ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 36 เศษตราจ้าวนรกชิ้นที่ 2

บทที่ 36 เศษตราจ้าวนรกชิ้นที่ 2

ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดให้ซ้ำซาก ฉินเย่บอกจุดหมายปลายทางของตน หวังเฉิงห่าวที่ได้ยินเช่นนั้นรีบขับรถตรงไปที่นั่นทันที

เมืองชิงซีไม่ได้ใหญ่มาก และทั้งคู่มาถึงที่หมายภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที มันคือถนนของชนกลุ่มน้อย

ทันทีที่พวกเขามาถึง ฉินเย่ก็เปิดเปลือกตาขึ้น ทว่าวินาทีที่เขากำลังจะกระโดดลงจากรถ เด็กหนุ่มก็ชะงักไป

“นี่มัน…” เขาแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งสัมผัสได้และทำเพียงแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า

พลังหยิน…

พลังหยินบริเวณนี้หนาแน่นมาก!

และมันก็น่ากลัวกว่าพลังหยินที่อาร์ทิสแสดงออกมาก่อนหน้านี้เสียอีก! แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าตัวเองเคยสัมผัสกับความรู้สึกนี้มาก่อน?

ไม่!

แววตาของเขาเป็นประกายขึ้น มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมและหยิบหินสีแดงเข้มที่ดูคล้ายว่าถูกตัดเป็นรูปสามเหลี่ยมออกมา หลังจากสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่ซ่อนอยู่ในนั้น ฉินเย่ก็เอ่ยออกมาอย่างตกใจ “ตะ…ตราจ้าวนรกอีกชิ้นเหรอ?”

“แถมยัง…กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ตำแหน่งที่เราอยู่ด้วย?”

ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบ ทันใดนั้นกลุ่มควันเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนฟ้าและพุ่งมาที่ฉินเย่ราวกับดาวตก

ฟึ่บ! จากนั้น…ขณะที่มันพุ่งเข้ามาใกล้กับเขาขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มควันดังกล่าวก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อฉินเย่สังเกตมันอย่างละเอียด นั่นไง….

มันเป็นสีแดงเข้ม

และรอยตัดก็เหมือนกันทุกประการ

“มันคือเศษตราจ้าวนรกจริง ๆ เหรอเนี่ย?” ฉินเย่จ้องมองชิ้นเศษตราที่ลอยอยู่อย่างตกตะลึงขณะที่เอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อว่า “มันตามเรามาถึงที่นี่ได้ยังไงกัน?”

“ออกไปจากที่นี่…เดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของอาร์ทิสดูแผ่วเบาจนดูเหมือนกำลังจะหายไป “เมืองชิงซี…มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง…พวกเขาเดินทางมาที่นี่จากนครเหลียนฮวา….”

“เขา….เป็นคนฆ่านักเชิดหุ่น”

“ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?” การที่ได้ยินเสียงของอาร์ทิสทำให้จิตใจและความคิดในหัวของเขาสงบลงทันที

เพราะไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ทำให้เขาถึงขั้นยอมแลกใช้คัมภีร์อัญเชิญราชันย์วิญญาณทั้ง 6 ก็ไม่ควรจะแตกดับไปเร็วขนาดนี้…

“ข้ายังไม่ตาย…เจ้าหนู เกี่ยวกับเศษตราพวกนี้…มีเพียงตอนที่ผู้ถือครองเสียชีวิตเท่านั้น พวกมันจะหาตำแหน่งของเศษตราชิ้นที่ใกล้ที่สุดชิ้นถัดไปเพื่อหลอมรวมเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างมาก เมื่อใดที่เจ้ารวบรวมเศษตราได้สองชิ้น หยินและหยางจะมาบรรจบกัน….แค่ก! แค่ก!….”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย” ในที่สุดน้ำเสียงที่ฉินเย่เอ่ยออกมาก็เจือด้วยความจริงใจ บางทีมันการจะเป็นผลจากการที่อาร์ทิสได้ให้ความช่วยเหลือแก่เขาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด จากนั้นจึงเอ่ยต่อมา “เรามาต่อรองกันเป็นไง? ท่านจะช่วยแตกดับช้ากว่านี้หน่อยได้หรือเปล่า? ช่วยข้าก่อนได้หรือไม่?”

“…….”

หลังจากที่ข่มไฟนรกที่สุมอยู่ในใจของตนลง นางก็กัดฟันกรอดและเอ่ยว่า “เจ้าลองคำนวณดู เราอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว? ไม่ถึง 20 นาทีใช่หรือไม่? คนคนนี้….แค่ก แค่ก…ระยะเวลาตั้งแต่เขาปรากฏตัวไปจนถึงตอนที่ฆ่านักเชิดหุ่น…เขาใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ…อย่างน้อยที่สุด เขาก็ต้องอยู่ระดับเดียวกับยมทูตขาวดำ! ร่องรอยการเคลื่อนที่ของเศษตราจ้าวนรกไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถปกปิดได้ง่าย ๆ ต่อให้เขาจะไม่สนใจเรื่องนี้ เขาก็น่าจะรีบมุ่งหน้ามาที่นี่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้าคาดว่าเรามีเวลาอย่างมากที่สุด หนึ่งชั่วโมง….”

“ข้าต้องพักแล้ว และมันอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน….ดูแลตัวเอง รักษาเศษตรานั่นไว้ให้ดี….และรอจนกว่าข้าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง…”

ทันทีที่เอ่ยจบ ฉินเย่ก็ไม่ได้แม้แต่เสียงกระซิบของนางอีกต่อไป

หลังจากที่รวมเศษตราทั้งสองชิ้นเข้าด้วยกันและพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็เก็บชิ้นเศษตราเข้าไปในกระเป๋าและเดินตรงไปที่จุดกึ่งกลางของถนนของชนกลุ่มน้อย

“เห้ย…ฉินเย่! รอฉันด้วย! นายบาดเจ็บอยู่นะ!”

“กลับไปที่รถซะ!” ฉินเย่ตะโกนตอบ “หวังเฉิงห่าว นายอย่าเข้าใจผิด…เวลาหนึ่งชั่วโมงที่ฉันพูดไม่ได้หมายความว่าเรามีเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนจะออกจากที่นี่ไป เรามีเวลาอีกแค่หนึ่งชั่วโมงในการออกไปจากชายแดนของเมืองชิงซี…หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เมื่อเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้มาถึง เราจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้อีกต่อไป!”

“นายต้องกลับไปเก็บของของตัวเองเดี๋ยวนี้ ทันทีที่ฉันเสร็จธุระที่นี่ นายจะต้องมารอรับฉันที่นี่! ไปเติมน้ำมันแล้วก็ไปเตรียมตัวซะ หลังจากนี้นายจะต้องขับรถทั้งคืน ยิ่งออกห่างจากที่นี่ได้เร็วมากเท่าไหร่ยิ่งดี!”

หวังเฉิงห่าวที่ได้ยินเช่นนั้นก็กัดฟันกรอดและรีบหันหลังกลับไปทันที

ฉินเย่พยายามต่อสู้กับอาการเวียนหัวที่ตนกำลังประสบ พลังหยินเข้มข้นถูกแผ่ออกมาจากร่างอย่างน่าสะพรึงกลัว เขากลับมาอยู่ในชุดเครื่องแบบยมทูตอีกครั้ง ขณะที่เสียงของสายลมพัดผ่านหู ฉินเย่ก็รีบก้าวไปที่ปลายสุดของถนนของชนกลุ่มน้อยอย่างรวดเร็ว

ช่างน่าบังเอิญ มันคือบ้านเช่าหลังที่ถูกที่สุดในบริเวณนี้

“บ้านหมายเลข 81… หลังนี้แหละ!”

มันดูค่อนข้างสกปรก เศษขยะมากมายกองเกลื่อนอยู่ที่หน้าประตูอย่างไม่ได้ถูกเก็บกวาดมาเป็นเวลานาน ผ้าม่านถูกปิดสนิท และบนหน้าต่างยังมีรอยคราบสีดำบางอย่างเปื้อนอยู่ ลักษณะของบ้านทั้งหลังนั้นดูไม่ต่างอะไรกับสุสานเลยสักนิด

ไฟทุกดวงถูกปิด

ภายในใจของฉินเย่เริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เขารีบเดินเข้าไปและถีบประตู

ภายในบ้านมืดสนิท และทันทีที่เขาเปิดไฟฉายในมือ ฉินเย่ก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ

เขามาช้าเกินไป

ร่างของศพถูกแขวนคอลงมาจากขื่อของบ้านเช่าหลังเล็ก

มันคือลักษณะเดียวกันกับคนที่เสียชีวิตในโรงแรมก่อนหน้านี้ เส้นด้ายสีดำจำนวนมากถูกเชื่อมอยู่กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ห้อยลงมาจากพัดลมเพดานราวกับหุ่นเชิดที่ถูกทิ้ง ไม่เหลือเค้าโครงรูปลักษณ์เดิมของผู้ตายอีกต่อไป ด้ายสีดำพวกนั้นพันรอบศพอย่างแน่นหนาจนมันบาดเนื้อหนังของศพแทบทุกส่วนของร่างกาย เหมือนอวนที่ใช้ตกปลา ด้านล่างของศพมีกองเลือดขนาดใหญ่เจิ่งนองอยู่

ศพตรงหน้าของเขาจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้ นอกจากผู้หามหีบศพที่รับงานหามศพที่มาจากมณฑลตงไห่

ถึงแม้ว่าชายตรงหน้าจะตายไปแล้ว แต่พลังหยินของเขายังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ หรืออีกความหมายถึงก็คือเขาเพิ่งตายได้ไม่นาน จากการคาดคะเนของเขา อีกฝ่ายน่าจะเพิ่งตายเมื่อหนึ่งวันก่อนหน้านี้

“สิ่งแรกที่หลินเชาเซิงทำคือฆ่าและปิดปากเขา…” ผู้ที่จะสามารถนำทางของเขาไม่อยู่แล้ว ฉินเย่หันไปมองยังตำแหน่งที่ตั้งของนครเซี่ยเจียง “ดูท่าว่าเราคงต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายดวงต่อไปในนครเซี่ยเจียงเสียก่อน แล้วจึงจะสามารถหาร่องรอยของผู้บงการต่อได้….”

เด็กหนุ่มส่ายหน้าอย่างผิดหวัง จากนั้นจึงหันหลังและเดินออกมาจากบ้าน

หลังจากผ่านไป 40 นาที หวังเฉิงก็วนรถมารับฉินเย่ที่ถนนของชนกลุ่มน้อยอย่างตามเวลา อีกฝ่ายมีเพียงกระเป๋าเป้ใบหนึ่งติดตัวมาด้วยเท่านั้น

ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนฟ้า พร้อมกับกลุ่มดาวที่สว่างไสวอยู่ล้อมรอบ

ภายใต้แสงสลัวของดวงดาวและดวงจันทร์ เด็กหนุ่มทั้งสองเริ่มเดินทางออกจากเมืองชิงซี มุ่งหน้าไปบนถนนด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น เพราะไม่ว่าอย่างไร เหตุการณ์เหนือธรรมชาติขนาดใหญ่ก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และมันก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแม้แต่หน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติเองก็ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับเรื่องอะไรแบบนี้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคง ล็อกดาวน์เมืองชิงซีไปนานแล้ว

หรือบางทีมันอาจจะเป็นเพราะความจริงที่ว่านี่คือเหตุการณ์แรก ๆ ที่เกิดขึ้นในบริเวณที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ และหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติก็ยังไม่ได้รับอำนาจในการลงมือ การส่งต่อคำสั่งจึงจำเป็นจะต้องใช้เวลา และนี่ก็ทำให้ฉินเย่และหวังเฉิงห่าวมีโอกาสหลบหนีได้โดยไม่ตกเป็นที่สังเกต

“เรากำลังจะไปที่ไหนเหรอ” หวังเฉิงห่าวเอ่ยถามขณะที่ยังคงขับไปตามถนนสายหลัก

ฉินเย่ก้มหน้าดูแผนที่ในมือของตน คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “เมืองติ้งหยาง ”

“นับระยะทางจากที่เราอยู่ในตอนนี้คือตรงกลางระหว่างทางทิศเหนือและใต้ นอกจากนี้เมืองติ้งหยางยังมีสนามบินที่มีเที่ยวบินไปที่นครเหลียนฮวา รถไฟความเร็วสูงเองก็แล่นผ่านเป็นระยะ ๆ เพราะยังไงซะ เร็ว ๆ นี้พวกเราใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

หวังเฉิงห่าวพยักหน้า ยิ่งเขาอยู่ห่างจากเมืองชิงซีมากเท่าไหร่ ภายในใจของเขาก็ยิ่งสงบลงเท่านั้น

ความผันผวนของอุณหภูมิในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้นค่อนข้างสูง และในคืนนี้ อากาศค่อนข้างเย็นและหนาวจัด ไม่มีบทสนทนาใด ๆ ระหว่างคนทั้งคู่ หวังเฉิงห่าวเพิ่งผ่านเหตุการณ์พลิกผันในชีวิตมา และเขาก็อยากที่จะระบายมันกับใครสักคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฉินเย่ ดังนั้นเขาจึงขับรถต่อไป ลอบมองฉินเย่บ้างเป็นครั้งคราว สุดท้าย หลังจากผ่านไป 10 นาทีเขาก็ทนไม่ไหวและเอ่ยทำลายความเงียบว่า “นาย….เป็นอะไรหรือเปล่า?”

ดวงดาวมากมายลอยเด่นอยู่บนฟ้า ฉินเย่ดูเหม่อลอยขณะที่มองไปบนฟ้าก่อนที่จะพยักหน้าอย่างบึ้งตึง หลังจากที่ตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็พูดขึ้นว่า “นายไม่ต้องห่วงฉันหรอก…ตอนนี้ฉันแค่อยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนโหมด”

“???”

“…อย่างที่ฉันเคยพูดก่อนหน้านี้ คนเรามีหลายหน้า ถ้าฉันจริงจังอยู่ตลอดเวลา ฉันก็อาจจะได้รับความเคารพจากบางคน แต่ก็อาจจะไปทำให้บางคนไม่พอใจเช่นกัน ดังนั้นเพื่อที่จะระมัดระวังเรื่องนั้นและใช้ชีวิตรอดต่อไป ฉันจึงได้เรียนรู้มาว่าบางครั้ง เราก็ควรจะปล่อยวางและผ่อนคลายเสียบาง…ขอบุหรี่หน่อย”

หวังเฉิงห่าวหยิบซองบุหรี่ออกมาและส่งต่อมันให้กับ ฉินเย่ เขาจุดไฟขึ้นทันทีหลังจากที่รับไป เพราะว่าไม่ค่อยได้สูบบุหรี่บ่อยนัก เด็กหนุ่มจึงสำลักออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะสูบมันเข้าไปอีกครั้ง “หวังเฉิงห่าว ในชีวิตนี้ฉันเจอคนมามาก และคนพวกนั้นทุ่มเทกับสิ่งที่ทำมาทั้งชีวิต พวกเขามีทุกอย่าง ตั้งแต่รถขับ บ้าน ไปจนถึงการเป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักแสดงผู้หญิงหลายคน อย่างไรก็ตาม…เมื่อพวกเขาเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับความหมายและเป้าหมายของชีวิต พวกเขา…ก็มักจะรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของตน”

“แน่นอน ว่าหลายคนอาจจะแสวงหาความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ฉัน….ฉันไม่เหมือนพวกเขา”

“ฉัน….เห็นอะไรมาแล้วหลายอย่าง อันที่จริง ประสบการณ์ที่ฉันเคยผ่านมาอาจเป็นสิ่งที่ใคร ๆ หลายคนเรียกว่าเกินจริงหรือเป็นตำนานเลยด้วยซ้ำ ในสายตาของฉัน ชีวิตนั้นช่างยาวนานและยากลำบาก ฉันอาจจะมีความสามารถในการรวบรวมความกล้าและทุ่มเทกับทุกอย่างเมื่อสถานการณ์เริ่มเป็นภัยต่อชีวิตของตัวเอง แต่มันก็ไม่มีทางที่ฉันจะสามารถเป็นแบบนั้นได้ตลอด เพราะชีวิตของฉันมันยาวนานเกินไป….”

“ดังนั้น ทุกครั้ง หลังจากที่ฉันได้มีเวลาแห่งความกล้าหาญนี้ ฉันก็มักจะปล่อยให้ตัวเองได้อยู่ในสภาพที่ผ่อนคลายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นายจะเรียกฉันว่าอะไรก็ได้ จะเรียกเศษสวะก็ได้เหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าคนที่สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว นี้แหละเป็นสิ่งที่ฉันคิดว่าถูกต้องแล้ว”

เขาเคาะนิ้วที่ขอบกระจกรถเบา ๆ เพื่อให้ส่วนขี้เถ้าหลุดลอยออกไป แต่งแต้มประกายแสงส้มแดงในท้องฟ้ายามค่ำคืน

หวังเฉิงห่าวเม้มริมฝีปากแน่น คำสอนพวกนี้ช่างเหมือนกับบทสนทนาระหว่างเขากับผู้เป็นพ่อหลายต่อหลายครั้งในอดีต แต่ เขาไม่เคยเก็บคำสอนของพ่อมาใส่ใจเลยสักนิด ทว่าเมื่อฉินเย่เอ่ยมันออกมาด้วยความจริงใจ เขาจึงเชื่อมันอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ

มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา….แล้วเราล่ะ เคยทำอะไรสำเร็จบ้าง?

นอกจากหลบอยู่หลังผู้เป็นพ่อ นั่งอยู่เฉย ๆ ต่อยตีกับผู้อื่น และเมินเฉยต่อทุกสิ่ง เราได้ทำอะไรไปบ้าง?

เขาสมควรที่จะตั้งใจเรียน ตั้งใจใช้ชีวิต อย่างที่สมควรแต่เขาก็ไม่ทำ ฉินเย่เป็นเหมือนกับนาฬิกาปลุกที่กำลังนับถอยหลังด้วยความเร็วที่ต่อเนื่อง และเมื่อใดก็ตามที่มันถึงเลขศูนย์ มันก็จะดังขึ้นไม่หยุด ส่วนเขาในทางกลับกัน ไม่ต่างอะไรกับไม้ขีดไฟก้านหนึ่ง สับสนกับชีวิต ไม่รู้ว่าตนควรจะติดไฟและต่อสู้เพื่อตนเองตอนไหน

แต่เมื่อเขาได้เห็นการต่อสู้ที่นองเลือดระหว่างฉินเย่และนักเชิดหุ่นที่ชั้น 5 ของโรงแรมโรงแรมเฝิงไหลก่อนหน้านี้ หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง

มันเหมือนกับว่าแสงแห่งรุ่งอรุณได้สาดส่องผ่านทะเลแห่งความมืดมิดที่อยู่ภายในใจของเขา

เด็กหนุ่มไม่ได้รู้อย่างแน่ชัดว่าสิ่งที่ตนเพิ่งตระหนักได้คืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจก็คือเขาเริ่มรู้สึกรังเกียจตัวเองในอดีต

“ฉัน…จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด” หวังเฉิงห่าวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ทว่าคำพูดนั้นก็ถูกพัดหายไปอย่างรวดเร็วราวกับสลายไปในความมืดยามค่ำคืน

ถึงแม้ว่าเสียงพูดของอีกฝ่ายจะเบามาก แต่ฉินเย่กลับได้ยินมันอย่างชัดเจน และเขาก็ต้องกลอกตาอย่างอดไม่ได้ การที่นายจะพยายามให้ดีที่สุดหรือไม่นั้นมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?

ฉินเย่มีชีวิตอยู่มานาน มีผู้คนมากมายเข้ามาในชีวิตของเขา ทว่ากลับมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ถือได้ว่าเป็นเพื่อนแท้ของเขา สำหรับเด็กหนุ่ม ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับมิตรภาพที่แท้จริงคือความสัมพันธ์ที่ยืดเยื้อมานานกว่าสิบปี และตอนนี้ หวังเฉิงห่าวก็เพิ่งถูกยกระดับให้อยู่ในขั้นของคนรู้จักเท่านั้น ยังอยู่ในช่วงพิสูจน์ตัวตนอยู่

“ฟังเพลงกันหน่อยไหม?” หวังเฉิงห่าวรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย สำหรับคนที่ใช้ชื่อเสียงนำหน้าอย่างเขา การที่ต้องยอมรับความกลัวต่อหน้า “เพื่อน” ใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักนั้นเป็นสิ่งที่น่าอับอายและน่ากลัวเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงพยายามกลบเกลื่อนมันโดยการรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างทันควัน

“ตามสบายเลย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมา และเพลงแรกที่เล่นก็คือเพลงภาษาญี่ปุ่นที่ฉินเย่เคยฟังมาก่อน มันมีชื่อว่า “บลูเบิร์ด” เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองที่น่าฟัง

“羽ばたいたら戻れないと言って,目指したのは苍い苍いあの空,悲しみはまだ覚えられず,切なさは今つかみ始めた……”

เสียงใส ๆ ของนักร้องนำหญิงดังก้องไปทั่ว ทว่าเด็กหนุ่มทั้งสองกลับต้องขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้ ทั้งคู่อยากฟังเพลงที่มีท่วงทำนองที่นุ่มนวลกว่านี้

ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่ฉินเย่จะได้เอ่ยอะไรออกมา หวังเฉิงห่าวก็รีบเปลี่ยนเพลงอย่างไม่ลังเลทันที เสียงดนตรีที่นุ่มนวลและอ่อนโยนดังขึ้นคลอไปกับสายลมที่พัดผ่านในยามค่ำคืน

“เดินไปบนถนนอย่างไร้จุดหมาย…”

ทันทีที่เสียงเพลงดังขึ้น ฉินเย่ก็เหลือบตามองเล็กน้อย

“ยังอยากจะเดินต่อไปไหม? ความน่าภาคภูมิใจของตัวฉันคนเก่า…มันได้หายไปหมดแล้ว….”

“ทั้งร้อนใจ ไม่มั่นคง…” ฉินเย่ร้องตามอย่างอดไม่ได้ “เป็นปริศนาและเงียบงัน…เธอกำลังฟังเรื่องของฉันอยู่ใช่ไหม…”

นี่เป็นหนึ่งในเพลงไม่กี่เพลงที่เขาสามารถจำเนื้อร้องของมันได้

“ครั้งหนึ่ง ฉันเคยก้าวข้ามภูเขาและมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ พบเจอผู้คนมากมาย ครั้งหนึ่ง ฉันเคยมีทุกอย่าง แต่ภายในพริบตาเดียว พวกมันก็พลันสลายไปราวกับกลุ่มควัน…” เสียงร้องของเด็กหนุ่มดังคลอเบา ๆ ไปกับความมืดมิดยามค่ำคืน หวังเฉิงห่าวเพียงฟังท่วงทำนองที่ถูกขับขานออกมาอย่างเงียบเชียบ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเนื้อหาของเพลง ๆ นี้อธิบายความเป็นฉินเย่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ [1]

ทั้งสองต่างมีเรื่องราวของตนที่อยากจะเล่าให้อีกฝ่ายฟัง มันเป็นเรื่องที่เรียบง่าย ทว่าแฝงไปด้วยสิ่งที่ทำให้พวกเขาเติบโตขึ้น

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของหวังเฉิงห่าวก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นตามมาติด ๆ “การดาวน์โหลดของคุณเสร็จสมบูรณ์ ต้องการเปิดไฟล์หรือไม่?”

เด็กหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะใช้มือตีหน้าผากของตน “ฉินเย่ นายอยากรู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เราออกมา?”

“นายจำได้เหรอ?” ฉินเย่ถามกลับอย่างประหลาดใจ

มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาออกมาจากโรงแรมเฝิงไหล

ทว่าคำถามสำคัญที่สุดที่ยังคงติดค้างอยู่ในหัวของเขาก็คือ…ในเป็นคนฆ่านักเชิดหุ่น?

[1] เพลงผิงฝานจือลู่(平凡之路) หรือเส้นทางสามัญธรรมดา ประพันธ์ท่วงทำนองโดยนักร้องเพลงโฟล์กชาวจีนชื่อผู่ ซู่(朴树) ถูกนำไปใช้ประกอบภาพภาพยนตร์เรื่องโฮ่วหุ่ยอู๋ชี (后会无期:The Continent) ของผู้กำกับนามหาน หาน(韩寒)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset