ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 122 ขอคุยกันส่วนตัว

ตอนที่122 ขอคุยกันส่วนตัว
ฟางนี่เดินไปหาจ้าวเฉียน เอ่ยปากขอร้องขึ้นว่า
“จ้าวเฉียน นายช่วยฉันได้ไหม?”
“คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่สำคัญที่สุดถือ ผมผิดหวังกับทัศนคติความเป็นผู้นำของพวกคุณเหลือเกิน ผมลงทุนในบริษัทนี้ก็มาก แต่กลับไม่ได้ความเคารพเท่าที่ควร ผู้จัดการจางมองผมเป็นแค่พนักงานคนหนึ่ง ไม่ให้สิทธิ์ให้เสียงผมยื่นมือมาช่วยตั้งแต่แรก ดังนั้นผมคงไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว เว้นเสียแต่บริษัทนี้จะมีส่วนได้ส่วนเสียกับผมมากพอ ที่จะบีบให้ผมออกโรงได้”
ในตอนนี้จ้าวเฉียนกำลังใช้ไฟให้เป็นประโยชน์ หรือก็คือใช้สถานการณ์ในปัจจุบันเพื่อบีบให้ฟางนี่ยอมขายหุ้นส่วนเพิ่ม อย่างไรก็ตามฟางนี่ไม่ได้หัวเสียกับคำตอบของจ้าวเฉียนเลย แถมยังรู้สึกว่ามันค่อนข้างสมเหตุสมผล เพราะอย่างไรกลับเป็นจางหยางที่ผิดตั้งแต่แรก และไม่ยอมให้จ้าวเฉียนเข้ามาช่วยเอง ตอนนี้ให้มาขอร้องย่อมมีเงื่อนไขเข้ามาเพิ่มเติมโดยธรรมชาติ
“แล้วต้องการอะไรล่ะ ว่ามาตามตรงเลย ตราบเท่าที่ฉันจ่ายไหว อะไรก็ยอม!”
ฟางนี่เร่งเร้ากล่าวอย่างร้อนใจ
“มีสองทางเลือก หนึ่ง โอนหุ้นส่วนที่เหลือของคุณให้ผมเพิ่มเป็น40% และให้สิทธิ์ในการควบคุมบริษัทแห่งนี้ในอนาคตต่อไป หรือสองขยายส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่ม และสิทธิ์ในการตัดสินใจเลือกผู้ถือหุ้นเพิ่มมีแค่ผมกับคุณเท่านั้น”
จ้าวเฉียนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า
ตราบเท่าที่ฟางนี่ไม่ได้โง่เกินเยียวยา เธอจะต้องเลือกแบบที่สองอย่างแน่แท้ ซึ่งนั้นก็เป็นทางเลือกที่จ้าวเฉียนต้องการบีบให้เธอเลือก
ขยายส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มและผู้ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกมีเฉพาะแค่จ้าวเฉียนกับฟางนี่ สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นของฟางนี่และจ้าวเฉียนจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ก็ยังทำให้อัตราส่วนตามมูลค่าจริงของหวานฮันซูลดลงอีกด้วย
เป้าหมายของจ้าวเฉียนค่อนข้างชัดเจนมาก เขาไม่ได้ต้องการหุ้นในมือของหวานฮันซู แต่ต้องการลดมูลค่าแท้จริงของหุ้นที่อยู่ในมืออีกฝ่ายต่างหากอย่างช้าๆ
ตามอัตราส่วนของหุ้นในมือหวานฮันซูในปัจจุบัน จะสามารถได้รับเงินปันผลทุกปีในจำนวน100,000หยวน
แต่หลังจากขยายส่วนผู้ถือหุ้น มูลค่าแท้จริงต่อหุ้น1ตัวจะลดลงถึงหนึ่งในสามส่วน ด้วยเหตุนี้จากที่หวานฮันซูถือหุ้นส่วนอยู่31% จะเหลือแค่10%เศษในทันที
หวานฮันซูแทบระเบิดลงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น และชี้หน้าด่าจ้าวเฉียนทันทีว่า
“จ้าวเฉียน! มึง! ที่มึงไม่อยากซื้อหุ้นต่อจากกูเพราะมึงคิดจะโกงกูตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?! แต่มึงลืมอะไรไปหรือเปล่า ตามหนังสือสัญญา การกระทำการใดๆ ถ้าไม่ได้รับการยินยอมจากกู ฟางนี่จะไม่มีสิทธิ์ทำอะไรทั้งสิ้น! ถ้าไม่เชื่อจะให้หยิบสัญญาอ่านให้มึงฟังเลยไหม?!”
ฟางนี่อ้าปากกล่าวตะกุกตะกักว่า
“ในหนังสือสัญญาระบุไว้ชัดเจนว่า ฉันไม่มีสทธิ์กระทำการใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับอัตราส่วนหุ้นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเขา”
จ้าวเฉียนแสยะยิ้มขึ้นทันที
“ข้อตกลงระบุไว้ว่า ห้ามไม่ให้ฟางนี่กระทำการใดๆ แค่คนเดียวถูกไหม?”
“ก็ใช่…”
ฟางนี่ดูเหมือนจะเริ่มคิดอะไรออกแล้ว
“ไม่…ไม่…”
หวานฉันซูส่ายหัวตอบทันที หวังว่าจ้าวเฉียนจะไม่เล่นไม้นี้กับเขา
“เนื่องจากมีปัญหาด้านอัตราส่วนผู้ถือหุ้น ผมในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกคน ตัดสินให้มีการขยายส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มเติม อนึ่งเพื่อพยุงบริษัทให้อยู่รอดต่อไป ส่วนถ้าคุณหวานอยากได้มูลค่าหุ้นเพิ่มก็มาคุยกับผมหลังจากนี้ก็ได้นะครับ…ถ้ามีเงินพอ โอเคไหมครับ?”
จ้าวเฉียนใช้คำพูดป่าวประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ ทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะอย่างผู้ชัย
หวานฮันซูตวาดสวนทันทีว่า
“แกอำมหิตเกินไป! ถ้าเป็นแบบนี้จริงฉันตายแน่!”
จ้าวเฉียนแสร้งตีหน้าใสซื่อ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแสนไร้เดียงสาว่า
“คุณหวานพูดแบบนี้ผมก็เสียหายหมดนะครับ เรื่องแบบนี้พบบ่อยจะตายในวงการธุรกิจ บริษัทที่จดทะเบียนทุกแห่งย่อมต้องการเติบโต ถ้าไม่ขยายส่วนผู้ถือหุ้นก็เท่ากับย่ำอยู่ที่เดิมจริงไหมครับ? แล้วผมกลายเป็นคนอำมหิตตั้งแต่ตอนไหนกันครับเนี่ย?”
“หุบปากมึงไปเลย! ฉันให้สัญญากับสำนักงานใหญ่ซะดิบดีว่าจะกำไรภายในสามปี แล้วนายที่ทำให้มูลค่าแท้จริงในส่วนที่ฉันถือเจือจางขนาดนี้ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำไรภายในสามปี ไม่สิ…แค่จะถอนทุนคืนในสามปียังยากเลย! ถ้าทำไม่ได้ตามเป้า กูจะไปเอาหน้าไปบอกกับสำนักงานใหญ่ได้ยังไง?”
“หุหุ…นั้นไม่ใช่เรื่องของผม”
จ้าวเฉียนตอบกลับพร้อมทีท่าแสนผ่อนคลายสบายใจ
หากหวานฮันซูถูกไล่ออกทั้งแบบนี้ การลงทุนในเฟยอวี่เองก็คงพังไม่เป็นท่าแน่นอน แล้วหยางหมิงจะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?
หยางหมิงตรงเข้ามาเผชิญหน้าจ้าวเฉียนและกล่าวขู่ว่า
“จ้าวเฉียน ฉันจะแนะนำอะไรแกสักอย่างนะ อย่าทำตัวมีปัญหา ไม่อย่างนั้นแกคงมีจุดจบไม่สวยแน่ แกจ้างมือสังหารมาฆ่าฉัน ฉันยังไม่ได้ติดตามเรื่องนี้เลย”
เมื่อทุกคนได้ยินว่า จ้าวเฉียกล้าถึงขั้นจ้างมือสังหารมาลอบฆ่าหยางหมิง ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างยิ่ง
จ้าวเฉียนที่แสนใจดีกับทุกคนมาโดยตลอด เบื้องหลังกลับทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ยังไง?
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบาง กวาดสายตาจับจ้องทุกคนและหันมากล่าวกับหยางหมิงว่า
“ลองถามคนเขาสิว่าเชื่อไหม? ผมน่ะเหรอจ้างมือสังหารมาฆ่าคุณ?”
หยางหมิงระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น เอ่ยตอบขึ้นว่า
“ฉันมีความจำเป็นอะไรต้องถามคนพวกนี้? มือสังหารก็พูดเองกับปากว่านายคือคนที่อยู่เบื้องหลัง ฉันสั่งตำรวจเข้าสอบสวนเรื่องนี้หมดแล้ว แกโดนจับแน่นอนในอีกไม่ช้า!”
จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบอย่างเมินเฉยไปว่า
“เอาล่ะ ต่อให้คุณบอกว่าคนทั้งโลกสามารถเป็นพยานได้ แต่ตอนนี้ตำรวจก็ยังไม่ออกหมายจับฉัน แสดงว่าฉันคือผู้บริสุทธิ์ เลิกพล่ามเรื่อิงไร้สาระได้แล้ว ผมกำลังรอให้ประธานฟางตัดสินใจอยู่นะครับ”
ทางเลือกที่สองจะส่งผลดีต่อฟางนี่ในอนาคตแน่นอน และเธอเต็มใจที่จะยอมรับ
“ไม่มีปัญหา ฉันจะสัญญาต่อหน้าทุกคน แต่ก็มีเงื่อนไขเช่นกันว่า ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะโอนหุ้นให้นายเท่าไหร่ แต่สัญญาเลยว่าจะไม่น้อยกว่า20%แน่นอน นายพอใจไหม?”
จ้าวเฉียนเองก็ไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น แค่ได้ส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มก็พึงพอใจแล้ว ขอแค่สามารถลดมูลค่าแท้จริงของหุ้นในส่วนของหวานฮันซูได้ก็พอ
“ไม่มีปัญหาครับ ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็ลงตัวแล้ว ตอนนี้ช่วยเชิญหยางหมิงออกจากที่นี้ไปได้สักที”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและหันไปส่งสัญญาให้หยางหมิงเข้าห้องประชุมไปเพื่อเจรจา
แต่หยางหมิงระเบิดหัวเราะเยาะลั่น กล่าวกับจ้าวเฉียนอย่างเย้ยหยั่นว่า
“มีอะไรก็พูดกันต่อหน้าทุกคนเลยสิ ทำไมต้องไปคุยที่ห้องประชุมด้วย? ฉันเป็นคนตรงไปตรงมา หรือนายมีเรื่องอะไรที่กลัวทุกคนจะได้ยินเข้า?”
จ้าวเฉียนแสยะยิ้มบนมุมปากเล็กน้อย พลางยักไหล่ท่าทีไม่แยแส กล่าวไปตามตรงว่า
“ผมแนะนำให้คุณเข้าไปคุยในห้องประชุมดีกว่านะครับ เพราะเรื่องที่กำลังจะคุยต่อจากนี้เกี่ยวพันไปถึงชะตากรรมของเฟยอวี่ ถ้าทุกคนได้ยินแล้วเผลอหลุดไปถึงคนนอก…เกิดอะไรขึ้นกับเฟยอวี่หลังจากนี้ ก็อย่ามาโทษผมแล้วกัน”
ได้ฟังแบบนั้นหยางหมิงพลันประหม่าเล็กน้อย แต่ยังไงเฟยอวี่ กรุ๊ปก็เป็นถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ ชะตากรรมอันใหญ่ยิ่งของเฟยอวี่ กรุ๊ปจะถูกแขวนอยู่บนมือไอ้กระเจี๊ยวเล็กแบบนี้ได้ยังไง?
“โอ้…ฉันต้องกลัวมากใช่ไหมเนี่ย? มีอะไรก็พูดต่อหน้าทุกคนเลยดีกว่า ฉันเองก็อยากรู้จริงๆ ว่า มันเป็นเรื่องอะไรที่ถึงขั้นทำให้เฟยอวี่ กรุ๊ปตกอยู่ในที่นั่งลำบาก?”
หยางหมิงยังคงกล่าวตอบโต้กลับไปพร้อมใบหน้าแสนเย้ยหยัน
“หวงต้าหมิงกับหลี่เสี่ยวปิง เป็นสตีมเมอร์สังกัดเฟยอวี่ใช่ไหม?”
“เรื่องไร้สาระแบบนี้ใครๆ ก็รู้”
หยางหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สวนตอบกลับไปเจือรำคาญ
“ฉันได้ยินมาว่า พวกเขาชอบเล่นสวิงกิ้งกัน แถมแต่ละคนยังมีเสี่ยเลี้ยงกับแม่ทูนหัวคอยเลี้ยงดูอย่างดี ที่พูดไปจริงไหม?”
สีหน้าของหยางหมิงแปรเปลี่ยนไปฉับพลัน เขารีบปฏิเสธกลับไปทันทีว่า
“นี่แกอย่ามาพูดเรื่องไร้สาระ! เจตนาทำให้ภาพลักษณ์สตีมเมอร์ในสังกัดฉันต้องเสือมเสีย ฉันฟ้องแกได้นะ!”
“เหอะเหอะ…จะเรื่องจริงหรือเท็จก็รู้อยู่แก่ใจนะครับ? แต่ที่ผมกล้าพูดขนาดนี้เพราะมีหลักฐานแน่นพอที่จะมัดตัวยืนยันได้ เอาล่ะนายน้อยหยาง ยังอยากคุยกันตรงนี้ต่อหน้าทุกคนอีกไหมครับ?”
หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็แสร้งปั้นหน้าใสซื่อ แบมือยักไหล่ตอบอย่างกวนประสาท หยางหมิงที่เห็นแบบนี้สีหน้ายิ่งมืดหม่นเข้าไปใหญ่
ทุกคนโดบรอบต่างปิดปากเงียบรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ รอฟังจ้าวเฉียนว่าจะพูดอะไรต่อจากนี้อีก พอหยางหมิงเห็นทุกคนตั้งท่าฟังขนาดนี้ ก็รีบดึงจ้าวเฉียนลากเข้าห้องประชุมโดยตรง
“ไอ้เวร แกได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนวะ!?”
หยางหมิอเค้นเสียงต่ำเอ่ยถามด้วยความโกรธ
จ้าวเฉียนดึงเก้าอี้ห้องประชุมมานั่งอย่างใจเย็น จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นว่า
“อ่า…ทำไมรู้สึกกระหายน้ำขนาดนี้น๊า~ ขาดันมาเป็นเหน็บชาตอนนี้พอดีอีก นายน้อยหยางช่วยรินน้ำให้ผมสักแก้วหนึ่ง”
“แก…”
ทั่วทั้งใบหน้าของหยางหมิงตอนนี้แดงก่ำด้วยความโกรธจัด แถมบนหน้าผากเหงื่อยังออกไม่หยุด ไม่รู้เลยว่าเขากำลังประหม่าหรือโกรธกันแน่
แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของฟยอวี่ กรุ๊ปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไรเขาก็ต้องยอม
หยางหมิงเดินไปรินน้ำแก้วหนึ่งด้วยตัวเอง ขณะที่กำลังเดินกลับไปเสิร์ฟให้ จ้าวเฉียนก็ตะโกนแทรกขึ้นกระทันหัน
“นายน้อยหยางครับ ผมไม่อยากดื่มน้ำเปล่าแล้ว ขอโค้กเย็นๆ มาสักขวด”
ทุกคนที่กำลังแอบส่องหน้าประตูห้องประชุมต่างตกตะลึงกันสุกขีด พวกเขาล้วนเห็นอย่างชัดแจ้งว่า หยางหมิงกำลังรินน้ำมาเสิร์ฟให้จ้าวเฉียนจริงๆ!? แถมเจ้าตัวยังเรื่องมากขอเปลี่ยนเป็นโค้กอีก? นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หยางหมิงโกรธจัดจนบีบถ้วนกระดาษเละเป็นก้อนกลม และโยนลงพื้นอย่างเดือดดุ เขาตรงออกจากห้องประชุมผลักประตูเสียงดังปัง หันไปหาฟางนี่และตะโกนถามขึ้นว่า
“ตู้โค้กอยู่ไหนวะ!?”

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

เนื้อเรื่องย่อ จ้าวเฉียน อายุ23ปี พนักงานกินเงินเดือนธรรมดา รายได้เดือนละแค่5,000หยวน ทุกคนในบริษัทต่างดูถูกดูแคลนเขา เพราะเจ้านี่ขี้เหนียวเหลือเกิน แม้แต่แฟนเก่ายังทนเขาไม่ไหว และหันมาแอบคบชู้กับผู้จัดการของเขาแทน จนเวลาผ่านไปเขาเพิ่งมารู้ความจริง อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ชวนน่าตกตะลึงกว่าคือ ตัวตนที่ที่แท้จริงของเขาคือทายาทมหาเศรษฐี บุตรชายของจ้าวฝู บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ฉลองปาร์ตี้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็ขับรถกลับทั้งๆที่อยู่ในอาการเมา จนแล้วจนรอด บังเอิญไปเฉี่ยวชนเข้ากับสาวน้อยคนหนึ่ง จนเธอได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ขาดสติหนัก เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้น ตะโกนโหวกเหวกโวยวายสร้างปัญหาไปทั่วสถานีตำรวจ ระหว่างนั้นเองก็มีมือดีที่ไหนไทม่ทราบแอบถ่ายคลิปเก็บไว้ได้ทัน พร้อมถูกอัปโหลดลงโซเชียลออนไลน์ ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อฉกเถียงยกใหญ่ของผู้คนในเวลานั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็กระทบไปถึงชื่อเสียงขงอตระกูล จ้าวฝูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้อำนาจเงินตรา เพื่อไล่ลบคลิปวีดีโอเหล่านี้จนหมด ไม่ให้สืบสาวไปถึงตัวลูกชายของเขา คนเป็นพ่อใช้ไม้แข็งตัดขาดจ้าวเฉียน ไล่ไสส่งออกจากตระกูลจ้าว และให้จ้าวเฉียนหาเงินมาชดใช้ค่ารักษาสาวน้อยคนนั้นเป็นจำนวน 200,000หยวน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ถึงจะกลับเข้ามาในตระกูลอีกครั้งได้ ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จ้าวเฉียนจำต้องทนกับความอัปยศนานาชนิด ทั้งยังต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด จนในที่สุดเขาก็จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจนควบตามที่กำหนดไว้ เขาได้ทุกอย่างคืนกลับมาอีกครั้ง และสิ่งแรกที่เขาต้องการคือ การแก้แค้นพวกที่เคยดูถูกเขา! “ประธานฟาง ฉันยินดีร่วมหุ้นกับบริษัทของคุณเป็นจำนวนเงิน3ล้านหยวน โดยมีเงื่อนไขว่า คุณไม่ได้รับอนญาตให้เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของผม ไม่อย่างนั้นผมจะถอนทุนทั้งหมดออกทันที” “เข้าใจแล้วค่ะคุณจ้าว” “ฮิฮิ….ตราบใดที่เข้าใจแล้ว ก็ทำให้ได้ แล้วคุณรู้ไหมว่า ผู้จัดการหวัง เจ้านั้นมันต้องการขับไล่ผมออกจากบริษัท คิดว่าผมควรทำยังไงดี?” “ง่ายมากค่ะ! ฉันจะไล่เขาออกเดี๋ยวนี้!” “ไม่ ไม่… ผมยังเล่นกับเขาไม่จุใจเลย จะไล่ออกไปง่ายๆได้ยังไง?”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset