั้งตัว เธออึ้งอยู่นานไม่ได้สติกลับมา

ทำไมคนที่รับสายถึงเป็นฟู่อวิ๋นเซินล่ะ

มันเรื่องอะไรกัน

มือของคุณนายจงยังสั่นอยู่ “เปล่าค่ะ โทรศัพท์หลุดมือ”

“อย่างนั้นเหรอคะ” คุณนายฟางไม่ได้เซ้าซี้ แค่ยิ้มพลางส่ายหน้า “ดูเด็กคนนี้สิ ผลตรวจยังออกมาไม่หมดก็ดีใจขนาดนี้แล้ว”

คุณนายจงพยายามดึงสติกลับมา ข่มความกระวนกระวายในใจ “มีอะไรเหรอคะ”

“ลืมบอกไป ถงถงเป็นบล็อกเกอร์นะค่ะ” คุณนายฟางยิ้ม “นับตั้งแต่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว พวกเราก็เกลี้ยกล่อมให้ลูกพักผ่อน แต่แกก็ยังพยายามเรียนรู้”

“ได้ยินว่ายังไลฟ์สดอะไรด้วย มีแฟนคลับมากทีเดียว แต่เรื่องของเด็กๆ พวกเราก็ไม่ค่อยอยากยุ่งเท่าไร”

คุณนายฟางยื่นโทรศัพท์มือถือให้ดู “ดูสิคะ นี่เป็นเวยปั๋วของถงถง มีคนติดตามสามล้านแล้ว”

แอทเสี่ยวถงถง : [กรี๊ดดด ขอแจ้งข่าวดีให้ทุกคนทราบ! ฉันกำลังจะหายแล้ว! พอถึงตอนนั้นฉันก็จะเป็นคนปกติเหมือนทุกคนแล้ว! (ดีใจ)(ดีใจ)]

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
อ่านนิยาย คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ‘จื่อจิน ถึงเธอจะเป็นลูกสาวของพวกเรา แต่พวกเราเลี้ยงเสี่ยวเซวียนมาสิบห้าปี ผูกพันกับเสี่ยวเซวียนมาก เสี่ยวเซวียนถูกเลี้ยงมาอย่างคุณหนู ไม่เหมือนเธอที่ทนความลำบากที่บ้านนอกมาตลอด ดังนั้นคุณหนูใหญ่ของตระกูลอิ๋งก็ยังคงเป็นเสี่ยวเซวียน’ ‘เธอคงจะน้อยใจ แต่เธอจิตใจดีขนาดนี้ แม่รู้ว่าเธอไม่มีทางถือสาแน่นอน วางใจนะ อะไรที่เธอควรได้ก็จะไม่มีทางน้อยหน้า’ ‘อะไรนะ เธอเองก็อยากไปด้วยล้อเล่นหรือเปล่า ทางนั้นเขาต้องการคุณหนูไฮโซ เธอน่ะ แม้แต่เล่นเปียโนสักเพลงก็ยังไม่เป็น จะไปเล่าอะไรให้เขาฟังมีแต่จะทำขายหน้า’ ภายในความฝันเป็นเงาคนเต็มไปหมดกับคำพูดที่ตีกันยุ่งเหยิง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset