ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 277: จักรพรรดิจากอดีตกาล

บทที่ 277: จักรพรรดิจากอดีตกาล

ฉินเย่เตรียมพร้อมที่จะวิ่งหนีไปให้ไกลทันที แต่น่าเสียดาย อาร์ทิสกลับหันมาคว้าเขาเอาไว้เสียก่อน เส้นเลือดบริเวณขมับของเขาเต้นตุบ ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้ “ปล่อยนะ ! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ! หากเราสักตนสามารถหนีไปได้ เราก็ยังสามารถย้อนกลับมาเก็บร่างของอีกตนที่ถูกฆ่าทีหลังได้ แต่ถ้าเราอยู่ที่นี่ทั้งคู่ เราจบเห่แน่ !”

“นี่เป็นหน้าที่ของเจ้าในฐานะของว่าที่จ้าวนรก จงยืนหยัดอย่างมั่นคง ! ไม่เช่นนั้น ข้าจะฉีกร่างของเจ้าเป็นชิ้น ๆ ก่อนที่จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งจะได้ลงมือเสียอีก !”

ฉินเย่เงียบไปในทันที

หลังจากที่แก้ปัญหากับว่าที่จ้าวนรกผู้ตื่นตระหนกจนเกินควรเรียบร้อยแล้ว อาร์ทิสก็หันไปมองที่เรือโบราณอีกครั้ง “เจ้าอยู่ขั้นตุลาการนรกเช่นเดียวกันกับข้า แล้วเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงต่อต้านเราในเมื่อเจ้าก็สามารถบอกได้ว่าเขาคือว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไป ? เจ้าไม่กลัวพระพรแห่งคุณธรรมของยมโลกที่คุ้มครองเขาอยู่เลยหรือ ?”

นี่มันบ้าอะไรเนี่ย… ท่านช่วยบอกเรื่องนี้กับข้าก่อนได้หรือไม่ ? มันสนุกมากเลยหรือที่ได้เห็นข้าเสียสติต่อหน้าผู้อื่น ? ฉินเย่ยืดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว

ไม่มีคำตอบใดดังออกมาจากเรือ ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ

อาร์ทิสเอ่ยต่อ “หรือว่า… เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้ากล้าสร้างความไม่พอใจให้กับท่านตี้ทิงและยอมเสี่ยงรับความโกรธของท่าน ? ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถสัมผัสได้ว่ายมโลกแห่งใหม่นั้นตั้งอยู่ที่ใด แต่ข้าก็ไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีของท่านตี้ทิงที่ยังหลงเหลืออยู่บนร่างของเรา การสังหารจ้าวนรกนั้นเทียบได้กับการทรยศต่อเผ่าพันธุ์ของตนเอง และนั่นก็หมายถึงการดึงสวรรค์ให้มามีส่วนร่วมในข้อพิพาทนี้ด้วย จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง เจ้าเป็นเพียงแค่ขั้นตุลาการนรก เจ้ามั่นใจหรือว่าตัวเองจะสามารถยืนหยัดภายใต้แรงกดดันพวกนี้ได้ ?”

อ่าา… ร่างของเรามีรัศมีของตี้ทิงติดอยู่ด้วยสินะ… ฉินเย่มองอาร์ทิสด้วยสายตาไม่พอใจ ท่าน เย่อหยิ่งและจิตใจด้านชา ท่านไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้อุ้มท้องลูกของข้า ท่านปกปิดข้อมูลที่สำคัญเช่นนี้จากข้าได้อย่างไร… ตอนนี้ ฉินเย่กลับมามีท่าทีกล้าหาญไม่แตกต่างจากวีรบุรุษอีกครั้ง แตกต่างจากเมื่อครู่นี้อย่างมาก

ยังคงไม่มีคำตอบรับจากเรือ

จากนั้น หลังจากผ่านไปสามนาทีเต็ม เรือที่ทรุดโทรมก็สว่างวาบขึ้นด้วยแสงสีแดง หลังจากนั้น เสียงอันไพเราะของกู่ฉินก็ดังก้องไปทั่ว

มันเป็นตอนนั้นเองที่ฉินเย่ตระหนักได้ว่าบนเรือมีตะเกียงไฟแขวนอยู่ พวกมันสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงดนตรีที่ดังคลอเบา ๆ และขบวนคนกระดาษก็เดินออกมาจากทางเข้าอันมืดมิดที่นำไปสู่ห้องโดยสารของเรือ พวกมันยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ทั้งสองฝั่งของประตู คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น จากนั้นพรมสีแดงเข้มก็กลิ้งออกมาตามพื้น และเสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้นในที่สุด “หึหึหึ ข้าเพียงแหย่เล่นเท่านั้น… อรากษส ผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว แต่คำพูดของเจ้าก็ยังเฉียบคมดังเดิม ดูเหมือนว่า… ระยะเวลาหลายพันปีในหุบเหวใต้สะพานแห่งความจนใจจะเสียเปล่าสินะ…”

เสียงดังกล่าวยังคงถามต่ออย่างสงสัย “ยมโลกแห่งเก่าล่มสลาย… พวกที่สามารถรอดชีวิตภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นล้วนเป็นพวกหัวกะทิอย่างไม่ต้องสงสัย มันหาโอกาสได้ยากจริง ๆ ที่เราจะได้มาพบกันอีกครั้ง เพราะฉะนั้น… เรามาดื่มกันดีไหม ?”

ทันทีที่เสียงอันยิ่งใหญ่นั้นเอ่ยจบ คนกระดาษจำนวนมากที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็เอ่ยขึ้นพร้อมกันเสียงดัง “เชิญนายท่านทั้งสองขึ้นเรือ !” หลังจากนั้น เงินกระดาษจำนวนมากก็ตกลงมาราวกับกระดาษที่ใช้โปรยปรายในวันรื่นเริง

ค่ำคืนที่มืดมิด

ทะเลที่ไร้ผู้คน

เรือผีสิงที่จอดเกยฝั่งพร้อมกับเงินกระดาษที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกที่และคนกระดาษที่คุกเข่าอยู่บนพื้น หากมีมนุษย์คนใดผ่านมาเห็นภาพนี้จะต้องเป็นลมอย่างแน่นอน

โชคดีที่ไม่มีใครในที่นี้สามารถนับได้ว่าเป็นมนุษย์ หัวใจของฉินเย่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมาอย่างยาวนาน เด็กหนุ่มเหลือบไปมองอาร์ทิส และเขาก็พบว่านางกำลังลังเลที่จะตอบออกไป ดังนั้น พร้อมกับเท้าที่กระทืบลงไปบนพื้นเบา ๆ ร่างของเด็กหนุ่มพุ่งขึ้นไปบนอากาศและลงจอดบนดาดฟ้าของเรืออย่างรวดเร็ว

“เจ้าจะทำอะไร ?” อาร์ทิสรีบตามอีกฝ่ายไปติด ๆ และกระซิบด้วยเสียงเคร่งขรึม “นี่ไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิด เจ้าคือศูนย์รวมของความเฉยเมยและความเกียจคร้าน… หรือว่า… เจ้ากำลังจะบอกว่ามันมีผลประโยชน์บางอย่างจากเขา ?”

“กรุณาเลือกใช้คำพูดให้ดี ๆ ด้วย” ฉินเย่กลอกตาใส่อีกฝ่าย “ท่านเมก้าวาลคีรีผู้โง่เขลาที่รัก… ท่านช่วยใช้สมองของตัวเองสักครั้งได้หรือไม่ ?”

โดยไม่เว้นจังหวะใด ๆ เสียงของเขาเบาลงราวกับกระซิบ “ข้าขอถามอะไรท่านอย่าง เขาถูกย้ายให้ไปอยู่ที่แดฮันนานแค่ไหนแล้ว ? แล้วท่านคิดว่าโลกใต้พิภพของที่แดฮันพัฒนาไปมากน้อยเพียงใด ? มันกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่แล้วหรือยัง ?”

“แน่นอน… แต่เดี๋ยวก่อนนะ…” อาร์ทิสตอบออกมาทันทีก่อนจะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง “เจ้า… นี่เจ้า… กำลังคิดที่จะสร้างเส้นทางการค้ากับต่างประเทศอย่างนั้นหรือ ? และกับจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งเนี่ยนะ ? แบบนี้จะไม่เป็นการเล่นกับไฟหรืออย่างไร ?!”

ท่านคิดว่าถ้าข้ามีตัวเลือก ข้าจะทำเช่นนี้หรืออย่างไร… ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง หวงเลี่ยงชวนได้ยกประเด็นที่สำคัญและเร่งด่วนขึ้นมา หากเขาต้องการแก้ปัญหาของอุตสาหกรรมที่จะถูกก่อตั้งขึ้นในยมโลก มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสร้างเส้นทางการค้ากับต่างประเทศ ! ไม่เช่นนั้น ความรุ่งโรจน์ของยมโลกในเวลานี้จะหายวับไปในชั่วพริบตา

มีเพียงการทำงานร่วมกันเท่านั้นที่จะทำให้การตลาดเฟื่องฟูได้ เพราะอย่างไรแล้ว ด้วยจำนวนและอำนาจในการซื้อของประชากรในยมโลก มันไม่มีทางอื่นที่พวกเขาจะสามารถรักษาการพัฒนาและการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นได้

และแม้ว่าจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่จักรพรรดิหวู่แห่งซ่ง… คือตัวเลือกเดียวที่พวกเขามีในตอนนี้ !

อย่างน้อยที่สุด มันก็ดีกว่าการเปิดพรมแดนและเสี่ยงให้พวกขนนกทมิฬของชาติอื่นเข้ามา

“เจ้าคือว่าที่จ้าวนรก แต่เจ้ากลับยอมอดทนต่อการประกาศอิสรภาพของรัฐบริวารน่ะหรือ ?!” อาร์ทิสเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “แบบนี้เจ้าจะต่างจากเจ้าผู้ครองรัฐที่อ่อนแออย่างไร ?!”

ตอนนี้ฉินเย่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อลองสังเกตดี ๆ เขาพบว่าตะเกียงไฟที่แขวนอยู่ทั้งสองฝั่งของเรือแท้จริงแล้ว… คือศีรษะของมนุษย์ !

มันคือศีรษะของมนุษย์ที่ถูกสังหารมาเป็นเวลานานมากแล้ว ไม่มีร่องรอยของเลือดเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว บริเวณหน้าผากถูกผ่าออก และทุกสิ่งที่อยู่ด้านในก็ถูกนำออกจนหมด ลูกไฟสีแดงเข้มลุกโชนอยู่ด้านในของตะเกียงศีรษะมนุษย์ในค่ำคืนอันมืดมิด มันเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวจนแม้แต่พวกแมลงเม่าก็ไม่กล้าย่างกรานเข้ามาใกล้แหล่งกำเนิดแสงนี้

ทางเข้าสู่ห้องโดยสารดูเหมือนกับจะนำไปสู่หุบเหวที่ลึกและดำมืด เสียงคร่ำครวญอย่างน่าสยดสยองดังขึ้นให้ได้ยินเป็นครั้งคราว คนกระดาษทั้งสองแถวและเสียงดนตรีที่น่าขนลุกยิ่งเพิ่มความสยดสยองมากกว่าเดิม

เขาค่อย ๆ เดินไปตามพรมแดงที่ปูอยู่บนพื้นขณะที่กระซิบตอบ “เช่นนั้น… ข้าควรที่จะเริ่มเปิดสงครามกับเขาอย่างนั้นหรือ ?”

อาร์ทิสเงียบไป

พวกนางเพิ่งได้สร้างเสถียรภาพให้กับโครงสร้างภายในของยมโลก การพัฒนาของนรกเพิ่งอยู่ในขั้นแรกเริ่มเท่านั้น และการทำสงครามมันก็ไม่ต่างอะไรกับการพูดเรื่อยเปื่อย

“ในเมื่อมันไม่มีทางเลือกอื่น เขาประกาศอิสรภาพหรือไม่จะมีความสำคัญอย่างไร ? นอกจากนี้… ข้าคือว่าที่จ้าวนรก แต่ท่านกลับบอกให้ข้าที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำสู้กับขั้นตุลาการนรกเนี่ยนะ ? นี่ท่านพยายามส่งข้าไปตายหรืออย่างไร ?”

“… แต่เจ้าก็มักจะทำเช่นนั้นกับข้า…”

ฉินเย่มองอีกฝ่าย นี่ท่านโง่หรืออย่างไร ? นี่เรายังมีความเข้าใจเดียวกันอยู่หรือเปล่า ? ตุลาการนรกที่ไม่ต่างอะไรกับแมวใจดีจะสามารถเทียบกับตุลาการนรกที่คล้ายกับเสือโคร่งที่เพิ่งคลานออกมาจากถ้ำได้อย่างไร ?!

แม่สาวเกมเมอร์ ท่านช่วยมีความตระหนักในตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่ ? ท่านรู้หรือไม่ว่าระดับอันตรายของท่านลดลงทันทีที่ท่านเข้าไปใน Summoner’s Rift?![1]

เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และก้าวเท้าเข้าไปในความมืดตรงหน้า “หากทำไม่ได้ เราก็ไม่ควรจะฝืน เพราะอย่างไรแล้วมันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่เราจะต้องยอมรับกับผลสุดท้ายที่ออกมา เหตุใดเขาถึงประกาศอิสรภาพ ? ไม่ใช่เพราะว่ายมโลกแห่งใหม่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้เขามั่นใจอย่างนั้นหรือ ? เมื่อยมโลกกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งในอนาคต การพิชิตฮันยางก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่ายไม่ใช่หรอกหรือ ?”

“นอกจากนี้…” แววตาของเด็กหนุ่มวูบไหว “ราชาแห่งฮันยางผู้นี้… อาจจะมีประโยชน์มากมายหลายอย่างกว่าที่ท่านเห็น แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเบื้องต้นที่ว่าเขาจะต้องมองข้าในฐานะที่เท่าเทียมเสียก่อน…”

ทุกสิ่งตรงหน้ามืดลงทันทีที่เขาเดินเข้าไปด้านใน และร่างของเขาก็รู้สึกราวกับได้เดินข้ามระยะทางหลายร้อยเมตรในก้าวเดียว จากนั้น หนึ่งวินาทีต่อมา ทุกอย่างเบื้องหน้าก็สว่างขึ้นอีกครั้ง

ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในโถงขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบในสไตล์จีนโบราณแบบดั้งเดิม

มันถูกสร้างคล้ายกับพระราชวังหลวงในยุคราชวงศ์ฮั่น ผสมผสานกับองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์หมิง ให้ความรู้สึกโอ่อ่าเป็นอย่างมาก ของตกแต่งทุกอย่างล้วนเป็นสีทองหรือแดง วิจิตรและสง่างาม บัลลังก์ขนาดใหญ่ถูกตั้งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของโถงซึ่งมีชายสวมหมวกจักรพรรดิและเสื้อคลุมมังกรทองกำลังมองพวกเขาด้วยแววตาสนใจขณะที่ในมือมีแก้วไวน์อยู่

เขาไม่ได้ตัวสูงมากนัก แต่บรรยากาศของความโออ่าที่อยู่รอบ ๆ กลับทำให้เขาดูไม่ต่างอะไรกับภูเขาที่สูงใหญ่เลยสักนิด

และเขาก็ไม่ได้หนุ่มเช่นกัน ผมของเขาเป็นสีขาวและร่างก็ดูผอมและมีรอยเหี่ยวย่น แต่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธหรือเมินเฉยต่อรัศมีของเขาที่แผ่ไม่ทั่วห้องได้

นี่คือชายผู้มีแบ็คกราวน์มิวสิคเป็นของตัวเอง… ฉินเย่ยืนยันความประทับใจแรกที่เขามีต่อชายตรงหน้าได้ในทันที จากนั้นหลังจากยืนยันความปลอดภัยของตนเอง เขาก็สวมท่าทีอันสูงส่งและเย็นชาแล้วมองไปที่อีกฝ่าย

ส่วนเบ้าตาที่ดำลึกของจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกสีทอง ทันทีที่เขาสัมผัสได้ว่าฉินเย่กำลังมองมาที่ตน เปลวไฟในดวงตาวูบไหวเล็กน้อยก่อนที่ใบหน้าที่เหี่ยวย่นจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา “ราชาแห่งโลกใต้พิภพแห่งฮันยางขอต้อนรับการมาถึงของจ้าวนรกแห่งโลกใต้พิภพแห่งแผ่นดินจีน เชิญนั่งลงเถิด”

ในโถงแห่งนี้มีโต๊ะและเก้าอี้อย่างละหนึ่งตัววางอยู่ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอาร์ทิสไม่ได้รับเกียรติให้นั่งลงแต่อย่างใด

เขาเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างมาก… ฉินเย่ยังคงวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของจักรพรรดิตรงหน้าอย่างต่อเนื่องขณะที่เขานั่งลง เห็นได้ชัดว่าเขาให้การต้อนรับฉินเย่ในฐานะของจักรพรรดิที่เท่าเทียมกัน รอบข้างไม่มีผู้ใด เขาอาจจะยอมปล่อยให้อาร์ทิสเข้ามา แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้นางนั่งลงและมีส่วนร่วมในการพูดคุยแต่อย่างใด

…อาร์ทิสนั้นอยู่ขั้นตุลาการนรก เช่นเดียวกันกับเขา ทว่าในสายตาของเขาแล้ว นางเทียบกันฉินเย่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย !

นี่คือช่องว่างทางสถานะ

“น่าประหลาดใจจริง ๆ” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งก็แย้มยิ้ม “ผู้ใดจะไปคิดว่าเศษตราจ้าวนรกจะไปตกอยู่ในมือของเด็กน้อยเช่นนี้ และยังพระพรของยมโลกอีก นี่… เป็นโชคดีของเขา ? หรือความสิ้นหวังของเจ้ากันแน่ ?”

แววตาของอาร์ทิสวาวโรจน์ด้วยจิตสังหารทันที แต่ถึงกระนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงการระเบิดของจิตสังหารที่รุนแรงกว่าของตนเอง ดังนั้นนางจึงข่มกลั้นความรู้สึกของตนเอาไว้

“ขออภัยที่ต้องขัดจังหวะ” ฉินเย่ใช้มือข้างหนึ่งลูบคางโดยไม่มองไปที่ร่างบนบัลลังก์ เขาเงยหน้ามองเพดานราวกับกำลังชื่นชมความงดงามของมัน จากนั้นจึงเอ่ยต่อขณะที่เคาะโต๊ะตรงหน้าด้วยมืออีกข้างหนึ่ง “ภายใต้การนำของข้า… ยมโลกรุ่งเรืองขึ้นได้อย่างรวดเร็ว GDP ของเราเพิ่มขึ้นกว่า 1000% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าของบริแทนเนีย และทำให้เราอยู่ในอันดับที่ใกล้เคียงกันกับอูโซเนีย พวกเราสามารถหาเครื่องนุ่งห่มและอาหารให้กับประชากรวิญญาณของเราได้”

จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งตกตะลึง

เดี๋ยวก่อนนะ…

คำพูดเปิดนี้… ดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เขาคาดคิดไว้…

ทว่าน่าเสียดาย ฉินเย่ไม่คิดที่จะให้พื้นที่อีกฝ่ายได้หายใจ เขายังคงเอ่ยต่อ “ปีนี้ในยมโลกแห่งใหม่จะเต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญมากมาย พวกเราได้ก่อตั้งบริษัทก่อสร้างแห่งแรกขึ้น พัฒนาโครงการก่อสร้างหลายโครงการ และได้นำเข้าสู่ยุคสมัยของการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ในการเปิดประชุมครั้งแรก เช่นเดียวกับการประชุมเต็มครั้งแรก ฝ่ายของทางรัฐบาล ซึ่งนำโดยข้าและเหล่าเจ้าหน้าที่ ได้กำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์สามเป้าหมายของยมโลกและได้ชี้แจงเส้นทางและทิศทางของการพัฒนานรกที่กำลังก้าวไปข้างหน้าให้กับประชากรทั้งหมดได้รับรู้”

จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็แน่นิ่งไปด้วยความตกตะลึง

ริมฝีปากที่ซีดเผือดของเขาอ้าออกเล็กน้อยราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่สามารถหาคำใดมาพูดได้

มันแตกต่างจากที่เขาคาดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง… ผู้ใดจะไปคิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะสามารถพูดถึงระบบการเมือง การปกครองและการทำงานของตนเช่นนี้… และนั่นไม่ได้ทำให้เขา… กลายเป็นจักรพรรดิจอมปลอมหรอกหรือ ?

“…เพื่อที่กลยุทธ์จะสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งนคร เมือง เขต และหมู่บ้าน พวกเราปฏิบัติงานกันอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการบริหาร คณะกรรมการประจำพื้นที่เพื่อผลักดันให้ทุกอย่างก้าวไปข้างหน้า พวกเรามุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การเติบโตในเชิงรุกทั้งสาม ส่งเสริมการพัฒนาแบบองค์รวมด้วยการปรับปรุงทั้งห้าภายใต้การนำของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการนำนโยบายเหล่านี้มาใช้ พวกเราสามารถรับประกันการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการปฏิรูป ปรับโครงสร้างของสิ่งที่จำเป็น ผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และลดความเสี่ยงของ…”

ทั่วทั้งโถงถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบหากไม่นับเสียงพูดของฉินเย่ อาร์ทิสมองเด็กหนุ่มราวกับตนเห็นผี สมองของนางตื้อไปหมดจากการแสดงของฉินเย่ในเวลานี้ !

เจ้าไปเอาความคิดเกี่ยวกับรายงานเรื่องการบริหารบ้านเมืองกับวิญญาณที่มีอายุกว่าพันปีแบบนั้นมาจากที่ใดกัน ?!

แถมยังปรับปรุงและแก้ไขบางส่วนให้เข้ากับเงื่อนไขของยมโลกอีก ?!

ช่างเป็นการแสดงที่เหลือเชื่อ ! ฉลาดมาก ! แยบยล ! เทพแห่งการเสแสร้ง ! ปรมาจารย์แห่งการหลอกลวง ! ผลผลิตของการใช้ชีวิตอันยาวนนาน !

“…เสริมสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัยของเรา เรายังติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าจำนวน 353 ตัว ติดตั้งสายไฟฟ้าแรงสูง 87.86 กิโลเมตรและสายไฟฟ้าแรงต่ำอีก 51.17 กิโลเมตร ซึ่งทำให้ที่อยู่อาศัยกว่า 100,000 ครัวเรือนได้มีไฟฟ้าใช้ พวกเรายังต้องออกมาตรการป้องกันเพิ่มเติมในเรื่องของโรคระบาดอีกด้วย… ตอนนี้เรากำลังอยู่ในระหว่างการหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนั้น… นอกจากนี้เรายังได้ยืนยันการถือครองที่ดินกว่า 377 ครัวเรือนซึ่งนับเป็นที่ดินกว่า 6,928.644 เอเคอร์โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.5% และเรายังได้ปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมายและร้านค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนอีก 900 แห่ง และควบคุมการหาคูหาเคลื่อนที่กว่า 400 แห่ง ตลอดจนการรื้อถอนอาคารที่ผิดกฎหมายจำนวน 18 อาคารอีกด้วย…”

เมื่อฉินเย่เอ่ยรายงานของตนจบ เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และจัดปกคอเสื้อของตนก่อนจะมองไปยังจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งด้วยสายตาดูถูก “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้สรุปให้ท่านฟังคร่าว ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ข้าได้วางแผนไว้สำหรับยมโลกในตลอดปีที่จะมาถึง ข้าคือผู้ที่กำกับดูแลงานพวกนี้เองทั้งหมด หากราชาแห่งฮันยางมีความคิดเห็นหรือข้อชี้แนะใด ๆ ข้าก็พร้อมที่จะรับฟังจากใจจริง”

เพล้ง… แก้วไวน์ที่ก่อนหน้านี้อยู่ในมือของราชาแห่งฮันยางตกลงกับพื้น และของเหลวที่อยู่ในแก้วก็กระจายไปทั่วพื้น ริมฝีปากของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรงจนแม้แต่เคราของเขาก็สั่นไปด้วย

นี่มันบ้าอะไรกัน ?!

มันฟังดูแตกต่างจากที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขารายงานมา… เหตุใดมันถึงฟังดูน่ากลัวและน่าเกรงขามขึ้นเมื่อได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลและสถิติที่ไม่สามารถเข้าใจได้แบบนี้ ?

[1] อ้างอิงมาจากเกม LoL

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

Status: Ongoing
ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset