ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 24 ขอความช่วยเหลือ!

บทที่ 24 ขอความช่วยเหลือ!

ถ้าเช่นนั้น…มันก็หมายความว่าช่วงต่อไปของพวกเราจะเป็นการแหกคุกอย่างนั้นเหรอ? ความคิดพวกนี้ทำให้อะดรีนาลีนในกายของฉินเย่สูบฉีดเล็กน้อย และมันก็ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นอกจากนี้ เขาก็เริ่มคิดแล้วว่าตัวเองควรสักแผนที่ของเรือนจำไว้บนส่วนไหนของร่างดี

ทว่าหลังจากผ่านไป 10 นาที… 20 นาที… 30 นาที… คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน

“ไม่มีอะไรเลยเหรอ?” เขาแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง มันไม่มีข้อมูลอะไรเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงลองค้นหาดูอีกครั้ง แต่หลังจากผ่านไป 15 นาที เขาก็จ้องมองไปยังหน้าจอด้วยความตกตะลึง เพราะมันไม่อะไรเลยสักอย่างเดียว

เราคิดผิดอย่างนั้นเหรอ? มันไม่ใช่เรือนจำหรือไง? ฉินเย่คลึงหัวคิ้วของตนเอง หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที เขาก็หันกลับไปมองหน้าจอและค้นหาต่อ

โรงพยาบาลจิตเวช…ไม่มี

ฐานทัพ…ไม่มี

โรงงานผลิตอาวุธ? ก็ยังไม่มี

หลังจากพยายามโดยเปล่าประโยชน์มาเกือบหนึ่งชั่วโมง คิ้วของฉินเย่ขมวดเข้าหากันจนเป็นปม มันเหมือนกับว่าสถานที่ที่เข้าเห็นก่อนหน้านี้ไม่มีอยู่จริง!

จริงอยู่ที่มีโรงพยาบาลจิตเวชและเรือนจำตั้งอยู่ในนครเซี่ยเจียง แต่ทั้งสองแห่งก็ดูแตกต่างจากสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของเขาอย่างสิ้นเชิง

“หากเจ้าอยู่ในนครเซี่ยเจียง ความเข้มข้นของพลังหยินที่มากขนาดนั้นจะไม่สามารถหลบซ่อนจากสายตาของยมทูตได้” ลูกบอลผนึกของอาร์ทิสลอยมาวนเวียนอยู่ข้าง ๆ นางพอจะรู้แล้วว่าต้องทำอะไรบ้างและเพียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่…”

“แต่เราไม่สามารถเข้าไปในนครเซี่ยเจียงได้ในเวลานี้” ดวงตาของฉินเย่ประกายภายใต้แสงสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ขณะที่เขาเอ่ยต่อประโยคของอาร์ทิส

พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้เป็นมือใหม่ อาร์ทิสเป็นผู้สูงอายุที่มีความรู้มาก ในขณะที่เขาเป็นเหมือนกันไวน์ขวดเก่าที่ใส่ฉลากใหม่ เมื่อพิจารณาแล้ว แก่นแท้ของเขายังคงเป็นเหมือนเดิม เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้กระตุ้นให้เกิดการระดมพลของทั้งหน่วยสอบสวนพิเศษและกองกำลังชาติ และเพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ลงกว่าเดิม เนื่องจากท่าทีที่พวกเขาทั้งคู่เดินทางออกมาจากบริษัทไฮแอตต์คอร์ปนั้นค่อนข้างแปลกประหลาดและเหลือเชื่อ มันจึงส่งผลให้เกิดการสอบสวนไปทั่วทั้งเมืองชิงซี

ในเวลาเช่นนี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำเมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มอำนาจขนาดใหญ่ก็คือการหมอบคลานอย่างเงียบ ๆ และสร้างความสะดุดตาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือหากเป็นไปได้ก็ควรจะงดการทำในสิ่งที่ผิดปกติไปก่อน

หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือผู้ที่ยังคงอยู่ภายในเมืองชิงซีและนิ่งเฉยกับการสอบสวนจะทำให้เกิดความสงสัยน้อยกว่าผู้ที่เดินทางออกจากมณฑล!

ทำไมคุณถึงเดินทางออกจากมณฑลในเวลาแบบนี้? มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริง ๆ เหรอ?

ฉินเย่รู้ว่ามันไม่มีทางที่เขาจะสามารถทนต่อการตรวจสอบที่จริงจังแบบนั้นได้ ด้วยตัวตนที่แท้จริงของเขา และที่สำคัญที่สุด….

“อันที่จริง การตรวจสอบนี้ก็อาจจะเป็นการชี้ทางให้เราก็ได้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าในตอนที่ข้าเปิดฝาโลงที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าเมื่อวานนี้”

“ชี้ทางอะไร?” อาร์ทิสถามอย่างอยากรู้

ฉินเย่เลียริมฝีปากของตนเองอย่างซุกซน “อย่างเช่น…ใครคือผู้ที่รับผิดชอบสำหรับการเคลื่อนย้ายศพมาที่นี่?”

“ทุกสิ่งที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ย่อมทิ้งร่องรอยของพวกเขาเอาไว้เสมอ และข้าเองก็พอจะรู้จักกับกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญในสายงานนี้ พวกเขาเป็นกลุ่มคนหนึ่งเดียว นอกเหนือจากพวกยมทูต ที่มีความสามารถในการติดต่อกับโลกใต้พิภพโดยอาศัยความช่วยเหลือจากสิ่งของบางอย่าง”

อาร์ทิสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ผู้หามหีบศพอย่างนั้นหรือ?”

ฉินเย่พยักหน้า “หากจะพูดให้ถูก เรากำลังพูดถึงช่างฝีมือทั้ง 7 ของโลกใต้พิภพ ผู้หามหีบศพ ผู้สื่อสาร คนขับรถขนศพ เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ เพชฌฆาต ผู้ผลิตหุ่นจำลอง และหมอผี ผู้บงการของเราน่าจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้หามหีบศพในการเคลื่อนย้ายศพข้ามระยะทางหลายพันไมล์จนมาถึงที่นี่อย่างแน่นอน”

“และข้าก็พอจะสามารถดูได้จากคำสั่งที่ผู้บงการบอกกับผู้หาบหีบศพและลักษณะการติดต่อสื่อสารของพวกเขาว่าอีกฝ่ายรู้แล้วหรือไม่ว่าข้าคือคนที่ทุบกระถางเพาะพันธุ์ที่สำคัญมากของเขาแตก!”

อาร์ทิสตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เข้าขึ้นกว่าเดิม “นอกเหนือจากนั้น ผู้บงการก็น่าจะส่งใครบางคนมาที่นี่ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าหรือไม่ก็ตาม แล้วเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?”

ภายในใจของฉินเย่ลุกโชนด้วยประกายไฟแห่งความมุ่งมั่นขณะที่เขากันไปมองลูกบอลผนึกที่ลอยอยู่ข้าง ๆ “หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ข้าแทบจะสามารถยืนยันได้เลยว่าใครก็ตามที่เดินทางเข้ามาในเมืองชิงซีในตอนนี้จะต้องถูกตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างแน่นอน! และข้าก็สามารถยืมอำนาจของกองกำลังของรัฐในการเปิดหูและตาของผู้บงการได้! ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!”

“นอกจากนี้” อาร์ทิสเอ่ยต่ออย่างหมายมั่น “…อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็น่าจะสามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือครองของเศษตราจ้าวนรกชิ้นต่อไปจากผู้หามหีบศพที่ได้รับคำสั่งมาจากอีกฝ่ายด้วย เราไม่รู้ว่าผู้บงการคนนี้ได้สร้างกระถางเพาะพันธุ์ในมณฑลเสฉวนไว้เท่าไรแล้ว หากเจ้ายังคงล้มกระถางเพาะพันธุ์พวกนี้ต่อไปเรื่อย ๆ มันก็จะเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะหาเจ้าเจอ ไม่ว่าเจ้าจะโชคดีแค่เพียงใดก็ตาม”

น้ำเสียงของนางเย็นชาขึ้นกว่าเดิม “พวกที่สามารถหลุดรอดจากการล่มสลายของนรกไม่ได้เป็นเพียงเบี้ยธรรมดา มันมีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าพวกมันจะเป็นพวกอสูรร้ายที่ถูกคุมขังอยู่ในนรกขุมที่ลึกที่สุด เด็กน้อย เจ้าจำเป็นที่จะระบุตัวตนของฝ่ายตรงข้ามให้ได้!”

ฉินเย่พยักหน้า เด็กหนุ่มและอาร์ทิสที่อยู่ในลูกบอลผนึกมองหน้ากันและกันราวกับว่าตอนนี้ทั้งคู่เป็นคู่หูกัน

หึหึ วิญญาณข้าผู้เดินอยู่ในเส้นทางเดียวกันกับครั้งยังมีชีวิต…ยายเฒ่าข้ายอมมอบคัมภีร์อัญเชิญราชันย์วิญญาณทั้ง 6 ให้นั้นไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ…ท่านช่างเป็นผู้ที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก…

“ในที่สุดเจ้าก็เริ่มแสดงถึงการตระหนักรู้ในหน้าที่ที่ยมทูตควรจะมีเสียที” อาร์ทิสเอ่ยออกมาหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

“ข้าเพียงแต่ไม่อยากตาย” ฉินเย่รินชาลงในถ้วยให้กับตัวเองและเอ่ยต่อนิ่ง ๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ หากข้ารู้ว่าการตามหาเศษตราจ้าวนรกนั้นเป็นวัฏจักรที่ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีทางตกลงรับงานที่ยายเมิ่งมอบหมายให้ตั้งแต่แรก แต่ก็ยังดี…มันยังมีเรื่องดี ๆ อีกมากมายที่รอคอยเราอยู่ในการเดินทางครั้งนี้”

“เมื่อข้าสามารถรวบรวมเศษตราจ้าวนรกได้ ข้าก็จะสามารถกลับบ้านได้เสียที ปล่อยใจให้เป็นอิสระและนั่งดูเจ้าหน้าที่ของนรกสู้กับรัฐบาล…นั่นถึงจะทำให้ใจของข้าสงบลงในที่สุด”

“เหอะ…” อาร์ทิสหัวเราะอย่างเย้ยหยัน แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากผ่านไปไม่นาน นางก็พูดวกกลับมาประเด็นเดิม “ตอนนี้ผู้หามหีบศพที่อยู่ที่ไหน? เขาคือกุญแจสำคัญในการเปิดเผยตัวตนของผู้บงการ”

“ข้าไม่รู้” ฉินเย่ยักไหล่และเอ่ยตอบ คำตอบของเขานั้นสั้นและได้ใจความจนอาร์ทิสพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง

“แต่เจ้าก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจนะ หึ!….ท่าทางของเจ้าที่แสดงออกมาทำให้ข้าคิดว่าเขามีทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม แต่หลังจากบทสนทนาทั้งหมดที่ผ่านมา ในที่สุดเจ้าก็เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา แล้วเจ้าจะพูดไปต่าง ๆ นานา เพื่ออะไรกัน?”

ฉินเย่เพียงมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปและเอ่ยว่า “เหตุใดนกอินทรีที่บินอยู่ในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่จึงจะลงมาอยู่ร่วมกับฝูงหนูและงู? เช่นเดียวกับหัวใจของข้า ข้าจะกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไปเพื่อสิ่งใดกัน?”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกชื่นชมในความไร้ยางอายของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก

“อย่างไรก็ตาม…แม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจนักว่าผู้หาบหีบศพอยู่ที่ไหน แต่ข้าก็พอจะรู้สถานที่ที่ข้าจะสามารถพบตัวเขาได้!”

“แล้วมันคือที่ใดกัน?”

“ตลาดไสยเวท” ฉินเย่ยิ้มอย่างลึกลับ “แต่ข้าก็ไม่รู้ตำแหน่งที่ตั้งของมันเช่นกัน”

“…”

ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วเข้าหากันราวกับไม่พอใจอะไรเล็กน้อย “นครใหญ่ ๆ ล้วนมีตลาดไสยเวททั้งนั้น ยิ่งกว่านั้นธรรมชาติของตลาดนี้ก็คือมันจะย้ายที่ไปเรื่อย ๆ ไม่เคยตั้งอยู่ที่ใดเป็นเวลานาน หากจำเป็นจริง ๆ ข้าก็สามารถที่จะเสี่ยงไปที่นครเซี่ยเจียงเพื่อค้นหาดูได้ วิธีการเก่า ๆ ยังคงใช้ได้ผลอยู่ แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว…”

นี่คือตัวเลือกที่แย่ที่สุดเลยด้วยซ้ำ เขามั่นใจมากว่าตัวเองจะถูกผู้ถือครองเศษตราจ้าวนรกชิ้นต่อไปพบตัวทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในนครเซี่ยเจียงโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนกันแน่ และสิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีกก็คือความจริงที่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะเดินทางออกจากมณฑลเลยสักนิด อย่างน้อยเขาก็ต้องรอเวลาจนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“ร้านปิดแล้วครับ รบกวนไปซื้อของร้านถัดไปเถอะครับ” ฉินเย่ตอบไปตามปกติ ทว่าเมื่อเขาเอ่ยจบ เสียงของหญิงชราคนหนึ่งก็ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของประตู “ฉินเย่ ช่วยเปิดประตูหน่อยจ้ะ มีคุณเจ้าหน้าที่จากหน่วยรักษาความปลอดภัยสาธารณะมาที่นี่ เขามีเรื่องอยากจะคุยด้วย”

เจ้าหน้าที่จากหน่วยรักษาความปลอดภัยเหรอ? ฉินเย่วางถ้วยชาลงและแย้มยิ้ม ล้อเล่นหน่า…พวกเขามาที่นี่เพื่อซื้อโลงศพหรือไง?

เมื่อเขาเปิดประตู ฉินเย่ก็เห็นชายสวมหมวกคนหนึ่งที่ยืนคู่อยู่กับคุณนายเจาวัย 50 ปีซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของคณะกรรมเพื่อนบ้านบนถนนผู้ล่วงลับ

ท่าทีของฉินเย่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเขาสบตาเข้ากับเจ้าหน้าที่ตรงหน้า อาร์ทิสเพียงครุ่นคิดกับตัวเอง อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นและกล้ามเนื้อที่เกร็งแน่น ทั้งหมดนี่ล้วนเป็นสัญญาณของความตื่นเต้นทั้งสิ้น มันเกิดอะไรขึ้นกัน?

“เกิดเรื่องขึ้นครับ” ท่าทางของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวดูถ่อมตนและน่าเชื่อถือ เขาอธิบายขณะที่ถือซองเอกสารไว้ในมือ “เมื่อคืนนี้เกิดการฆาตกรรมขึ้นที่บ้านของคุณหวัง ผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองชิงซี ทั้งสามีและภรรยาถูกสังหารและถูกฆ่าหั่นศพอย่างโหดเหี้ยม มีเพียงบุตรของพวกเขาเท่านั้นที่รอดชีวิต ฆาตกรคนนี้มีจิตใจที่โหดเหี้ยม และวิธีการจัดการกับเหยื่อของพวกเขาเองก็โหดร้ายเช่นกัน ทางตำรวจกำลังตั้งข้อสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ดังนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงแยกกันตรวจตราทุกซอกทุกมุมของทั้งมณฑลเพื่อรักษาความปลอดภัยของพลเรือนที่อยู่โดยรอบครับ”

นี่ล้อกันเล่นหรือไง? เราไม่เคยมีปัญหากันมาก่อน เพราะฉะนั้นฉันจะฟ้องร้องเรื่องนี้แน่หากนายมาใส่ความกัน! ฉินเย่แทบจะไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้พูดออกไปได้ หน้าเขาดูเหมือนคนที่มีจรรยาบรรณในการทำงานขนาดนั้นเลยเหรอ? ชำแหละร่างกายของศพหลังจากที่ลงมือฆ่าไปแล้วเนี่ยนะ? อย่างน้อยก็ช่วยให้ความเคารพกันในฐานะของยมทูตสักหน่อยไม่ได้หรือไง?

เขาเป็นเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่คนโรคจิต! และเขาก็จะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่!

“เราขอเข้าไปคุยข้างในได้หรือเปล่าครับ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งเคาะประตูเบา ๆ อีกครั้งขณะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

แค่ก แค่ก…ฉินเย่กระแอมสองครั้งก่อนจะหมุนตัวและเดินกลับเข้าไปภายในบ้านของตน

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีที่หมุนตัวกลับมา รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้าเยาว์วัยก่อนที่เด็กหนุ่มจะเอ่ยกับลูกบอลผนึกเบา ๆ ว่า “ได้กลิ่นหรือเปล่า?”

“…ที่ข้าเห็นมีเพียงนิสัยท่าทางที่เปลี่ยนไปของเจ้าเท่านั้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

ฉินเย่เลียริมฝีปากขณะที่เอ่ยต่อ “ร่างของเขา…ปกคลุมไปด้วยกลิ่นของศพที่เพิ่งเสียชีวิต…และมันก็ชัดเจนจนข้ามั่นใจว่ามันน่าจะเพิ่งเกิดขึ้นไม่เกินเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงพึมพำอย่างตัดพ้อตนเอง “ข้าเองก็ตายแล้วเช่นกัน เพราะข้าไม่สามารถรับรู้ถึงกลิ่นที่เจ้าว่าเลยสักนิด”

ฉินเย่รีบดันลูกบอลผนึกออกไปไกล ๆ จากร่างของตน “ท่านเองก็ดูเหมือนจะพัฒนาเรื่องรสนิยมแปลก ๆ เกี่ยวกับกลิ่นนะ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ที่มีความชอบพวกนี้มักจะชื่นชอบกลิ่นของเสื้อที่เปื้อนเหงื่อ หรือไม่ก็ถุงเท้า…แต่ท่านกลับหมกมุ่นอยู่กับกลิ่นของศพเนี่ยนะ? ไปไกล ๆ ข้าเลย ข้ากลัวว่ากลิ่นน้ำหอมบนร่างของข้าจะไม่เพียงพอที่จะสามารถลบคราบดำมืดที่ติดอยู่บนหัวใจที่แปดเปื้อนของเจ้าได้”

เส้นเลือดของอาร์ทิสเต้นตุบ ๆ และนูนขึ้นมาในลูกบอลผนึก “…ไม่…เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? นี่เจ้าทำเรื่องไร้ยางอายอะไรไปบ้างในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมากัน?”

ช่างเป็นจินตนาการที่บรรเจิดจริง ๆ…

เมื่อทั้งสองนั่งลง เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงตระหนักได้ว่าฉินเย่ไม่ได้เสิร์ฟน้ำให้ตนสักแก้ว นับประสาอะไรกับชาสักถ้วย

นี่นายจะช่วยให้ความเคารพข้าราชการอย่างฉันหน่อยไม่ได้หรือไง? “อะแฮ่ม….คุณฉินครับ จากรายงานที่ผมได้มา คุณไม่ใช่คนที่นี่ คุณย้ายมาจากที่ไหนและย้ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

ฉินเย่ยกนิ้วขึ้นนับและตอบอย่างเฉื่อยชาว่า “ผมโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพิงจิง ย้ายมาอยู่ที่นี่ประมาณเจ็ดถึงแปดปีที่แล้วครับ”

“ใช่ค่ะคุณตำรวจ ฉินเย่เป็นเด็กดี เขามักจะช่วยดิฉันถือของและตะกร้าผ้าอยู่ตลอด ๆ เขาไม่มีทางเป็นฆาตกรไปได้แน่” คุณนายเจารีบพูดถึงข้อดีของเด็กหนุ่มตรงหน้าของตน “ถึงแม้ว่าละแวกบ้านของพวกเราจะไม่ได้ร่ำรวยนัก แต่พวกเราทั้งหมดก็อยู่ที่นี่กันมานานกว่า 5 ปีแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่สมเหตุสมผลเลยที่ฆาตกรจะมาที่นี่ หรือพยายามจะแฝงตัวอยู่ในหมู่ของพวกเรา ถูกต้องไหมคะ?”

เจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงกดหน้าหมวกที่ตนสวมอยู่ลงและขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วเมื่อคืนนี้ล่ะ? คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”

“แน่นอนอยู่แล้วสิครับ! ทำไมผมจะต้องออกไปไหนหลัง 6 โมงเย็นด้วย? ไม่ใช่พวกคุณหรือที่เป็นคนประกาศเตือนเราทุกวัน?” ฉินเย่มองเจ้าหน้าที่ตรงหน้าด้วยสายตาประหลาดใจ

“ตอนนั้นคุณทำอะไรอยู่?” คำถามของคนตรงหน้าเริ่มเผยร่องรอยของความกังวลออกมา

“วุ่นอยู่กับโทรศัพท์ที่แสนจะล้าสมัยของผม”

“ทำอะไร?”

“อ่านพวกรายงานและพวกข่าวแปลก ๆ ในช่วงนี้”

“ไม่กลัวเหรอครับที่ต้องดูแลร้านเพียงลำพัง?”

“ทำไมล่ะ? คุณเจ้าหน้าที่จะมาดูแลร้านแทนผมหรือไง?”

“….เอาล่ะ ผมมีคำถามข้อสุดท้ายที่จะถามคุณ” ด้วยเหตุผลบางอย่าง คำพูดของเด็กหนุ่มที่พูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเขานั้นดูห้วนและรุนแรงเป็นพิเศษ และมันก็ทำให้ไม่สามารถพูดคุยเรื่องสำคัญได้…นี่เขาคิดไปเองหรือเปล่า?

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะถามว่า “ลูกชายของผู้ตายเป็นเพื่อนร่วมชั้นของคุณ คุณไม่รู้สึกเสียใจกับเขาสักนิดเลยเหรอ?”

ช่างเป็นการตรวจสอบที่ละเอียดเกินไปจริง ๆ…นี่มันเพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเองไม่ใช่เหรอ? ดูเหมือนว่าเขาคงจะดูถูกการทำงานของรัฐไม่ได้เสียแล้ว

ฉินเย่แสยะยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า “ทำไมผมจะต้องเสียใจกับเขาด้วย? หมอนั่นรังแกผมทุกวัน ผมอยากให้เขาตาย ๆ ไปเลยด้วยซ้ำ!”

เจ้าหน้าที่ตำรวจจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่เป็นระยะเวลาห้าวินาทีเต็ม ก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงและเอ่ยว่า “โอเคครับ กรุณาติดต่อผมทันทีหากคุณนึกอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนได้ นอกจากนี้…อย่าลืมมาที่สถานีตำรวจภายในหนึ่งเดือนเพื่อให้การเพิ่มเติมด้วย”

“เชิญครับ”

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset