ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 141 เจิ้นหนานอ๋อง

 

 

“ใครก็ได้ เอาตัวคนผู้นี้ออกไปตัดหัวที!”

 

 

ทุกคนต่างอึ้งไป หยวนเผยเหลือบมองเฟิ่งจือเหยา เฟิ่งจือเหยาผินหน้าไปมองสวีชิงเจ๋อที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ อาจด้วยเพราะสายตาของเฟิ่งจือเหยาที่รุนแรงเกินไป เพียงมองไปทางเขาโดยที่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากอันใด สวีชิงเจ๋อก็วางหนังสือในมือลง เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “น้องหญิง ระหว่างทำศึก มิอาจตัดหัวทูตได้นะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณพี่รองที่เอ่ยเตือน เช่นนั้นท่านม่อ ท่านจะเดินออกไปเองหรือจะให้ข้าเรียกคนให้มาจับท่านโยนออกไปดี”

 

 

ม่อเฟยหันมองทุกคน ก่อนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ที่แท้นี่ก็เป็นธรรมเนียมในการต้อนรับแขกของชายาติ้งอ๋องแห่งต้าฉู่หรือ”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ถ้าผู้มาถือเป็นแขก ข้าย่อมต้องต้อนรับอย่างแขก แต่หากผู้มาเป็นคนทรยศ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ จริงหรือไม่”

 

 

ม่อเฟยเลิกคิ้วขึ้นมองนาง “ข้อเสนอของท่านอ๋องเรา พระชายาจะไม่พิจารณาสักนิดเลยจริงๆ หรือ”

 

 

เยี่ยหลีกดสายตาลงมองเขา มุมปากยกยิ้มอย่างเย็นเยียบ “ท่านม่อ ท่านคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าท่านจริงๆ หรือ”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของม่อเฟยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแข็งค้าง ในเมื่อเขาเป็นทูตที่เจิ้นหนานอ๋องส่งให้มาพบเยี่ยหลี ย่อมเป็นคนที่มีความสามารถอยู่บ้าง จะดูไม่ออกได้อย่างไรว่า ในแววตาของหญิงงามตรงหน้านี้มีรังสีสังหารและความเลือดเย็นแฝงอยู่

 

 

ม่อเฟยฝืนหัวเราะ พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้น…ข้าน้อยขอตัว” พูดจบ ม่อเฟยประสานมือคารวะเยี่ยหลีก่อนหมุนตัวเดินออกไป

 

 

ครานี้ที่มายังเมืองเจียงซย่านั้น เดิมทีคิดว่าคงเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะต่อให้ชายาติ้งอ๋องมีฐานะและอำนาจที่มากล้นเพียงใด แต่ก็เป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง ที่นางมีทุกอย่างในยามนี้ก็ด้วยเพราะอาศัยบารมีของติ้งอ๋องทั้งสิ้น ม่อเฟยจึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ไม่คิดเลยว่า ชายาติ้งอ๋องไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้เขาได้พูดในสิ่งที่ต้องการ ก็ต้องรีบล่าถอยกลับมาเสียแล้ว

 

 

เยี่ยหลีจับจ้องไปยังแผ่นหลังที่กำลังเดินออกไปของเขา ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ขวางไว้”

 

 

ยังไม่ทันขาดคำ ก็มีร่างคนจากทั้งซ้ายและขวาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูเข้าขวางม่อเฟยไว้ทันที ม่อเฟยถลึงตาขึ้นด้วยความตกใจ หันกลับมาจ้องเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยเสียงเข้มขึ้นว่า “พระชายา นี่ท่านหมายความเช่นไร”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “หากท่านม่ออยากไปก็เชิญเถิด แต่ท่านเจิ้นหนานอ๋องนั้น เกรงว่าคงต้องรบกวนให้รั้งอยู่ก่อน”

 

 

สีหน้าม่อเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฝืนยิ้มกล่าวว่า “เจิ้นหนานอ๋องอันใดกัน พระชายาล้อเล่นอันใดเช่นนี้”

 

 

เมื่อเยี่ยหลีพูดออกไปเช่นนี้ ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างหันไปกวาดตามองสำรวจทั้งสี่คนที่มาพร้อมกับม่อเฟยทันที คนที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำนั่นคงไม่ต้องพูดถึง ทุกคนต่างเบนสายตาไปยังอีกสามคนที่ติดตามคณะมากันอย่างพร้อมเพรียง

 

 

เฟิ่งจือเหยา หยวนเผยและฉินเฟิงรีบย้ายจุดที่ตนยืนอยู่อย่างรวดเร็ว ส่วนจั๋วจิ้งเอียงตัวเข้าหาสวีชิงเจ๋อโดยไม่รู้ตัว

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มจ้องมองบุรุษผู้หนึ่งในคณะ “ท่านเจิ้นหนานอ๋อง ในเมื่อมาถึงแล้ว เหตุใดถึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยเล่า”

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงหัวเราะอย่างโอหังดังขึ้น บุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงกลางในชุดเครื่องแต่งกายอย่างผู้ติดตามยกมือขึ้นลูบใบหน้า รูปลักษณ์ที่เดิมดูธรรมดาทั่วไป ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนทันที

 

 

ปีนี้เจิ้นหนานอ๋องมีอายุได้ห้าสิบต้นๆ ใบหน้าเขามีส่วนคล้ายเหลยเถิงเฟิงอยู่ถึงเจ็ดแปดส่วนแต่กลับดูมีความสง่างามและดุดันกว่าหลายส่วน แค่เพียงสายตาที่มองไปทางเยี่ยหลี ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดเป็นมากแล้ว ขอเพียงเป็นบุรุษก็สามารถเข้าใจถึงประกายวูบไหวในแววตาของเขาว่ากำลังสื่อความหมายเช่นไร

 

 

บนใบหน้าของบุรุษอย่างเฟิ่งจือเหยา มีแววโกรธเกรี้ยวและรังสีสังหารขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แต่เยี่ยหลีกลับมิได้นึกโกรธ ช่วงเวลากว่ายี่สิบปีในชาติที่แล้ว มีคนประเภทใดบ้างที่นางไม่เคยพบ แค่สายตาเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นางสูญเสียความสงบนิ่งไปได้ นางจึงมองอาการหัวเราะอย่างโอหังของเจิ้นหนานอ๋องด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

จนเมื่อเจิ้นหนานอ๋องหัวเราะจนหนำใจแล้ว จึงได้เดินไปนั่งลงยังเก้าอี้ตัวหนึ่ง คณะม่อเฟยอีกสี่คนที่เหลือยืนอยู่ด้านหลังเขาด้วยอาการสำรวม ถึงแม้เขาจะอยู่ในชุดอย่างผู้ติดตาม แต่ก็ไม่สามารถบดบังท่าทางหยิ่งยโสและโอหังของเขาเอาไว้ได้

 

 

“พระชายามองออกได้อย่างไร ช่างมีแววตาที่แหลมคมยิ่งนัก ข้าเลื่อมใส” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

 

 

เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม “จั๋วจิ้ง ข้าเคยสอนพวกเจ้าว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการปลอมตัวเพื่อแทรกซึมนั้นคืออันใดหรือ”

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยตอบเสียงขรึมว่า “ต้องทำตัวให้ดูกลมกลืนไม่โดดเด่น ไม่ดึงดูดความสนใจพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเลิกคิ้ว “ข้าคิดไม่ออกว่าข้าผิดพลาดที่ตรงใด”

 

 

จั๋วจิ้งหันมองเจิ้นหนานอ๋อง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยว่า “คนที่มีส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายพิการ ไม่เหมาะที่จะปลอมตัว”

 

 

ชั่วพริบตานั่นเอง สายตาทุกคู่ก็ไปรวมกันอยู่ที่แขนข้างซ้ายของเจิ้นหนานอ๋องทันที คนทั้งใต้หล้าต่างรู้ดีว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อน เจิ้นหนานอ๋องพ่ายแพ้ให้กับม่อหลิวฟางจนแขนขาดไปข้างหนึ่ง แต่ยังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้

 

 

เดิมทีมิค่อยมีผู้ใดสังเกตเห็น แต่เมื่อสายตาทุกคู่จับจ้องไปยังแขนของเขา คนที่สายตาดีก็มองออกทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติไป

 

 

เจิ้นหนานอ๋องมิได้ขยับแขนข้างซ้ายเลย และมือข้างซ้ายก็ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อมาตลอด ถึงแม้ในแขนเสื้อจะมิได้เป็นแขนเสื้อเปล่าๆ แต่เมื่อได้สังเกตดูให้ดี ก็จะเห็นว่าแขนที่อยู่ภายในนั้นดูแข็งกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด หรือต่อให้มีลักษณะเหมือนกันเพียงใด ก็มิอาจทดแทนแขนคนที่แท้จริงได้

 

 

สีหน้าเจิ้นหนานอ๋องดูแข็งขืนขึ้นทันที หางตากระตุกขึ้นสองครั้ง เห็นได้ชัดว่าคำพูดของจั๋วจิ้งคงไปโดนจุดที่เจ็บปวดของเขาเข้าเสียแล้ว การพ่ายแพ้ให้กับม่อหลิวฟาง เป็นเงามืดและเป็นการเสียเกียรติที่มิอาจตัดออกไปจากชีวิตของเขาได้ อีกทั้งม่อหลิวฟางก็เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว เขาไม่มีแม้โอกาสแม้ที่จะกลับมาชนะเขาอีกครั้ง ภาพของเขาในสายตาคนทั้งใต้หล้าคงเหลือเพียง…เหลยเจิ้นถิง เจิ้นหนานอ๋องแห่งแคว้นซีหลิง ไม่มีวันเหนือกว่าม่อหลิวฟาง ดังนั้นเขาจึงยิ่งให้ความสำคัญกับการเอาชนะกองทัพตระกูลม่อและม่อซิวเหยา ด้วยเพราะนี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขาสามารถล้างอายจากการที่เสียศักดิ์ศรีไปได้

 

 

“ดี ที่แท้ผู้ใต้บังคับบัญชาของพระชายาก็เป็นคนที่มีความสามารถมากกว่าคนทั่วไปนี่เอง” พักใหญ่ ถึงได้ยินเจิ้นหนานอ๋องเอ่ยเสียงขรึมขึ้น

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มน้อยๆ “ท่านอ๋องเอ่ยชมเกินไปแล้ว”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องกวาดตามองประเมินเยี่ยหลีอยู่รอบหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากถามว่า “เมื่อครู่พระชายาบอกปัดข้อความในจดหมายของข้าโดยไม่ลังเล ไม่รู้ว่ายามนี้ได้ลองพิจารณาดูอีกทีแล้วหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลียกมือกุมขมับ ส่ายหน้าพร้อมถอนใจเบาๆ “ข้าหาเหตุผลที่จะใคร่ครวญไม่พบเลยแม้แต่น้อย”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องหัวเราะเสียงก้อง “หรือพระชายาเห็นว่าข้าสู้ม่อซิวเหยาไม่ได้”

 

 

เยี่ยหลีเอียงศีรษะคิดอยู่เพียงครู่ ก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร อย่างน้อยท่านอ๋องก็อายุมากกว่าท่านอ๋องของข้า”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องตาเป็นประกายเล็กน้อย “พระชายาช่างมิใช่สตรีธรรมดาทั่วไปจริงๆ หากข้าบอกว่าขอเพียงพระชายายอมมากับข้า ข้าก็จะถอนทัพทั้งหมดออกจากตงฉู่เล่า”

 

 

“บังอาจ!” หยวนเผยโกรธจัด ทุบโต๊ะพร้อมลุกยืนขึ้น ถลึงตาจ้องเจิ้นหนานอ๋องด้วยความโมโห สีหน้าคนอื่นๆ ต่างก็ดูไม่ดีนัก

 

 

เยี่ยหลียกมือขึ้นห้ามหยวนเผย หัวเราะน้อยๆ “ที่ท่านอ๋องเอ่ยเช่นนี้ออกมา ด้วยเพราะเห็นว่าสตรีอย่างเยี่ยหลีใช้สมองไม่เป็นอย่างนั้นหรือ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยด้วยความไม่เข้าใจว่า “เหตุใดพระชายาถึงเอ่ยเช่นนี้”

 

 

เยี่ยหลียิ้มเยาะ “ทัพใหญ่ของซีหลิงจำนวนหลายแสนนายบุกเข้ามาในเขตแดนของต้าฉู่ กว่าจะเคลื่อนทัพมาถึงเมืองเจียงซย่าได้ก็ไม่ง่าย ท่านอ๋องคิดอยากถอนทัพกลับในยามนี้เกรงว่าคงไม่ง่ายเช่นนั้นกระมัง อีกอย่าง…ข้าเห็นว่า หากยอมหมิ่นเกียรติเพื่อแลกกับการให้ท่านอ๋องถอนทัพกลับไป สู้ข้าจับท่านเป็นตัวประกันเพื่อแลกเปลี่ยนจะไม่ง่ายกว่าหรือ ท่านอ๋องว่าจริงหรือไม่”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ คณะผู้ติดตามของซีหลิงก็หน้าถอดสีทันที บุรุษที่แต่งกายอยู่ในชุดทหารชักดาบที่พกอยู่ข้างกายออกมาขวางหน้าเจิ้นหนานอ๋องไว้ทันที

 

 

คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย อมยิ้มมิได้เอ่ยอันใด

 

 

เจิ้นหนานอ๋องยกมือขึ้น กดอาวุธในมือลูกน้องของตนลง “ในห้องนี้มิมีผู้ใดที่ไม่ใช่ยอดฝีมือ ที่ชายาติ้งอ๋องยอมให้เจ้าพกดาบเข้ามา ก็หมายความว่านางรู้ดีว่าดาบของเจ้าทำอันตรายอันใดไม่ได้ วางลงเถิด”

 

 

ชายผู้นั้นเหลือบมองเยี่ยหลีอย่างไม่ยินยอม แต่ในที่สุดก็เชื่อฟังคำสั่งของเจิ้นหนานอ๋องและยอมวางดาบในมือลง

 

 

ยามเจิ้นหนานอ๋องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ใกล้จะถูกจับเป็นตัวประกันอยู่รอมร่อเช่นนี้ เขากลับไม่มีทีท่าร้อนใจเลยแม้แต่น้อย คนที่เป็นนายใหญ่อย่างเยี่ยหลีเองก็ย่อมไม่ใจร้อนเช่นกัน นางค่อยๆ ละเลียดจิบชาไปอย่างใจเย็น

 

 

ผ่านไปพักหนึ่ง เจิ้นหนานอ๋องถึงได้ถอนหายใจออกมา “ถึงแม้ที่ข้าเสี่ยงชีวิตมาในวันนี้ดูจะอันตรายไปสักหน่อย แต่เมื่อได้พบพระชายา ข้ายิ่งรู้สึกว่าเป็นการมาที่ไม่เสียเที่ยว พระชายามีแผนเช่นไรหรือ”

 

 

เยี่ยหลีวางถ้วยชาในมือลง “ข้าบอกไปแล้ว คนอื่นไปได้ แต่เชิญท่านอ๋องพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันก่อน”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องส่ายหน้า “ในกองทัพยังมีธุระต้องจัดการอีกมาก เกรงว่าคงต้องปฏิเสธน้ำใจของพระชายาแล้ว”

 

 

“ไม่เป็นไร หากท่านอ๋องคิดว่าพวกท่านสามารถฝ่าออกจากเมืองเจียงซย่าไปด้วยกำลังพลเพียงเท่านี้ได้ ก็เชิญตามสบาย”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เช่นนี้ดีหรือไม่ ในมือข้ามีคนผู้หนึ่งที่พระชายาน่าจะสนใจ คนผู้นี้ข้าจะถือเสียว่าให้พระชายาเป็นของขวัญในโอกาสแรกพบหน้าก็แล้วกัน”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ในใจวูบไหวเล็กน้อย แต่ยังคงมองเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

 

 

เจิ้นหนานอ๋องไม่อ้อมคอ้ม เอ่ยออกมาตรงๆ ว่า “หนานโหวซื่อจื่อ ได้ยินว่าเป็นพี่เขยของพระชายาด้วยใช่หรือไม่”

 

 

“หนานโหวซื่อจื่ออยู่กับท่านหรือ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเพียงอมยิ้มมิได้พูดอันใด

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “ข้าจะเชื่อท่านอ๋องได้อย่างไร”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยว่า “ข้าให้พระชายาได้พบเขาก่อนก็ยังได้”

 

 

เมื่อเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ เยี่ยหลีก็รู้ว่าเป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่หนานโหวซื่อจื่อจะอยู่ในมือเจิ้นหนานอ๋อง และก็ตามมาด้วยคำถามเดียวกัน ว่าจะใช้เจิ้นหนานอ๋องแลกตัวหนานโหวซื่อจื่อกลับมาดีหรือไม่

 

 

นิ่งไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเยี่ยหลีก็เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยว่า “ตกลง เมื่อได้พบหนานโหวซื่อจื่อ ข้าจะปล่อยท่านอ๋องออกจากเมืองทันที”

 

 

“คำไหนคำนั้น”

 

 

เมื่อสั่งคนให้นำตัวคณะของเจิ้นหนานอ๋องออกไปแล้ว บรรยากาศภายในห้องหนังสือก็ร้อนระอุขึ้นทันที

 

 

หยวนเผยเอ่ยถามด้วยความร้อนใจว่า “พระชายา ใช้เจิ้นหนานอ๋องแลกตัวหนานโหวซื่อจื่อกลับมา จะไม่เป็นการ…” ผู้ใดต่างก็ดูออก ว่านี่ถือเป็นการซื้อขายที่ขาดทุน น้ำหนักของหนานโหวซื่อจื่อกับเจิ้นหนานอ๋องนั้นต่างกันมากนัก

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มหันมองเฟิ่งจือเหยาพร้อมเอ่ยถามว่า “เฟิ่งซาน เจ้ามีความเห็นเช่นไร”

 

 

เฟิ่งจือเหยาใช้พัดยันคางตนไว้ คิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “เรามิอาจสังหารเจิ้นหนานอ๋องได้ หากเจิ้นหนานอ๋องเสียชีวิตลง เมืองเจียงซย่ารวมถึงพื้นที่ที่กองทัพซีหลิงควบคุมอยู่ จะต้องนองเลือดด้วยการแก้แค้นของซีหลิงอย่างแน่นอน แล้วยังเหลยเถิงเฟิง เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อที่รักษาการณ์อยู่ที่เมืองซิ่นหยางอีก นั่นก็มิใช่คนที่จะต่อกรด้วยได้ง่ายนัก หากเขาต้องการแก้แค้นให้บิดาด้วยการบุกทะลวงมายังเจียงซย่า พวกเราก็ใช่ว่าจะต้านไว้ได้ อีกอย่าง หากเจิ้นหนานอ๋องเสียชีวิตลง การถ่วงดุลทางอำนาจระหว่างทั้งสามแคว้นรวมถึงความรู้สึกที่ราชสำนักมีต่อกองทัพตระกูลม่อคงจะเปลี่ยนไปจนยากจะคาดเดาได้ ถึงเวลานั้นพวกเรา… อีกอย่าง ถึงแม้หนานโหวจะทำตัวเป็นกลางไม่สนใจเรื่องทางการเมืองมาโดยตลอด แต่ยังคงมีอิทธิพลต่อราชสำนักและคนในกองทัพอยู่ไม่น้อย หากพวกเราช่วยหนานโหวซื่อจื่อออกมา ต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีตัวช่วยเพิ่ม แต่อย่างน้อยก็จะไม่มีศัตรู”

 

 

หยวนเผยเองมิใช่คนที่ไม่ประสาเรื่องอุบายทางการเมือง เมื่อได้ยินเฟิ่งจือเหยาเอ่ยเช่นนี้ ก็นิ่งคิดอยู่เพียงครู่ แล้วจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยใคร่ครวญไม่รอบคอบ พระชายาโปรดอภัยด้วย”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “หากสามารถสังหารเจิ้นหนานอ๋องได้ย่อมเป็นเรื่องดี น่าเสียดายที่ยามนี้พวกเรายังเตรียมตัวไม่พร้อม ให้เขามีหัวบนบ่าไปอีกสักพักก็แล้วกัน”

 

 

ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนั้น ต่างก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

 

 

เยี่ยหลีหุบยิ้มบนใบหน้าลงอย่างรวดเร็ว เอ่ยด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการว่า “พวกเรามาหารือกันดีกว่าว่าจะนำตัวหนานโหวซื่อจื่อกลับมาได้อย่างไร ฉินเฟิง เจิ้นหนานอ๋องมอบหมายให้เจ้าก็แล้วกัน”

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า “พระชายาโปรดวางใจ ข้าน้อยขอรับรองว่าจะมิให้คนนอกได้แตะต้องเจิ้นหนานอ๋องเลยแม้แต่เส้นผมพ่ะย่ะค่ะ”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset