ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 135 เมืองซิ่นหยางแตก

 

 

เมืองซิ่นหยาง

 

 

บนกำแพงเมือง เหลิ่งฉิงอวี่มองธงที่ปลิวไสวอยู่อย่างหนาแน่นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ซิ่นหยางถูกทัพใหญ่ล้อมไว้กว่าสิบวันแล้ว หากไม่สามารถแก้ไขเรื่องการถูกปิดล้อมได้ ต่อให้ไม่ถูกทัพใหญ่ของซีหลิงตีแตกอย่างรวดเร็ว ก็คงแตกสลายจากภายในเองเป็นแน่ แล้วยิ่งทัพเสริมที่ส่งมาถูกโจมตี กำลังพลล้มตายไปกว่าครึ่งตั้งแต่มาถึงเขตชายแดนได้ไม่เท่าไร หนำซ้ำหนานโหวซื่อจื่อที่มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพก็มาหายสาบสูญไปในสนามรบอีก จึงยิ่งทำให้ขวัญกำลังใจของทหารที่รักษาเมืองอยู่ย่ำแย่ลงไปมาก หากมิใช่เพราะหัวหน้าแม่ทัพที่ประจำการณ์อยู่ที่เมืองซิ่นหยางเสียชีวิตในสนามรบ จนไม่มีผู้ใดควบคุมสถานการณ์ในภาพรวม ยามนี้เขาจะได้มายืนอยู่บนกำแพงเมืองเช่นนี้หรือไม่ก็ยังไม่รู้

 

 

“แม่ทัพเหลิ่ง ทัพเสริมจากราชสำนักจะมาถึงเมื่อใด!” ผู้บัญชาการทหารนายหนึ่งรีบร้อนเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย โพล่งถามเหลิ่งฉิงอวี่โดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

 

 

เดิมทีนายทหารเหล่านี้ก็ไม่พอใจแม่ทัพหนุ่มอายุน้อยที่ได้มาเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการทหารอยู่แล้ว ยิ่งเขาโดนทหารซีหลินโจมตีอย่างน่าสมเพชตั้งแต่ยังเคลื่อนพลมาไม่ถึง ยิ่งทำให้ทุกคนดูถูกเขาเข้าไปใหญ่ แต่เขาดันเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่เจิ้นกั๋ว และเป็นแม่ทัพที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งขึ้นด้วยพระองค์เอง

 

 

แม่ทัพที่ประจำการอยู่เมืองซิ่นหยางเสียชีวิตในสนามรบ เขาจึงเป็นผู้บัญชาการที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุดของเมืองซิ่นหยาง ถึงแม้ต่อหน้าทุกคนจะมีท่าทีเคารพเขา แต่ในใจคิดสิ่งใดอยู่นั้นก็ไม่มีผู้ใดสามารถรู้ได้ แต่ผู้บัญชาการทหารระดับสูงของซิ่นหยางผู้นี้ แม้แต่ต่อหน้าก็คร้านที่จะแสดงออกแล้ว

 

 

สีหน้าเรียบเฉยของเหลิ่งฉิงอวี่มีแววหนักใจและโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่เล็กจนโตชีวิตของเขาราบรื่นมาโดยตลอด เขาอาศัยความสามารถของตนจนได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยอวี้หลินของเมืองหลวง เป็นยอดคนหนุ่มอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง แต่ตั้งแต่มาถึงเมืองชายแดนกลับพบแต่อุปสรรคไมได้หยุด จึงทำให้เขาที่เดิมทีมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เริ่มนึกสับสนและสงสัยขึ้นมาอย่างช่วยไมได้

 

 

เหลิ่งฉิงอวี่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ควรมาถึงเมื่อใดเดี๋ยวก็มาถึงเอง ท่านแม่ทัพรอคอยอย่างสบายใจเถิด”

 

 

ใบหน้าคนผู้นั้นบึ้งตึงลงทันที “ข้ารอได้ แต่เมืองซิ่นหยางรอไม่ได้! แม่ทัพเหลิ่งลองมองออกไปนอกเมือง แล้วลองมองดูในเมืองนี่ดู ท่านคิดว่าเมืองซิ่นหยางยังสามารถยื้อไปได้อีกสักกี่วัน!”

 

 

“หุบปาก!” เหลิ่งฉิงอวี่เอ่ยตะคอกเสียงต่ำ จ้องคนตรงหน้าเขม็งด้วยแววตาคมประหนึ่งลูกธนู เอ่ยเสียงเย็นว่า “เมืองซิ่นหยางไม่มีทางแตก!”

 

 

คนผู้นั้นถูกสายตาที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารจนอึ้งไป พอตั้งสติได้จึงส่งเสียงหึขึ้นเบาๆ “ในเมื่อแม่ทัพเหลิ่งมีความมั่นใจเช่นนี้ ข้าจะคอยดู!” พูดจบก็หมุนตัวก้าวเร็วๆ ออกไปทันที

 

 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินจากไปอย่างไม่ลังเลเช่นนั้น แววตาเหลิ่งฉิงอวี่ยิ่งมืดครึ้มหนักขึ้นไปอีก แต่เมื่อหันกลับไปเห็นกลุ่มคนหนาแน่นที่ดูจะมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของฝ่ายศัตรูแล้ว ก็ทำได้เพียงเก็บกดทุกอย่างลงไป

 

 

จู่ๆ ด้านนอกกำแพงเมืองก็มีเสียงกลองดังกระหึ่มขึ้น เหลิ่งฉิงอวี่มองออกไปอย่างนิ่งตะลึง ทิวธงและกลุ่มคนที่เดิมนิ่งไม่ไหวติงเริ่มมีความเคลื่อนไหว เหลิ่งฉิงอวี่สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “รักษาเมือง!”

 

 

กองทัพของทั้งสองฝ่ายเริ่มต่อสู้กันอย่างดุเดือดอีกครั้งทั้งบนกำแพงและด้านนอกกำแพงเมือง แต่ฝ่ายที่รักษาเมืองดูมีท่าทีเหน็ดเหนื่อยและอ่อนกำลังอย่างชัดเจน ซึ่งยิ่งทำให้เหล่าทหารที่อยู่นอกเมืองกรูกันเข้ามาอย่างได้ใจ

 

 

บนอาคารสูงแห่งหนึ่งในเมืองซิ่นหยาง มีเสียงเข่นฆ่ากันสนั่นลั่นเลื่อนดังเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ ภายใน มีชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาเอ่ยขึ้นเสียงขรึมว่า “เมืองซิ่นหยางคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว ไปเตรียมตัว พวกเราจะถอนกำลัง”

 

 

ชายอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยว่า “จะขอให้แม่ทัพหยวนมาช่วยเสริมทัพพวกเราจากนอกวงล้อมดีหรือไม่ พระชายากับทัพเสริมเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว”

 

 

ชายผู้นั้นส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์ เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าสองวันนี้กองทัพซีหลิงบุกเราหนักข้อขึ้นมาก เกรงว่าเจิ้นหนานอ๋องคงอยากได้เมืองซิ่นหยางมากจนไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว เหลิ่งฉิงอวี่คุมทหารของเมืองซิ่นหยางไม่อยู่ ต่อให้หลายวันนี้แม่ทัพหยวนให้คนไปก่อกวนพวกเขาจากด้านนอกวงล้อม แต่ก็คงขวางไว้ได้ไม่นานนัก และเป็นไปได้มากว่าอาจทำให้พวกแม่ทัพหยวนติดเข้าไปอยู่ในวงล้อมด้วย”

 

 

“เอาเถิด รีบส่งจดหมายออกไป ขอให้แม่ทัพหยวนถอนตัวออกจากสนามรบกลับไปตั้งหลักยังเจียงซย่า พวกเจ้าไปกันก่อน ข้าจะรั้งอยู่จัดการธุระที่เมืองซิ่นหยางเอง”

 

 

“ตกลง ระวังด้วย”

 

 

เมื่อส่งสหายออกไปแล้ว ชายผู้นั้นหมุนตัวสาวเท้าเร็วๆ ลงจากหอสูงไปยังจวนขุนนางเจ้าเมืองซิ่นหยางทันที

 

 

 

 

ค่ายทหารซีหลิง

 

 

เจิ้นหนานอ๋องนั่งอย่างสบายอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย มือข้างหนึ่งเท้าคาง หลับตาพักผ่อนรอฟังข่าวจากด้านนอก

 

 

อย่างไรภายในวันนี้จะต้องมีข่าวเรื่องตีเมืองซิ่นหยางแตกมาถึงอย่างแน่นอน เจ้าเด็กหนุ่มที่เมืองซิ่นหยางนั่นถึงแม้จะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็ยังไก่อ่อนนัก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้อย่างไรก็ไม่มีความสามารถพอที่จะฮึดสู้ขึ้นมาได้ แค่เพียงนึกถึงเสบียงอาหาร ผ้าพับ ทองคำ และเงินตำลึงจำนวนนับไม่ถ้วนที่จะกลายเป็นเสบียงในการโจมตีต้าฉู่ต่อไปแล้ว เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

 

 

“ทางฝั่งหยวนเผยเตรียมการไปถึงไหนแล้ว” เมื่อคิดขึ้นมาได้ เจิ้นหนานอ๋องจึงลืมตาขึ้นเอ่ยถาม

 

 

ผู้บัญชาการทหารที่นั่งนิ่งรอฟังข่าวอยู่เช่นกัน รีบลุกยืนขึ้นเอ่ยว่า “ตามบัญชาของท่านอ๋อง ทหารของเราได้ลอบตัดเส้นทางการเดินทัพกลับเจียงซย่าไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้พวกเราจะหาทหารของหยวนเผยไม่พบในทันที แต่หากซิ่นหยางแตกเมื่อใด เขาจะต้องเดินทางกลับเจียงซย่าอย่างแน่นอน ถึงยามนั้นก็ไม่ต้องห่วงว่าจะจับพวกเขาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก”

 

 

ด้านนอกกระโจมมีเสียงกลองสัญญาณในเคลื่อนพลกลับดังขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเจิ้นหนานอ๋องจึงยิ่งกว้างขึ้นไปอีก ลุกขึ้นเอ่ยอย่างยินดีว่า “ซิ่นหยางแตกแล้ว!”

 

 

ใบหน้าผู้บัญชาการทหารทุกคนต่างเต็มไปด้วยความยินดี “ยินดีกับท่านอ๋อง”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องส่ายหน้า “ไม่ ยินดีกับพวกเราทุกคน เมื่อได้ซิ่นหยางมาแล้ว ที่พวกเรามาบุกต้าฉู่ในครานี้ ก็สามารถมั่นใจได้ว่าเราจะไม่แพ้ ศึกครานี้ สวรรค์ช่างคุ้มครองเราจริงๆ”

 

 

ผู้บัญชาการทหารทุกคนต่างเอ่ยขึ้นว่า “สวรรค์คุ้มครองซีหลิง”

 

 

ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบของนายทหารส่งข่าวดังขึ้น “เรียนท่านอ๋อง เมืองซิ่นหยางแตกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“ดีมาก เจ้าหนุ่มที่รักษาการณ์เมืองผู้นั้นเล่า” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยถาม

 

 

ทหารส่งข่าวลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “หัวหน้าผู้บัญชาการเมืองซิ่นหยาง เหลิ่งฉิงอวี่หาตัวไม่พบพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจิ้นหนานอ๋องก็อดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ โบกมือกล่าวว่า “ไปหาตัวให้ดีอีกที มีข่าวอันใดรีบมารายงานทันที”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

หนึ่งชั่วยามให้หลัง ผู้บัญชาการทหารที่ออกไปโจมตีเมืองต่างกลับเข้ามายังค่าย ภายในกระโจมใหญ่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความยินดี มีเพียงเจิ้นหนานอ๋องผู้เดียวที่ขมวดคิ้วมุ่นอยู่ เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นเช่นนั้นก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ท่านอ๋อง มีอันใดไม่เรียบร้อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้อง…”

 

 

“เรียนท่านอ๋อง เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” มีเสียงคนตะโกนขึ้นจากด้านนอกกระโจม เจิ้นหนานอ๋องนิ่งไป เอ่ยเสียงเย็นว่า “เข้ามา เมืองซิ่นหยางมีอันใดหรือ”

 

 

ผู้มารายงานเอ่ยว่า “เรียนท่านอ๋อง เสบียงอาหารที่ควรมีอยู่ในเมืองซิ่นหยาง ไม่รู้ด้วยเหตุใดยามนี้เหลืองเพียงไม่ถึงสองส่วนพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“อะไรนะ!”

 

 

ทุกคนต่างประหลาดใจ “หรือว่าคนตงฉู่รู้แน่ว่าจะแพ้ เลยเคลื่อนย้ายเสบียงอาหารออกไปก่อน”

 

 

“เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่ซิ่นหยางถูกล้อมไว้ แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ยังบินออกไปไม่ได้ นับประสาอันใดกับเสบัยงอาหารจำนวนมากเช่นนั้น”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องสีหน้าบึ้งตึง เอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ยังมีเรื่องอันใดอีก”

 

 

พลทหารเหลือบมองสีหน้าของเจิ้นหนานอ๋อง แล้วเอ่ยเสียงสั่นด้วนความกลัวว่า “กับคลังทรัพย์สินในจวนเจ้าเมืองซิ่นหยาง เงินตำลึงและตั๋วเงินภายในคลังหายไปทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ในเมืองซิ่นหยางมีเงินอยู่เพียงไม่ถึงสามส่วนของที่ควรมีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ภายในกระโจมเงียบสงัดลงทันที ผู้บัญชาการทหารทุกคนต่างลอบมองสีหน้าของเจิ้นหนานอ๋อง แต่มิมีผู้ใดกล้าเปิดปากพูดอันใดทั้งสิ้น

 

 

ซิ่นหยางมิใช่เมืองใหญที่อุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งที่สุดของต้าฉู่ แต่ก็เป็นเมืองที่มีเสบียงคลังทางการทหารมากที่สุดของต้าฉู่ และเป็นเมืองทางการค้าใหญ่หนึ่งในห้าของต้าฉู่ ถึงแม้แคว้นที่เป็นคู่ค้าของพวกเขาจะเป็นซีหลิงก็ตาม

 

 

เดิมทีทุกคนต่างคาดหวังกับเมืองนี้ไว้มาก ด้วยเพราะ ณ เมืองแห่งนี้มีเสบียงอาหารและเงินทองอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ในยามนี้…กลับไม่เหลืออันใดเลย

 

 

“ดี!” พักใหญ่ จู่ๆ เจิ้นหนานอ๋องก็หัวเราะเสียงเย็นขึ้น “ช่างเป็นตำหนักติ้งอ๋องที่ดีจริงๆ!”

 

 

ทุกคนต่างอึ้งไป มีบางคนเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านอ๋อง ท่านจะบอกว่าตำหนักติ้งอ๋องเป็นคนทำเรื่องนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยกลั้วหัวเราะ “นอกจากตำหนักติ้งอ๋องแล้วจะมีผู้ใดที่สามารถเอาเสบียงอาหารทั้งหมดไม่ซ่อนโดยแม้แต่ผีสางก็ยังไม่รู้บ้าง”

 

 

“แต่ว่า ติ้งอ๋องมิได้อยู่ที่เป่ยหรงหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เช่นนั้นก็คงบอกได้เพียงว่าตำหนักติ้งอ๋องยังมีคนฝีมือดีอยู่อีก”

 

 

“เรียนท่านอ๋อง เมื่อครู่ แม่ทัพเจิ้งมีคำสั่งให้ฆ่าล้างเมืองพ่ะย่ะค่ะ!” นายทหารนายหนึ่งรีบร้อนเข้ามาเอ่ยรายงานที่ปากประตู

 

 

“สาวเลว!” เจิ้นหนานอ๋องตบโต๊ะพร้อมลุกยืนขึ้น เอ่ยเสียงเข้มว่า “เป็นคำสั่งของผู้ใด!”

 

 

นายทหารผู้นั้นตัวสั่นด้วยความกลัว รีบเอ่ยว่า “แม่ทัพเจิ้ง…แม่ทัพเจิ้งนำคนไปเอาของจากโรงจำนำ แล้วเกิดมีเรื่องวิวาทกับชาวบ้านในเมือง จากนั้น…จากนั้นแม่ทัพเจิ้งก็มีคำสั่งให้ฆ่าล้างเมืองพ่ะย่….”

 

 

“รีบไปถ่ายทอดคำสั่งข้า หยุดการฆ่าล้างเมืองบัดเดี๋ยวนี้! หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืนคำสั่ง สังหารตรงนั้นทันที แล้วสั่งให้เจิ้งเปี้ยนมาหาข้าเดี๋ยวนี้”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ภายในกระโจมใหญ่ ทุกคนต่างหันมองหน้ากัน “ท่านอ๋อง คนตงฉู่พวกนั้นฆ่าไปแล้วก็ฆ่าไปเถิด เหลือไว้มากเช่นนั้นก็มีแต่จะเปลืองเสบียงอาหารนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ใช่แล้วท่านอ๋อง เมืองซิ่นหยางแตกแล้ว แต่พวกเราไม่ได้อันใดเลย ฆ่าคนตงฉู่เหล่านั้นเสียให้สิ้นซาก ให้พวกมันได้รู้เสียบ้าง”

 

 

“โง่เง่า!” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยเสียงเย็น “คนตงฉู่มีอยู่เท่าไร พวกเจ้าฆ่าไหวหรือ ยามนี้มีเพียงกองทัพของตงฉู่ที่คอยต่อสู้กับพวกเรา แต่หากชาวบ้านของตงฉู่รู้เรื่องการฆ่าล้างเมืองเข้า ชาวบ้านทั้งต้าฉู่คงได้ลุกฮือขึ้นมาต่อสู้กับพวกเราแน่”

 

 

หลายคนต่างไม่เห็นว่าเป็นปัญหา “กองทัพของตงฉู่ยังทำอันใดพวกเราไม่ได้ กับอีแค่ชาวบ้านไม่กี่คนจะทำอันใดได้กันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยเสียงขรึมว่า “สรุปก็คือ หากไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามมิให้ผู้ใดสังหารชาวบ้านของตงฉู่!”

 

 

“เรียนท่านอ๋อง หยวนเผยนำทัพตระกูลม่อหลายหมื่นคนฝ่าวงล้อมออกไปได้ มุ่งหน้าไปยังเจียงซย่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจิ้นหนานอ๋องก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที “เกิดอันใดขึ้น”

 

 

“ทหารที่ซื่อจื่อส่งไปขวางทหารของหยวนเผยถูกลอบโจมตี ถูกทำลายทั้งหมด และดูเหมือนหยวนเผยจะรู้ถึงลักษณะพื้นที่และจุดที่พวกเราวางกำลังไว้เป็นอย่างดี จึงนำคนกระจายออกไปหลายเส้นทางและลอบฝ่าออกไปในจุดที่เป็นช่องโหว่พ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้จะเสียหายด้านกำลังพลไปบ้าง แต่กำลังหลักของกองทัพตระกูลม่อก็มิได้รับความเสียหายหนักแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เรียนท่านอ๋อง เพิ่งได้รับข่าวจากทัพใต้แจ้งว่า สามวันก่อนซื่อจื่อถูกลอบทำร้าย จนบาดเจ็บสาหัสพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องถลึงตัวขึ้นทันที “เถิงเฟิงเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“ซื่อจื่อพ้นขีดอันตรายแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่บาดแผลค่อนข้างฉกรรจ์ เกรงว่าคงมิอาจนำทัพได้ในเร็ววันนี้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องก้มหน้าลงคิดอยู่พักใหญ่ ค่อยๆ ข่มโทสะในใจกลับลงไป โบกมือแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว ออกไปก่อนเถิด”

 

 

บรรยากาศยินดีก่อนหน้านี้ภายในกระโจมค่อยๆ หายไปจากข่าวที่ได้รับสองสามข่าวติดต่อกัน พักใหญ่ ถึงได้ยินเจิ้นหนานอ๋องหัวเราะเสียงต่ำๆ ขึ้นว่า “ดี ที่แท้ตำหนักติ้งอ๋องก็มีคนเก่งเพิ่มขึ้นมาจริงๆ ศึกตานี้ ข้าไม่ชนะเสียแล้ว”

 

 

“ท่านอ๋อง”

 

 

“เอาเถิด ส่งคนไปบอกเถิงเฟิง ทัพใต้ข้าจะส่งคนไปรับช่วงต่อ ให้เขาเร่งเดินทางมายังซิ่นหยาง” เจิ้นหนานอ๋องโบกมือ พร้อมเอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง “ไม่ว่าอย่างไร ซิ่นหยางก็เป็นของพวกเราแล้ว ให้เขามาคอยกำกับภาพใหญ่ที่นี่ก็แล้วกัน พวกเสบียงอาหารและเงินทองพวกนั้น ข้าไม่เชื่อว่ามันจะบินหายไปได้ จะต้องยังอยู่ในเมืองเป็นแน่!”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset