ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 226: สั่นสะเทือนแวดวงวิชาการ

บทที่ 226: สั่นสะเทือนแวดวงวิชาการ

“ครับ !!” ถึงแม้ว่าเสี่ยวโจวจะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็รู้ว่ามันจะต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน จึงไม่แม้แต่จะสนใจที่จะทานอาหารของตนให้เสร็จและรีบวิ่งไปที่ห้องเก็บเอกสารทันที

การหายใจของเจินเต้าหมิงถี่และเร็วขึ้น เขาเช็ดปากของตนอย่างเร่งรีบขณะที่กำกระดาษด้วยมือที่สั่นเทา

ไม่มีใครรับรู้ถึงข้อเท็จจริงว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในหัวหน้าสืบสวนที่กำลังสนใจความลึกลับเกี่ยวกับคดีศพไร้หัว 33 ศพที่เมืองจางเจียงอยู่เช่นกัน

และมันก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเรื่องนี้มันฝังอยู่ในใจของเขาแค่ไหน

อันที่จริง เขาได้เห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดและไม่สามารถอธิบายได้ที่คล้ายกันนี้มาตลอดหลายสิบปีที่รับราชการมา คดีพวกนี้แปลกจนไม่มีใครรู้เลยว่าควรเริ่มสืบสวนตรงไหนหรือควรไปหาเบาะแสเพิ่มเติมที่ใด ในความเป็นจริงมันยังมีเหตุการณ์ที่พวกเขาสงสัยว่าเป็นฝีมือของวิญญาณที่ลงมือในตอนกลางวันแสก ๆ ด้วยซ้ำ ! เหตุการณ์แปลกประหลาดพวกนี้ล้วนเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าเขตไล่ล่าทั่วไป และทั้งหน่วยสอบสวนพิเศษและ SRC ต่างก็ไม่รู้เลยว่าพวกเขาควรจะแก้ปัญหาพวกนี้ได้อย่างไร

อย่างน้อยที่สุดนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้

เขาจ้องพาดหัวข้องานวิจัยเขม็ง

“การกลายพันธุ์ของวิญญาณ: สาเหตุ พัฒนาการ และความเป็นไปได้”

“ผู้เขียนหลัง: อาจารย์ฉินเย่ สำนักฝึกตนแห่งแรก”

“ผู้เขียนร่วม: อาจารย์ซู่เฟิง และอาจารย์หลินฮั่น สำนักฝึกตนแห่งแรก”

“วิญญาณวัฒนาการไปตามกาลเวลา ? และลักษณะของการวิวัฒนาการก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม… นอกจากนี้ ผู้กระทำผิดในเหตุการณ์นั้นก็อยู่ข้างกายเรามาตลอด ?” น้ำเสียงของเขาสั่นเทาขณะที่เขารีบเดินออกจากห้องทำงาน เมื่อเขามาถึงหอประชุม เจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็มารอเขาอยู่ก่อนแล้ว

“ทุกคน” เขาสู้หายใจเข้าช้าๆและโยนเอกสารไปที่กลางโต๊ะ ริมฝีปากของเขาแห้งผาก “พวกคุณได้มีโอกาสอ่านบทความวิจัยนี้หรือยัง ?”

……………

ในเวลาเดียวกัน ณ อาคารซิงเฉิน สำนักงานใหญ่ SRC

ตัวอาคารถูกสร้างขึ้นเป็นรูปของดาวห้าแฉก และมันก็คือเหตุผลที่ทำให้อาคารหลังนี้ถูกรู้จักในชื่อของอาคารซิงเฉิน ทั้งอาคารอัดแน่นไปด้วยห้องปฏิบัติการวิจัยที่สำคัญของ SRC มันผ่านเวลาอาหารเที่ยงมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่มันกลับอื้ออึงไปด้วยเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นที่ดังขึ้นจากทั่วทุกมุมของอาคาร

“นายได้อ่านบทความวิจัยวันนี้หรือยัง ?” ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวกำลังพูดคุยกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับเนื้อหาวิจัยที่พวกเขาเพิ่งได้อ่าน พวกเขาไม่สนใจกล่องอาหารกลางวันที่ตนได้นำมาและถูกทิ้งไว้ที่มุมหนึ่งของห้องเลยแม้แต่น้อย

“ฉันอ่านแล้ว ฉันคิดว่า… ผู้เขียนพูดถูก !” นักวิจัยร่างสูงเอ่ยอย่างตื่นเต้น “มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่สามารถอธิบายได้หากเรามองมันจากมุมมองใหม่ที่เขาได้เสนอมา อันที่จริง นี่ทำให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับเขตลึกลับที่ก่อนหน้านี้ถูกจัดให้เป็นเขตที่อันตรายกว่าเขตไล่ล่าทั่วไปได้มากขึ้นด้วยซ้ำ !”

“ฉันเห็นด้วยว่าบางเรื่องดูสมเหตุสมผลขึ้นเมื่อมองจากมุมมองพวกนี้” นักวิจัยอีกคนหนึ่งเอ่ยเสริม “แต่คำถามก็คือเราจะสามารถผลักดันสมมติฐานของเขาไปได้มากแค่ไหน และเราจะสามารถนำมันมาประยุกต์ใช้ได้มากน้อยเพียงใด ?”

ทันใดนั้นเอง เสียงประกาศภายในอาคารก็ดังขึ้น

“นักวิจัยทุกคนที่อยู่ในระดับปริญญาเอกขึ้นไปให้มารวมตัวกันที่หอประชุมเดี๋ยวนี้ ย้ำ นักวิจัยทุกคนที่อยู่ในระดับปริญญาเอกขึ้นไปให้มารวมตัวกันที่หอประชุมเดี๋ยวนี้…”

สิบนาทีต่อมา พร้อมกับเสียงฝีเท้ามากมายที่ดังขึ้น หอประชุมหลักของสำนักงานใหญ่ SRC ก็ถูกอัดแน่นไปด้วยผู้คน

นี่คือหัวใจของ SRC แนวหน้าของการแสวงหาความรู้ พวกเขามีบุคลากรหลายพันคน รวมถึงศาสตราจารย์และนักวิจัยผู้มีฝีมืออีกจำนวนมาก ดังนั้นหอประชุมหลักของพวกเขาจึงมีขนาดใหญ่กว่า 200 ตารางเมตร และในเวลานี้ ทั่วทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้อ่านไป

“นี่จะต้องเกิดขึ้นเพราะบทความวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์วันนี้แน่ ๆ…” ศาสตราจารย์ผู้ซึ่งมีผมขาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ประจำที่ของตนเอ่ยออกมา “ยอดเยี่ยมมาก… ผู้เขียนจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับชาติแน่นอน ตรรกะที่ลื่นไหลและการเลือกตัวอย่างที่เหนือชั้นสามารถดึงดูดความสนใจจากทุกคนได้ในทันทีที่เริ่มอ่าน”

“หากคุณถามผม ความเข้าใจของเขานั้นคือจุดที่น่าชื่นชมที่สุด” ชายอีกคนหนึ่งในวัย 40 หัวเราะออกมาเบา ๆ “มันเป็นเรื่องยากมากที่จะสามารถหาคนที่มีไหวพริบเช่นนี้ได้ในแวดวงวิชาการของเราทุกวันนี้ อันที่จริง ผมสามารถพูดได้เลยว่าต่อให้เขาจะเขียนออกมาได้ไม่ดี เขาก็สมควรที่จะได้รับการตีพิมพ์ทั้งหน้ากระดาษเมื่อพิจารณาจากมุมมองความเข้าใจของเขาเพียงอย่างเดียว และผมต้องขอพูดเลยว่าครั้งนี้หัวหน้าบรรณาธิการเหยาทำมันออกมาได้ดีจริง ๆ”

“คุณพูดถูก บทความวิจัยนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านอย่างแท้จริง จะว่าไป… พวกคุณเห็นความคิดเห็นด้านล่างหรือยัง ? มันเขียนเอาไว้ว่าศาสตราจารย์ยวีเป็นผู้ยืนยันเนื้อหาวิจัยนี้ด้วยตัวเอง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเขาได้ตรวจสอบทั้งหมดแล้ว แล้วคุณรู้ไหมว่านั่นมันหมายความว่าอะไร ? มันหมายความว่าเนื้อหาทั้งหมดนี้เป็นความจริง !” หญิงในวัย 50 กว่าที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันเอ่ยเสริม

“ซึ่งในทางกลับกัน นี่หมายความว่า…” เธอปรับแว่นสายตาของตนเอง “ฉันรอที่จะกลับไปตรวจดูที่ ‘เขตนักล่า’ อีกรอบไม่ไหวแล้ว !”

“ทุกคนอยู่ในความสงบ” ขณะนั้นเอง เสียง ๆ หนึ่งก็ดังก้องไปทั่วห้อง ทางเข้าทั้งสี่ของหอประชุมถูกปิดสนิทและร่างสามร่างก็พากันเดินมาที่โพเดียม ทันใดนั้นทั่วทั้งหอประชุมก็ถูกปกคลุมไปด้วยเสียงครางอย่างตกตะลึง

“ศาสตราจารย์ยวี ? ศาสตราจารย์ซ่ง ? ศาสตราจารย์เซี่ยง ?”

“ศาสตราจารย์ผู้ก่อตั้งทั้งสามของ SRC มาที่นี่พร้อมกัน ?”

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะประเมินผลกระทบของบทความวิจัยต่อแวดวงวิชาการต่ำไปเสียแล้ว…”

“แน่นอน ! มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ! ฉันหมายถึง ปกตินายเห็นศาสตราจารย์ยวีแสดงความคิดเห็นในเล่มวิทยานิพนธ์ของคนอื่นบ่อยแค่ไหนกัน ?”

“อยู่ในความสงบ” ชายร่างท้วมที่ยืนอยู่ตรงกลางสุดคือศาสตราจารย์ซ่ง แต่บนใบหน้าของเขากลับไม่มีรอยยิ้มอยู่เลยสักนิด กลับกัน สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและจริงจังเป็นอย่างมาก “วันนี้ เมื่อครู่ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ได้ตีพิมพ์บทความวิจัยที่จะถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในงานวิจัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์”

มันไม่มีเวลาหรืออารมณ์มาพูดเรื่องไร้สาระใด ๆ ทั้งสิ้น

ในฐานะสามเสาหลักของ SRC ศาสตราจารย์ทั้งสามย่อมรู้ดีว่าบทความวิจัยนี้ได้สร้างผลกระทบอย่างไร

เซลล์มะเร็งที่มีชื่อว่า ‘เขตนักล่า’ นั้นแพร่กระจายไปทั่วจีน พวกมันคือพื้นที่ซึ่งถูกจัดว่ามีความอันตรายมากกว่าเขตไล่ล่าทั่วไป แต่บทความวิจัยนี้กลับกำหนดพื้นฐานที่พวกเขาสามารถสร้างวิธีตอบโต้กับเขตนักล่าเหล่านี้ได้ หากพูดกันตามจริง มันยังได้มอบคำใบ้ในการกำจัดพื้นที่สีแดงที่อันตรายกว่าเขตนักล่าให้กับพวกเขาอีกด้วย !

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามันมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องปรบมือ เราไม่มีเวลาสำหรับเรื่องพวกนั้น ! ตั้งใจฟังให้ดี ! เมื่อการประชุมนี้จบลง ผมขอให้พวกคุณทุกคนจัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อตรวจสอบและศึกษาเขตนักล่าแต่ละแห่งด้วยความรู้ที่ได้จะบทความวิจัยนี้ !”

……………

ในเวลาเดียวกัน ณ ฐานทดลองทางดาราศาสตร์ เมืองจูโจว

เกิดการประชุมใหญ่ขึ้นที่นี่ในเวลาเดียวกันกับการเรียกประชุมด่วนที่ถูกจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ SRC แต่ทิศทางในการประชุมของพวกเขากลับแตกต่างออกไปเล็กน้อย

ไม่เหมือนกับ SRC ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทรัพยากรของรัฐบาลจีน ฐานทดลองทางดาราศาสตร์นั้นภาคภูมิใจกับคติพจน์ที่ว่าน้อยแต่มากของพวกเขา ยิ่งจำนวนพื้นที่สีแดงที่ปรากฏขึ้นรอบพื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียงเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ความสำคัญของฐานทดลองทางดาราศาสตร์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น

พวกเขารู้ดีว่ามีวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวและมีพลังเหนือวิญญาณตนอื่น ๆ อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง มันอาจจะเป็นวิญญาณที่มีอายุกว่าพันปีเลยก็ว่าได้ ทว่าไม่ว่าจะทำอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งของมันได้เลย

“ฉินเย่ ! คุณเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนไหม ?” ห้องประชุมไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก และการประชุมของพวกเขาก็ไม่สามารถเทียบได้เลยกับการประชุมของทาง SRC รอบโต๊ะที่มีความยาวไม่ถึง 20 เมตร… มีคนนั่งอยู่เพียงสิบคนเท่านั้น และอายุของพวกเขาก็ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ไม่” ชายชราคนหนึ่งส่ายหน้าไปมาขณะเอ่ยตอบ “แต่ผมมั่นใจว่าชื่อของเขาจะกลายเป็นหนึ่งในชื่อที่สำคัญที่สุดในไม่ช้านี้”

“ผมไม่รู้ว่าเขาจะสำคัญหรือไม่ และผมก็ไม่สนใจเรื่องนั้นด้วย ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมต้องการก็คือการนั่งเผชิญหน้ากับเขาและใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีและข้อสมมติฐานของเขาเท่านั้น !” ชายสูงวัยอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “พื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียงเป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งได้รับความเสียหายมากที่สุดจากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ! มณฑลทางตะวันออกอีกสามแห่งเองก็เช่นกัน – มณฑลเสฉวนตรวจพบค่าพลังหยินจำนวนมหาศาล โชคดีที่ที่นั่นคือสถานที่ซึ่งสำนักของจางเทียนซือตั้งอยู่ พวกเขาจึงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นเรา นอกจากนี้พื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียงก็ได้ประสบกับเหตุการณ์ที่คล้ายกับคดีศพไร้ศีรษะ 33 ศพที่ถูกพบที่เมืองจางเจียงอยู่หลายสิบครั้ง !”

เขาลุกขึ้นยืนและเอ่ยกับผู้เป็นประธานในที่ประชุมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เหล่าเล่ย! ทำไมคุณถึงดูใจเย็นนัก ? ไม่ใช่ว่าคุณควรจะรีบส่งจดหมายเชิญไปให้เขาเลยอย่างนั้นหรือ ?! ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องทำคุณฉินเดินทางมาที่จูโจวให้ได้ ! มันเป็นเรื่องสำคัญมากจริง ๆ!”

“ผมส่งจดหมายเชิญไปให้เขาแล้ว” ชายชราที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งหัวโต๊ะในตอนนี้มีร่างกายกำยำและแตกต่างจากนักวิจัยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เขาดูเหมือนกับเหล่าผู้ฝึกตนจากหน่วยสอบส่วนพิเศษเสียมากกว่า เขากอดอกและถอนหายใจออกมาเบา ๆ “แต่… ศูนย์วิจัยแรกเริ่มที่เฉิงตู ศูนย์วิจัยและพัฒนาโจวเฉิงที่ลั่วเหอ อาคารตงไห่ 653 และสถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียงแห่งอื่นก็ส่งจดหมายเชิญไปให้คุณฉินเช่นกัน”

เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และมองไปนอกหน้าต่างด้วยดวงตาที่วาวโรจน์ “สถานการณ์ที่จูโจวทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา… มณฑลทางตะวันออกอีกสามแห่งก็ได้ส่งคำขอความช่วยเหลือไปที่เมืองเยียนจิงนับครั้งไม่ถ้วน หากพูดกันตามจริง เก้าในสิบของหมู่บ้านใกล้เคียงตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไปหมดแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองอื่น ๆ พวกเราได้คาดการณ์กันไว้แล้วว่ามันจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และกองกำลังติดอาวุธหลายกลุ่มก็เริ่มรวบรวมกำลังพลของตัวเอง แม้แต่ตอนนี้เอง ที่เมืองเฟิ่งเทียนก็มีผู้บังคับบัญชาการของหน่วยสอบสวนพิเศษประจำการอยู่แล้วถึงสี่คน บทความวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ออกมาได้ถูกเวลาจริง ๆ …มันมีค่ามหาศาล”

“ดังนั้น พวกเราจึงต้องเชิญเขามาที่นี่ให้ได้ !”

ทุกคนภายในห้องถอนหายใจออกมา และทันใดนั้นพวกเขาก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง “แต่วิธีนี้ไม่ได้แน่ ! เหล่าเล่ย เขาจะเลือกไปสถาบันวิจัยไหนได้อย่างไรในเมื่อมีจดหมายเชิญส่งไปถึงเขามากมายขนาดนี้ ? พวกเราคือฝ่ายที่ต้องการตัวเขามากที่สุดในตอนนี้ ! หรือ… หรือผมควรเดินทางไปที่สำนักฝึกตนแห่งแรกเพื่อเชิญเขาด้วยตัวเองดี ?”

“ไม่จำเป็น เมืองเป่าอันยังไม่เปิดให้คนนอกเข้า หรือต่อให้เราสามารถเข้าไปได้ เราก็ไม่สามารถออกมาได้อยู่ดี พวกเขากำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ยุ่งยากเกินกว่าที่คุณหรือผมจะสามารถจินตนาการได้” เหล่าเล่ยเคาะโต๊ะเบา ๆ และเอ่ยต่อ “เหตุผลที่ผมเรียกพวกคุณมาประชุมก็เพื่อที่จะบอกให้พวกคุณทราบว่าไม่ว่าคุณฉินจะเลือกไปที่ไหน พวกเราจะเดินทางไปที่นั่นทันที”

“พวกเราจะไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้พูดคุยเรื่องนี้กับเขาเด็ดขาด !”

สิ้นสุดเสียงพูด การประชุมก็จบลง คนอื่น ๆ ต่างทยอยกันเดินออกจากห้อง เหลือเพียงเหล่าเล่ยเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่ เขาหยิบกระดาษขึ้นมาและอ่านเนื้อหาของบทความอีกครั้ง

“วิเศษมาก” สิบนาทีต่อมาเขาวางเอกสารในมือลงและถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ฉินเย่เหรอ ? เราไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน นี่เขาเป็นนักบุญที่มาจากที่ไหนกัน ?”

……………………………………………………………………

“อาจารย์ฉินเย่ อาจารย์ซู่เฟิงและอาจารย์หลินฮั่นของสาขาการต่อสู้ ขอเชิญมาที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการเดี๋ยวนี้ ย้ำ อาจารย์ฉินเย่ อาจารย์ซู่เฟิงและอาจารย์หลินฮั่นของสาขาการต่อสู้ ขอเชิญมาที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการเดี๋ยวนี้…”

ในขณะที่โลกวิชาการกำลังพูดถึงบทความวิทยานิพนธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์อย่างล้นหลาม ทางสำนักฝึกตนแห่งแรกเองก็เช่นกัน

“บ้าหน่า ?!” เหล่าอาจารย์ผู้สอนหลายท่านอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเมื่อพวกเขาได้เห็นบทความหนึ่งหน้ากระดาษที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ฉบับของสัปดาห์นี้

“นี่ผมตาฝาดหรือเปล่า ? ฉินเย่ หลินฮั่น และซู่เฟิงเนี่ยนะ ? พวกเขาลดชั่วโมงการสอนก็เพื่อสิ่งนี่น่ะเหรอ ?”

“นี่มัน… สุดยอดไปเลย ! การตีพิมพ์เต็มหน้าในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ ?!”

“ให้ตายเถอะ… ทำไมมันถึงรู้สึกว่าเราใช้ชีวิตอยู่กันคนละโลกแบบนี้ ? ความสำเร็จของพวกเขาทำให้เราอับอายอย่างแท้จริง !”

เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงดังขึ้นให้ได้ยินจากทั่วทุกมุมของสถาบัน แม้แต่ในแอปโม่โม่เองก็มีการแสดงความคิดเห็นกันในกลุ่มและกระทู้ต่าง ๆ อย่างบ้าคลั่ง

“สุดยอด !”

“สุดยอดx2 !”

“ส่งอั่งเปามาเดี๋ยวนี้ !”

“นี่… มันงานของปีศาจชัด ๆ! บ้าไปแล้ว!”

“ให้ตายเถอะ… ตำแหน่งอาจารย์ผู้สอนดีเด่นในภาคการศึกษาแรกถูกจองไปแล้วใช่ไหม ? มันจะต้องใช่ ! มันจะต้องใช่แน่ ๆ!”

“ทั้ง ๆ ที่ฉันกำลังพยายามทวนแผนการสอนของตัวเองอย่างเคร่งเครียดด้วยความหวังว่าจะสามารถตามพวกนายได้ทัน แต่พวกนายกลับทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่เราแบบนี้เนี่ยนะ ?!”

ทุกกลุ่มต่างพูดคุยกันอย่างบ้าคลั่ง !

บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้เข้าใจถึงความสำคัญของบทความนี้อย่างแท้จริง แต่การที่ไม่สามารถเข้าใจในความสำคัญของบทความที่พวกเขาได้อ่านก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการที่ได้รับตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์

เพราะอย่างไรแล้ว การที่ได้รับตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์นั้นก็เป็นเหมือนกับการได้รับจอกศักดิ์สิทธิ์นั่นแหละ…

แม้แต่เหล่านักเรียนจากสาขาการต่อสู้ต่างก็เดินเชิดหน้าขึ้นสูงขณะที่เดินไปรอบ ๆ สถาบัน – ใครหน้าไหนกันนะที่บอกว่าอาจารย์ของพวกเรายังเด็กเกินไป ? มาสิ มา ลองมาดูบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ฉบับของสัปดาห์นี้หน่อยเป็นไง ?

พวกเขาแทบจะนำฉบับสำเนาของมันติดตัวไปด้วยทั่วทุกที่เลยด้วยซ้ำ

นี่คือเหตุผลว่าทำไมฉินเย่ถึงแทบจะไม่ตกใจเลยเมื่อเขาได้ยินเสียงประกาศจากทางสถาบัน นอกจากนี้มันก็คงจะน่าอับอายเกินไปหากการร่วมมือกันระหว่างอาร์ทิสและกู่ชิงไม่สามารถผลิตผลงานที่ดีพอที่จะตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ได้

มันไม่ใช่ว่าเขาดูถูกทุกคนที่นี่ แต่เมื่อเป็นเรื่องของความเข้าใจเกี่ยวกับวิญญาณ ทุกคนที่นี่ก็เป็นเพียงแค่เศษขยะไร้ค่าเท่านั้น !

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

Status: Ongoing
ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset