ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 121-2 คืนพระจันทร์เต็มดวง

เยียหลี่ว์เหยี่ยมองประเมินนางรอบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วจึงหมุนตัวเดินจากไป หากเฮ่อเหลี่ยนฮุ่ยหมิ่นมิใช่สตรีที่ฉลาดและมีความสามารถที่สุดในจวนท่านลุง เมื่อเรื่องนี้ล้มเหลวลง นางคงไม่จำเป็นต้องกลับไปอย่างมีชีวิตแล้ว เพียงแต่ เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นฉลาดก็ฉลาดหรอก แต่เมื่อเทียบกับพระชายาแล้วอย่างไรก็ยังห่างชั้นกันอีกมาก เมื่อนึกถึงข้อมูลที่หลายวันนี้รวบรวมได้จากต้าฉู่แล้ว ชายาติ้งอ๋องผู้นี้มิได้เพียงเกิดมาในตระกูลชั้นสูงเก่งทั้งด้านบุ๋นและชำนาญทั้งด้านบู๊แล้ว แต่ถึงขั้นได้ยินว่านางเป็นผู้บัญชาการนำทัพหน่วยเฮยอวิ๋นฉีรักษาเมืองในเขตหย่งโจวไว้ได้จนกองหนุนของติ้งอ๋องเดินทางมาถึง เรียกได้ว่าผลงานในครานี้มิอาจมองข้ามไปได้ สตรีที่สามารถบังคับบัญชาหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้….

 

 

งานสมรสระหว่างเป่ยหรงและตำหนักติ้งอ๋องผ่านพ้นไปด้วยความล้มเหลว แต่ความอาจหาญของชายาติ้งอ๋องนั้นกลับแพร่ไปทั่วเมืองหลวงภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งคืน ว่าเป็นสตรีที่กล้าชักกริชออกมาต่อหน้าไทเฮา ทั้งยังแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าจะสังหารหญิงสาวทุกคนที่คิดจะแต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋อง หากมีหนึ่งคนก็จะสังหารกลับไปหนึ่งคน หากมีสองคนก็จะสังหารกลับไปทั้งคู่ จึงทำให้สตรีชั้นสูงในเมืองหลวงทั้งหลายต่างไม่มีผู้ใดกล้าแหยมนาง

 

 

ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ติ้งอ๋องมิได้มีท่าทีโกรธเคืองใดๆ กับสิ่งที่พระชายาประกาศออกไป หนำซ้ำช่วงเวลาว่างยังได้จับมือกันเดินเล่นไปทั่วเมืองหลวงเป็นเพื่อนพระชายาอีกด้วย

 

 

ท่าทางรักใคร่อย่างลึกซึ้งเช่นนั้นทำให้ทุกคนรับรู้อย่างชัดเจนว่า หากมีสตรีผู้ใดคิดอยากแต่งงานเข้ามาเป็นอนุในตำหนักติ้งอ๋องคงถูกพระชายาสังหารเข้าใจจริงๆ และท่านติ้งอ๋องจะไม่มีทางออกหน้าช่วยเหลืออันใดพวกนางเป็นแน่

 

 

ช่วงเวลาไม่นาน มีแต่คนพูดกันว่าติ้งอ๋องรักชายาสุดหัวใจ บ้างถึงขั้นกล่าวว่าเขานึกเกรงกลัวภรรยาก็มี แต่ไม่ว่าคนด้านนอกจะลือกันไปเช่นไร ก็ไม่มีสิ่งใดมากระทบตัวเจ้าเรื่องทั้งสองคนได้ ยามนี้เยี่ยหลีไม่มีเวลาไปนั่งใส่ใจคำพูดไร้สาระเช่นนั้นแล้ว ยามเมื่อพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ความเป็นกังวลในใจของเยี่ยหลีก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นทุกที

 

 

รับประทานอาหารเย็นเสร็จได้ไม่เท่าไร สีหน้าของม่อซิวเหยาก็ค่อยๆ ดูย่ำแย่ลง เยี่ยหลีจึงรีบให้คนไปตามเสิ่นหยางมาพบ เสิ่นหยางนิ่งไปเป็นนาน ก่อนเอ่ยออกมาคำเดียวว่า ทน! เมื่อผลข้างเคียงจากการใช้หญ้าเฟิ่งเหว่ยกำเริบขึ้น ไม่มียาใดสามารถช่วยเหลือได้ ทำได้เพียงอาศัยแรงต้านทานของตนเองเท่านั้น

 

 

“อาหลี เจ้าไปพักที่เรือนข้างเถิด” ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นสีหน้าแข็งเกร็งของเยี่ยหลี ยามที่อาการกำเริบนั้นสภาพเขาไม่น่าดูเอาเสียเลย เขาไม่อยากให้นางเห็นสภาพที่น่าเวทนาจนเกินไปของเขา และไม่อยากทำให้นางตกใจด้วย

 

 

เยี่ยหลีนั่งอย่างสงบนิ่งอยู่ข้างๆ เขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า “ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน ไม่ต้องกลัว”

 

 

ไม่ต้องกลัว…ม่อซิวเหยาอดไม่ได้ที่อยากจะหัวเราะออกมา แต่ในใจกลับยิ่งรู้สึกอยากร้องไห้ หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาวนเวียนอยู่หน้าประตูมรณะมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทนทรมานกับความเจ็บปวดมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งจนแทบหาเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ แต่ไม่เคยมีผู้ใดเอ่ยถามเขามาก่อนว่าใจจริงแล้วเขานึกกลัวหรือไม่ ท่านติ้งอ๋องต่อให้เก่งกาจเพียงใดแต่ก็เป็นเพียงคนธรรมดา หนำซ้ำช่วงที่เขาได้รับบาดเจ็บก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีคนหนึ่ง แน่นอนว่าเขาย่อมเคยกลัวมาก่อน ทุกครั้งที่ฤทธิ์พิษเย็นกำเริบขึ้น เขายังนึกกลัวว่าตนเองจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก กลัวว่านับแต่นี้ตำหนักติ้งอ๋องจะล่มสลาย กลัวว่าความแค้นของพี่ใหญ่ ความแค้นของเขา และความแค้นของทหารในกองทัพตระกูลม่อจะไม่มีผู้ใดช่วยชำระล้างให้ได้ แต่เขากลับไม่สามารถแสดงความกลัวของตนออกมาให้ผู้ใดเห็น เขาทำได้เพียงอดทน แต่ในยามนี้ อาหลีของเขา ภรรยาของเขานั่งอยู่ข้างเขา คอยบอกเขาว่าไม่ต้องกลัว…

 

 

“ได้ ไม่กลัว” ม่อซิวเหยาจับมือเยี่ยหลีไว้พร้อมหัวเราะขึ้นเบาๆ

 

 

เยี่ยหลีแทบไม่อยากนึกย้อนกลับไปเลยว่า คืนนั้นผ่านมาได้อย่างไร ช่วงแรกที่ม่อซิวเหยาเริ่มมีอาการปวดยังพอกัดฟันทนไปได้ นางนั่งอยู่ข้างๆ เขาคอยชวนคุยนู้นคุยนี่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงเที่ยงคืนไปแล้ว อาการเจ็บปวดก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คนที่มีความอดทนเป็นเลิศ อย่างม่อซิวเหยายังเหงื่อออกและตัวสั่นจนแม้แต่จะพูดให้จบประโยคก็ยังไม่ได้ ยาระงับอาการปวดหรือการฝังเข็มเงินเพื่อสกัดจุดบรรเทาความเจ็บปวดใดๆ ต่างก็ใช้ไม่ได้ผล เยี่ยหลีทำได้เพียงนั่งมองเขาดึงทึ้งผ้านวมบนเตียงด้วยความเจ็บปวดถึงขีดสุด จนผ้านวมบนเตียงขาดวิ่น

 

 

บุรุษที่ยามปกติสง่างามและสงบนิ่งอยู่เป็นนิจ เมื่อมีท่าทีเจ็บปวดและอ่อนแอเช่นนี้จึงทำให้เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลออกมา นางไม่เคยนึกเกลียดชังความไม่เอาไหนของตนมาก่อนเลย ก่อนหน้านี้นางได้ลั่นวาจาไว้ว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเขาให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันเจ็บปวดไปด้วยกัน แต่เอาเข้าจริงนอกจากคอยมองไม่ให้เขาทำร้ายตนเองจนบาดเจ็บแล้ว นางก็ทำอันใดไม่ได้อีกเลย

 

 

ชั่วเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งคืน ทำให้เยี่ยหลีได้สัมผัสกับตนเองว่า อันใดที่เรียกว่าหนึ่งวันเหมือนหนึ่งปี ยามที่ม่อซิวเหยาหมดสติไปด้วยเพราะทนความเจ็บปวดมาอย่างยาวนานนั้น นางทำได้เพียงปล่อยให้เขาเอนพิงอยู่กับตัวของนางโดยไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องตัวเขา หวังเพียงว่าให้เขาได้พักผ่อนสักเล็กน้อยก่อนที่ความเจ็บปวดระลอกใหม่จะมาเยือน

 

 

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ผ่านไปยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วยามดี ม่อซิวเหยาก็ได้สติขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยความเจ็บปวดที่รุนแรงยิ่งกว่าครั้งแรก อาการเจ็บปวดจนหมดสติและตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดสลับกันไปมาเช่นนี้ ดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเช้าเกือบยามอู่ของวันถัดมา ถึงได้ค่อยๆ ทุเลาลง

 

 

ยามที่หัวหน้าพ่อบ้านม่อและเสิ่นหยางผลักประตูห้องเข้ามานั้น สภาพห้องเละเทะไปหมด พระชายานั่งพิงขอบเตียงอยู่กับพื้น หลับสนิทอยู่ด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ด้านหน้าพระชายามีท่านอ๋องที่นอนหนุนตักพระชายาอยู่ ถึงแม้จะยังดูหลับไม่สบายนัก แต่ก็ดูออกว่าท่านอ๋องหลับไปแล้ว

 

 

รอยแผลตามมือและตามตัวมีคนทำแผลให้แล้ว เมื่อเห็นภาพตรงหน้าเช่นนี้ ชายชราทั้งสองที่อายุรวมกันเกือบร้อยปีก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจด้วยความหดหู่ เสิ่นหยางโบกมือส่งสัญญาณให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อล่าถอยออกมาจากห้องด้วยกัน

 

 

ม่อซิวเหยาที่เพิ่งผ่านพ้นคืนพระจันทร์เต็มดวงมาได้ กลับลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ซึ่งทำให้เยี่ยหลีที่เป็นห่วงสุขภาพของม่อซิวเหยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งรู้สึกหนักอึ้งไปอีก

 

 

“อาหลี กำลังคิดอันใดอยู่หรือ” ม่อซิวเหยาที่นอนอยู่บนเตียง หันมองเยี่ยหลีที่ถือม้วนหนังสือในมืออย่างใจลอยด้วยสใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

 

เยี่ยหลีหันหน้ามองเขา แล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สุขภาพของท่านเดินทางไกลเป็นพันลี้ไปยังเป่ยหรงไหวหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ในหนึ่งเดือนก็มีเพียงคืนเดียวที่เป็นเช่นนี้ ถือว่าดีกว่าแต่ก่อนมากแล้ว หากเป็นเช่นเมื่อปีก่อน เกรงว่าคงจะไม่ไหว ยามนี้ร่างกายข้าก็ไม่ต่างอันใดกับคนธรรมดาทั่วไป เหตุใดจะไปไม่ได้เล่า”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า ครานี้นางอยู่เป็นเพื่อนม่อซิวเหยาตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้นางตกใจไม่น้อย ความเจ็บปวดแทบขาดใจเช่นนั้น เกรงว่าต่อให้เป็นนางที่เคยผ่านการฝึกการทนทรมานมาก่อน ก็ยังมิอาจทนรับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ นับประสาอันใดกับคนที่สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้วอย่างม่อซิวเหยา ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ เขาจะต้องทนกับความเจ็บปวดเช่นนี้เดือนละหนึ่งครั้ง เพียงแค่ความกลัวในจิตใจเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนเป็นบ้าได้แล้ว

 

 

ม่อซิวเหยามองท่าทีเป็นกังวลของเยี่ยหลีแล้วยิ้มน้อยๆ ยื่นมือออกไปดึงเยี่ยหลีให้มาข้างกายตนแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “เดิมทีข้าเคยคิดว่าชั่วชีวิตนี้ข้าคงกลับมายืนไม่ได้อีกแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าลองดูสิ มิได้ปกติดีหรือ ต่อให้จะต้องเจ็บปวดทุกเดือนเดือนละครั้งจะเป็นไรไป ข้ากลับรู้สึกคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม อาหลี ข้าหวังว่าสามีของเจ้าจะเป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมไม่มีอันใดบกพร่อง เช่นนั้นถึงจะเหมาะสมกับอาหลีของข้า…” ม่อซิวเหยาเอ่ยงึมงำเสียงต่ำพร้อมใช้นิ้วเรียวสัมผัสริมฝีปากอวบอิ่มของเยี่ยหลีเบาๆ

 

 

เยี่ยหลีเมินหน้าไป ไม่ให้ตนเองมองเห็นร่องรอยบาดแผลที่ยังไม่หายดีบนมือของเขาอีก กล้ำกลืนน้ำตาลงไปแล้วกล่าวว่า “ต่อให้ท่านยืนขึ้นมาไม่ได้อีกตลอดไป ข้าก็ไม่นึกรังเกียจท่าน”

 

 

เมื่อเทียบกับชายหนุ่มที่มีความสามารถและหน้าตาหล่อเหลาทั้งยังมีแขนขาที่แข็งแรงดีเหล่านั้นแล้ว เยี่ยหลีสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า ม่อซิวเหยาดีเลิศกว่าพวกเขามากนัก นางไม่เคยคิดมาก่อนว่า ม่อซิวเหยาต้องเป็นเช่นไรถึงจะเหมาะสมกับนาง

 

 

“ข้ารู้ แต่ข้าเพียงหวังว่า สิ่งที่อาหลีมีทั้งหมดจะต้องเป็นของที่ดีที่สุด” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป ในที่สุดก็หยุดน้ำตาตนเองไว้ไม่อยู่ “หากท่านทำข้าเคยตัวจะทำอย่างไร”

 

 

ม่อซิวเหยาดึงนางเข้ามากอดอยู่กับอก “ขอเพียงอาหลีต้องการ ขอเพียงเป็นสิ่งที่ซิวเหยามี ข้าสามารถให้เจ้าได้ทั้งหมด หรือต่อให้ไม่มี หากต้องแย่งมาก็จะแย่งมาให้เจ้าให้ได้”

 

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset