จักรพรรดิมังกร – ตอนที่ 231 ตระกูลหวัง

บทที่ 231 ตระกูลหวัง

เมื่อโจวชุ่ยหัวเห็นว่ากู้หยุนหลันกับหลี่โม่ไม่พูดอะไร ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา

“ช่วยบอกฉันทีว่าคุณเตรียมของขวัญวันเกิดอะไรให้คุณปู่ ให้ฉันได้เปิดหูเปิดตา”

สีหน้ากู้หยุนหลันอึดอัด เพราะเธอไม่ได้เตรียมของขวัญมา ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี?

หลี่โม่เก็บมือถือ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ของที่พวกเราเตรียมคือของขวัญลึกลับ ถ้าพูดออกไปมันก็ประหลาดใจสิครับ”

“ฮ่า ๆ ๆ”

โจวชุ่ยหัวหัวเราะอย่างเย้ยหยัน คิดว่าหลี่โม่เสแสร้ง ที่ไม่กล้านำของขวัญที่เตรียมไว้ออกมาเพราะกลัวอับอายขายหน้า

“คุณกลัวว่าจะอับอายหรือเปล่า ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนในครอบครัวก็รู้ว่าคุณมันเป็นเศษสวะ ถึงแม้ว่าคุณจะมอบของขวัญเป็นขนห่านก็ไม่เป็นไร ขอแค่คุณกล้าให้ก็พอ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

กู้หยุนหลันรู้สึกหงุดหงิด เธอก้มศีรษะอย่างไม่พอใจ หลี่โม่จับมือกู้หยุนหลันเบา ๆ แล้วกล่าวเบา ๆว่า “คุณไม่ต้องกังวล ผมได้เตรียมของขวัญไว้แล้ว จะไม่เสียทำให้คุณเสียหน้าแน่นอน”

กู้หยุนหลันยิ้มอย่างขมขื่น คิดว่าหลี่โม่กำลังปลอบใจตนเอง ไม่รู้สึกว่าสิ่งที่หลี่โม่พูดจะเป็นความจริง

ไม่นานนักก็ขับรถเข้าไปในพื้นที่ชนบทใหม่ในเขตชานเมือง มีอาคารสามชั้นที่ปลูกไว้อย่างเรียบร้อยทั้งสองข้างทางของหมู่บ้าน

ตระกูลหวังเป็นตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ โดยมีประวัติแต่งบทกวีนิพนธ์เก่าแก่กว่าร้อยปี ซึ่งมีชื่อเสียงมากในหมู่บ้าน

เพื่อแสดงความยินดีในวันเกิดของคุณปู่หวัง มีการสร้างเวทีขึ้นที่หน้าบ้านของตระกูลหวัง และมีการสร้างซุ้มประตูสีแดงที่ประดับด้วยธงกับโคมไฟสีแดง เป็นบรรยากาศที่ดูสนุกสนาน

โจวชุ่ยหัวจอดรถเสร็จ หลี่โม่กับกู้หยุนหลันลงจากรถพร้อมกัน

หวังเหมย หวังฟาง กับกู้เจี้ยนหมิน รอหลี่โม่กับคนอื่นๆอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นหลี่โม่และกู้หยุนหลันเดินมาด้วยกัน หวังเหมยก็หัวเราะเยาะ แล้วกล่าวว่า “รถนั่งสบายใช่ไหม?รถที่นำเข้านั่งสบายกว่ารถในประเทศใช่ไหม?”

กู้หยุนหลันยิ้มอย่างอึดอัด นิ่งเงียบไม่พูดอะไร

โจวชุ่ยหัวเดินเข้ามาแล้วมองไปที่ประตูของบ้านใหญ่ตระกูลหวัง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่คือ หวังจงเหิงลูกคนที่สองของบ้านพี่ใหญ่ หวังจงเฉิงลูกชายกับหวังซูหยุนลูกสาวของบ้านน้องสาม ทำไมไม่เห็นหวังจงหมิ่นลูกชายคนโตของบ้านพี่ใหญ่ล่ะ? ไม่ใช่ว่าวางมาดถือว่าตนเองเป็นหลานชายคนโต”

หานจื้อเต๋อไปยืนข้างโจวชุ่ยหัว ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พวกเรารุ่นหลานก็มาด้วยกัน มาช่วยกันต้อนรับแขก”

วันเกิดแซยิดครบรอบ 70 ปีของคุณปู่หวัง ญาติพี่น้องที่อยู่ใกล้ๆ และผู้คนจากทั่วสารทิศก็มาอวยพรมากมาย เขาในฐานะหลานของคุณปู่หวัง ต้องออกมาต้อนรับแขกด้วย

อย่างไรก็ตามทั้งโจวชุ่ยหัวและกู้หยุนหลันเป็นหลานตาทั้งคู่ จะมาต้อนรับแขกหรือไม่มาต้อนรับก็ได้

โจวชุ่ยหัวรู้ว่าหวังจงเหิง หวังจงเฉิง ก็ดูถูกเหยียดหยามหลี่โม่ กำลังอยากเห็นหลี่โม่ถูกเยาะเย้ยอยู่พอดี

“หยุนหลัน พวกเราเข้าไปพร้อมกัน วันเกิดคุณตา ถึงแม้พวกเราจะเป็นหลานตา ยังไงก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”

กู้หยุนหลันไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงได้แต่พยักหน้า พาหลี่โม่เดินตามโจวชุ่ยหัวกับหานจื้อเต๋อไป

เมื่อหลี่โม่และคนอื่น ๆ เดินไปถึงประตูใหญ่ หวังจงเหิงกับหวังจงเฉิงเห็นหลี่โม่ก็แสดงรอยยิ้มเย้ยหยัน

“โย่ นี่คือใคร ใช่คนที่เกาะเมียกินอันดับหนึ่งในเมืองฮ่านนี่ ไอ้เศษสวะวันนี้จะมากินฟรีดื่มฟรีที่ตระกูลหวังใช่ไหม? วันนี้คุณกินให้เต็มที่ กินอิ่มแล้วจะห่ออาหารที่เหลือกลับไปก็ได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

“ฉันกลัวว่าคุณปู่จะโกรธถ้าเขาเห็นเศษสวะคนนี้ ฉันว่าเศษสวะอย่างคุณนั่งรออยู่นอกประตูดีกว่า เดี๋ยวฉันจะเทอาหารที่คนอื่นกินเหลือใส่ถังแล้วเอามาให้คุณนั่งกินอยู่ที่มุมกำแพง จะกินให้ตายก็ไม่มีปัญหา”

หวังจงเหิงกับหวังจงเฉิงพูดจาถากถางเสียดแทง พูดทำนองว่าหลี่โม่เป็นขอทาน

โจวชุ่ยหัวอดไม่ได้จึงปิดปากหัวเราะเยาะ “ฮ่า ๆ ๆ ที่พูดมันก็ถูก ถ้าไอ้เศษสวะเข้าไปนั่งในงานแล้วมีคนจำได้ขึ้นมา มันจะทำให้คุณตาอับอายขายหน้า แล้วก็ทำให้หยุนหลันอับอายขายหน้าเช่นเดียวกัน ใช่หรือเปล่าจื้อเต๋อ”

หานจื้อเต๋อพยักหน้า “มันเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว หยุนหลันเป็นคนระดับไหน ถ้าคนอื่นรู้ว่าแต่งงานกับเศษสวะ มันจะทำให้คนอื่นมองและพูดยังไง จะทำให้หยุนหลันอับอายขายหน้าแน่นอน”

กู้หยุนหลันก้มหน้าไม่พูดอะไรเลย หลี่โม่มองไปที่หวังจงเหิงและคนอื่น ๆอย่างเงียบ ๆ แต่ไม่พูดอะไร

ดูเหมือนว่ากู้หยุนหลันและหลี่โม่ได้ยอมรับชะตากรรมของพวกเขาแล้ว ตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้วว่าพวกเขาจะพูดอะไร

หวังจงเหิงเหลือบมองไปที่หลี่โม่ เห็นใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของหลี่โม่ ทำให้เขารู้สึกรังเกียจ

“ไอ้เศษสวะมายืนอยู่ที่นี่ทำไม จะยืนให้คนอื่นจำได้แล้วหัวเราะเยาะหรือไง รีบไสหัวไปนั่งที่มุมกำแพง อย่ามายืนขวางหูขวางตาอยู่ที่นี่”

เมื่อเห็นว่าหวังจงเหิงพูดเกินไปแล้ว หวังซูหยุนจึงทนดูต่อไปไม่ได้อีก

หวังซูหยุนผู้ที่ได้รับปริญญาโทสองใบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เป็นคนที่มีความรู้ จึงไม่พอใจกับการกระทำของหวังจงเหิงและคนอื่น ๆเป็นอย่างมาก

“พวกคุณพูดเกินไปแล้ว คนเราทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีใครอยู่เหนือกว่าคนอื่นมากมาย ทำไมถึงชอบใช้สายตาดูถูกเหยียดหยันคนอื่น” หวังซูหยุนกล่าวด้วยความโกรธ

หวังจงเฉิงมองไปที่หวังซูหยุนที่เป็นน้องสาวแท้ ๆของตนเอง รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่หวังซูหยุนช่วยหลี่โม่ในเวลานี้

“ซูหยุน คุณพูดอย่างนี้ได้ยังไง คนเกิดมาเท่าเทียมกันอะไร ในโลกนี้มีแต่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก อีกอย่าง พวกเรากำลังสั่งสอนไอ้เศษสวะคนนี้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณไม่ใช่หรือ คุณแค่อยู่เงียบ ๆก็พอ”

หวังจงเหิงฮัมคำหนึ่ง แล้วกล่าวราบเรียบว่า “ซูหยุน คุณกำลังจะไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ต่างประเทศ คุณไม่รู้ถึงความทุกข์ในโลกนี้ คุณไม่รู้ว่าไอ้เศษขยะที่อยู่ตรงหน้าคุณมันเลวร้ายแค่ไหน”

“อีกหน่อยเมื่อคุณรู้ว่าไอ้เศษสวะคนนี้มันเลวร้ายแค่ไหน คุณก็จะไม่พูดเช่นนี้ พี่ชายขอแนะนำว่าถ้าอนาคตจะคบเพื่อนต้องไตร่ตรองให้ดี อย่าเดินตามเส้นทางเดิมของพี่สาวอย่างหยุนหลัน เพราะเช่นนั้นมันจะเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริง ๆ”

หวังซูหยุนมองหวังจงเหิงอย่างไม่พอใจ กล่าวเสียงดังว่า “ขอแค่พี่หยุนหลันมีความสุขก็พอแล้ว พวกคุณมีสิทธิ์อะไรไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ใช้ชีวิตของตัวเองให้เข้าใจก่อนค่อยมาว่ากัน”

“เด็กเรียนอย่างคุณมันแตกต่างกันจริง ๆด้วย เด็กอย่างคุณไม่เข้าใจว่าพวกเรากำลังพูดถึงอะไร รอให้คุณเข้าสู่สังคมสักพัก คุณจะรู้ว่าพวกเราหวังดีกับคุณ”

หวังจงเหิงไม่ได้โต้เถียงกับหวังซูหยุน หันหน้าไปมองหลี่โม่ด้วยสายตาเยาะเย้ย “ไอ้เศษสวะทำไมไม่พูดอะไร? พวกเราพูดกันตั้งนานแล้ว คุณไม่ตอบอะไร มันเสียมารยาทน่ะ”

หวังฟางกับกู้เจี้ยนหมินมองภาพนี้ด้วยความรู้สึกโกรธ เขาสองคนเดินผ่านเด็กรุ่นหลังของตระกูลหวังด้วยความอาย จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปในประตูตระกูลหวัง

“หวังเหมยยิ้มด้วยความมีชัย เดินเข้าไปแล้วกล่าวว่า “จงเหิง จงเฉิง พวกคุณต้องมีความอดทน อย่าไปถือสาไอ้เศษสวะ มันทำให้ราศีพวกคุณตก เข้าใจไหม”

“ครับ รู้แล้วครับคุณป้า พวกเราแค่ล้อเล่นกับน้องเขยเศษสวะ ถ้าหากถือสา เขาจะต้องถูกแกล้งจนไม่รู้ทิศไหนเป็นทิศไหนแล้ว”

“รีบเตรียมตัวเข้าบ้านกันได้แล้ว แขกน่าจะมากันเกือบครบแล้ว”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset