ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 105: สู่เมืองไดซาน

บทที่ 105: สู่เมืองไดซาน

ทั้งสองลืมตาขึ้นอย่างเหนื่อยล้าในช่วงแสงแรกของวัน

เหนื่อย….

ขณะที่เต็มไปด้วยความง่วงงุน ฉินเย่เปิดใช้แล็ปท็อปและพบว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงตรงแล้ว เขาถอนหายใจออกมาและเปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ จากแล็ปท็อปของตัวเอง อาร์ทิสที่ได้ยินท่วงทำนองดังกล่าวก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าก็ตามดูละครด้วยเหมือนกันหรือ”

“…เปล่า ข้าเพียงแต่ต้องการจะสื่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ออกมาก็เท่านั้น….” ฉินเย่รัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์อย่างหมดกำลังใจและเริ่มเลื่อนดูผลการค้นหาทั้งหมด

เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในเมืองเป่าอันยังคงถูกปิด แต่ด้วยความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยี และทางรัฐบาลก็อนุญาตให้เข้าถึงเกม ภาพยนตร์ และแม้แต่กระทู้ที่ให้ความรู้บางแห่งด้วย อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีวิดีโอและโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติยังคงถูกปิดกั้นอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ ผู้ซึ่งมีที่อยู่ IP ที่มาจากเมืองเป่าอันจะไม่ได้รับอนุญาตให้โพสต์อะไรลงในฟอรัมทั้งสิ้น

“เครื่องตัดไม้อัตโนมัติเกรดดีมีราคาสูงถึง 30,000 หยวนซึ่งถือว่าไม่ได้แพงเกินไปเลยสักนิด ปั้นจั่นราคาประมาณ 140,000 หยวนซึ่งก็ยังพอรับได้ สิ่งที่แพงอย่างแท้จริงก็คือเครื่องขุด เครื่องขุดเกรดดีมีราคาสูงกว่า 300,000 หยวน และแม้แต่เกรดทั่วไปก็ราคาสูงกว่า 100,000 หยวน”

กว่าสิบนาทีของการค้นหา ฉินเย่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

“และนี่ก็เป็นแค่ราคาของเครื่องมือเท่านั้น…มันยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับการออกแบบจากสถาบันการออกแบบซึ่งแบ่งออกเป็นสี่รูปแบบและ 12 มาตรฐานอีกด้วย ค่าธรรมเนียมในการออกแบบสิ่งก่อสร้างธรรมดาจะมีราคาระหว่าง 100,000 หยวนถึง 200,000 หยวน แต่ราคาของการออกแบบอาคารทรงสูงในรูปแบบของสถาปัตยกรรมโบราณอาจจะสูงกว่านี้มาก”

เงียบ

ทั้งคู่มองหน้ากันและกัน ภายในหัวของพวกเขามีเพียงความคิดเดียว เราจะไปหาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน?

อาร์ทิสจึงเสนอว่า “เหตุใด….เราไม่ลองไปถามธนาคารเงินของเจ้าดูล่ะว่าเราขอยืมเงินสักสองสามล้านได้หรือเปล่า?”

“ยืม?!” ฉินเย่เอ่ยออกมาฮึดฮัดขณะที่ตอบออกไปด้วยความโกรธ “ท่านคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าใช้ชีวิตอยู่มานานขนาดนี้เพื่ออะไร? ท่านคิดว่าข้าจำเป็นจะต้องไปขอยืนเงินจำนวนน้อยแค่นี้จากเด็กหรืออย่างไร?”

อาร์ทิสกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ นี่ไม่ใช่ยมทูตที่นางรู้จัก

บางสิ่งบางอย่างบอกนางว่ามันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น

ฉินเย่กระแอมเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “…ไม่จำเป็นต้องยืม…ฆ่าเขาซะ…แล้วข้าจะรับมรดกของเขาเอง อย่างไรเสีย มันก็ยังมีเก้าอี้ว่างอีกมากมายอยู่ที่ประตูนรกไม่ใช่หรือ? ข้าสามารถให้เขาไปนั่งหนึ่งในเก้าอี้เหล่านั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนได้”

อาร์ทิสจ้องลึกเข้าไปในตาของอีกฝ่าย “จิตใจนั้นดำมืดอย่างแท้จริง…แต่หากจะให้พูดกันตามตรง แม้แต่ตัวข้าเองก็คิดว่าความคิดนี้ก็ไม่เลวนัก…ตอนนี้เจ้ากำลังต้องการผู้ตรวจสอบอดีตกรรมเป็นอย่างมาก และมันก็เหนื่อยเกินไปที่เจ้าจะรับภาระทั้งหมดนี้เพียงตัวคนเดียว การมอบหมายงานให้กับคนที่เจ้ารู้จักก็เป็นความคิดที่ดี…ใช่แล้ว เราจะให้เขาเขียนพินัยกรรม เพื่อระบุให้เจ้าเป็นผู้รับมรดกทั้งหมดต่อจากเขาก่อนเป็นอันดับแรก…”

เรียกได้เลยว่าสิ่งที่ฉินเย่ต้องจ่ายนั้น มากจนเลยมาตรฐานที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก

ตอนนี้ยมโลกมีขนาดเพียงห้าตารางกิโลเมตรเท่านั้น เมื่อการขยายขนาดครั้งต่อไปมาถึง เขาก็จะต้องใช้เงินทุนจำนวนมากอีกครั้ง! เบ็ดเสร็จแล้วเขาอาจจะต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินหลักล้านก็เป็นได้!

และนี่ก็เป็นเพียงการลงทุนครั้งแรกเท่านั้น ยังมีของที่ใช้สำหรับก่อสร้างต่าง ๆ สิ่งก่อสร้างโบราณนั้นถูกสร้างด้วยไม้ อิฐ​และเซรามิกเคลือบ และราคาของวัสดุพวกนี้ก็ไม่ใช่ถูก ๆ เช่นกัน!

หากพิจารณาทุกอย่างแล้ว งานก่อสร้างอย่างเต็มรูปแบบภายในพื้นที่ห้าตารางกิโลเมตรของยมโลกในตอนนี้จะต้องใช้เงินอย่างน้อยที่สุดคือ สิบล้านหยวน!!!

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

เขาไม่ได้นำโทรศัพท์ไปที่ยมโลกด้วย ดังนั้นทันทีที่เขาเปิดเครื่อง ข้อความแจ้งเตือนมากมายก็เด้งขึ้นมาจากแอปโม่โม่อย่างรวดเร็ว

คุณมี 20 ข้อความใหม่และ 7 สายที่ไม่ได้รับ

มันจะต้องเป็นหลินฮั่นหรือไม่ก็ซู่เฟิงแน่ ๆ

“ว่าไง?” เขารีบโทรกลับไปหาหลินฮั่นอย่างรวดเร็ว ทันทีที่โทรติด เขาก็ได้ยินเสียงร้อนใจของหลินฮั่นดังออกมา “คุณอยู่ไหน?​ ทุกคนมารวมตัวกันที่จุดรวมพลแล้ว ตอนนี้ขาดคุณอยู่แค่คนเดียว นี่คุณตั้งใจให้ตัวเองเสียคะแนนก่อนที่ภาคการศึกษาจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการหรือไง?”

ฉินเย่ค่อนข้างมึนงง “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

หลินฮั่นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “นี่ คุณลืมไปแล้วเหรอ? วันนี้คือวันที่เรารวมตัวกันและมุ่งหน้าไปที่เมืองไดซานเพื่อฝึกอบรมเป็นเวลาสองเดือน ทุกคนมารวมกันหมดแล้ว เหลือคุณแค่คนเดียว อ้อ! แล้วก็นะ…หัวหน้าโจวเป็นผู้นำการเดินทางในวันนี้ด้วย….”

ก่อนที่หลินฮั่นจะเอ่ยจบ ฉินเย่ก็วางสายโทรศัพท์ และรีบคว้าเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งยัดใส่ในกระเป๋าเดินทาง จากนั้นก็รีบตรงไปที่มหาวิทยาลัยอันฮุ่ยทันที

ระหว่างทางออกมา นกกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งก็บินออกมาจากใต้เตียงและมุดเข้าไปในช่องระหว่างเข็มขัดของเขา จากนั้นเสียงของอาร์ทิสก็ดังขึ้น “เอาข้าไปด้วย”

“ท่านทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ข้าคืออดีตตุลาการนรกที่ดูแลมณฑลหมิงเฟิง! เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถปกครองทั้งมณฑลได้อย่างไร หากแม้แต่รวมจิตวิญญาณของตัวเองไว้กับสิ่งของ ข้าก็ยังไม่สามารถทำได้?”

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นชวนให้นึกถึงนักเรียนที่มาสาย เมื่อเขาไปถึงที่มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย รถบัสคันใหญ่สองคันก็จอดรออยู่หน้าทางเข้าหลักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โจวเซียนหลงจ้องมองฉินเย่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง ยื่นแขนไปด้านหน้าของฉินเย่ เผยให้เห็นนาฬิกาข้อมือที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีต “คุณดูด้วยตัวเองเถอะ”

ฉินเย่กระแอมแห้ง ๆ มองนาฬิกาและตอบว่า “…ยี่ห้อลองจินส์เหรอ?”

ให้ตายเถอะ…

เส้นเลือดบริเวณขมับของโจวเซียนหลงเต้นตุบ นี่พวกเขาคิดถูกหรือเปล่านะ ที่ฝากความหวังไว้กับคนแบบนี้? นักเรียนของเราจะไม่ถูกละเลยใช่ไหม?

“นี่มัน 8 โมงแล้ว!” ก่อนหน้านี้โจวเซียนหลงได้รับคำแนะนำจากหลี่เทาว่าให้ปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เขากลับพบว่าตัวเองไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องรับมือกับฉินเย่ หลังจากที่พยายามข่มเปลวไฟแห่งโทสะที่ลุกโชนในจิตใจ

เขาก็เอ่ยเสียงดังว่า “เมื่อคืนนี้พวกเราได้แจ้งให้ทราบแล้วว่ามีนัดรวมตัวตอน 07.30 น.! ก่อนหน้านี้เราก็พูดย้ำอยู่หลายครั้งตอนอยู่ที่การประชุมก่อนหน้านี้ ว่าให้รักษาระเบียบวินัยของตัวเองด้วย! อาจารย์ฉิน นี่คุณคิดจะทำให้คะแนนการสอนทั้งหมดในปีนี้ของตัวเองติดลบหรือไง?!”

“ผู้เฒ่าโจว” หลี่เทาชะโงกหน้าออกมาจากรถบัสด้วยรอยยิ้ม “ช่างมันเถอะ อาจารย์ฉินยังอายุน้อย เรารีบขึ้นรถกันก่อนเถอะ ตอนนี้อยู่ในช่วงหน้าหนาว และอากาศด้านนอกเองก็เย็นมากแล้ว”

โจวเซียนหลงยังคงมองเด็กหนุ่มราวกับยังต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อหันไปมองหลี่เทา เขาก็เหลือบสายตามองฉินเย่อีกครั้งก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งบนรถบัส

ฉินเย่โยนกระเป๋าเดินทางของตนเข้าไปในช่องเก็บสัมภาระและขึ้นไปนั่งบนรถเช่นกัน ทันทีที่เขาเดินขึ้นไป หลินฮั่นก็โบกมือให้เขาทันที เด็กหนุ่มเดินไปนั่งลงข้างอีกฝ่ายก่อนที่หลินฮั่นจะถามว่า “เขาโวยวายใส่คุณเหรอ? เมื่อคืนคุณไปนอนที่ไหนมา? ผมไปหาคุณก็ไม่เจอ”

“คุณจะเจอผมก็ตอนที่ตายแล้วเท่านั้นแหละ” ฉินเย่พึมพำและกลอกตาใส่อีกฝ่าย วันนี้เขาสวมแจ็คเก็ตตัวใหญ่ เขาดึงหมวกลงมาปิดหน้าและพูด “อย่าชวนผมคุย ผมง่วงมาก”

เขาเงียบไปเกือบตลอดการเดินทาง จากนั้น ประมาณสามชั่วโมงต่อมา ก็เห็นตัวอักษรปรากฏขึ้นให้เห็นว่า เมืองไดซาน

เขตของเมืองไดซานก็เป็นเมืองใหญ่ของมณฑล และด่านเก็บเงินของมันก็แตกต่างจากด่านเก็บเงินของเมืองเป่ากันเป็นอย่างมาก ด่านเก็บเงินของเมืองไดซานนั้นกว้างประมาณร้อยเมตร และการจราจรทั้งขาเข้าและขาออกจากตัวเมืองก็ค่อนข้างแออัดมาก

ต้นไม้สีเขียวเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งทาง ด่านเก็บเงินทั้งเจ็ดบริการยานพาหนะทุกคันอย่างเป็นจังหวะพร้อมเพรียงกันไม่ขาดช่วง นี่คือด่านเก็บเงินที่ถูกออกแบบมาในรูปแบบโบราณ โคมไฟพลิ้วไหวไปตามสายลมอยู่ใต้หลังคา แสดงให้เห็นถึงความโอ่อ่าและบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา

ฉินเย่ลืมตาขึ้นราวกับรู้เวลา

ในความเป็นจริงแล้ว เหล่าอาจารย์ทั้งหมดต่างลืมตาแทบจะพร้อมกัน ราวกับนัดกันไว้ พวกเขามองไปยังด่านเก็บเงินอย่างรู้ความหมาย

มนุษย์ธรรมดาจะเห็นว่ามันเป็นเพียงด่านเก็บเงินขนาดใหญ่ธรรมดาเท่านั้น ในขณะที่พวกเขากลับเห็นสิ่งที่เหนือกว่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น… พลังหยิน

“น้อยอย่างไม่น่าเชื่อ” ฉินเย่เงยหน้าขึ้นพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง

คนช่างพูดอย่างหลินฮั่นรู้สึกเกลียดเป็นอย่างมากที่คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขากลับหลับตลอดการเดินทาง ทันทีที่ฉินเย่ลืมตา คำพูดมากมายก็พรั่งพรูออกมาจากปากของเขาราวกับเขื่อนแตก

“แน่นอนอยู่แล้ว ปกติแล้วเรามักจะประสบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นในระดับนครและมณฑล แต่เมืองหลวงพวกนี้แทบจะไม่มีโอกาสในการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเลยสักนิด นอกจากนี้ก็แทบจะไม่มีเขตไล่ล่าให้เห็นอีกด้วย หรือต่อให้มี….ก็มักจะเป็นเขตไล่ล่าระดับนักล่าวิญญาณ เพราะเมืองหลวงพวกนี้ก็มีอิทธิพลเป็นอย่างมาก หากเกิดอะไรขึ้นในเมืองไดซาน ทั่วทั้งมณฑลอันฮุ่ยจะพากันตื่นตระหนก”

“อาจารย์ทุกท่าน” ทันใดนั้นเอง หลี่เทาก็ลุกขึ้นยืนและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมืองไดซานนั้นเป็นเมืองหลวงของมณฑลอันฮุ่ย และที่นี่ก็มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่าพันปี ผู้อำนวยการสวี่กับผมจะเดินทางกลับไปที่สำนักฝึกตนแห่งแรกทันทีที่เราได้ส่งตัวพวกคุณเรียบร้อยแล้ว แต่อันดับแรก เรามีบางอย่างที่ต้องพูดคุยกัน”

รอยยิ้มของเขาหายไปขณะที่เขากวาดสายตาไปทั่ว จากนั้นจึงเอ่ยด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมกว่าเดิม “ผมหวังว่าทุกท่านจะทำตามสิ่งที่เราบอกต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด”

เขาชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว “ประการแรก พวกคุณมาที่นี่เพื่อเรียนรู้ ไม่ใช่เพื่อสังหารปีศาจและภูตผี เรื่องของเมืองไดซานไม่ใช่สิ่งที่คุณจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว เมืองไดซานคือแกนหลักของมณฑลอันฮุ่ย และมันก็มีเจ้าหน้าที่ขั้นนักล่าวิญญาณหรือแม้แต่ขั้นยมทูตขาวดำอยู่จำนวนมาก การกระทำตามความต้องการของตนและการแทรกแซงกิจการของเมืองไดซานจะเท่ากับการท้าทายทางอำนาจ”

“ประการที่สอง…” สีหน้าและน้ำเสียงของเขาเข้มขึ้นกว่าเดิม “สำนักฝึกตนแห่งแรกเองก็ถือว่าเป็นโรงเรียนแห่งหนึ่ง และเมื่อเป็นโรงเรียน มันก็ย่อมมีคะแนนการสอน ซึ่งคะแนนการสอนนี้จะส่งผลโดยตรงกับสิทธิพิเศษที่ถูกมอบให้อาจารย์แต่ละท่าน และมันจะถูกรวมและประเมินในทุกภาคการศึกษา ดังนั้นโปรดจงใช้โอกาสที่ได้รับไปอย่างคุ้มค่าเพื่อกอบโกยคะแนนการสอนให้ได้มากที่สุด”

เขาแย้มยิ้มบาง “อย่างเช่นตอนนี้ เป็นต้น”

“สองเดือนหรือ 61 วัน นับเป็น 60 วันก็แล้วกัน พวกคุณจะได้รับคะแนนการสอนวันละหนึ่งคะแนนไปตลอดการฝึกอบรมที่วิทยาเขตหลัก เราจะรวมคะแนนการสอนทั้งหมดของคุณเมื่อสิ้นสุดสองเดือนที่นี่แล้ว เกณฑ์ผ่านคือ 60 คะแนน เมื่อรวมทั้งหมดแล้ว คุณจะได้รับการประเมินเป็นระดับ A ถึง D การที่จะได้ระดับ A คือคุณจะต้องได้ 100 คะแนนเต็ม ในขณะที่ระดับ D จะอยู่ที่ 60 คะแนนซึ่งเป็นเกณฑ์ผ่านนั่นเอง”

ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาและนั่งฟังต่อไป

หลี่เทาไม่ให้เวลาคนทั้งหมดในการตอบสนองเลยสักนิด เขาพูดต่ออย่างรวดเร็ว “ประการที่สาม พวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยตัวตนเองตัวเองโดดเด็ดขาด การละเมิดกฎข้อนี้จะถือว่าเป็นการเปิดเผยความลับทางราชการ”

“ประการที่สี่ เมืองไดซานมีทีมวิจัยที่กำลังทำงานในโครงการร่วมกับทาง SRC อยู่ การกระทำส่วนตัวซึ่งส่งผลให้เกิดการหยุดลงของงานจะถือว่าเป็นการแทรกแซงทันที แต่หากคุณอยากจะถูกขังเดียว คุณจะลองดูก็ได้ และห้ามทำร้ายผู้บริสุทธิ์หรือผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเป็นอันขาด”

“เอาล่ะ หลัก ๆ ก็มีอยู่สี่เรื่องนี้ เมื่อพวกเขากลับมาจากการอบรม ทางสำนักจะมีการนั่งสังเกตการณ์ในชั้นเรียนเพื่อประเมินถึงผลจากการฝึกอบรมในครั้งนี้ด้วย” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มบาง “สหายทุกท่าน คะแนนการสอนนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โปรด…อย่าได้คะแนนต่ำกว่า 60 คะแนนเป็นอันขาด…”

หลังจากเอ่ยจบ หลี่เทาก็นั่งลงและไม่สนใจเสียงพูดคุยของเหล่าอาจารย์ที่ดังขึ้น ฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากัน ความคิดมากมายเริ่มหมุนวนอยู่ภายในหัว

ตาแก่คนนี้….คำพูดของเขามีความนัยแฝงอยู่

มันสามารถเข้าใจได้หากเป้าประสงค์หลักที่ทางสำนักได้จัดตั้งไว้คือการใช้เวลา 60 ในการฝึกคนและเรียนรู้อย่างสงบ เพราะอย่างไรแล้ว ผู้ฝึกตนก็คือสิ่งมีชีวิตที่ไร้ซึ่งข้อจำกัดและข้อยับยั้งใดๆ ซึ่งอาจนำพาไปสู่ปัญหาได้ในช่วงแรก ๆ ของการฝึกอบรม แต่หากพวกเขาปฏิบัติตามกฎเพียงอย่างเดียว พวกเขาก็จะได้คะแนนการสอนเพียงแค่ 60 คะแนนเท่านั้น

แต่คะแนนสูงสุดสำหรับการอบรมในครั้งนี้กลับเป็น 100 คะแนนเต็ม

แล้วอีก 40 คะแนนที่เหลือมาจากไหน?

พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ไปแทรกแซงกิจการใด ๆ ของท้องถิ่น หรือว่าพวกเขาจะต้องไปแข่งขันกับเหล่าอาจารย์ท้องถิ่นแทน?

“มันจะต้องมีช่องโหว่ในสิ่งที่เขาพูดออกมาเมื่อครู่นี้แน่ ๆ ไม่สิ….นี่คือการทดสอบคุณสมบัติเบื้องต้นที่ผู้ฝึกตนพึงมี…” ฉินเย่หดตัวเข้าไปในเสื้อแจ็คเก็ตและกระซิบกับตัวเองเบา ๆ

“แม้ว่าสำนักฝึกตนแห่งแรกจะเป็นโรงเรียน แต่มันก็ยังเป็นโรงเรียนที่พิเศษกว่าโรงเรียนอื่น เหล่าผู้ฝึกตนคือปราการด่านแรกในการเผชิญหน้ากับกองกำลังจากใต้พิภพ มันคงไม่ถูกต้องนักหากอาจารย์ในสำนักจะเป็นแค่ครูธรรมคนหนึ่ง”

“และมันยังมีเจ้าหน้าที่ระดับ S ในกลุ่มคนเหล่านี้อีกด้วย ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าโจวเซียนหลงคงไม่อนุญาตให้พวกเขากล้าเป็นกลุ่มอาจารย์ที่เชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่ายแน่ ๆ และในเมื่อเป็นแบบนั้น….”

นกกระเรียนกระดาษบินแอบบินออกมาจากแจ็คเก็ตของฉินเย่ และกระซิบข้างหูของเด็กหนุ่มเบา ๆ “เขากำลังบอกให้พวกเจ้าแย่งคะแนนกัน”

จากนั้นอาร์ทิสจึงเอ่ยต่อว่า “เป็นเวลานานมากแล้วที่การพูดถึงผู้ฝึกตนไม่สามารถแยกออกจากกองกำลังของโลกใต้พิภพได้ ผู้ฝึกตนแต่เดิมแล้วเป็นที่รู้จักกันในชื่อของผู้ฝึกปราณ และพวกเขามักจะถูกกล่าวขานว่าเป็นทัพหน้าของสวรรค์ มันมีโอกาสมากมายที่รอให้มนุษย์ไขว่คว้าเอาไว้ ผู้ที่ไม่พยายามขวนขวายและเลือกที่จะแย่งชิงมันจะนำไปสู่ชีวิตที่แสนจะธรรมดา”

“ดูเหมือนว่าแดนมนุษย์จะยังไม่ลืมรากฐานของการฝึกตนไปเสียหมด สำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างผิดรากฐาน ข้าเริ่มจะสนใจผู้อำนวยการทั้งสองเสียแล้ว…อีกนานเพียงใดกันกว่าที่พวกเขาจะตาย?”

“ข้าไม่รู้…แต่ข้าเองก็หวังให้พวกเขาตายเร็ว ๆ และรีบเดินทางไปยังยมโลกเช่นกัน….” ฉินเย่กระซิบตอบ

ตั้งแต่ที่พวกเขาพบว่ายังมีเก้าอี้ว่างจำนวนมากอยู่ในนรก อาร์ทิสและฉินเย่ก็เริ่มมองหาผู้ที่มีฝีมือในทางที่ผิดมาโดยตลอด

หืม? พรสวรรค์งั้นเหรอ…

ก็ไม่เลวนี่…

ถ้าเช่นนั้นเขาก็ขอให้ทั้งคู่ตายโดยปราศจากความเจ็บปวดก็แล้วกัน หน้าที่การงานอันยิ่งใหญ่ในยมโลกกำลังรอพวกเขาอยู่!

ฉินเย่ส่ายศีรษะและสะบัดภาพแปลกประหลาดในหัวพร้อมกับพึมพำเบา ๆ ว่า “ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ…การเปิดเมินอาจารย์ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว?”

“ถูกต้อง” อาร์ทิสเอ่ย “และบททดสอบแรกก็คือการทดสอบความสามารถในการคว้าโอกาส”

“ส่วนตัวแล้วข้าคิดว่าสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรก พวกเขาไม่สนใจว่าผู้ฝึกตนจะทำตามข้อบังคับไหม สิ่งสำคัญคือพวกเขาสนใจแค่พวกโง่ที่แหกกฎข้อบังคับจนถูกจับได้ต่างหาก ที่แย่ไปกว่านั้น ผู้ฝึกตนที่รู้จักเพียงแค่การปฏิบัติตามกฎจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาพ่ายแพ้ให้กับคลื่นวิญญาณที่ไม่มีที่สิ้นสุดตั้งแต่เมื่อไหร่ ดังนั้นการเปิดหู เปิดตา และเปิดประสาทสัมผัสทั้งห้า จนสามารถสัมผัสกับคลื่นพลังหยินได้ในพริบตาเดียว ก็คือลักษณะของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่พวกเขากำลังตามหา”

*ภูเขาไท่ซาน แก้เป็น เมืองไดซานนะคะ

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset