ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 81: บ้านผีสิง (2)

บทที่ 81: บ้านผีสิง (2)

ครืดดด…กระบี่ปีศาจถูกลากไปตามพื้น เกิดเป็นเสียงแหลมเสียดหูดังขึ้น ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ไหน ความมืดที่รวมกันบริเวณนั้นจะสลายหายไปทันที ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงักลงเมื่อเดินมาถึงห้องหมายเลข 123

นี่คือห้องที่เขาเคยยืนอยู่เมื่อครู่นี้

ปัง! เขาถีบประตูออกอย่างแรง ทว่าด้านในของห้องกลับว่างเปล่า

ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องเป็นใคร ผนังห้องถูกเต็มไปด้วยรูปถ่ายมากมาย กระจกติดผนังสีเทาเปื้อนฝุ่นถูกแขวนอยู่ทางผนังด้านซ้าย ขณะที่ตู้เสื้อผ้าที่ว่างเปล่าถูกวางอยู่ติดกับผนังทางด้านขวา

ด้านหน้าของฉินเย่เป็นโต๊ะตัวหนึ่ง เด็กหนุ่มเดินไปเช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่ที่กระจกออก และเขาก็สังเกตเห็นว่ามีผีผู้หญิงที่แต่งตัวอยู่ในชุดงิ้วกำลังยืนตัวสั่น และก้มหัวซ่อนใบหน้าของนางไว้ที่ด้านหลังของฉินเย่

ฉินเย่นิ่งไป หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็เริ่มจัดแต่งทรงผมของตัวเอง

“ทำไมนายถึงหล่อได้ขนาดนี้นะ?” เขาเอ่ย “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทำไมไม่เคยสังเกตมาก่อน”

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้ามักจะระเบิดความมั่นใจทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับวิญญาณกัน?” อาร์ทิสหัวเราะอย่างเย้ยหยัน

“หรือว่าเจ้าเห็นถึงประโยชน์ของหลักฐานยืนยันตัวตนยมทูตแล้ว?”

ความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นภายในหัวของฉินเย่ก็คืออาร์ทิสมีอาการป่วย….

อาการป่วยที่นางจะสามารถมีชีวิตต่อได้ก็ต่อเมื่อนางต้องได้วิพากษ์วิจารณ์เขาเป็นประจำทุกวัน

เด็กหนุ่มคิด คนที่สมบูรณ์แบบอย่างเราจะถูกวิจารณ์ได้ยังไง?

เขาค่อนข้างมั่นใจมากว่ามันเกิดมาจากอาการป่วยทางจิตของนางเอง

“สมบูรณ์แบบ” ฉินเย่สะบัดผมเล็กน้อย “ชาติหน้าฉันจะเกิดเป็นผู้หญิงและแต่งงานกับผู้ชายที่หล่อพอ ๆ กับตัวเองในชาตินี้”

หลังจากเอ่ยจบ เขาก็เดินตรงไปที่โต๊ะและดึงลิ้นชักออกมา

น่าเสียดาย เด็กหนุ่มไม่ได้สังเกตเลยว่าแม้ว่าเขาหมุนตัวเดินจากมาแล้ว แต่เงาสะท้อนของเขาในกระจกกลับยังคงสะบัดผมอยู่

หลังจากผ่านไปครึ่งวินาที เงาสะท้อนบนกระจกของเขาก็หยุดเคลื่อนไหว และยังคงจ้องมองออกมา

จากนั้น ชายที่มีใบหน้าซีดเซียวสี่คนก็ก้าวออกมาจากด้านหลังของเงาสะท้อนนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขามีใบหน้าที่คล้ายกับโจวฉินเฟิ่น หลี่หยุนเซวี่ย หลินฮั่น และซู่เฟิงไม่มีผิด ทั้งห้ายืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบในกรอบของกระจก มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาได้ทิ้งภาพถ่ายขาวดำไว้ที่นี่เมื่อหลายปีที่แล้ว

ถึงกระนั้นฉินเย่ก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เนื่องจากตอนนี้เขากำลังมองดูสิ่งที่อยู่ภายในลิ้นชักอยู่

ภายในนั้นมีสมุดบันทึกที่เปื้อนฝุ่นอยู่เล่มหนึ่ง

“12 พฤษภาคม ค.ศ. 2001 อากาศร้อนจัด” เขาเปิดสมุดบันทึกและเริ่มอ่านมัน “ฉันไม่ได้ทานข้าวอีกแล้ว ผู้หญิงที่ดูแลฉันบอกว่าฉันพูดมากเกินไป เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ทานข้าว….”

“หิวจัง…หิวมาก ๆ เลย…ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน บ้านพักคนชราแห่งนี้ไม่ต่างอะไรกับหลุมนรก! เสียดายจริง ๆ ทำไมตอนนั้นฉันถึงไม่ยอมมีลูกกันนะ? ถ้ามีลูก ฉันก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่”

“และฉันเองก็ไม่ได้ส่งเสียงดังอะไร ออกจะเชื่อฟังอย่างไม่น่าเชื่อเลยด้วยซ้ำ…ฉันไม่ได้ร้องเพลงอีกแล้ว…และสิ่งเดียวที่ฉันทำก็คือ นั่งฟังเทปบันทึกเสียงและฮัมไปตามเพลงเท่านั้น ฉันคิดว่าตัวเองคนจะต้องหิวจนตายแน่ ๆ หากพรุ่งนี้ยังไม่ได้กินข้าวอีก”

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หางตาของฉินเย่ก็กระตุกเล็กน้อย

นี่เป็นสมุดบันทึกของผู้สูงอายุคนหนึ่ง

และนี่ก็คือบ้านพักคนชรา

แต่เขากลับไม่เห็นว่าพวกเจ้าหน้าที่จะเคารพ เจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้เลยสักนิด

เขาพลิกหน้ากระดาษและอ่านต่อ “13 พฤษภาคม ในที่สุดฉันก็ได้ทางคุกกี้สองชิ้น นมที่พวกเราได้ดื่มเมื่อเช้านี้ดูเหมือนจะหมดอายุไปแล้ว มันแทบจะไม่ดื่มได้ด้วยซ้ำ…คนพวกนี้แย่มาก หากฉันมีโทรศัพท์…หากใครสักคนในพวกเรามีโทรศัพท์ พวกเราจะโทรแจ้งความคนพวกนี้แน่นอน!”

“ทุกคนที่นี่เหมือนกับเป็นปีศาจ ฉันรู้ว่าพวกเราทุกคนที่นี่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมให้กับสถานที่แห่งนี้แล้ว แต่อาหารที่เราได้รับกลับดูไม่เหมือนอาหารที่มีไว้ให้มนุษย์กินเลยสักนิด!”

“14 พฤษภาคม ผู้เฒ่าหลี่ได้จากไปแล้ว เขาหิวมากจนไม่มีอะไรมากไปกว่าผิวหนังหุ้มกระดูก ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะว่าพวกเขาไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า แต่เขาชอบฟังเสียงร้องเพลงของฉันมาก ฉันเกรงว่าเวลาของฉันเองก็คงจะใกล้มาถึงแล้วเหมือนกัน….”

“วันนี้ผู้เฒ่าฮวงมาหาฉัน ฉันดีใจมาก ในที่สุดก็มีคนมาทำให้ฉันได้คลายเหงาไปบ้าง”

“เขาอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ และเหลือเวลาอีกไม่นานเช่นกัน มันช่างดีจริง ๆ ที่พวกเราพึ่งพาอาศัยและสนับสนุนซึ่งกันและกัน”

“15 พฤษภาคม ฉันหิวมาก….หิวมากจริง ๆ แต่…ฉันกลับมีความสุขอย่างน่าเหลือเชื่อ”

“มีเจ้าหน้าที่บางคนในบ้านพักคนชราได้ตายไป ฮ่าๆ ๆ…ตาย! ในที่สุดหัวหน้าพยาบาลที่ลอบยักยอกเงินได้ตายไปแล้ว! เธอถูกพบเป็นศพอยู่ในห้องน้ำ!”

“และมันก็เป็นห้องน้ำที่อยู่ภายในห้อง 124 ซึ่งอยู่ข้างห้องของพวกเรานี่เอง ผู้เฒ่าฮวงเป็นคนไปพบศพตอนที่เขาไปเข้าห้องน้ำ…ฉันยังได้ยินมาอีกว่าศพของหัวหน้าพยาบาลคนนั้นแข็งไปทั้งร่าง ขณะที่ลิ้นของเธอห้อยออกมา ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างราวกับเธอเห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวมากก่อนที่จะเสียชีวิต”

“16 พฤษภาคม ฉันจะต้องออกไปจากที่นี่…ฉันจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้!”

“มันมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับที่นี่! ฉันมั่นใจ!!”

มีการใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ในบันทึกถึงสองครั้ง แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าขณะที่เขียน ผู้เขียนนั้นกำลังตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก แม้แต่หน้ากระดาษเองก็มีรอยขาดเล็กน้อยจากแรงกดของปากกาที่ใช้เขียน

“คืนนี้…ตอนที่ฉันไปเข้าห้องน้ำ ประตูทุกบานถูกปิดหมด แต่…มันมีห้องหนึ่ง…ห้องที่อยู่ด้านในสุด! ซึ่งเป็นห้องเดียวกันกับที่หัวหน้าพยาบาลเสียชีวิต ฉัน…ฉันได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากห้องนั้น!”

“และมันเป็นเสียงหญิงสาวคนหนึ่ง ฉันได้ยินมันดังชัดเจน! แต่…แต่เราไม่มีผู้หญิงที่อายุน้อยขนาดนั้นอยู่ที่นี่!!!”

ประโยคสุดท้าย ราวกับระบายความหวาดกลัวที่มี เครื่องหมายอัศเจรีย์ที่ถูกเขียนด้วยแรงมหาศาล จนทำให้หน้ากระดาษฉีกขาด ครึ่งล่างของหน้ากระดาษขาดหายไป

ฉินเย่พลิกหน้าถัดไป

“22 พฤษภาคม ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆ”

“ฉันอาจจะตายในไม่ช้านี้…”

“ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ฉันนอนไม่ค่อยหลับเลยสักนิด มีเพียงผู้เฒ่าฮวงเท่านั้นที่ยังอยู่กับฉัน ทุก ๆ คืน…พวกเรากอดกันแน่น เสียงร้องไห้มักจะดังขึ้นเมื่อเข็มนาฬิกาชี้ตรงเลขสิบสอง และจบลงตอนเวลาตี 5 และ…เมื่อสองวันก่อน ฉันได้ยินเสียงใครบางคนเดินผ่านหน้าประตูห้องของเราไป!”

“มันคือเสียงของรองเท้าส้นสูง…แต่ไม่มีพวกเราคนไหนที่ใส่ของพวกนั้นเลยสักคน! ไม่มีใคร นอกจากหัวหน้าพยาบาลที่เพิ่งตายไป!”

“เรานอนไม่หลับติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน…พวกเรา…ไม่กล้าหลับตาเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อคืนนี้ ถึงแม้ว่าฉันจะตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าประตูถูกล็อกสนิท แต่ฉันก็ยังได้ยินเสียงประตูเปิด ตอนเที่ยงคืนตรงพร้อมกับเสียงรองเท้าส้นสูง ที่หยุดลงตรงหน้าประตูอย่างพอดิบพอดี มัน….มันรู้สึกเหมือนกับว่ามีวิญญาณกำลังยืนอยู่หน้าประตูห้อง และกำลังจ้องมาที่พวกเรา!”

“23 พฤษภาคม แสงแดดจ้า”

“ฉันไม่สามารถเดินได้อีกแล้ว ฉันบอกพวกเขา แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ฉันไม่กล้าที่จะนอนหลับในตอนกลางคืนเลย และก็ไม่สามารถขยับตัวได้เช่นกัน ถึงยังไม่ตายแต่ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า! อย่างน้อยผู้เฒ่าฮวงก็ยังอยู่กับฉัน เขาผอมลงมาก ทุกอย่างที่ฉันสัมผัสได้มีเพียงผิวหนังและกระดูก…”

“ในที่สุดวันนี้ก็มีหมอว่าดูอาการของฉัน แถมพวกเขายังเริ่มเก็บข้าวของของฉันแล้วด้วย พวกเขาบอกว่าอีกไม่นานร่างกายของฉันจะดีขึ้น ฮ่า ๆๆๆ….แต่ฉันรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร มีเพียงคนที่กำลังจะตายเท่านั้นที่จะได้ย้ายออก….ฉันนึกว่าผู้ดูแลพวกนี้จะเพียงแค่ขนย้ายของฉันออกไป แต่พวกเขากลับเผามันทิ้ง!!”

“ฉัน…ฉันจะฆ่าพวกมันทุกคน!!”

“24 พฤษภาคม แดดร้อนจัด”

“ฉันคิดว่าตลอด 70 ปี ในชีวิตของฉันคงจะจบลงในวันนี้”

“ฉันยังไม่สามารถฆ่าคนพวกนั้นได้เนื่องจากมือที่เหี่ยวย่นของฉันไม่มีแรง แม้แต่จะจับมีดแล้ว และฉันเองก็ไม่มีมีดด้วย…ความหวังเดียวของฉันตอนนี้มีเพียงอยากให้ผู้เฒ่าฮวงได้มีชีวิตที่ดี…”

“ขอบคุณโลกนี้ ฉันรักทุกคน”

“ยวีชิวฉิง 24 พฤษภาคม จบ”

“หืม….” ฉินเย่ส่ายหน้าและพลิกหน้ากระดาษเพื่อดูหน้าต่อ ๆ ไปของสมุดบันทึก แต่เขาก็พบว่าพวกมันทั้งหมดนั้นว่างเปล่า

ยมทูตไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์

สิ่งที่พวกเขาทำมีเพียงจับดวงวิญญาณหยิน และนำตัวพวกเขาไปที่นรกเพื่อที่ความดีและความชั่วจะได้รับการชดใช้อย่างสาสม

“ไม่ต้องห่วง” เด็กหนุ่มเอ่ยขณะที่ลูบหน้าสมุดบันทึกอย่างอ่อนโยน “ไม่มีใครในบ้านพักคนชราหลังนี้จะลงเอยด้วยดีเลย”

“นี่เจ้ากำลังหลอกนาง? หรือเจ้ากำลังหลอกตัวเองกันแน่?” อาร์ทิสเอ่ยเสียงต่ำ “ความดีและความชั่วจะถูกชดใช้ก่อนที่ดวงวิญญาณจะเข้าสู่วัฏสงสารตามกำหนดของสวรรค์ แต่ระบบพวกนั้นได้ล่มสลายไปแล้ว เป้าหมายของการปลอบใจครั้งนี้คืออะไรกัน?”

“แทนที่จะรู้สึกเศร้าใจอยู่ตรงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่ใช้พลังของตัวเองในการสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่แทน….เจ้าหนู มีดวงวิญญาณนับไม่ถ้วน ที่กำลังรอคอยให้เจ้ามาช่วยปลดห่วงและบ่วงกรรมของพวกเขา ในขณะเดียวกัน มันก็มีวิญญาณของคนชั่วอีกมากมายที่ยังไม่ได้รับการลงโทษ เจ้ามีอำนาจที่จะจัดการความผิดพลาดในโลกมนุษย์ทั้งหมดได้”

“ลงโทษทุกดวงวิญญาณที่ยังลอยนวล”

“เห็นและได้ยินทุกสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดสังเกตเห็น”

“นี่คือความหมายของการมีอยู่ของนรก”

“ความชั่วต้องได้รับการลงโทษด้วยความชั่ว ความดีต้องได้รับรางวัลและคำสรรเสริญ!”

ฉินเย่ยังคงนิ่งเงียบ แต่ลูกกระเดือกในลำคอของเขากำลังสั่นเล็กน้อยราวกับคนสะอื้นไห้ ร่างของเด็กหนุ่มแข็งทื่อราวกับรูปปั้น

ภายในงานแถลง อารมณ์ความคิดของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

หลังจากเผชิญหน้ากับความผันผวนในชีวิตมาหลายทศวรรษ เขาเป็นเหมือนกับวีรบุรุษสงครามที่เห็นโลกมามากเกินไป… ไม่ว่าจะเป็นความดี ความชั่ว หรือ ด้านที่สวยงามและด้านที่อัปลักษณ์ของมนุษยชาติ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…เขาก็ไม่เคยต้องแบกรับความรับผิดชอบมากมายเหล่านี้มาก่อน

แต่ตอนนี้เขามีเศษตราเจ้านรกอยู่ในครอบครอง

และเขาเป็นเพียงผู้เดียว ที่สามารถทำให้เหล่าดวงวิญญาณกลับเข้าสู่วัฏสงสารได้อีกครั้ง เป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถจำแนกเหล่าภูตผีที่ปลอมตัวมาเป็นมนุษย์ และแก้แค้นให้กับดวงวิญญาณที่เสียใจจากความไม่เท่าเทียมในทุกรูปแบบ

การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในสมุดบันทึกเล่มนี้ เป็นเหมือนเป็นพายที่กวนตะกอนในใจเขาให้กลับมาย้ำเตือนเขาอีกครั้ง ทั้งยังเป็นความรู้สึกที่ขมขื่นและลึกซึ้งกว่าเดิมเสียอีก

รูปแบบการดำรงชีวิตมักจะมีสิ่งที่คาดไม่ถึงแอบซ่อนอยู่ในนั้น ซึ่งมันก็ได้กระตุ้นความรู้สึกภายในใจของคนคนนั้น ในช่วงเวลาที่เจ้าตัวรู้สึกเปราะบางมากที่สุดด้วย

“โศกนาฏกรรมของชู้รักคู่นั้นเองก็เป็นแบบนี้เช่นกัน…” เขาถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าสลด นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่ไม่ได้ต่อต้านแนวคิดเรื่องการสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่ของอาร์ทิส หากพูดกันตามจริง มีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขาเห็นด้วยกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

ความจริงที่ว่านางสามารถกระตุ้นเด็กหนุ่มผู้เอื่อยเฉื่อยให้ลงมือทำได้ แม้ว่าจะเพียงแค่ครู่เดียว แต่มันก็ทำให้อาร์ทิสยิ้มกว้าง….

ฟึ่บ…ฉินเย่ยังคงเปิดหน้าสมุดบันทึกไปเรื่อย ๆ และทันใดนั้น มือของเขาก็หยุดชะงัก

มันยังมีต่อ!

“12 ตุลาคม ค.ศ. 2013”

“ผู้เฒ่าฮวงได้ฆ่าพยาบาลและผู้ดูแลทุกคนในบ้านพักคนชราหลังนี้! ฮ่าๆๆๆ!”

“ทีนี้มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา ก่อนที่ความชั่วจะได้รับการตอบแทนด้วยความชั่วและความดีตอบแทนด้วยความดี!”

“และฉันก็ได้มัดผู้เฒ่าฮวงเอาไว้แล้ว เขาคงไม่ฆ่าใครอีก…ใช่ไหม?”

“ความดีและความชั่วจะได้รับผลตอบแทน….” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของฉินเย่นั้นสั่นเครือเล็กน้อยขณะที่เขาปิดสมุดลงในที่สุด

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ อาร์ทิสก็พูดขึ้นในที่สุด “มันน่าจะมีคนกางม่านพลังเอาไว้ที่นี่”

“ม่านพลังนี้ มีความสามารถในการปกปิดและบดบังพลังหยินทั้งหมดจากโลกภายนอก ในขณะเดียวกัน มันยังสามารถบิดเบือนวิสัยทัศน์และการรับรู้ได้ด้วย คนที่กางมันขึ้นมาจะต้องมีฝีมือมากทีเดียว”

ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง “เช่นนั้นก็หมายความว่า ข้าต้องทำลายม่านพลังพวกนี้เสียก่อน จึงจะสามารถหาตัวคนอื่น ๆ และระบุตำแหน่งของตัวตนลึกลับที่มีค่าพลังหยิน 30 ล้านได้?”

“จงอย่าประมาท” อาร์ทิสเอ่ยเตือน “ม่านพลังพวกนี้ต่างเป็นที่รู้จักกันในชื่อของอาณาเขตเวท มันมีทางเข้าออกสองทาง ประตูแห่งชีวิตและประตูแห่งความตาย ประตูแห่งความตายนั้นห้ามเข้าหรือออก สาเหตุที่เจ้ายังปลอดภัยอยู่ ก็เพราะว่าเจ้ายังอยู่ด้านนอกมันจึงยังไม่ทำงาน การพยายามทำลายม่านพลัง โดยปราศจากความรู้เรื่องกลไกของมันจะนำไปสู่….หายนะ”

เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ?”

ลูกบอลผนึกลอยขึ้นมาและมองไปรอบ ๆ พร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “แม้ว่าข้าจะไม่สามารถสัมผัสถึงคลื่นพลังที่แปรปรวนจากม่านพลังได้ แต่เราก็สามารถแกะรอยย้อนกลับไปที่แหล่งที่มาของมันผ่านจุดประสงค์หลักของมันได้ ข้าขอถามอะไรเจ้าอย่าง จุดประสงค์ของการสร้างม่านพลังนี้คืออะไร? และใครคือคนที่สร้างมันขึ้นมา?”

ฉินเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จุดประสงค์หรือ? มันก็น่าจะเพื่อกักเก็บพลังหยินที่เล็ดลอดออกมาจากสถานที่แห่งนี้ เพราะมันก็น่าจะมีดวงวิญญาณที่มีพลังมหาศาลและไม่เกินต้านทานได้ซ่อนตัวอยู่ที่นี่….”

จู่ ๆ เสียงพูดของเด็กหนุ่มก็หยุดลง

ใช่แล้ว…

อย่างนี้นี่เอง

มีเพียงรัฐบาลเท่านั้นที่จะสามารถสร้างม่านพลังไว้ที่นี่ เพื่อป้องกันไม่ให้พลังหยินรั่วไหลออกไปด้านนอก และในเวลาเดียวกัน เพื่อไม่เป็นการรบกวนสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนตัวอยู่ด้านใต้ รัฐบาลจึงเลือกที่จะปิดล้อมเขตไล่ล่าที่สี่และปล่อยมันไว้เหมือนเดิมโดยไม่ทำลายมัน เมื่อพิจารณาถึงขอบเขตมาตรการป้องกันของรัฐบาลแล้ว มันจะน่ากลัวเพียงใดหากสิ่งสิ่งนี้หลุดออกไปด้านนอก?

เขาสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดและมองสำรวจไปรอบ ๆ ในเวลานี้ จู่ ๆ บ้านพักคนชราที่เงียบสงัดกลับดูอันตรายขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

มันคล้ายกับว่ารอบตัวของเขาเต็มไปด้วยทุ่นระเบิด การก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ก็สามารถทำให้เกิดการระเบิดเป็นทอด ๆ ได้!

ทันใดนั้นเอง อาร์ทิสก็เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้ข้ามีข่าวดีและข่าวร้ายจะบอกเจ้า เจ้าจะเลือกฟังอะไรก่อน?”

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset