จักรพรรดิมังกร – ตอนที่ 701 เดินบนทางเส้นเดียวกันตราบจนสิ้นแสง

“คิดไม่ถึงว่าคุณชายจูจะแต่งตัวได้ยั่วยวนขนาดนี้นะเนี่ย! นี่ไม่ใช่ว่าเตรียมตัวไว้รอพวกเราอยู่หรอกเหรอ? พวกแกสี่คนมาปรนนิบัติคุณชายจูของพวกแกหน่อยซิ ถือซะว่าเป็นการเปิดทางให้พวกเราละกัน ” รปภ.ร่างผอมพูดพลางชี้ไปที่พวกหานเมิ่งทั้งสี่

คำพูดของรปภ.ร่างผอม ทำให้การยืนหยัดครั้งสุดท้ายของจูเจียนเฉียงแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี ถ้าปล่อยให้ไอ้พวกผองเพื่อนที่ตามตัวเองต้อย ๆ พวกนั้นมาเล่นประตูหลังจริง ๆ แล้วจากนี้จะยังมีหน้าออกไปเจอใครได้อีกเรอะ!

แม้ว่าการคลานออกไปจากที่นี่จะน่าอับอายขายหน้า แต่ก็ยังดีกว่าโดนพวกผองเพื่อนตัวเองเล่นประตูหลังล่ะวะ

“ฉันคลานก็ได้!” จูเจียนเฉียงซึ่งไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น จากนั้นก็มองไปทาง รปภ.ร่างผอมแล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า: “รบกวนช่วยใส่กางเกงให้ผมดี ๆ หน่อย ”

“ ขอแค่คุณชายจูให้ความร่วมมือกับเรา เราก็จะให้ความร่วมมือกับคุณชายจูเหมือนกัน ”

รปภ.ร่างผอมยิ้มอย่างยียวน แล้วยื่นมือออกไปช่วยจูเจียนเฉียงใส่กางเกงให้เรียบร้อย

ความรู้สึกที่ว่าไม่มีลมพัดให้ก้นเย็นยะเยือก ทำให้จูเจียนเฉียงถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุด อย่างน้อยแบบนี้ก็ยังพอจะสามารถเก็บเศษเสี้ยวของหน้าตัวเองไว้ได้ แม้ว่าหน้าเขามันจะเสียไปจนไม่มีเหลือจะให้เสียแล้ว แต่อย่างน้อยกางเกงท่อนล่างก็ยังเหลืออยู่

จูเจียนเฉียงใช้มือทั้งสองข้างยกร่างขึ้น จากนั้นก็ออกแรงลากร่างตัวเองไปข้างหน้า เริ่มคลานออกไป

“ซื้ด! อ้าก! เจ็บ! เจ็บ ๆ ๆ !”

ทุกครั้งที่จูเจียนเฉียงเคลื่อนไหว ความเจ็บปวดที่เหมือนถูกสว่านเจาะเข้าที่หัวใจก็จะโจมตีเข้าใส่เป็นระลอก ๆ เสียงสูดลมหายใจเข้าเย็น ๆ กับเสียงร้องคร่ำครวญเพราะความเจ็บปวดผสมผสานเกี่ยวพันกันจนเป็นเสียงเดียว

หัวหน้าโสงยกนิ้วโป้งให้รปภ.ร่างผอมเป็นการชมเชย รปภ.ร่างผอมยิ้มอย่างลำพองใจ จากนั้นก็เตะหานเมิ่งเข้าไปทีหนึ่ง แล้วตะโกนว่า: “พวกแกยังมัวยืนโง่ทำซากอะไรอยู่ตรงนี้วะ? ยังไม่รีบไปเชียร์ ไปให้กำลังใจคุณชายจูของพวกแกอีก!”

พวกหานเมิ่งทั้งสี่คนมองหน้ากันอย่างขมขื่น ต่างก็คิดในใจว่าตอนนี้คงมีแต่ต้องตามน้ำไปเท่านั้นแล้ว ทำได้แค่ต้องยอมทำผิดต่อคุณชายจูไปก่อนแล้ว เงื่อนไขนี้ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ภักดี แต่มันไม่มีหนทางให้พูดถึงความภักดีอยู่ในเงื่อนไขเลยน่ะสิ!

พวกหานเมิ่งทั้งสี่เดินตามจูเจียนเฉียงไป เหลียวมองพวก รปภ. ที่ยืนจับตาอยู่ข้าง ๆ แล้วร้องเชียร์ด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “พี่เจียนเฉียง พี่ต้องเข้มแข็งนะ สู้ ๆ ! พยายามเข้า! คลานออกไปอย่างเข้มแข็งนะพี่นะ!”

“เชี่ย! พวกแกเชียร์เป็นกันมั้ยวะเนี่ย? พวกแกตะโกนแบบนี้ เกิดไปกระทบกระเทือนออร่าความพยายามของคุณชายจูจนมันหายไปหมดจะทำยังไงวะ! ไม่เห็นเหรอว่าเสียงร้องของคุณชายจูดังขนาดไหน มานี่ ! พวกแกมาร้องเชียร์ตามฉันซะ!”

รปภ.ร่างผอมพูดจบ ก็เดินเข้าไปเฉดหัวพวกหานเมิ่งทั้งสี่ทีละคน ๆ

“พวกแกดูแล้วเรียนรู้ไว้ซะล่ะ ออกแรงตะโกนเชียร์ตามตามฉันนะโว้ย”

รปภ.ร่างผอมพูดพลางกวาดตามองพวกหานเมิ่งทั้งสี่แวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าพวกนั้นมองมาที่เขาแล้ว ก็ยกแขนขึ้นแล้วแสดงท่าทางเชียร์อย่างเต็มกำลัง: “คุณชายจูออกแรงคลานขึ้นอีก ฮูเร่! คลานออกจากป่ายเล่อฮุ่ยให้ได้นะ ฮูเร่! คุณชายจูอย่าร้องว่าเจ็บสิ! เจ็บนี่แหล่ะถึงจะมีแรง!…”

รปภ.ร่างผอมแสดงตัวอย่างให้ดูครั้งหนึ่ง จากนั้นก็นำพวกหานเมิ่งทั้งสี่ร้องเชียร์อีกสองครั้ง สุดท้ายค่อยส่งสัญญาณให้ทั้งสี่คนร้องเชียร์จูเจียนเฉียงต่อ

ท่ามกลางเสียงร้องเชียร์ เสียงตะโกนให้กำลังใจอันกึกก้องของพวกหานเมิ่งทั้งสี่ จูเจียนเฉียงก็ค่อย ๆ คลานออกจากประตูห้องไปได้สำเร็จ

จูเจียนเฉียงที่คลานออกจากประตูห้องไป เจ็บปวดจนเหงื่อไหลจนเปียกโชกไปทั้งตัว ฟันบนกัดริมฝีปากล่างจนแน่น ริมฝีปากล่างที่ถูกกัดมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย

พวกหานเมิ่งทั้งสี่ยืนล้อมอยู่ข้าง ๆ จูเจียนเฉียง สายตาก็มองจูเจียนเฉียงที่คลานอยู่ด้วยความรู้สึกที่สลับซับซ้อนมาก เสียงตะโกนก็ค่อย ๆ แผ่วเบาลงทุกที ๆ

“พวกแกยังไม่ได้กินข้าวกันรึไงวะ? ตะโกนเชียร์ให้กำลังใจมันต้องเสียงดังฟังชัด ถ้าเป็นเพราะการร้องเชียร์ของพวกแกไม่ดี จนมันส่งผลต่อการคลานออกไปของคุณชายจูล่ะก็ งั้นพวกเราจะตีขาของพวกแกทุกคนให้หักเป็นสิบท่อนแทนนะโว้ย!”

หัวหน้าโสงพูดเสียงดังกังวานราวกับเสียงระฆังเลยทีเดียว

พวกหานเมิ่งทั้งสี่ถึงกับตัวสั่น เริ่มส่งเสียงตะโกนร้องเชียร์ทันที อีกทั้งยิ่งตะโกนก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ

ยิ่งตะโกนเสียงก็ยิ่งดัง ยิ่งตะโกนในหัวใจก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างที่ตะโกน ความเจ็บแค้นในอดีตที่โดนจูเจียนเฉียงดูถูกและตำหนิ ก็พวยพุ่งปะทุขึ้นในหัวใจของพวกหานเมิ่งทั้งสี่มากขึ้นทุกขณะ

เมื่อเห็นคุณชายจูที่กำลังคลานอยู่บนพื้นด้วยความยากลำบาก พวกหานเมิ่งทั้งสี่ต่างก็บังเกิดความสุขอันบิดเบี้ยวขึ้นภายในใจ เริ่มแหกปากร้องตะโกนเชียร์จนสุดกำลังที่มี

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงกระตุ้นจากการร้องเชียร์ หรือเพราะว่าจูเจียนเฉียงเจ็บจนไร้ความรู้สึกไปแล้ว มือของเขาเริ่มมีเรี่ยวแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเร็วในการคลานของเขาก็เร็วขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน รู้สึกว่าทุกครั้งที่คลาน มันไม่ได้เจ็บมากมายขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว

คนทั้งสี่ล้อมอยู่รอบ ๆ ตัวจูเจียนเฉียง แล้วร้องตะโกนเชียร์ให้กำลังใจกันดังลั่น ภาพฉากที่เหมือนหนังแฟนตาซี ที่จูเจียนเฉียงลากขาที่หักคืบคลานออกไปจากป่ายเล่อฮุ่ย ทำให้ทุกคนที่อยู่ในป่ายเล่อฮุ่ยต่างก็ต้องตกตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นภาพฉากนี้

แต่เมื่อได้เห็นรปภ.หลายสิบคนที่อยู่ด้านหลังกลุ่มคนประหลาดเหล่านี้ ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไร ผู้ชมต่างมีข้อสรุปในใจที่รู้กันว่า 80% ของเรื่องราวแบบนี้ คือไปสร้างความขุ่นเคืองใจให้ผู้ทรงอิทธิพลซักคนหนึ่งเข้าแน่ๆ

ตอนที่จูเจียนเฉียงคลานไปถึงประตูหน้าทางเข้าป่ายเล่อฮุ่ย ก็รู้สึกว่าเวลามันช่างยาวนานเหมือนผ่านไปซักหนึ่งปีเลยทีเดียว

จูเจียนเฉียงนอนฟุบคว่ำหน้าอยู่ตรงทางเข้าของป่ายเล่อฮุ่ย รู้สึกว่าตัวเองหมดสภาพไปทั้งเนื้อทั้งตัวแล้ว ทั้งยังกระหายน้ำมาก หลังจากที่เขาเอ่ยพูดขึ้นมาสองคำว่าหิวน้ำ ดวงตาของเขาก็มืดลง พลันหมดสติไปอีกครั้ง

หัวหน้าโสงตามถ่ายวิดีโอเหตุการณ์ทั้งหมดไว้โดยตลอด เมื่อเห็นว่าจูเจียนเฉียงคลานมาถึงประตูแล้ว ก็ส่งสัญญาณให้รปภ.ร่างผอมโทรเรียกรถพยาบาล

หลังจากถ่ายวิดีโอเสร็จแล้ว หัวหน้าโสงก็ย้อนดูเนื้อหาในวิดีโอซ้ำอีกครั้ง จากนั้นจึงโทรหาหลี่โม่เพื่อรายงานสถานการณ์ ในขณะเดียวกันก็ส่งวิดีโอไปให้ด้วย

หลี่โม่ดูวิดีโอแล้วก็วางโทรศัพท์ไว้ข้าง ๆ ไม่สนใจเรื่องของจูเจียนเฉียงอีกต่อไป

………..

เจินจาหนานกลับมาถึงบ้านตระกูลเจินแล้ว

เจินจาหนานมองไปที่ปู่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม ขยับริมฝีปากขมุบขมิบ ก้มหน้าต่ำในสภาพอึกๆ อักๆ อยากจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา

“ไอ้หลานเวร! แกรู้มั้ยว่าหลี่โม่เป็นใคร!?” เจินหงซิว ปู่ของเจินจาหนานแผดเสียงตะโกนอย่างโกรธจัด

“ไม่ใช่เขยแต่งเข้าของตระกูลกู้เหรอครับ? ผมอ่านข้อมูลเขามาแล้ว”

“ผายลม! หลี่โม่เป็นนายน้อยของสำนักหลงเหมินต่างหาก! เป็นทายาทที่จะสืบทอดสำนักหลงเหมินในอนาคต!”

“ห๊ะ?” เจินจาหนานตกตะลึงอึ้งค้างไปโดยปริยาย

ตัวตนที่แท้จริงของหลี่โม่ เกินความคาดหมายของเจินจาหนานไปมาก ยิ่งเมื่อคิดได้ว่าตระกูลของตัวเองต้องพึ่งพาราชาใหญ่ของสำนักหลงเหมิน ถึงได้มีความมั่งคั่งและมีอำนาจได้อย่างทุกวันนี้ เขาก็รู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาทั่วทั้งสรรพางค์กายเลยทีเดียว

“คุณปู่ครับ ผมไม่รู้! ผมไม่รู้จริง ๆ นะ ว่าเขาคือนายน้อยของสำนักหลงเหมิน! เขาเป็นถึงนายน้อยผู้ทรงเกียรติของสำนักหลงเหมิน ทำไมจะต้องไปเป็นเขยแต่งเข้าตระกูลเล็ก ๆ อย่างตระกูลกู้แห่งเมืองฮ่านด้วยล่ะ?”

เจินจาหนานเคยเห็นแต่คนที่แกล้งทำเป็นหมูหลอกกินเสือ แต่ไม่เคยเห็นการปลอมเป็นหมูเพื่อกินเสือในแบบของหลี่โม่มาก่อน เป็นถึงทายาทผู้สืบทอดสำนักหลงเหมินในอนาคตแท้ ๆ ดันไม่อยู่เป็นนายท่านปกครองสำนักไปดี ๆ กลับวิ่งไปถึงเมืองฮ่านเพื่อไปเป็นเขยแต่งเข้า เกิดนึกอยากสัมผัสชีวิตคนธรรมดาขึ้นมารึไง?

เจินจาหนานที่เวลานี้ในใจสับสนยุ่งเหยิงจนเกินบรรยาย พูดทั้งที่ปากสั่นเทาไปด้วยว่า “ปู่ครับ งั้นคำพูดที่หลี่โม่สั่งให้ผมมาบอกปู่ มันหมายความว่าอะไรเหรอครับ? พวกเราจะทำยังไงกันดี?”

เจินหงซิวหลับตาลง ใบหน้าปรากฏร่องรอยของความรังเกียจขึ้นมาวูบหนึ่ง

“ตอนนี้ สถานการณ์ในสำนักหลงเหมินมีความซับซ้อนมาก แม้ว่าหลี่โม่จะมีชื่อว่าเป็นนายน้อยของสำนัก แต่ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จในการขึ้นตำแหน่ง ตอนนี้ทั้งราชินีกับราชาใหญ่แห่งสำนักหลงเหมิน แต่ละคนต่างก็มีแผนการอันแยบยลที่เตรียมไว้กันทั้งนั้น ความหมายในคำพูดของหลี่โม่ น่าจะเป็นความคิดที่จะใช้พวกเราจับจุดอ่อนของราชาใหญ่

เฮอะ! เขาช่างฝันหวานเกินไปหน่อยแล้ว เรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ช่วงนี้ราชาใหญ่เริ่มลงมือแล้ว เกรงว่าใช้เวลาไม่นาน สถานการณ์ก็คงจะชัดเจนขึ้นมาแล้ว พวกเราแค่สะกดทัพไว้ไม่เคลื่อนไหว นิ่งเฉยไว้เพื่อรอโอกาส เมื่อถึงเวลาค่อยช่วยราชาใหญ่กำจัดราชินีกับหลี่โม่ทิ้งซะ แค่นี้พวกเราก็จะกลายเป็นผู้สร้างความดีความชอบให้กับราชาใหญ่ได้แล้ว! “

เจินหงซิวมีแผนการที่เชื่อถือได้อยู่ในใจมาตั้งนานแล้ว เขาตัดสินใจที่จะเดินตามราชาใหญ่ไปบนทางเส้นเดียวกันนี้ตราบจนสิ้นแสง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset