ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 37 สาวกของท่านอาจารย์แห่งสรวงสวรรค์

บทที่ 37 สาวกของท่านอาจารย์แห่งสรวงสวรรค์

“ได้” หวังเฉิงห่าวหัวเราะ “พอดีฉันเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้…”

“โรงแรมเฝิงไหลเป็นกิจการของพ่อฉัน และมันก็มีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกจุด มีครั้งหนึ่ง เพราะความอยากรู้อยากเห็น ฉันเลยต่อภาพจากกล้องวงจรปิดพวกนั้นเข้ากับคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เพราะอย่างไรฉันก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว…ถ้าตอนนี้มันยังใช้ได้ และปีศาจในโรงแรมยังคงไม่หายไป พวกเขาก็น่าจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น”

ทั้งคู่จอดรถอยู่ที่ริมถนนแห่งหนึ่ง หวังเฉิงห่าวเปิดกระเป๋าเป้ของตน และหางตาของฉินเย่ก็ต้องกระตุกทันที “เดี๋ยวนะ…นายหยิบมาแค่แล็ปท็อปเหรอ? แล้วพวกครีมอาบน้ำ ยาสระผม? กางเกงในล่ะ?”

“ฉันต้องเอามันมาด้วยเหรอ?” หวังเฉิงห่าวกะพริบตาปริบ ๆ เขารู้สึกงุนงงกับคำพูดของฉินเย่เป็นอย่างมาก สายตาของเด็กหนุ่มมองเพื่อนของตนราวกับจะถามว่า แล้วจะให้ฉันเอาอะไรมาอีกล่ะ?

นี่นายคิดว่าตัวเองไปเที่ยวเล่นหรือยังไง?

มุมปากของฉินเย่กระตุกอย่างต่อเนื่อง “อย่างน้อยนายก็ควรจะเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนด้วยไม่ใช่หรือไง?”

หวังเฉิงห่าวเพียงเปิดบัญชีอาลีเพย์(alipay)[1] ของตนให้อีกฝ่ายดูเป็นการตอบ และฉินเย่ก็พบว่าตัวเลขหลักแรกในบัญชีของอีกฝ่ายคือเลข “6” และจำนวนเงินทั้งหมดในบัญชีก็มีเลขอยู่ถึง 6 หลักเช่นกัน

ไอ้พวกคนรวยเอ้ย…

“ฉันเอาบัตรประชาชนกับใบขับขี่มาด้วย นอกจากโทรศัพท์กับเอกสารยืนยันตัวตนแล้วนายยังต้องการอะไรอีก?” หวังเฉิงห่าวเอ่ยออกมาก่อนจะเปิดแล็ปท็อปของตนและพูดต่อว่า “ตราบใดที่นายยังมีเงินอยู่ในบัญชีมือถือก็พอแล้ว”

ไอ้เด็กนี่…ที่นายพูดมันก็จริง แต่ทำไมความจริงข้อนั้นมันถึงทำให้ใจของฉันรู้สึกเจ็บขึ้นมานิด ๆ ล่ะ?

ตอนนี้ ฉินเย่กำลังรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต็มไปด้วยรูโหว่ ยิ่งเมื่อเห็นโลโก้แบรนด์บนแล็ปท็อปของหวังเฉิงห่าวเป็นรูปผลไม้ที่ถูกกัดไปคำหนึ่ง เขาก็รับรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องตรวจสอบอะไรเพิ่ม

ทันใดนั้นภายในใจของเด็กหนุ่มก็จมอยู่กับความโศกเศร้าเมื่อฉุกคิดได้ว่าตนกำลังปล่อยให้อารมณ์ของตนคล้อยไปตามผู้อื่นอีกแล้ว….

นิ้วมือของหวังเฉิงห่าวกดลงบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็ผิวปากออกมาอย่างได้รับชัยชนะ “มันยังใช้ได้! ฉินเย่! มันยังใช้ได้จริง ๆ ด้วย!”

ทั้งสองรีบหันเหความสนใจของตนไปที่วิดีโอที่กำลังเล่นในโหมดเต็มหน้าจอทันที

ภาพที่ฉายออกมาคือภาพของหลินเชาเซิงที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น ตัวสั่นด้วยความกลัว ทว่าไม่มีผู้ใดเข้ามา

ฉินเย่พยักหน้าเงียบ ๆ เขาเคยเป็นศูนย์กลางการแสดงพลังของอาร์ทิสมาก่อน เมื่อใดก็ตามที่อาร์ทิสสำแดงพลังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของนาง ดวงวิญญาณที่อยู่ต่ำกว่าระดับตุลาการนรกลงไปจะไม่สามารถลุกยืนขึ้นได้ หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ในแง่ของพลังอำนาจ นักเชิดหุ่นไม่ได้ใกล้เคียงกับระดับตุลาการนรกเลยสักนิด

หลังจากวิดีโอเล่นไป 15 นาที มันก็ยังไม่มีใครเข้ามาในห้องเช่นเดิม ทว่าในนาทีที่ 16 กลุ่มเมฆสีดำด้านนอกก็ดูเหมือนจะกระจายตัวเล็กน้อย ทันทีที่แสงแรกส่องเข้ามาอีกครั้ง เสียงหงุดหงิดของใครบางคนก็ดังขึ้น “ให้ตายเถอะผีบ้า! แค่รอให้ฉันกินข้าวเสร็จก่อนที่จะกลายร่างเป็นปีศาจ มันจะตายหรือไง?! รีบไปเกิดใหม่ขนาดนั้นเลยเหรอ? หรือว่าจะรีบวิ่งกลับบ้านไปฟ้องพ่อกันแม่กันวะฮะ?!”

เสียงพูดที่ดุดันดังก้อง ทำให้ทั้งหวังเฉิงห่าวและฉินเย่ตกใจเป็นอย่างมาก

มัน…จะต้องเกิดอะไรขึ้นกับภาพจอแน่….

เขาหมายถึง….ไม่ใช่ว่าผู้ที่กำจัดนักเชิดหุ่นควรก้าวเดินออกมาจากความมืดด้วยตัวตนที่คล้ายกับเทพเซียนและทำท่าราวกับตนมีพลังเหลือล้นหรืออย่างไร?

แต่การปรากฏตัวของเขา…แทนที่จะดูเหมือนกับเจ้าของร้านขายผักที่ตลาดสด…

พลังหยินที่อยู่โดยรอบถูกขจัดไปจนหมดก่อนที่จะสิ้นเสียงพูด จากนั้น ร่างอ้วนกลมของใครบางคนก็ปรากฏตัวขึ้นให้เห็นเป็นครั้งแรกในวิดีโอ

นะ…นี่คือนักพรตเต๋าจริง ๆ เหรอ….

ชายในภาพน่าจะมีน้ำหนักมากกว่า 200 กิโลกรัม เสื้อคลุมเต๋าของเขาฉีกขาด ตะเข็บหลุดลุ่ย ในขณะที่บนส่วนเปื้อนไปด้วยน้ำตาเทียน นอกจากนี้เขายังสวมผ้าคลุมศีรษะทรงสี่เหลี่ยมด้วย มันแทบจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าเขาอาบน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แม้แต่ปกคอเสื้อของเขาในตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นสีดำไปเสียแล้ว และที่ทำให้ทุกสิ่งแย่กว่าเดิมก็คือ แทนที่เขาจะถือแส้หางม้าอยู่ในมือ…แต่เขากลับถือ…ไม้ปัดฝุ่นขนไก่!

ไม้ปัดฝุ่นขนไก่ คุณเชื่อไหมล่ะ?!

และเขายังถือขาแกะที่มันเยิ้มอยู่ในมืออีกข้างด้วย ภาพที่ไม่ว่าจะมองมุมไหน ผู้ชายคนนี้ก็ดูเหมือนกับขอทานมากกว่านักพรตเต๋า

“ผู้เชี่ยวชาญระดับนักล่าวิญญาณเหรอ?” ทันใดนั้นผู้เชิดหุ่นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงตกตะลึง

ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขาเพียงแทะขาแกะอย่างหิวกระหายและทานมันหมดภายในไม่กี่คำ จากนั้น เมื่อเช็ดคราบไขมันบนเสื้อคลุมของตนเอง ทำฝ่ามือเป็นรูปดอกบัวและเอ่ยต่อว่า “อู๋เลี่ยง….อึ๊ก!…เทียนจวิน ”

นักเชิดหุ่นไม่สามารถยืนเผชิญหน้ากับคนตรงหน้าได้อีกต่อไป เขาเอ่ยขึ้นมา “แส้หางม้าของท่านอยู่ที่ใด?”

“อึ๊ก!…ข้าลืมน่ะ เวลารีบหยิบข้าวของก็มักจะเป็นแบบนี้ ในฐานะของสาวกที่แท้จริง มันเป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องพร้อมแสดงตัวอยู่ตลอดเวลา แต่…อึ๊ก…ฉันหยิบมาผิด”

ทั้งสองดูวิดีโอที่เล่นอยู่อย่างตกตะลึง

“ท่านคิดหรือว่าผู้ที่อยู่แค่ระดับนักล่าวิญญาณอย่างท่านจะสามารถรับงานลอบสังหารได้?” นักเชิดหุ่นระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ร่างของเขาจางหายไปในหมอกดำ ขณะที่ศพที่นอนเกลื่อนอยู่รอบ ๆ นักพรตเต๋าก็เริ่มที่จะมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น นักพรตผู้นั้นเพียงเช็ดปากก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “สหาย ดูเหมือนนายจะลืมอะไรไปอย่างนะ ฉันจะบอกให้ก็แล้วกัน…”

“หลายพันปีที่แล้ว ไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใดที่กล้าประพฤติตัวไม่เหมาะสมภายในมณฑลเสฉวน หรือแม้แต่ตอนนี้ อัตราการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติภายในมณฑลเสฉวนก็ยังคงต่ำที่สุดในประเทศ แกลองใช้สมองโง่ ๆ ของตัวเองตรึกตรองดูว่าเหตุใดมันจึงเป็นเช่นนั้น?”

แต่เขากลับไม่ได้รับคำตอบเลยสักนิด ซากศพที่อยู่โดยรอบยังคงพยายามลุกยืนขึ้น จากนั้น ในไม่วินาทีต่อมา พวกมันก็พุ่งเข้าหานักพรตเต๋าพร้อมกันในคราวเดียว

“ก็เพราะว่าสองในสามของสำนักเต๋าดั้งเดิมตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวนอย่างไรล่ะ นี่คือสถานที่ที่ท่านอาจารย์แห่งสวรรค์จางหรือจางเทียนซือได้สำเร็จมรรคผล และคิดค้นเคล็ดวิชาปราบปรามเหล่ามารร้ายภูตผีปีศาจขึ้นมา…แกไม่คิดหรือว่าความกล้าของแกมันมากเกินไป?”

“ก่อกำเนิดฟ้า ดิน”

ทันใดนั้นนักพรตร่างท้วมก็ทำมือเป็นสัญลักษณ์ผนึกจำนวนมาก วงกลมสีเงินขาวปรากฏขึ้นมาจากบริเวณใต้เท้า ขณะที่ที่นั่งทรงดอกบัวเก้าชั้นปรากฏขึ้นด้านข้าง เมื่อกลีบดอกบัวในแต่ละชั้นเบ่งบาน ภายในห้องทั้งหมดพลันเต็มไปด้วยรัศมีแสงแห่งหยาง ปะทะเข้ากับพลังหยินที่มืดมิดอย่างรุนแรง หุ่นเชิดศพทั้งหมดสลายตัวไปในพริบตา

ฉินเย่มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยแววตาตกตะลึง เขาเคยสู้กับศพพวกนี้มาก่อน และเขาก็รู้ถึงความยากลำบากในการที่จะจัดการกับพวกมันเป็นอย่างดี อันที่จริง เขาไม่สามารถแม้แต่จะยืนหยัดสู้กับพวกมันด้วยซ้ำ

“ไตรวิสุทธิ์?! ท่านคือสาวกของอาจารย์แห่งสรวงสวรรค์จางเทียนซืออย่างนั้นหรือ?!” เสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวดังก้องขึ้น ทันใดนั้นเอง กลุ่มหมอกสีเข้มที่อยู่ในห้องทั้งหมดก็เริ่มพรั่งพรูออกมาราวกับคลื่นยักษ์ รวมตัวเข้าด้วยกัน กลายเป็นร่างของมังกรหยินและพุ่งตัวออกไปที่บันไดอย่างรีบร้อน

“อู๋เลี่ยงเทียนจวิน[2]” นักพรตเต๋าดึงปิ่นปักผมของตนออกและเหวี่ยงมันเบา ๆ “ไปซะ”

ฟึ่บ! ปิ่นปักผมพุ่งไปในอากาศราวกับสายฟ้าฟาก! ทันใดนั้น มันก็เปลี่ยนร่างเป็นดาบไม้มะฮอกกานีโบราณที่ส่งเสียงหวีดแหลมแหวกอากาศและเสียงฟ้าร้องออกมาเบา มันตามคลื่นพลังหยินดังกล่าวได้ภายในพริบตา พร้อมกับเสียงร้องที่น่าสังเวช กลุ่มควันสีดำสลายไปในทันที และดาบไม้ก็พุ่งตรงเข้าไปในกล่องสีดำที่หลินเชาเซิงถือเอาไว้ตลอดเวลา

นักพรตเต๋าเดินเข้าไปใกล้อย่างใจเย็นและเอ่ยว่า “นักเชิดหุ่น…ในตอนนั้น สาเหตุที่นิกายของแกถูกล้างบางไปก็เพราะว่าแกหลงทางผิดและใช้ร่างกายมนุษย์ในการทดลองไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้พบกับผู้เหลือรอดในวันนี้ หากฉันเป็นแก ฉันคงจะปกปิดตัวตนของตัวเองอย่างดีและดื่มด่ำกับความสุขของโลกนี้เสีย แต่อนิจจา ผู้ที่กระทำบาป….แก…”

เขาเดินไปจับด้ามของมันไว้อย่างมั่นคง “ฉันเคยได้ยินมาว่านักเชิดหุ่นไม่เคยมีส่วนร่วมในการต่อสู้เลยสักครั้ง และนายตำรวจผู้นี้ก็คงจะเป็นหนึ่งในหุ่นเชิดของแกเหมือนกันสินะ? เช่นเดียวกันกับผู้หามหีบศพจากหูหนานตะวันตก พวกแกทุกคนล้วนโดดเด่นในสายวิชาของตัวเอง ทว่าน่าเสียดายที่ความเชี่ยวชาญพวกนี้จะต้องหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล…..”

และก่อนที่จะพูดจบ เขาก็แทงดาบเข้าไปในกล่องให้ลึกลงกว่าเดิม!

กรี๊ดดดดดดด!!!! ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องที่เสียดแทงหัวใจดังออกมาจากกล่อง ตัวดาบแทงลงไปในกล่องจนมิดด้าม ทะลุลงไปถึงพื้นที่อยู่อีกด้านหนึ่ง มีเพียงด้ามดาบเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ให้เห็นด้านนอก!

ฉึกกกกก!

เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดขึ้นไปในอากาศ ปริมาณของมันดูขัดกับขนาดที่เล็กของกล่องอย่างสิ้นเชิง เสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชยังคงดังต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทุกอย่างดำเนินเช่นนี้ไปประมาณ 10 วินาทีก่อนที่ทั้งหมดจะกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง

“อู๋เลี่ยงเทียนจวิน….บาปของแกก็คือการที่แกมาขัดจังหวะเวลากินข้าวของฉัน” นักพรตเต๋าเอ่ยพร้อมถอนหายใจออกมา และกระดิกนิ้วเบา ๆ ดาบไม้ที่เสียบอยู่บนกล่องพลันหดเล็กลงและเสียบกลับที่ผมของเขาอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงเดินไปที่ลิฟต์และออกไปจากที่เกิดเหตุในท้ายที่สุด

วิดีโอจบลงที่ตรงนี้

ใบหน้าของฉินเย่ในเวลานี้เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นยิ่งกว่าสิ่งที่อาร์ทิสคาดการณ์เอาไว้มาก มันไม่ใช่การต่อสู้ 10 นาที….การต่อสู้ที่เกิดขึ้นใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีเต็มด้วยซ้ำ! อันที่จริง มันจบลงด้วยการโจมตีเพียงสองครั้งเท่านั้น!

สำหรับครั้งที่สาม เขาได้เพิ่มพลังระดับนักล่าวิญญาณของเขาขึ้นอีกครั้ง

มันเป็นพลังอำนาจที่ไม่สามารถวัดได้

ดูจากบทสนทนาของอีกฝ่าย ฉินเย่สามารถบอกได้เลยว่านักเชิดหุ่นน่าจะเทียบได้กับนักล่าวิญญาณของนรก แต่ความจริงที่ว่าเขาถูกสาวกของอาจารย์แห่งสรวงสวรรค์ผู้นั้นกำจัดเสียสิ้นซากภายในการโจมตีเพียงสองครั้ง มันหมายความว่านักพรตร่างอ้วนคนนั้น…อาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับยมทูตขาวดำ!

และหากนี่เป็นแค่สาวก….ฉินเย่ก็ยิ่งมั่นใจเลยว่ามันจะต้องมีนักพรตที่อยู่ระดับสูงกว่านี้อยู่ในโลกมนุษย์แน่นอน!

เพราะอย่างไรแล้วยมทูตขาวดำและตุลาการนรกก็อยู่ห่างกันเพียงแค่ระดับเดียวเท่านั้น`

“นอกจากนี้…หากนักเชิดหุ่นอยู่ระดับนักล่าวิญญาณ ถ้าอย่างนั้น…อาจารย์ของคนคนนั้นก็ต้องอยู่ระดับยมทูตขาวดำเป็นอย่างต่ำ!” เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาลงและสูดหายใจเข้าอย่างช้า ๆ วินาทีนี้ ความปรารถนาของเขาที่ต้องการจะหาตัวผู้บงการให้เจอได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์!

ความจริงที่ว่ามีดวงวิญญาณระดับยมทูตขาวดำกำลังจ้องมองเขาอยู่จากระยะไกลทำให้ไม่รู้สึกอยากอาหารหรือง่วงนอนเลยสักนิด

“แต่เราจะเจาะลึกกับปัญหานี้มากขึ้นหลังจากที่อาร์ทิสตื่นขึ้นแล้ว”

“ส่วนตอนนี้ไปที่เมืองเป่าอันก่อน”

“เมืองเป่าอัน? มันคือที่ไหนกัน?” หวังเฉิงห่าวมึนงงเล็กน้อย “เราไม่ได้จะไปที่เมืองติ้งหยางกันแล้วเหรอ?”

ฉินเย่ส่ายหน้า นักพรตอ้วนนั่นพูดถูกแล้ว มณฑลเสฉวน…คือสถานที่กำเนิดของศาสนาประจำชาติ ลัทธิเต๋า ในอดีตจางเต้าหลิงได้บำเพ็ญพรตอยู่บนภูเขาเหอหมิง ก่อนที่จะไปที่ภูเขาชิงเฉิง สถานที่ซึ่งเขาได้ทำการปัดเป่าวิญญาณร้ายจำนวน 8 ล้านตน นิกายหลักสองแห่งตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน ไม่ว่าจะเป็นสาวกในนาม สาวกที่เป็นฆราวาส หรือสาวกที่แท้จริง ความจริงที่ว่าคนพวกนี้กระจายตัวอยู่ทั่วมณฑลเสฉวนนั้นยังคงไม่เปลี่ยน และหากเป็นเช่นนี้ มันก็จะอันตรายเกินไปสำหรับเขาที่จะอยู่ที่นี่

ตัวเลือกของเขามีเพียงแค่อยู่ต่อ หรือไม่ก็หนีไปให้ไกลจากที่เกิดเหตุให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ไปมณฑลอันฮุ่ย”

“ต้องไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ?” หวังเฉิงห่าวรู้สึกถึงความปวดหัวที่กำลังมาในไม่ช้า เพื่อนรัก มันเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดออกมา แต่นายอยากจะลองขับรถไกลขนาดนั้นดูบ้างไหมล่ะ?

“ที่นั่น เราจะปลอดภัย” ฉินเย่หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาและกดหมายเลขโทรออก “นายจะไม่อยู่ก็ได้ แต่ทั้งหมดที่นายต้องทำก็คือไปส่งฉัน เพราะอย่างไรแล้ว…ฉันก็มีเพื่อนอยู่ที่นั่น”

ดวงตาของหวังเฉิงห่าวเป็นประกายขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เพื่อน?

คนอย่างนายมีเพื่อนด้วยเหรอ?

คนคนนั้นเป็นมนุษย์หรือเปล่า?

สายโทรศัพท์ถูกรับอย่างรวดเร็ว หรือหากพูดกันตามความจริง อีกฝ่ายรับสายโทรศัพท์แทบจะทันทีเลยด้วยซ้ำ ทว่าสิ่งที่แปลกที่สุดก็คือแม้ว่าจะรับสายแล้ว ทั้งฉินเย่และคนที่อยู่ปลายสายกลับไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว และทั้งคู่ก็ไม่ได้วางสายเช่นกัน

หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ฉินเย่ก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “ผู้เฒ่าจาง…ครั้งล่าสุดที่เราพบกันน่าจะเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วใช่หรือเปล่า?”

“ใช่แล้ว…เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ ตอนนี้ลูกของผมก็เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว…ผะ…ผมไม่คิดเลยว่า…ตัวเองจะมีโอกาสได้ยินเสียงคุณอีกครั้ง…” น้ำเสียงตกตะลึงของชายวัยกลางคนดังตอบกลับมา

ฉินเย่ยิ้ม “ผมได้ยินมาว่าคุณได้เลื่อนตำแหน่งอีกแล้วไม่ใช่เหรอ? ผมควรเรียกคุณว่าท่านรองดีหรือเปล่า?”

“หึหึ…พวกตำแหน่งและเงินทองมีค่าสำหรับคุณด้วยหรือ?” ผู้เฒ่าจางเอ่ยเย้า “คุณฉิน คุณกับผม มิตรภาพระหว่างเรานั้นคงอยู่ไปชั่วชีวิต สิ่งอื่นล้วนเป็นภาพลวงตาเท่านั้น หากไม่มีคุณ…ผมก็คงไม่สามารถมีอย่างที่มีทุกวันนี้ได้ และผมเองก็รู้ด้วยว่าคุณไม่ใช่คนที่จะโทรมาโดยไร้เหตุผล ดังนั้นคุณคงจะมีเรื่องสำคัญบางอย่างสินะ เชิญพูดมาได้เลย”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยออกไปอย่างไม่ลังเล “ตอนนี้ผมอยู่ที่เสฉวน มีบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองที่ผมอยู่ คุณก็รู้ ผมไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้ ดังนั้นผมจึงตั้งใจว่าจะย้ายไปอยู่ที่มณฑลอันฮุ่ยสัก 3-5 ปี เพื่อรอให้ทุกอย่างมันผ่านพ้นไปก่อน ผมจึงต้องการความช่วยเหลือจากคุณในการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชานเมืองสักที่ และจัดแจงเรื่องเอกสารระบุตัวตนที่จะไม่ทำให้เกิดความสงสัยให้ผมที”

“ไม่ต้องห่วง มาที่นี่ได้เลย ตอนนี้ผมเองก็บังเอิญอยู่ที่เมืองเป่าอันพอดี ผมจะเตรียมเอกสารที่จำเป็นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เรียบร้อยก่อนที่คุณจะมาถึง”

หลังจากแลกเปลี่ยนบทสนทนากันต่ออีกพักหนึ่ง ทั้งสองก็วางสายแทบจะในเวลาเดียวกัน หวังเฉิงห่าวที่เห็นเช่นนั้นจึงถามอย่างสงสัย “ฉินเย่ เมื่อครู่นายบอกว่าเขาเป็นเพื่อนนายอย่างนั้นเหรอ?”

“ใช่….” ฉินเย่ตอบราวกับนึกถึงเรื่องในอดีตพร้อมกับยิ้มออกมา “กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพง[3] ฉันใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ นายคิดจริง ๆ เหรอว่าฉันจะไม่มีไพ่ตายอะไรซ่อนอยู่เลย?”

ในเวลาเดียวกัน ภายในบ้านพักที่ดูธรรมดาในเมืองเป่าอัน มณฑลอันฮุ่ย มือที่ผ่านการทำงานมาอย่างหนักกดวางสายโทรศัพท์

“อันที่จริง…ตลอดหลายปีที่ผ่านมา…ไม่คิดเลยว่าเขาจะยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน….” คนที่เพิ่งวางสายโทรศัพท์ไปคือชายผมขาวที่อยู่ในวัยประมาณ 50 ปีผู้ซึ่งอยู่ในชุดอยู่บ้าน เขาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ มือข้างหนึ่งถือถ้วยชาขณะที่นึกถึงช่วงเวลาเก่า ๆ

“นี้คุณ คุณอย่าลืมล้างจานด้วยนะคะ! ทำไมคุณถึงนั่งลงอีกแล้วล่ะ?” สุภาพสตรีผู้ผูกผ้ากันเปื้อนไว้รอบเอวเดินออกมาและเรียกอีกฝ่าย

“จะไปเดี๋ยวนี้แหละ…” ผู้เฒ่าจางเปิดเปลือกตาขึ้นและส่งยิ้มให้กับคนที่มาเรียกตนอย่างจริงใจก่อนจะเหลือบไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทของผู้เป็นลูกชาย ครู่ต่อมา เขาก็ปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึมและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออกอีกครั้ง

“ผมเอง จางเปากัว ขอสายผู้กำกับเจิง”

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงหัวเราะเบา ๆ ของชายผู้หนึ่งก็ดังขึ้นมาจากปลายสาย “หึหึ ท่านรองอัยการสูงสุดจาง ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้หรือครับถึงต้องติดต่อมาด้วยตัวเองแบบนี้?”

“แค่มีเรื่องจะรบกวนน่ะ” จางเปากัวเอ่ยนิ่ง ๆ “พอดีภายในอีก 15 วันนี้ ญาติของผมจะย้ายมาเรียนที่เมืองเป่าอัน คุณพอจะมีมหาวิทยาลัยดี ๆ ที่ไหนแนะนำบ้างหรือเปล่า? ผมไม่อยากได้มหาลัยที่อยู่ในตัวเมือง เอาแค่อยู่รอบ ๆ เมืองเป่าอันก็พอ….”

[1] อาลีเพย์ (alipay) แอปพลิเคชั่นใช้เฉพาะชำระเงินทางออนไลน์ของจีน

[2] อู๋เลี่ยงเทียนจวิน (无量天尊) คำกล่าวของผู้ที่นับถือลัทธิเต๋า เป็นการอวยพรให้มีความสุขอย่างหาที่สุดไม่ได้ คล้ายกับคำว่าอามิตตาพุทธของพระพุทธศาสนา

[3] กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพง (狡兔三窟) สำนวนจีนที่หมายถึงการมีที่ซ่อนตัวหลายแห่งเพื่อสะดวกแก่การหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset