คู่ชะตาบันดาลรัก – ตอนที่ 256 ไม่เสียใจ

หลังเสวียนเฟยออกไปแล้วภายในห้องโถงตกอยู่ในความเงียบ ผ่านไปสักพักฮ่องเต้ถามขึ้นมาว่า “กุ้ยเฟยล่ะ” ว่านต้าเป่าตอบ “เหนียงเหนียงเสวยพระกระยาหารเสร็จก็เสด็จไปวาดภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ชะงัก “งั้นหรือ กุ้ยเฟยจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า ความเงียบเหงาในวังเช่นนี้ โชคดีที่นางยังมีสิ่งที่ชอบให้ทำบ้าง” ว่านต้าเป่ายิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขาเข้าไปสวมเสื้อคลุมให้ฮ่องเต้และมุ่งหน้าไปที่ศาลา เผยกุ้ยเฟยกำลังวาดรูปอยู่จริงๆ สีหมึกดำแต่งแต้มเป็นภาพยอดเขาที่สวยงาม และทางเดินบนภูเขาที่คดเคี้ยวนำทางไปสู่ยอดเขาที่สูงสุดโดยตรง ให้ความรู้สึกสูงเสียดและหนาวเหน็บอย่างบอกไม่ถูก “ฝ่าบาท” เผยกุ้ยเฟยวางพู่กันลงแล้วย่อกายถวายบังคม ฮ่องเต้ยิ้ม “ดูเหมือนเจิ้นจะมารบกวนเจ้า” เผยกุ้ยเฟยส่ายหน้าแล้วยิ้ม “หม่อมฉันวาดเสร็จแล้วเหลือให้พวกนางมาเก็บของเท่านั้นเพคะ” นางในเดินเข้าไปเก็บเครื่องมือวาดภาพ พวกนางเก็บของอย่างเรียบร้อยและเดินออกไปทีละคน ในศาลาเล็กๆ ที่อบอุ่นมีเพียงฮ่องเต้และกุ้ยเฟยเท่านั้น กุ้ยเฟยเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่สู้ดีจึงถามออกไป “ฝ่าบาทเป็นอะไรไปหรือเพคะ ไม่สบายพระทัยตรงไหนหรือ” ฮ่องเต้ไม่ตอบ พระองค์มองแววตาของนางที่อ่อนโยนดุจสายน้ำ ยกมือขึ้นไล้ไปตามผมยาวสีดำของนางเบาๆ “เจิ้นจำเหตุการณ์ที่เราสองคนพบกันครั้งแรกได้ อาหรง จนตอนนี้เจิ้นยังรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝันเหตุใดเจิ้นถึงได้ตัวเจ้ามาได้” เผยกุ้ยเฟยยิ้มบาง “ผ่านมาหลายปีแล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงยังคิดเรื่องนี้อยู่เล่าเพคะ” ฮ่องเต้พูดต่อว่า “ทุกครั้งที่เจิ้นคิดถึงเรื่องนี้เจิ้นรู้สึกเหลือเชื่อ เดิมทีเจิ้นคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราสองคนจะมาบรรจบกัน ตอนที่เราพบกันเหมือนเป็นของขวัญจากสวรรค์ผลลัพธ์คือเจิ้นได้เป็นคนที่อยู่เคียงข้างเจ้า บางครั้งที่เจิ้นนึกถึงเรื่องนี้เจิ้นก็รู้สึกผิดราวกับว่าโศกนาฏกรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นเพื่อให้พวกเราสมหวัง” เผยกุ้ยเฟยได้ฟังดังนั้นแววตาของนางก็อ่อนแสงลงและมีความเศร้าโศกอย่างไม่สามารถบอกได้ เสียงของฮ่องเต้เบาลง “อาหรง หลายปีมานี้เจิ้นอยากถามเจ้าอยู่เสมอ” “ฝ่าบาทอยากถามอะไรหรือเพคะ” ฮ่องเต้มองไปที่นางก่อนเอ่ย “เจ้า รักเจิ้นหรือไม่” เผยกุ้ยเฟยสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไปด้วยความจริงใจว่า “หม่อมฉันไม่ทราบว่ามันเรียกว่าความรักหรือไม่จึงทำได้เพียงถามใจตนเอง สิบปีมานี้ที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับฝ่าบาท…หม่อมฉันไม่เสียใจเลยเพคะ” ฮ่องเต้ยิ้มแล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน “เจิ้นก็ไม่เสียใจเช่นกัน” ………… ค่ำคืนผ่านไปครึ่งทางฮ่องเต้ลุกขึ้นจากเตียง พระองค์หันศีรษะมองเข้าไปหลังม่าน เผยกุ้ยเฟยนอนหลับสนิทผมยาวสลวยพาดอยู่บนหมอนดูสงบเป็นพิเศษ พระองค์รัดสายคาดเอวแล้วเดินออกจากห้องบรรทมอย่างเงียบๆ พระจันทร์เสี้ยวจากด้านนอกส่องแสงบางเบาและอ่อนโยน “ฝ่าบาท” ว่านต้าเป่าร้องเสียงเบาด้วยความประหลาดใจ ฮ่องเต้โบกมือ “เจิ้นจะนั่งตรงนี้สักพัก เจ้าไม่ต้องสนใจ” “…พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นว่าวันนี้ฮ่องเต้อารมณ์ดูไม่ปกติ ว่านต้าเป่าจึงไม่กล้ารบกวน เขาจึงยืนห่างออกไปไม่ใกล้ไม่ไกล ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เสี้ยวพลางคิดถึงเรื่องราวในวัยเยาว์ เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้นั่งในตำแหน่งอำนาจสูงสุด พระองค์มีพี่ชายสามคน ซึ่งทุกคนได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับเสด็จพ่อตนจะเอาอะไรไปแข่งกับพวกเขาได้ล่ะ เขาในวัยเด็กเป็นแค่เสียนอ๋องที่วิ่งเล่นไปวันๆ แต่แล้วก็มีวันหนึ่งที่พี่ชายทั้งสามได้จากไป จากนั้นเขาก็ถูกแต่งตั้งให้รับตำแหน่งรัชทายาทและในไม่ช้าก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์ มนุษย์น่ะ เมื่อไม่มีความคาดหวังก็จะไม่คิดอะไร แต่พอเขาได้นั่งบนบัลลังก์ ก็ทนไม่ได้กับความสูญเสียโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยที่สุดหากเขาไม่ได้นั่งบนตำแหน่งนี้เขาจะได้นางมาไว้ในครอบครองได้อย่างไร และหากเป็นเพราะเหตุผลนี้สำหรับเด็กคนนั้น…นางควรโทษตัวเองใช่หรือไม่ ช่างเถอะๆ พวกเขาเป็นเช่นนี้ก็ดีอยู่แล้วเหตุใดจะต้องไปทำลายด้วย นอกจากนี้สิ่งที่เสวียนเฟยกล่าวมานั้นก็ถูกต้องจะเกียรติยศหรือความอับอายของเขาล้วนอยู่ในมือของฮ่องเต้มีอะไรให้ต้องสนใจกัน อำนาจใหญ่ที่เขามีจะไปหวั่นไหวกับคำทำนายเล็กๆ เช่นนั้นได้อย่างไร ตรงกันข้ามอวี้หยางทั้งที่รู้ว่าไม่สามารถระบุที่มาอะไรได้กลับจงใจวิ่งมาบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นดาวมาร เขาไม่รู้หรือว่าหากพูดอะไรผิดไปจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น อะไรที่ทำให้เขากล้าถึงเพียงนี้กัน ฮ่องเต้หรี่ตาเขาพูดเสียงกระซิบ “องครักษ์เงา” เดิมทีไม่มีผู้ใดอยู่หน้าห้องโถง แต่ทันใดนั้นก็มีคนโผล่มาจากมุมห้องและโค้งคำนับ “ฝ่าบาท” “ไปตรวจสอบว่าก่อนที่อวี้หยางมาพบกับเจิ้นเขาไปพบผู้ใดมาก่อนหน้านี้” “พ่ะย่ะค่ะ” เงาดำเคลื่อนไหวแล้วหายลับไป แววตาของฮ่องเต้เยือกเย็น เขาทอดมองแสงจันทร์ราวกับเกล็ดน้ำแข็ง คิดจะปั่นหัวโอรสสวรรค์ เขาอยากรู้เหมือนกันว่าผู้ใดมันกล้าเช่นนี้! ………. หมิงเวยกลับไปที่หลังเขาอีกครั้ง แสงเทียนจางๆ สะท้อนใบหน้าของทั้งสองคน “ท่านรู้ดวงชะตาปาจื้อของเขางั้นหรือ” หมิงเวยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกฝ่ายก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ก่อนหน้านี้นางถามหยางชูแต่เขาบอกว่าไม่รู้ อันที่จริงเขาได้รับรู้ว่าดวงชะตาปาจื้อของตนเองแปลกไปก็ตอนที่องค์หญิงหมิงเฉิงใกล้สวรรคต “ดวงชะตาปาจื้อกับรูปลักษณ์ของเขาท่านอาจารย์เป็นคนเปลี่ยนเอง” คำพูดของหนิงซิวทำให้หมิงเวยนั่งตัวตรงนางมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่เขาพูดต่อไปนั้นสำคัญมาก “ตอนนั้นเป็นปีที่ยี่สิบแปดในศักราชหยวนคัง ฤดูใบไม้ผลิเพิ่งผ่านพ้นไป ฮ่องเต้องค์ก่อนประชวรหนัก ท่านอาจารย์จึงพาข้ามาที่หยุนจิงมาที่จวนโป๋วหลิงโหว ในตอนนั้นนายท่านสองตระกูลหยางเสียชีวิตไปแล้ว ฮูหยินสองเพิ่งคลอดได้ไม่นานจึงนอนซมอยู่บนเตียง ข้าจำได้ว่าท่านอาจารย์ได้เข้าไปดูอาการของฮูหยินสอง” “ท่านอาจารย์คุยกับองค์หญิงใหญ่เป็นเวลานานจากนั้นก็แอบไปทำพิธีในห้องมืด แต้มชาดที่กลางหน้าผากของเขาท่านอาจารย์เป็นคนแต้มเอง และดวงชะตาปาจื้อของเขาในตอนนี้ ท่านอาจารย์ก็เป็นคนเขียนขึ้นมาด้วยตนเองเช่นกัน” หมิงเวยพึมพำ “….อย่างนี้นี่เอง” “ข้าเคยถามท่านอาจารย์ว่าทำไมต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์และดวงชะตาปาจื้อของเขาด้วย” “ทำไมงั้นหรือเจ้าคะ” หนิงซิวส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ไม่ตอบอะไร ท่านพูดแค่ว่าในเมื่อเขาทำไปแล้ว ผลลัพธ์นี้ก็จะพัวพันต่อไปไม่สิ้นสุด หากมีอะไรผิดพลาดในอนาคตหากท่านอาจารย์ไม่อยู่แล้วข้าต้องเป็นคนจัดการต่อ” เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ไม่ถึงสองเดือนพวกเราก็เดินทางออกจากหยุนจิง จนกระทั่งแปดปีต่อมาท่านอาจารย์ได้ออกเดินทางและอาศัยอยู่ที่นั่นประมาณครึ่งปี เมื่อท่านอาจารย์กลับมาข้าก็มีศิษย์น้องในนามอยู่หนึ่งคน ท่านอาจารย์พูดถึงศิษย์น้องคนนี้น้อยมาก แต่ทุกครั้งที่องค์หญิงใหญ่เขียนจดหมายมา ท่านจะถือผังดวงชะตาปาจื้อมาจัดเรียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า” หนิงซิวจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ท่านอาจารย์เมาและนำดวงชะตาปาจื้อนั้นมาพึมพำกับตนเอง พูดว่าน่าเสียดายที่วิชาลับของอาจารย์หายไป ดวงชะตาปาจื้อนี้เขาจึงไม่สามารถเข้าใจได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าหมิงเวย การบอกว่าท่านอาจารย์ของตนทำนายไม่ได้ จะไม่เป็นการหักหน้าศักดิ์ศรีของท่านอาจารย์ไปหน่อยหรือ “ดวงชะตาปาจื้อนั้น ท่านจำได้หรือไม่” หนิงซิวพยักหน้า “ข้าจำได้ ข้าพูดอย่างไม่ปิดบังเลยว่าข้าจัดเรียงดวงชะตานี้มาหลายครั้งแล้ว แต่น่าเสียดายที่เคล็ดวิชาของข้ายังห่างไกลจากท่านอาจารย์ จึงไม่สามารถเข้าใจมันได้เลย” “อ้อ มีตรงไหนที่ทำนายไม่ได้งั้นหรือ” หนิงซิวเลิกคิ้วเล็กน้อยดูเหมือนกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรดี “อืม…ดวงชะตาปาจื้อนี้แปลกมาก มักจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป บางครั้งมั่งคั่งถึงขีดสุด บางครั้งจะได้พบเจออันตรายไม่สิ้นสุด สิ่งที่พบเห็นบ่อยที่สุดคือจุดจบเจ้าของดวงชะตานี้ควรตายไปนานแล้ว” หมิงเวยพูดว่า “ชูคือความตาย กายแยกจากกัน จับอาวุธรบฆ่าฟัน จบชีวันไม่ตายดี ชื่อนี้อาจารย์ของท่านเป็นคนเลือกให้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” หนิงซิวพยักหน้าช้าๆ หมิงเวยยิ้มออกมา “น่าสนใจ ข้าไม่เคยเห็นดวงชะตาเช่นนี้มาก่อน ไหน ให้ข้าดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” …………

หลังเสวียนเฟยออกไปแล้วภายในห้องโถงตกอยู่ในความเงียบ

ผ่านไปสักพักฮ่องเต้ถามขึ้นมาว่า “กุ้ยเฟยล่ะ”

ว่านต้าเป่าตอบ “เหนียงเหนียงเสวยพระกระยาหารเสร็จก็เสด็จไปวาดภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ชะงัก “งั้นหรือ กุ้ยเฟยจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า ความเงียบเหงาในวังเช่นนี้ โชคดีที่นางยังมีสิ่งที่ชอบให้ทำบ้าง”

ว่านต้าเป่ายิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขาเข้าไปสวมเสื้อคลุมให้ฮ่องเต้และมุ่งหน้าไปที่ศาลา

เผยกุ้ยเฟยกำลังวาดรูปอยู่จริงๆ สีหมึกดำแต่งแต้มเป็นภาพยอดเขาที่สวยงาม และทางเดินบนภูเขาที่คดเคี้ยวนำทางไปสู่ยอดเขาที่สูงสุดโดยตรง

ให้ความรู้สึกสูงเสียดและหนาวเหน็บอย่างบอกไม่ถูก

“ฝ่าบาท” เผยกุ้ยเฟยวางพู่กันลงแล้วย่อกายถวายบังคม

ฮ่องเต้ยิ้ม “ดูเหมือนเจิ้นจะมารบกวนเจ้า”

เผยกุ้ยเฟยส่ายหน้าแล้วยิ้ม “หม่อมฉันวาดเสร็จแล้วเหลือให้พวกนางมาเก็บของเท่านั้นเพคะ” นางในเดินเข้าไปเก็บเครื่องมือวาดภาพ พวกนางเก็บของอย่างเรียบร้อยและเดินออกไปทีละคน

ในศาลาเล็กๆ ที่อบอุ่นมีเพียงฮ่องเต้และกุ้ยเฟยเท่านั้น

กุ้ยเฟยเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่สู้ดีจึงถามออกไป “ฝ่าบาทเป็นอะไรไปหรือเพคะ ไม่สบายพระทัยตรงไหนหรือ”

ฮ่องเต้ไม่ตอบ พระองค์มองแววตาของนางที่อ่อนโยนดุจสายน้ำ ยกมือขึ้นไล้ไปตามผมยาวสีดำของนางเบาๆ “เจิ้นจำเหตุการณ์ที่เราสองคนพบกันครั้งแรกได้ อาหรง จนตอนนี้เจิ้นยังรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝันเหตุใดเจิ้นถึงได้ตัวเจ้ามาได้”

เผยกุ้ยเฟยยิ้มบาง “ผ่านมาหลายปีแล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงยังคิดเรื่องนี้อยู่เล่าเพคะ”

ฮ่องเต้พูดต่อว่า “ทุกครั้งที่เจิ้นคิดถึงเรื่องนี้เจิ้นรู้สึกเหลือเชื่อ เดิมทีเจิ้นคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราสองคนจะมาบรรจบกัน ตอนที่เราพบกันเหมือนเป็นของขวัญจากสวรรค์ผลลัพธ์คือเจิ้นได้เป็นคนที่อยู่เคียงข้างเจ้า บางครั้งที่เจิ้นนึกถึงเรื่องนี้เจิ้นก็รู้สึกผิดราวกับว่าโศกนาฏกรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นเพื่อให้พวกเราสมหวัง”

เผยกุ้ยเฟยได้ฟังดังนั้นแววตาของนางก็อ่อนแสงลงและมีความเศร้าโศกอย่างไม่สามารถบอกได้

เสียงของฮ่องเต้เบาลง “อาหรง หลายปีมานี้เจิ้นอยากถามเจ้าอยู่เสมอ”

“ฝ่าบาทอยากถามอะไรหรือเพคะ”

ฮ่องเต้มองไปที่นางก่อนเอ่ย “เจ้า รักเจิ้นหรือไม่”

เผยกุ้ยเฟยสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไปด้วยความจริงใจว่า “หม่อมฉันไม่ทราบว่ามันเรียกว่าความรักหรือไม่จึงทำได้เพียงถามใจตนเอง สิบปีมานี้ที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับฝ่าบาท…หม่อมฉันไม่เสียใจเลยเพคะ”

ฮ่องเต้ยิ้มแล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน “เจิ้นก็ไม่เสียใจเช่นกัน”

…………

ค่ำคืนผ่านไปครึ่งทางฮ่องเต้ลุกขึ้นจากเตียง พระองค์หันศีรษะมองเข้าไปหลังม่าน เผยกุ้ยเฟยนอนหลับสนิทผมยาวสลวยพาดอยู่บนหมอนดูสงบเป็นพิเศษ

พระองค์รัดสายคาดเอวแล้วเดินออกจากห้องบรรทมอย่างเงียบๆ พระจันทร์เสี้ยวจากด้านนอกส่องแสงบางเบาและอ่อนโยน

“ฝ่าบาท” ว่านต้าเป่าร้องเสียงเบาด้วยความประหลาดใจ

ฮ่องเต้โบกมือ “เจิ้นจะนั่งตรงนี้สักพัก เจ้าไม่ต้องสนใจ”

“…พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นว่าวันนี้ฮ่องเต้อารมณ์ดูไม่ปกติ ว่านต้าเป่าจึงไม่กล้ารบกวน เขาจึงยืนห่างออกไปไม่ใกล้ไม่ไกล ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เสี้ยวพลางคิดถึงเรื่องราวในวัยเยาว์

เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้นั่งในตำแหน่งอำนาจสูงสุด พระองค์มีพี่ชายสามคน ซึ่งทุกคนได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับเสด็จพ่อตนจะเอาอะไรไปแข่งกับพวกเขาได้ล่ะ

เขาในวัยเด็กเป็นแค่เสียนอ๋องที่วิ่งเล่นไปวันๆ แต่แล้วก็มีวันหนึ่งที่พี่ชายทั้งสามได้จากไป จากนั้นเขาก็ถูกแต่งตั้งให้รับตำแหน่งรัชทายาทและในไม่ช้าก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์

มนุษย์น่ะ เมื่อไม่มีความคาดหวังก็จะไม่คิดอะไร แต่พอเขาได้นั่งบนบัลลังก์ ก็ทนไม่ได้กับความสูญเสียโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยที่สุดหากเขาไม่ได้นั่งบนตำแหน่งนี้เขาจะได้นางมาไว้ในครอบครองได้อย่างไร

และหากเป็นเพราะเหตุผลนี้สำหรับเด็กคนนั้น…นางควรโทษตัวเองใช่หรือไม่ ช่างเถอะๆ พวกเขาเป็นเช่นนี้ก็ดีอยู่แล้วเหตุใดจะต้องไปทำลายด้วย

นอกจากนี้สิ่งที่เสวียนเฟยกล่าวมานั้นก็ถูกต้องจะเกียรติยศหรือความอับอายของเขาล้วนอยู่ในมือของฮ่องเต้มีอะไรให้ต้องสนใจกัน อำนาจใหญ่ที่เขามีจะไปหวั่นไหวกับคำทำนายเล็กๆ เช่นนั้นได้อย่างไร

ตรงกันข้ามอวี้หยางทั้งที่รู้ว่าไม่สามารถระบุที่มาอะไรได้กลับจงใจวิ่งมาบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นดาวมาร เขาไม่รู้หรือว่าหากพูดอะไรผิดไปจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น อะไรที่ทำให้เขากล้าถึงเพียงนี้กัน

ฮ่องเต้หรี่ตาเขาพูดเสียงกระซิบ “องครักษ์เงา”

เดิมทีไม่มีผู้ใดอยู่หน้าห้องโถง แต่ทันใดนั้นก็มีคนโผล่มาจากมุมห้องและโค้งคำนับ “ฝ่าบาท”

“ไปตรวจสอบว่าก่อนที่อวี้หยางมาพบกับเจิ้นเขาไปพบผู้ใดมาก่อนหน้านี้”

“พ่ะย่ะค่ะ” เงาดำเคลื่อนไหวแล้วหายลับไป แววตาของฮ่องเต้เยือกเย็น เขาทอดมองแสงจันทร์ราวกับเกล็ดน้ำแข็ง คิดจะปั่นหัวโอรสสวรรค์ เขาอยากรู้เหมือนกันว่าผู้ใดมันกล้าเช่นนี้!

……….

หมิงเวยกลับไปที่หลังเขาอีกครั้ง แสงเทียนจางๆ สะท้อนใบหน้าของทั้งสองคน

“ท่านรู้ดวงชะตาปาจื้อของเขางั้นหรือ” หมิงเวยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกฝ่ายก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ก่อนหน้านี้นางถามหยางชูแต่เขาบอกว่าไม่รู้ อันที่จริงเขาได้รับรู้ว่าดวงชะตาปาจื้อของตนเองแปลกไปก็ตอนที่องค์หญิงหมิงเฉิงใกล้สวรรคต

“ดวงชะตาปาจื้อกับรูปลักษณ์ของเขาท่านอาจารย์เป็นคนเปลี่ยนเอง”

คำพูดของหนิงซิวทำให้หมิงเวยนั่งตัวตรงนางมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่เขาพูดต่อไปนั้นสำคัญมาก

“ตอนนั้นเป็นปีที่ยี่สิบแปดในศักราชหยวนคัง ฤดูใบไม้ผลิเพิ่งผ่านพ้นไป ฮ่องเต้องค์ก่อนประชวรหนัก ท่านอาจารย์จึงพาข้ามาที่หยุนจิงมาที่จวนโป๋วหลิงโหว ในตอนนั้นนายท่านสองตระกูลหยางเสียชีวิตไปแล้ว ฮูหยินสองเพิ่งคลอดได้ไม่นานจึงนอนซมอยู่บนเตียง ข้าจำได้ว่าท่านอาจารย์ได้เข้าไปดูอาการของฮูหยินสอง”

“ท่านอาจารย์คุยกับองค์หญิงใหญ่เป็นเวลานานจากนั้นก็แอบไปทำพิธีในห้องมืด แต้มชาดที่กลางหน้าผากของเขาท่านอาจารย์เป็นคนแต้มเอง และดวงชะตาปาจื้อของเขาในตอนนี้ ท่านอาจารย์ก็เป็นคนเขียนขึ้นมาด้วยตนเองเช่นกัน”

หมิงเวยพึมพำ “….อย่างนี้นี่เอง”

“ข้าเคยถามท่านอาจารย์ว่าทำไมต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์และดวงชะตาปาจื้อของเขาด้วย”

“ทำไมงั้นหรือเจ้าคะ”

หนิงซิวส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ไม่ตอบอะไร ท่านพูดแค่ว่าในเมื่อเขาทำไปแล้ว ผลลัพธ์นี้ก็จะพัวพันต่อไปไม่สิ้นสุด หากมีอะไรผิดพลาดในอนาคตหากท่านอาจารย์ไม่อยู่แล้วข้าต้องเป็นคนจัดการต่อ”

เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ไม่ถึงสองเดือนพวกเราก็เดินทางออกจากหยุนจิง จนกระทั่งแปดปีต่อมาท่านอาจารย์ได้ออกเดินทางและอาศัยอยู่ที่นั่นประมาณครึ่งปี เมื่อท่านอาจารย์กลับมาข้าก็มีศิษย์น้องในนามอยู่หนึ่งคน ท่านอาจารย์พูดถึงศิษย์น้องคนนี้น้อยมาก แต่ทุกครั้งที่องค์หญิงใหญ่เขียนจดหมายมา ท่านจะถือผังดวงชะตาปาจื้อมาจัดเรียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

หนิงซิวจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ท่านอาจารย์เมาและนำดวงชะตาปาจื้อนั้นมาพึมพำกับตนเอง พูดว่าน่าเสียดายที่วิชาลับของอาจารย์หายไป ดวงชะตาปาจื้อนี้เขาจึงไม่สามารถเข้าใจได้

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าหมิงเวย การบอกว่าท่านอาจารย์ของตนทำนายไม่ได้ จะไม่เป็นการหักหน้าศักดิ์ศรีของท่านอาจารย์ไปหน่อยหรือ

“ดวงชะตาปาจื้อนั้น ท่านจำได้หรือไม่”

หนิงซิวพยักหน้า “ข้าจำได้ ข้าพูดอย่างไม่ปิดบังเลยว่าข้าจัดเรียงดวงชะตานี้มาหลายครั้งแล้ว แต่น่าเสียดายที่เคล็ดวิชาของข้ายังห่างไกลจากท่านอาจารย์ จึงไม่สามารถเข้าใจมันได้เลย”

“อ้อ มีตรงไหนที่ทำนายไม่ได้งั้นหรือ”

หนิงซิวเลิกคิ้วเล็กน้อยดูเหมือนกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรดี “อืม…ดวงชะตาปาจื้อนี้แปลกมาก มักจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป บางครั้งมั่งคั่งถึงขีดสุด บางครั้งจะได้พบเจออันตรายไม่สิ้นสุด สิ่งที่พบเห็นบ่อยที่สุดคือจุดจบเจ้าของดวงชะตานี้ควรตายไปนานแล้ว”

หมิงเวยพูดว่า “ชูคือความตาย กายแยกจากกัน จับอาวุธรบฆ่าฟัน จบชีวันไม่ตายดี ชื่อนี้อาจารย์ของท่านเป็นคนเลือกให้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

หนิงซิวพยักหน้าช้าๆ

หมิงเวยยิ้มออกมา “น่าสนใจ ข้าไม่เคยเห็นดวงชะตาเช่นนี้มาก่อน ไหน ให้ข้าดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”

…………

คู่ชะตาบันดาลรัก

คู่ชะตาบันดาลรัก

อ่านนิยาย คู่ชะตาบันดาลรัก
Status: Ongoing Type: Author:
เรื่องย่อนิยาย คู่ชะตาบันดาลรัก เหตุชะตาถึงฆาตทำให้วิญญาณของ ‘หมิงเวย’ หญิงสาวผู้มีวรยุทธ์เก่งกล้า ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงผู้อ่อนแอ แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายเมื่อทันทีที่ลืมตา นางกลับพบว่าในสวนอวี๋ฟางที่นางและฮูหยินสามผู้เป็นมารดาอาศัยอยู่นั้นมีสิ่งอัปมงคล! สองแม่ลูกเชื่อว่าสิ่งนี้อาจเกี่ยวพันกับไสยศาสตร์มืด จึงได้ลงมือสืบความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ และยิ่งตามสืบปริศนามากมายที่เกิดขึ้นในจวนและตระกูลหมิงแห่งนี้… กลับยิ่งเจอความลับอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่ แต่ท่ามกลางความมืดมิดและสิ่งชั่วร้าย โชคชะตากลับลิขิตให้หญิงสาวได้ไขประตูสู่ความจริง… รวมถึงนำไปสู่ความรัก! นับตั้งแต่ที่ ‘หยางชู’ เหลนของฮ่องเต้จอมเสเพลแฝงกายมายังเมืองที่นางอาศัยอยู่เพื่อภารกิจบางอย่าง นางและเขาจึงได้ตกลงร่วมกันทำภารกิจไขปริศนา แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปเพราะโชคชะตารักบันดาลอยู่เบื้องหลัง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset