ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 129: การประชุมครั้งแรกของอุตสาหกรรมการก่อสร้างแห่งยมโลก (1)

บทที่ 129: การประชุมครั้งแรกของอุตสาหกรรมการก่อสร้างแห่งยมโลก (1)

วิญญาณนับหมื่นตนที่เคยทำงานในอุตสาหกรรมการก่อสร้างมาถึงที่ด้านหลังของพระราชวังอย่างรวดเร็ว พวกเขาเดินตัวสั่นมาอย่างเงียบ ๆ ขณะที่มองไปยังรูปปั้นที่อยู่ทั้งสองฝั่งของทางอย่างหวาดกลัว ฉินเย่มองกลุ่มวิญญาณตรงหน้า มีจำนวนไม่น้อยที่เนื้อตัวเปียกโชก และพลังหยินที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขาก็เบาบางมาก

กลุ่มคนพวกนี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิต และมีสิ่งมีชีวิตเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ที่จะมีความสุขกับความรู้สึกเปียกชื้นนี้ได้

“เพราะว่ายมโลกแห่งใหม่เพิ่งเปิดตัว เราจึงมีขีดจำกัดทางการเงินและกำลังคนเป็นอย่างมาก ดังนั้นช่วยอดทนกันไปก่อน” เขาเอ่ยด้วยท่วงท่าสบาย ๆ

“พระราชวังแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่อื่นนอกจากประตูนรก และมันก็มีพื้นที่มหาศาล ที่นี่คือโถงหลักที่มีโถงย่อยอื่น ๆ อยู่ทางด้านข้างของทั้งสองฝั่ง และเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีและแสดงความจริงใจ เราไปคุยกันในห้องประชุมเถอะ”

เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว การนั่งอยู่บนเสื่อสวดมนต์ที่อยู่รอบ ๆ เท้าของพระกษิติครรภโพธิสัตว์พร้อมกับประชุมไปด้วยก็ทำให้รู้สึกไม่มืออาชีพเท่าไหร่นัก

ก่อนหน้านี้เขาได้ลองเดินดูห้องเสริมห้องอื่น ๆ แล้ว รูปแบบของมันเรียบง่าย แต่สวยงาม ที่สำคัญที่สุด…มันดูคล้ายกับห้องประชุมขนาดใหญ่ ทั้งยังมีเก้าอี้และโต๊ะเพียงพอสำหรับคนทั้งหมด….

ไม่มีใครเอ่ยคัดค้านออกมาสักคำ ความทรงจำเกี่ยวกับการตายของเกาต้าหูยังคงสดใหม่อยู่ภายในหัวของพวกเขา ร่างวิญญาณนับพันเดินตามฉินเย่ไปที่ทางเข้าของห้องโถงย่อยทันที ฉินเย่มองไปรอบ ๆ และเอ่ยว่า “เรามีจำนวนคนมากเกินไป ผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำธุรการมามากกว่าสามปี ยกมือขึ้น”

มือสิบกว่าข้างถูกชูขึ้นกลางอากาศ

“เจ้า เจ้า และเจ้า…” ฉินเย่ชี้วิญญาณตรงหน้า “พวกเจ้าจะต้องเป็นผู้จดบันทึกเนื้อหาการประชุมในครั้งนี้”

“ส่วนตอนนี้ ผู้จัดการแผนก หัวหน้าแผนก และผู้ที่ดำรงตำแหน่งที่สูงกว่านี้ยกมือขึ้น”

ครั้งนี้จำนวนมือที่ยกขึ้นนั้นน้อยกว่าเดิม มีทั้งสิ้นเพียงเจ็ดคนเท่านั้น

จำนวนกำลังพอดี….ฉินเย่คิดกับตัวเองอย่างพึงพอใจ การมีพ่อครัวมากเกินไปนั้นจะทำให้น้ำซุปเสีย ยมโลกในเวลานี้ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าหมู่บ้านแห่งหนึ่งเลยสักนิด ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโยนมันไปมาเหมือนกับแพนเค้กร้อน ๆ

“ดี เอาล่ะ คนที่เพิ่งถูกเรียก เดินตามข้ามา” ฉินเย่ผลักประตูและเดินเข้าไปด้านในก่อนที่คนอื่น ๆ จะเดินตามไปทันที

มันคือห้องโถงที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ พื้นที่ด้านในนั้นค่อนข้างกว้างขวาง ตัวอาคารหลังนี้ตั้งอยู่บนผืนดินที่มีขนาดประมาณหนึ่งสนามฟุตบอล ของตกแต่งด้านในยังมีไม่มากนัก มีเพียงโต๊ะกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 เมตรตั้งอยู่กลางห้อง และกองเก้าอี้ที่ถูกวางซ้อนกันอยู่ติดกับผนังด้านหนึ่ง

ไม่มีโต๊ะโบราณ เก้าอี้นอน หรือไม้แต่ภาพวาดวิวทิวทัศน์ อ้อ! ยังมีโคมไฟพระราชวังหลายร้อยดวงลอยอยู่เหนือศีรษะ น่าเสียดายที่ไม่มีดวงไหนเลยที่ไฟถูกจุด

“อาจจะยังลำบากไปสักหน่อย แต่เราต้องอดทนกันไปก่อน” ฉินเย่รู้สึกว่าใบหน้าของเขากำลังแดงก่ำไปด้วยความอับอาย นี่หรือที่เรียกว่า ‘ลำบากเล็กน้อย’….นี่มันไม่ต่างอะไรกับแหล่งเสื่อมโทรมเลยนะ!

ภาพของการประชุมอุตสาหกรรมการก่อสร้างครั้งแรกที่ถูกจัดขึ้นโดยเจ้านรกมันควรจะเป็นแบบนี้ —

ขั้นแรก ประธานของการประชุมจะจับเข้าที่ห่วงเหล็กสีทองของที่เคาะประตูที่เป็นรูปหัวอสูร จากนั้น เขาจะผลักประตูสีทองบานใหญ่ให้เปิดออก เผยให้เห็นดวงวิญญาณหญิงสาวงดงามมากมายอยู่ด้านใน และทั้งหมดต่างก็กำลังรอที่จะปรนนิบัติเขา ภาพลักษณ์ของพวกนางมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่มีรอยยิ้มน่ารัก ราชินีน้ำแข็ง รวมไปถึงเด็กสาวน่ารักข้างบ้าน

พวกนางทุกคนล้วนสวมชุดทรงโบราณแขนยาวที่ทำจากผ้าไหมเนื้อดี หรือไม่ก็ชุดกี่เพ้าที่ขับเน้นส่วนโค้งเว้าของเรือนร่างงามของผู้สวม

และทุกคนก็เดินเข้ามาเขาพร้อมกับน้ำชาที่หอมกรุ่น และถาดผลไม้ที่ถูกจัดอย่างสวยงาม ภาพวาดของฉินเย่ถูกแขวนไว้ที่แท่นซึ่งอยู่ตรงกลางห้อง ขนาบข้างด้วยธงดวงดาวสีแดงและธงที่มีสัญลักษณ์ของนรกในมณฑลอันฮุ่ย โต๊ะสีดำถูกเรียงรายออกไปในลักษณะของครึ่งวงกลม และอยู่รูปแบบของหอประชุมขั้นบันได

ขณะที่พวกเขาอยู่บนแท่นสูง วิญญาณซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญของสายอุตสาหกรรมทั้งหมดก็จะยืนปรบมืออย่างเกรียวกราว ขณะที่ธนบัตรนรกปลิวว่อนไปทั่วทุกทีราวกับเศษกระดาษที่โปรยในงานรื่นเริงต่าง ๆ ….เอ๊ะ….ทำไมภาพพวกนี้ถึงเริ่มเหมือนเป็นห้องโถงสำหรับไว้ทุกข์มากขึ้นเรื่อย ๆ กันนะ? หรือว่าเป็นผลมาจากสิ่งที่เราพบเห็นในช่วงที่ผ่านมานี้กัน?

แต่ไม่ว่ามันภาพที่เขาจินตนาการจะห่างไกลจากความเป็นจริงมากเพียงใด อย่างน้อยที่สุด มันก็ไม่ควรเงียบ มืดมน และน่าเศร้าขนาดนี้สิ

อ้อ!

เขาไม่มีแม้แต่ชาสักถ้วยสำหรับพวกเราทุกคนด้วย

“เชิญนั่ง” เขาบังคับตัวเองให้มีความฮึกเหิมและรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ขณะผายมือเชิญให้คนทั้งหมดนั่งลง

หากเขาแสดงท่าทีท้อแท้หรือหมดหวังออกไป พวกวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าจะมีความมั่นใจในการสร้างนรกขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างไร?

เมื่อเหล่าวิญญาณภายในห้องเริ่มจับจองที่นั่งของคนเอง ฉินเย่ก็ไล่สายตาไปมองคนทั้งหมด ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชายวัยกลางคน และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถือได้ว่าเป็นผู้สูงอายุ ฉินเย่กระแอมเล็กน้อยและเอ่ยว่า “ข้าขอเริ่มการประชุมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการก่อสร้างแห่งยมโลกขึ้น ณ บัดนี้!”

เสียงปรบมือดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่ผู้จดบันทึกเนื้อหาการประชุมทั้งห้าเตรียมจดสิ่งที่ตนได้ยินลงไปในสมุด

เงียบ

เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างเบาบาง เห็นได้ชัดเจนว่าผู้ปรบมือไม่ได้รู้สึกเต็มใจที่จะทำนัก

ไม่ว่าจะเขาจะใช้คำพูดที่ดูอลังการมากเพียงใด แต่มันก็ไม่สามารถปกปิดความจนของพวกเขาได้

ฉินเย่ตัดสินใจที่จะไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีก การประชุมจะต้องดำเนินต่อไป ในการสร้างเมืองเมืองหนึ่งขึ้นมา โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่เพราะการแพทย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นปัญหากับเหล่าภูตผี เป้าหมายแรกของพวกเขาในตอนนี้จึงมีเพียงเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น!

เด็กหนุ่มยิ้มให้กับคนทั้งหมด “ทุกท่าน เชิญแนะนำตัวได้เลย”

“รับทราบ” ชายที่มีใบหน้าคล้ายกับรูปสลักลุกขึ้นจากที่นั่งของตนและโค้งศีรษะให้กับคนอื่นๆ “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ฟางหยวน สาขาเมืองไดซาน ผมชื่อว่าซุนอันช่าน เป็นผู้จัดการทั่วไปของโครงการฟางหยวนพลาซ่า ผมบังเอิญตกจากที่สูงจนเสียชีวิตขณะที่ทำการตรวจงาน สหายทุกท่าน ผมหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกกันและกันในภายภาคหน้า”

สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่เขาทันทีที่เริ่มเอ่ยขึ้น แม้แต่ฉินเย่เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ฟางหยวน…เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงพอสมควร

พวกเขาอาจจะไม่ได้ดีพอ ๆ กับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลงที่เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในอุตสาหกรรมของมณฑลอื่น ๆ โดยรอบ แต่อาคารสถานที่สำคัญต่าง ๆ ของเมืองไดซาน กลับไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลง แต่เป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ฟางหยวน

ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟางหยวนพลาซ่า

ในความเป็นจริงแล้วฟางหยวนพลาซ่านั้น ถูกสร้างขึ้นหลายแห่งภายในเมืองหลวงของมณฑลต่าง ๆ เพราะว่ารวมเอาทุกอย่าง ไม่ว่าจะความบันเทิง อาหาร การจับจ่าย หรือการพักผ่อน ชื่อของฟางหยวนพลาซ่าจึงกลายเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ฟางหยวนก็ได้รับชื่อเสียง และกลายเป็นหนึ่งในสามกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของแผ่นดินจีน!

ใครก็ตามที่ได้รับหน้าที่ในโครงการฟางหยวนพลาซ่าในเมืองไดซานย่อมไม่ใช่คนที่สามารถหาได้ตามท้องถนน

ทันทีที่เขานั่งลง ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนและแนะนำตัวบ้าง “ผมทำงานที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลง ผู้จัดการทั่วไปรุ่นที่สี่ของถนนเถิงหลงเทียน เฉียนเทียนอี้”

“เมอร์คคอร์ปอเรชั่น พวกคุณอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทของเราแล้ว แน่นอนว่าพวกเราไม่ได้โด่งดังอย่างเพื่อนทั้งสองที่แนะนำตัวไปก่อนหน้านี้ พวกเรามุ่งเน้นการพัฒนาไปที่เมืองระดับสามและสี่ ผมเป็นผู้จัดการโครงการของเมอร์ค เราเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ดีที่สุดในนครหรงซิง มณฑลอันฮุ่ย”

“บริษัทก่อสร้างชุ่นด๋า ผู้จัดการทั่วไปของโครงการที่ทะเลสาบชิงผิงในเมืองไดซาน หูเฟิง”

ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นอีกครั้ง บริษัทก่อสร้างชุ่นด๋านั้นก็เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมการก่อสร้างชั้นนำของจีนเช่นกัน แต่สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้อสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นการวางโครงสร้าง!

มีการพูดคุยกันในอุตสาหกรรมการก่อสร้างว่าสิ่งสำคัญทั้งสามของอุตสาหกรรมการก่อสร้างก็คือสะพานทอง ถนนเงิน และบ้านทองแดง

คุณคิดหรือว่าการสร้างอสังหาริมทรัพย์คือสิ่งที่ได้ผลกำไรมากที่สุด?

ผิดแล้ว นี่เป็นเพียงสิ่งที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจไปเองจากการเห็นราคาของอสังหาริมทรัพย์แต่ละแห่ง แต่หากคุณมองลึกลงไปถึงอัตรากำไรของการสร้างสะพานและโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ คุณก็จะพบว่าอัตรากำไรของการก่อสร้างนั้นจะตกลงไปในทันที นอกจากนี้มันยังมีความเสี่ยงในด้านของการตลาดอีกด้วย ในขณะที่สะพานและถนนต่างเป็นโครงการจากรัฐบาลทั้งสิ้น!

และมันไม่ใช่แค่ผลกำไรเท่านั้น แต่ยังรวมไปการเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่เป็นที่น่าเชื่อถือของทางรัฐบาลด้วย

“ทะเลสาบชิงผิง สถานที่ที่สวยงามที่สุดในเมืองไดซาน หนึ่งในสถานที่สำคัญที่ได้รับการพัฒนาร่วมกับทางรัฐบาล แต่คุณหูดูเหมือนเพิ่งอายุสี่สิบต้น ๆ เท่านั้น ไม่ธรรมดาเลย” ฉินเย่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม คลายบรรยากาศที่ตึงเครียดภายในห้องลง

คำพูดที่เอ่ยออกมาจางยมทูตหนุ่ม ทำให้ผู้ที่ได้ยินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก คนที่เหลือจึงแนะนำตัวด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้น พวกเขาดูมีสีหน้าดีกว่าเมื่อครู่

“บริษัทอสังหาริมทรัพย์อา เป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ ผมชื่อว่าจ้าวกวงเหลียง และเพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทั่วไปของโครงการ อาจจะไม่ค่อยใหญ่โตเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับหลายท่านที่อยู่ที่นี่”

“บริษัทก่อสร้างและวิศวกรรมหวาชิง ซ่งหมิง ผมมีหน้าที่รับผิดชอบในแผนกอุปกรณ์ก่อสร้าง และถือได้ว่าเป็นบริษัทปลายสายของอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ยินดีที่ได้รู้จัก”

“กลุ่มหั่วเฟิง รับผิดชอบบริการหลังการขาย รวมไปถึงการลงทุนล่วงหน้าของอสังหาริมทรัพย์ ชื่อว่าหลี่ชวนอี่”

ฉินเย่พยักหน้าเล็กน้อยหลังจากการแนะนำตัวจบลง

ไม่เลว ความเชี่ยวชาญของพวกเขาครอบคลุมกับขอบข่ายงานทั้งหมดจริง ๆ

เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ทุกท่าน โดยพื้นฐานแล้ว พวกเรากำลังพยายามที่จะสร้างทุกอย่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เบื้องต้นข้าได้สั่งให้เหล่าวิญญาณบางส่วนไปปรับระดับพื้นดินแล้ว หากพวกเจ้ามีสิ่งใดเพิ่มเติมสามารถบอกกับข้าได้เลย มันจะเป็นการดีกว่าหากเราพูดคุยกันอย่างเปิดเผย”

“อุปกรณ์” เหล่าวิญญาณทั้งหมดต่างพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่มีอำนาจในนรก ในเวลาแบบนี้ไม่มีใครกล้าแสดงท่าทีหวาดระแวงอีกต่อไป หูเฟิงรีบอธิบายทันทีว่า “หากไม่มีอุปกรณ์​ มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถปรับระดับพื้นดินได้ด้วยกำลังคน หรือต่อให้สามารถปรับระดับพื้นดินได้ ท่านก็จะไม่สามารถวางรากฐานของอาคารได้อยู่ดี นอกจากนี้ การก่อสร้างโดยปราศจากการช่วยเหลือของอุปกรณ์สมัยใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก”

เขามองไปที่ฉินเย่อย่างจริงใจและเอ่ยต่อว่า “มันไม่ใช่ว่าพวกเราไม่สามารถหาคนที่รู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมโบราณได้ แต่คำถามก็คือเราจะหาคนเหล่านี้ได้สักกี่คน หนึ่งในแสน? หรือหนึ่งในล้าน? และพวกเขารู้วิธีการสร้างโครงสร้างโบราณหรือเปล่า? นายท่าน การขาดเครื่องมือทำให้ทุกอย่างยากขึ้นกว่าเดิมมาก”

“หัวหน้าหูพูดถูก” เฉียนเทียนอี้เอ่ยเสริมขึ้น “และนี่ก็เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นอกเหนือจากนั้น มันยังมีตัวแปรอื่น ๆ ที่จำเป็นจะต้องหารือและยืนยันก่อนถึงจะเริ่มงานก่อสร้างจริงได้ ยกตัวอย่างเช่น…ท่านต้องการสร้างอาคารในรูปแบบไหน?”

ฉินเย่นิ่งไป

เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะลืมอะไรบางอย่างไป

ทันทีที่เห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าขมวดคิ้วเข้าหากัน คนทั้งหมดก็ตัวสั่นด้วยความกลัวและเงียบเสียงลงอีกครั้ง ฉินเย่ที่ตระหนักได้จึงยิ้มออกมาบาง ๆ “หัวหน้าเฉียนเชิญพูดต่อเถอะ ข้าไม่มีความรู้เรื่องอุตสาหกรรมการก่อสร้างเลยสักนิด ปฏิกิริยาเมื่อครู่นั้นเกิดจากความคิดอื่น”

มีเพียงหลังจากคำยืนยันนี้เท่านั้นที่ทำให้คนทั้งหมดสบายใจลงได้

ถึงแม้ว่าในครั้งที่ยังมีชีวิตพวกเขาจะมีลูกน้องหรือวิศวกรหลายร้อยคนอยู่ภายใต้การดูแลและต้องรับมือกับโครงการมูลค่าหลายร้อยล้านอยู่เป็นประจำ แต่…ไม่ว่าการประชุมที่พวกเขาเคยมีส่วนร่วมนั้นจะมีความสำคัญหรือใหญ่เพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวและเป็นกังวลอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

เพราะอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็กำลังพูดคุยกับเจ้าของที่ดินซึ่งมีพลังในการกำจัดพวกเขาได้โดยปราศจากคำเตือนใด ๆ….

เฉียนเทียนอี้กลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล ในตอนที่ยังมีชีวิต เขาเกลียดมากเมื่อมีคนมาเรียกตนว่า “หัวหน้าฉิน” เพราะมันดูคล้ายกับคำว่า “อดีตหัวหน้า” นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน?! [1]

แต่ตอนนี้เขารู้ว่าตัวเองจะต้องข่มความรู้สึกแย่ ๆ พวกนั้นเอาไว้ ชายวัยกลางคนแย้มยิ้มอย่างจริงใจออกมาและเอ่ยว่า “คืออย่างนี้ครับท่าน ท่านไม่เคยคิดถึงรูปแบบของอาคารที่ท่านอยากจะสร้างบ้างเลยเหรอครับ?”

ดวงตาของฉ​ินเย่กะพริบถี่ ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาลืมไปคืออะไร

ภาพวาด!

พิมพ์เขียว! ภาพวาดจากสถาปนิก!

งานก่อสร้างนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างการก่ออิฐเพื่อสร้างตึกเท่านั้น มันต้องพิจารณาถึงรูปร่างและโครงสร้างของตัวอาคาร ตลอดจนองค์ประกอบโดยรวมของอาคารด้วย ทุกสิ่งจำเป็นจะต้องได้รับการวาดขึ้นอย่างละเอียดจากสถาบันออกแบบมืออาชีพ! จากนั้นงานก่อสร้างจึงจะสามารถดำเนินการได้

ยกตัวอย่างเช่น ฉินอยากที่จะสร้างนรกแห่งใหม่ขึ้นมาในรูปแบบของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เขาก็สามารถออกแบบมันตามอาคารในดูไบก็ย่อมได้!

ในขณะเดียวกัน เขาก็มีอิสระที่จะสร้างลานที่คล้ายกับในสมัยของราชวงศ์หยวนและราชวงศ์หมิง ประตูขนาดใหญ่จากราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง หรืออาจจะพระราชวังอาฝางกงที่โด่งดังก็ได้

แต่ไม่มีใครสามารถเดาได้เลยว่าฉินเย่ต้องการสร้างอาคารแบบไหน แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรกันดี?

“มีผู้ใดในที่นี้สามารถวาดพิมพ์เขียวได้บ้าง?” ฉินเย่เงยหน้าถามกลุ่มวิญญาณตรงหน้า

ชายทั้งเจ็ดมองหน้ากันและกันอย่างอึกอัก หลังจากผ่านไปสักพัก ซ่งหมิงกระแอมออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “หากพูดกันตามความเป็นจริง คนที่อยู่ในสายงานนี้นั้นมีไม่มากนัก และพวกที่สามารถรักษาความมั่นคงในงานของตนได้ก็ล้วนแต่มีเส้นสายของตัวเอง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะผ่านคุณสมบัติของพวกเขา…นายท่าน พวกเราลองถามกลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกดูดีหรือไม่?”

ทว่าก่อนที่ฉินเย่จะได้ตอบอะไร หนึ่งในกลุ่มผู้จดบันทึกการประชุมก็ยืนขึ้นและเดินออกไปด้านนอกทันที หลังจากผ่านไปสิบนาที เขาก็เดินกลับเข้ามาด้วยอาการหอบ

เขาส่ายหน้าและพูด “เรียนนายท่าน เหล่าวิญญาณด้านนอกไม่มีผู้ใดที่มาจากสายงานออกแบบเลยแม้แต่คนเดียว”

ฉินเย่ยกมือนวดขยับของตนอย่างขมขื่น ข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยของเขาได้สร้างปัญหาอันใหญ่หลวงให้กับแผนการทั้งหมดแล้ว

นอกจากนี้เขายังเพิ่งนึกถึงปัญหาสำคัญอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ พระราชวังนั้นมีพื้นที่กว้างมากจนต้องใช้เวลาถึงสิบนาทีในการเดินออกไปถามคำถามง่าย ๆ และเดินกลับมา นี่มันค่อนข้างยุ่งยากเกินไปแล้ว

เราควรปล่อยให้ทุกคนรู้เรื่องจริงไปเลยหรือเปล่านะ?

ไม่ เรื่องบางอย่างก็ไม่ควรมีคนรู้มากเกินไป

ให้ตายเถอะ…ถ้าตอนนี้เขายังต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมาย และยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้สักเรื่องเลยแบบนี้ แล้วต่อไปเขาจะติดตั้งไฟฟ้าให้คนพวกนี้หลังจากนี้ได้อย่างไร? แล้วโทรศัพท์มือถือกับสัญญาณอินเทอร์เน็ตอีกล่ะ?! ไม่ใช่ว่า…ไม่ใช่ว่านั่นมันมากเกินกำลังเขาแล้วหรือไง?

ฉินเย่บังคับตัวเองให้หยุดความคิดแง่ลบทั้งหมด และเอ่ยกับทุกคนด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวว่า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง พูดเรื่องต่อไปได้เลย”

ด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้งบนใบหน้า ฉินเย่เอ่ยต่อว่า “อย่างไรเสียนี่ก็คือการประชุมครั้งแรกของอุตสาหกรรมการก่อสร้างของเรา แม้ว่าจะมีเรื่องบางอย่างที่ยังขาดไปบ้าง แต่ข้าก็เชื่อว่าประสบการณ์และสติปัญญาอันเฉียบแหลมของพวกเจ้าจะสามารถชดเชยในสิ่งนี้ได้…ใช่หรือไม่?”

“เป็นเช่นนั้น” เหล่าวิญญาณทั้งหมดต่างเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างมากเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในแดนมนุษย์ ทว่าภายในใจของพวกเขาตอนนี้กลับสั่นสะท้านอย่างพร้อมเพรียงกันขณะที่สมองของพวกเขาเริ่มคิดอย่างบ้าคลั่ง

ที่รัก ท่านต้องการจะสร้างเมืองแบบใด? ท่านต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานอะไรบ้าง? ผมกำลังถือสายรออยู่นะ นี่มันเรื่องด่วนเชียวนะ!

ว่าไงนะ?! คุณจะบอกให้รอพรุ่งนี้เหรอ?! ที่รัก..ผมกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเสือที่ดุร้ายที่กำลังปั้นหน้ายิ้มให้ผมโชว์เขี้ยวแหลมคมของมันอยู่! นี่มันน่ากลัวว่าการรับมือกับประธานบริษัทเสียอีก! ผมว่าพวกคุณสามารถเริ่มจัดการเก็บศพของผมในวันพรุ่งนี้ได้เลย พวกคุณได้ยินหรือเปล่า?

[1] เป็นการเล่นคำ สกุลของชายผู้นี้คือเฉียน (钱) ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่าเฉียน (前) ที่แปลว่าก่อนหน้า

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset