ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 141: การประชุมใหญ่ของนรก(2)

บทที่ 141: การประชุมใหญ่ของนรก(2)

หนึ่งชั่วโมงก่อนการประชุมใหญ่

ด้านหน้าประตูนรกไม่เหลือที่ว่างอีกต่อไป

เหล่าวิญญาณที่ไม่สามารถหาที่นั่งได้เริ่มนั่งลงบนพื้น และเดินไปนั่งด้านหลังและยืนอยู่รอบ ๆ แทน พวกเขานั่งทยอยนั่งลงไปอย่างเป็นระเบียบ ทั้งหมดรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ด้านหน้าประตูนรก

ดวงวิญญาณทั้งหมดมาถึงภายในหนึ่งชั่วโมงแรกของการประกาศ แม้แต่ผู้ที่ควบคุมเครื่องจักรเองก็หยุดมือทำงาน และมารอการประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ

หัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดรับหน้าที่ในการก่อสร้างเวทีหลักที่ทางเข้าประตูนรก มันดูเรียบง่ายและทำขึ้นมาอย่างหยาบ ๆ เวทีถูกสร้างขึ้นมาโดยการใช้ไม้ และถูกตกแต่งด้วยดอกพลับพลึงสีดำและใบไม้สีแดงจากต้นไม้ที่อยู่รอบ ๆ แต่รูปลักษณ์ที่ธรรมดานั้นก็ไม่สามารถดับความตื่นเต้นของเหล่าประชากรวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ ได้

เสียงกระซิบที่เจือความตื่นเต้นสามารถได้ยินท่ามกลางเสียงสนทนาที่ดังขึ้นไปทั่ว ดังบ้างเบาบ้างเป็นครั้งคราว แต่กลับไม่มีวิญญาณตนไหนเลยที่ละสายตาจากเวที แน่นอนว่าการหลับตาพักผ่อนนั้นเป็นเรื่องดี แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่กับสถานการณ์ในตอนนี้!

ไม่มีใครเอ่ยเร่งการประชุม หลังจากนั้น ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งหลังจากการประกาศแรก การก่อสร้างเวทีหลักก็เสร็จสิ้นในที่สุด จากนั้น ทันทีที่ครบสองชั่วโมงตรง น้ำเสียงอันทรงอำนาจของอาร์ทิสก็ดังกึกก้องไปทั่วนรก “เงียบ” ทั้งสถานที่ตกสู่ความเงียบทันที

ภายใต้การจ้องมองของประชากรทั้งหมด ฉินเย่และอาร์ทิสค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนเวทีในร่างของยมทูต ซูตงเซวี่ยและหัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดเองก็เดินตามหลังขึ้นไปติด ๆ

ทุกคนเว้นแต่ฉินเย่ต่างนั่งประจำที่ของตน ในทางกลับกัน ฉินเย่เดินขึ้นไปที่โพเดียมโดยที่เอามือไพล่หลังขณะที่มองไปยังเหล่าดวงวิญญาณด้านล่าง จากนั้นเสียงของเขาก็ดังก้องไปในอากาศ

“นี่คือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์” ฉินเย่ไม่พูดพร่ำทำเพลงเอ่ยเข้าประเด็นทันที “วันนี้พงศาวดารแห่งยมโลกจะต้องถูกจารึก เพราะวินาทีนี้ ตรงนี้ พวกเราได้กำหนดทิศทางในอนาคตของยมโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

ตอนแรกเขาเพียงตั้งใจที่จะพูดเรื่องนี้อย่างสบาย ๆ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อเขาสังเกตเห็นสายตาที่จ้องมองกลับมาอย่างคาดหวัง เมื่อเขาสังเกตเห็นอุปกรณ์ก่อสร้างและเครื่องจักรที่ถูกจอดอยู่ห่างออกไป ทั้งหมดได้หยุดชะงัก และเมื่อเขามองไปยังป่าใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตร เขาก็รู้สึกถึงความรู้สึกอันทรงพลังที่อยู่ภายในร่างกายของตัวเอง

บอกพวกเขา

บอกพวกเขาถึงสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ บอกกระบวนการคิดทั้งหมดของเจ้าออกไป

ผู้ฟังในตอนนี้ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่พวกเขาก็ยังมีนิสัยของมนุษย์ทั่วไปอยู่ ร่างเนื้อของพวกเขาได้สลายไปแล้ว แต่ดวงวิญญาณของพวกเขายังคงอยู่ เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าประชากรวิญญาณทุกตนจะต้องเข้าใจสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อ

“เมื่อครั้งแรกที่ข้ารับหน้าที่นี้ บนที่ดินผืนนี้ไม่มีแต่หญ้าสักต้นให้เห็น ข้าคิดอยากที่จะยอมแพ้อยู่หลายครั้ง แต่ข้าก็ยังตัดสินใจที่จะยอมรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้และทำหน้าที่ตัวเองให้ถึงที่สุด”

“ข้าไม่มีเงิน ไม่มีกำลังคน และข้าสามารถทำได้เพียงทำทุกอย่างไปทีละขั้นเท่านั้น ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าทุกตนอาจจะยังไม่คุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว….ผู้ใดก็ตามที่เคยสัมผัสกับแสงสีของสังคมสมัยใหม่ย่อมพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะคุ้นชินกับชีวิตอันน่าเบื่อหน่ายของสังคมโบราณในนรก”

“ที่นี่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีภาพยนตร์หรือโทรศัพท์ สิ่งเดียวที่พวกเจ้าเห็นทุกวันมีเพียงความมืดอันไร้ขอบเขตและพลังหยินที่ไหลเวียนไปทั่ว แต่จงรู้ไว้….ที่แห่งนี้จะเป็นบ้านของพวกเราไปชั่วนิรันดร์ ในฐานะของผู้รับผิดชอบคนใหม่ของยมโลก มันเป็นหน้าที่ของข้าที่จะทำให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้นเพื่อพวกเจ้าทุกตน!”

เงียบ

ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงปรบมือก็ดังขึ้น และแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่า ดังกึกก้องและไร้ที่สิ้นสุด

อกของฉินเย่กระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย นี่คือวินาทีที่เขาได้สัมผัสถึงน้ำหนักที่แท้จริงของคำว่า ‘ความรับผิดชอบ’

มนุษย์คนหนึ่งนั้นมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน

เขาไม่ใช้วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่หรือจักรพรรดิผู้เกรียงไกร แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะตกต่ำสักเพียงใด เขาก็ต้องสัมผัสกับน้ำหนักของคำว่าความรับผิดชอบและหน้าที่อยู่ดี

แต่ถึงกระนั้น ความคาดหวังของประชากรวิญญาณนับหมื่นตนนั้นถือว่าเป็นภาระที่หนักมาก

เขาเอ่ยต่อ “ดังนั้น พวกเรา ผู้ที่สามารถเอาชีวิตรอดมาจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของนรกแห่งเก่า ได้กำหนดแผนการพัฒนาสำหรับนรกแห่งใหม่ขึ้นมา จากการใช้ชีวิตบนแดนมนุษย์มาเกือบหนึ่งร้อยปี ข้ารู้แล้วว่าวาทศิลป์และการพูดเกินจริงนั้นเปล่าประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ ข้าจะพูดให้ตรงประเด็นเลยก็แล้วกัน”

อาร์ทิสรู้ดีว่าฉินเย่กำลังจะพูดอะไร ทันทีที่เด็กหนุ่มพยักหน้าให้กับนาง นางก็ขยับนิ้วมือเล็กน้อย ทันใดนั้น วิญญาณทั้งหมดก็จ้องมาที่เวทีด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง

ณ จุดกึ่งกลางของเวที ม้วนกระดาษม้วนหนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกับคลี่ออกด้วยตัวมันเอง มันมีความยาว 100 เมตรและสูง 50 เมตร นี่คือภาพวาดอันวิจิตรตระการตาจนผู้ที่พบเห็นต้องเผลอกลั้นหายใจอย่างตกตะลึง!!

ความประทับใจแรกของมันคือสิ่งก่อสร้างสไตล์โบราณ

มันคืออาคารสูงสี่ชั้นที่มีความสูง 1,000 เมตรและความกว้าง 100 เมตร ตัวอาคารถูกสร้างขึ้นโดยใช้ไม้แดงและกระเบื้องสีดำ ประดับประดาด้วยจงกั๋วเจี๋ยแบบดั้งเดิม [1] ที่ห้อยลงมาจากชายคาของอาคาร นอกจากนี้ยังมีโคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่บริเวณด้านข้างของประตูแต่ละบาน เมื่อพวกมันถูกจุดขึ้น อาคารทั้งหลังพลันสว่างไสวอย่างหรูหราและงดงาม

บานหน้าต่างถูกสลักด้วยลวดลายงดงาม ในขณะที่ประตูเป็นประตูบานเลื่อนพับได้แบบจีนโบราณที่ถูกสลักเป็นลวดลายวิจิตร บางส่วนถูกสลักเป็นภาพสระบัว ในขณะที่บางส่วนเป็นภาพของนกกางเขนต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ โคมไฟพระราชวังสีเหลืองขนาดใหญ่ถูกแขวนอยู่เหนือประตูและละบาน ซึ่งหมายเลขห้องแต่ละห้องถูกวาดเป็นตัวหนาบนพื้นผิวของโคมไฟเหล่านี้

หน้าจอขนาดใหญ่ถูกวางอยู่ตรงทางเข้าใหญ่ของอาคาร อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ภาพวาด แต่มันคือภาพปักซูโจวโบราณที่โปร่งแสง โคมไฟกระดาษและว่าวรูปทรงและขนาดต่าง ๆที่ถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบจากเพดานห้องโถงที่อยู่ด้านหลังยิ่งเพิ่มความหรูหราแบบจีนดั้งเดิมให้กับการออกแบบทั้งหมด

และนี้ก็ไม่เหมือนกับการออกแบบสมัยใหม่ที่ออกแบบมาเพียงเพื่อที่จะเอาใจผู้พบเห็น แต่มันคือการออกแบบในรูปแบบของจีนโบราณอย่างแท้จริง

รูปปั้นของตี้ทิงสองตัวถูกวางอยู่ด้านนอกของอาคารสีแดงสด ทั้งหมดถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูงสีขาวและซุ้มประตูโค้งสีแดงทำหน้าที่เชื่อมบริเวณดังกล่าวเข้าด้วยกัน

อาคารขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นล้อมรอบลานกว้างพร้อมด้วยสระน้ำสามสระ ทั้งหมดมีความยาวอย่างต่ำ 2-3 เมตร ดอกไม้นรกลอยอยู่เหนือผิวน้ำของสระทั้งสาม ตัวดอกไม้ดูเหมือนจะถูกระบายด้วยสีชมพูอ่อน ๆ พร้อมด้วยเปลวไฟนรกที่เปล่งประกายอย่างน่าขนลุกอยู่ที่ก้านเกสรตัวเมียของดอกไม้เหล่านี้ ต้นหลิวสีแดงสวยงามพลิ้วไหวไปมาอยู่ข้างขอบสระทั้งสาม

เก้าอี้โบราณ ม้านั่งและโต๊ะถูกวางเรียงรายอยู่ริมน้ำ ในขณะที่ทางเดินหินทอดยาวไปสู่ศาลาหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณจุดกึ่งกลางของสระแต่ละสระ ผ้าไหมที่ประดับอยู่ในศาลาหินปลิวไปตามสายลมอย่างแผ่วเบา ในขณะที่กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของธูปแพร่กระจายจากกระถางธูปหลักไปสู่บริเวณโดยรอบ มันราวกับบทกวีที่มีชีวิต

ด้วยความช่วยเหลือของศาสตร์แห่งนรก อาร์ทิสได้สร้างภาพจำลองของอาคารจากแบบวาดอันเรียบง่ายที่ได้มา ภาพจำลองดังกล่าวมีความสวยงามกว่าเทคนิคการสร้างภาพจากแบบจำลองในสมัยใหม่เป็นอย่างมาก!

เหล่าวิญญาณทั้งหมดต่างตกตะลึงเป็นอย่างมากขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังม้วนกระดาษขนาดใหญ่อย่างด้วยสายตางงงัน ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง

“นี่คือ…ย่านที่อยู่อาศัย? หรือว่าพื้นที่สำนักงานกัน?” ชายชราเอ่ยถามเสียงสั่นและยื่นมือออกไปราวกับต้องการจะสัมผัสม้วนกระดาษตรงหน้า “พวกเรา…จะได้อาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอย่างนั้นหรือ?”

“นี่คือแผ่นดินจีนที่แท้จริง มันคงจะ…มีความสุขมากหากได้ใช้ชีวิตในสถานที่แบบนี้” วิญญาณวัย 70 กว่าอีกตนหนึ่งที่สวมเสื้อปฏิบัติการสีขาวยกมือขึ้นลูบเคราของตนขณะที่เอ่ยออกมาเสียงดัง

“มันสมบูรณ์แบบ…นี่คือส่วนหนึ่งของย่านที่อยู่อาศัยอย่างนั้นจริงหรือ?!”

“นี่จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของย่านที่อยู่อาศัยระดับสูงแน่ ๆ ให้ตายเถอะ! นายไม่สามารถฝันถึงอะไรพวกนี้ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ!”

“กำแพงโดยรอบจะต้องมีขนาดหนึ่งแสนตารางฟุตเป็นอย่างน้อย…เราสามารถสร้างอะไรแบบนี้ที่นี่ได้จริง ๆ น่ะหรือ? นี่มันน่าตื่นเต้นชะมัด!”

มันใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีก่อนที่ทั้งสถานที่จะปะทุขึ้นพร้อมกับเสียงพูดคุยและโห่ร้องที่ดังกระหึ่ม!

“เงียบ” ความรู้สึกพึงพอใจและความสำเร็จปะทุขึ้นภายในใจของฉินเย่ แต่เขายังคงรักษาใบหน้าที่เรียบนิ่งของตนเองเอาไว้และเอ่ยต่อ “นี่คือเป้าหมายแรกของบริษัทก่อสร้างหยินของเรา”

ดวงตาของประชากรทั้งหมดเป็นประกายขึ้น และพวกเขาก็จ้องไปที่ฉินเย่อย่างร้อนแรง

หยุดพูดวกไปวนมาได้แล้ว! เร็วเข้า! ท่านจะแบ่งการพัฒนาที่หรูหรานี้อย่างไร? นี่ฉันต้องขายตูดของตัวเองให้ท่านหรือไม่? เร็วเข้า รีบบอกมาเดี๋ยวนี้!

ฉินเย่ยังคงยืนแน่นิ่งและเอ่ยต่อด้วยความเร็วเท่าเดิม “ประการแรก ข้าต้องบอกให้พวกเจ้าทุกตนรู้ก่อนว่าอาคารนี้จะสามารถรองรับประชากรได้เพียง 20,000 ครัวเรือนเท่านั้น นี่คือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับกลางไปจนถึงระดับสูงของบริษัทก่อสร้างหยิน และมันจะไม่ใช้ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน”

“อย่างที่พวกเจ้ารู้ ยมโลกเองก็นับเป็นโลกใบหนึ่ง และมันก็ขึ้นกับองค์ประกอบของมันเองเช่นกัน ไม่ว่าจะฝนตก ลมแรง หรือไม้แต่ลูกเห็บตก ถึงแม้ว่าองค์ประกอบเหล่านี้จะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของพวกเจ้าทุกตนที่นี่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้โดยตรง หัวใจและความคิดของเราสองคล้องกับพวกเจ้าโดยตรง เราต้องการสิ่งที่พวกเจ้าต้องการ และพวกเราก็ปรารถนาสิ่งที่พวกเจ้าปรารถนาเช่นกัน ดังนั้นโครงการที่จะถูกเปิดตัวก็คือสิ่งที่พวกเจ้าเห็นอยู่เบื้องหน้าตอนนี้คือ สวนจี้ชั่ง[2]เมื่อสมัยเริ่มแรก”

ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถควบคุมบรรยากาศในตอนนี้ได้ทั้งหมดแล้ว ทันทีที่เขาอ้าปากพูด วิญญาณทั้งหมดต่างก็ตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ

สวัสดิการส่วนบุคคลและการจัดสรรห้อง! ที่รัก…สิ่งแรกในวาระการประชุมก็คือสวัสดิการ ไม่ใช่แรงงาน รัฐบาลนี้ทำงานได้ดีไม่ใช่หรือ?

“ระบบการเงินของนรกยังไม่ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมา ดังนั้นการจัดห้องภายในสวนฉินหยวนจึงจะขึ้นอยู่กับความพยายามในการมีส่วนร่วมของพวกเจ้าที่มีต่อนรก ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ และมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องรีบร้อน เมื่อระยะแรกเสร็จเรียบร้อย เราจึงจะเริ่มระยะ 2 ต่อ และสุดท้าย พวกเจ้าทั้งหมดก็จะมีที่พักอาศัยในยามค่ำคืนและมีอาหารให้ทานในทุกวัน”

วิญญาณนั้นไม่จำเป็นต้องนอนหลับหรือทานอะไรเพื่อดำรงชีวิต แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของความสุขในชีวิต

พวกเขาได้ตายไปแล้ว ดังนั้นเหตุใดจึงไม่ไขว่คว้าโอกาสในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ล่ะ?

“ในตอนนี้ ในบริษัทก่อสร้างหยินมีพนักงานอยู่ทั้งสิ้น 8,472 คน หลังจากที่การประชุมนี้จบลง ผู้ที่สนใจอยากจะมีส่วนร่วมในการบูรณะนรกขึ้นมาใหม่ให้ไปหาหัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดเพื่อลงทะเบียนทันที เมืองเป่าอันเป็นเพียงเมืองแรกที่จะได้รับการพัฒนา ในอนาคต มันจะมีเมืองสอง และเมืองที่สามตามมา จนกว่าดินแดนใต้พิภพของจีนจะกลายเป็นพื้นที่ของยมโลก!”

“ในอีกห้าปีข้างหน้า นรกจะอยู่ในช่วงที่สำคัญที่สุดของการขยับขยายตัว นครวิญญาณจะถูกสร้างขึ้นมาอย่างช้า ๆ ทุกอย่างที่พวกเจ้าสามารถเข้าถึงในครั้งที่ยังอยู่ในแดนมนุษย์ก็จะมีอยู่ในนรกเช่นกัน! เอาล่ะ เรามีเวลาสิบนาทีสำหรับการถามตอบ การประชุมใหญ่ครั้งแรกของนรกจะจบลงในอีกสิบนาที”

มือจำนวนมากถูกยกขึ้นทันทีที่เขาเอ่ยจบ

ฉินเย่ชี้ไปที่วิญญาณสาวคนหนึ่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นคนงานผิวขาว นางรีบลุกขึ้นยืนและเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “นายท่าน ถ้าเช่นนั้นมันก็หมายความว่าในอนาคต มันจะมีคาเฟ่ สปา ร้านเสริมสวย และร้านค้าอื่น ๆ อย่างนั้นไหมคะ?”

นี่เป็นคำถามที่ฉลาดไปเบาเลยไม่ใช่หรือ?

ฉินเย่รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย คำถามแบบนั้น…เขาจะควรตอบมันอย่างไรดี?!

นี่…มันอยู่นอกเหนือขอบเขตที่เขาคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง….เจ้าไม่คิดหรือว่าตัวเองคิดไกลเกินไปหน่อย?

“ตราบใดที่แดนมนุษย์มีมัน นรกก็จะมีสิ่งที่ดียิ่งกว่า!” แต่ในเวลาแบบนี้ เขาสามารถทำได้เพียงกัดฟันตอบออกไปเท่านั้น จากนั้นฉินเย่ก็ชี้ไปยังมืออีกข้างหนึ่งที่ชูอยู่ในอากาศ

“นายท่าน!” ครั้งนี้ มันคือชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูททรงตรง “ถ้าเช่นนั้น มันจะมีสินค้าหรูหราของนรกวางขายในอนาคตไหม? นอกจากนี้ มันจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างโรงยิม ห้องเล่นหมากรุกหรือไพ่…อ้อ แล้วกิจกรรมอย่างการแข่งขันเกมบริดจ์หรือไม่? แล้วสมาคมบาสเกตบอล สมาคมฟุตบอลล่ะ?”

อยากจะบ้าตาย…

ขอเตะให้กระเด็นสักทีได้ไหม?!

ฉินเย่ข่มความรู้สึกอันแรงกล้าที่จะเตะกลุ่มวิญญาณตรงหน้าให้กระเด็นออกไป ดี…พวกเจ้ากำลังพยายามชิงไหวชิงพริบกับข้าอยู่ย่างนั้นสินะ พวกเจ้าช่วยมองสิ่งที่มีในปัจจุบันและมองข้ามอนาคตไปก่อนไม่ได้หรืออย่างไร?

“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความเป็นไปได้ในการกลับไปเกิดใหม่นั้นจะเพิ่มขึ้นหลังจากที่เราสร้างกงล้อแห่งสังสารวัฏ นรกทั้ง 18 ขุม สะพานไน่เหอ และ หินสามชาติภพ ขึ้นมาใหม่แล้วเท่านั้น และก่อนเวลานั้นจะมาถึง สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือการชดใช้บาปของชาติที่ผ่านมาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของพลเมืองทุกตนในนรก ด้วยวิธีนี้ พวกเจ้าจะสามารถมุ่งมั่นที่จะไปเกิดใหม่ในระดับที่ดีกว่าได้ ในเรื่องนี้ ทันทีที่การพัฒนาโดยรวมของยมโลกถึงระดับหนึ่ง เราก็จะสามารถขยายมุมมองและเริ่มพัฒนาองค์รวมของ ไม่ว่าจะเป็นด้านศีลธรรม สติปัญญา ร่างกาย สุนทรียศาสตร์และแรงงานได้”

[1] จงกั๋วเจี๋ย(中国结) หรือศิลปะเชือกถักจีนเป็นงานศิลปหัตถกรรมตกแต่งซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและความมั่งคั่ง

[2] สวนจี้ชั่ง หรือเรียกอีกอย่างว่า สวนฉิน เป็นสวนแบบจีนโบราณทางภาคใต้ของจีน

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

Status: Ongoing
ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset