ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 142 แลกเปลี่ยนตัวประกัน

 

 

เมื่อหนานโหวได้ยินข่าวของบุตรชาย ก็ดูจะไม่สนใจอาการป่วยหนักของตน รีบมาขอเข้าเฝ้าเยี่ยหลีโดยทันที จนเมื่อเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างชัดแจ้งแล้ว หนานโหวก็ผลักคนที่ประคองตนอยู่ออกไป เข่าทั้งสองข้างคุกลงกับพื้น โค้งตัวคารวะเยี่ยหลีด้วยความเคารพ “บุญคุณของพระชายาในครานี้ จวนหนานโหวของข้าจะไม่มีวันลืม พระชายาได้โปรดรับการคารวะของข้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป รีบลุกจากโต๊ะหนังสือเข้ามาประคองหนานโหวด้วยตนเอง “ท่านโหวอย่าได้ทำเช่นนี้ ข้ามิกล้ารับ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฐานะของหนานโหวเลย เพียงเห็นแก่หน้าของพี่ใหญ่ ข้าก็มิอาจไม่ช่วยได้”

 

 

หนานโหวเริ่มชราภาพแล้ว ถึงแม้หนานโหวซื่อจื่อจะมิใช่ทายาทเพียงคนเดียวของจวนหนานโหวในรุ่นนี้ แต่ก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของหนานโหว และเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวที่สามารถค้ำจุนจวนหนานโหวทั้งตระกูลได้ หากเขาเกิดเป็นอันใดขึ้น คงจำต้องคัดเลือกทายาทสายรองสักคนขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดต่อไป แต่ในบรรดาทายาทสายรองก็มิได้มีผู้ใดโดดเด่น เกรงว่าจวนหนานโหวคงจะจบลงที่รุ่นของท่านโหวนี้แล้ว

 

 

“บุตรของข้าไร้ความสามารถ ทำศึกพ่ายแพ้จนถูกจับตัวไป ทำให้พระชายาต้องลำบากแล้ว” การทำศึกพ่ายแพ้จนถูกจับตัวไปมิใช่ชื่อเสียงที่ดีนัก ยามนี้หนานโหวมิได้ขอร้องให้บุตรชายของตนมีคุณงามความดี มีอำนาจและบารมียิ่งใหญ่ล้นฟ้า หวังแต่เพียงให้เขามีชีวิตกลับมาคอยจุดธูปไหว้บรรพบุรุษให้แก่จวนหนานโหวก็เท่านั้น

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยปลอบโยนเสียงเบาว่า “แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาของทหาร เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงได้รับขนานนามว่าเป็นเทพสงครามแห่งซีหลิงมาช้านาน หนานโหวซื่อจื่อแพ้ให้กับเขาไม่ถือว่าเป็นการเสียเกียรติเท่าไรนัก ขอเพียงตัวเขายังมีชีวิตอยู่ จะต้องมีวันได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน”

 

 

หนานโหวเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้าน้อยขอบพระคุณพระชายายิ่งแล้ว”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องถูกจับตัวอยู่ในเมืองเจียงซย่า โดยขอแลกเปลี่ยนตัวกับหนานโหวซื่อจื่อ การแลกเปลี่ยนเช่นนี้สำหรับซีหลินแล้วถือว่าได้ประโยชน์กว่ามาก ดังนั้นเมื่อได้รับจดหมาย ค่ายใหญ่ของซีหลิงก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรเจิ้นหนานอ๋องก็เป็นหัวหน้าผู้บัญชาการทหารของกองทัพใหญ่แคว้นซีหลิง หากเกิดอันใดขึ้นกับเขา ไม่เพียงทัพใหญ่ของซีหลิงจะไร้หัวหน้า แต่เกรงว่าภายในแคว้นซีหลิงก็คงวุ่นวายไม่น้อยเช่นกัน

 

 

ส่วนหนานโหวซื่อจื่อนั้น ก็เป็นเพียงซื่อจื่อของจวนโหวผู้หนึ่ง ต่อให้หนานโหวจะเป็นที่เคารพอย่างมากสำหรับคนในเมืองหลวงของต้าฉู่ แต่สำหรับกองทัพของต้าฉู่แล้ว หนานโหวซื่อจื่อที่เพิ่งออกรบครั้งแรก อิทธิพลที่เขามีต่อกองทัพเกรงว่าคงยังสู้เสี้ยวเว่ยสักคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ช่างใจกว้างเสียจนแทบไม่อยากเชื่อ

 

 

ทั้งสองฝ่ายต่างเตรียมการแลกเปลี่ยนตัวประกันกันอย่างรวดเร็ว หลังจากนี้สามวัน จะทำการแลกเปลี่ยนตัวประกันกันที่ช่องเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองเจียงซย่าไปห้าลี้

 

 

เยี่ยหลีพาผู้ติดตามไปเพียงฉินเฟิง จั๋วจิ้ง และผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผ่านการฝึกพิเศษจากจั๋วจิ้งสามสี่นายและองครักษ์ลับอีกสิบกว่านายเท่านั้น

 

 

ถึงแม้จะกลายเป็นนักโทษที่ถูกจับ แต่เจิ้นหนานอ๋องยังคงโดดเด่นเช่นเคย มิได้ดูน่าเวทนาอย่างคนที่ถูกจับเป็นตัวประกันแม้แต่น้อย เมื่อเห็นเยี่ยหลี ยังถึงขั้นส่งยิ้มให้นางอย่างอารมณ์ดีอีกด้วย

 

 

เยี่ยหลีมิได้สนใจ โบกมือสั่งให้คนพาตัวเขาออกไปทันที

 

 

เมื่อเทียบกับเจิ้นหนานอ๋องแล้ว สภาพของหนานโหวซื่อจื่อดูแย่กว่ามากนัก หนานโหวซื่อจื่อที่ถูกคนของซีหลิงพาตัวออกมาจากด้านหลังนั้น ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลและดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ทางฟากซีหลิง คนที่เป็นหัวหน้านำมานั้นคือเหลยเถิงเฟิง เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อที่เคยมีวาสนาได้พบหน้ากันหลายคราที่ต้าฉู่ ดูท่าว่าเขาคงรีบเร่งควบมาเร็วข้ามวันข้ามคืนมาจากซิ่นหยาง

 

 

เมื่อเห็นเยี่ยหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้าเช่นกันก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย อมยิ้มเอ่ยว่า “พระชายา ตั้งแต่จากกันเมื่อปีที่แล้ว ท่านสบายดีหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยเรียบๆ ว่า “ก็พอไหว เดิมทีจะสบายกว่านี้มาก น่าเสียดายก็เพียงซื่อจื่อกับแคว้นของท่านไม่ให้โอกาสนั้นกับข้า”

 

 

เหลยเถิงเฟิงหัวเราะ “เรื่องการทำศึกในสนามรบเป็นเรื่องของบุรุษ ด้วยฐานะของพระชายา เดิมทีท่านสามารถใส่ชุดผ้าไหม กินอาหารรสเลิศอย่างมีความสุขได้ เหตุใดถึงต้องมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องทางโลกที่แสนน่าเบื่อเหล่านี้ด้วยเล่า”

 

 

เยี่ยหลีถอนใจเอ่ยว่า “เดิมทีข้าก็เป็นคนน่าเบื่ออยู่แล้ว จะละจากเรื่องทางโลกมนุษย์ได้อย่างไร เหลยซื่อจื่อ เราหยุดเรื่องคุยเล่นไว้ที่เท่านี้เถิด ข้าขอถามว่าสภาพหนานโหวซื่อจื่อแห่งแคว้นข้าในยามนี้ เกิดอันใดขึ้นหรือ”

 

 

เหลยเถิงเฟิงหันกลับไปมองหนานโหวซื่อจื่อที่ถูกคุมตัวอยู่ด้านหลัง ก่อนหันมายิ้มให้เยี่ยหลีอย่างขอลุแก่โทษ “ในสนามรบคมดาบไม่ทันได้ดูว่าผู้ใดเป็นผู้ใด หนานโหวซื่อจื่อจึงอาจถูกทำร้ายไปบ้าง หวังว่าพระชายาจะไม่ถือโทษ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ไม่ถือ ข้าเข้าใจแล้ว เหลยซื่อจื่อกำลังตักเตือนข้าว่า ข้าใจกว้างกับตัวประกันเกินไปสินะ จั๋วจิ้ง” นิ้วเรียวยกขึ้นน้อยๆ ส่งสัญญาณง่ายๆ

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยรับคำ ก่อนหันไปลงมืออย่างรวดเร็ว ได้ยินเพียงเสียงดับกร๊อบๆ สองครั้ง ก็มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากด้านหลังทันที แขนซ้ายของม่อเฟยที่ยืนอยู่ข้างเจิ้นหนานอ๋องบิดเบี้ยวเป็นรูปร่างประหลาด

 

 

เหลยเถิงเฟิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย จ้องมองเยี่ยหลีด้วยตาเป็นประกาย

 

 

เยี่ยหลีสีหน้าเป็นปกติ ผินหน้าไปมองใบหน้าตกใจของเจิ้นหนานอ๋อง ก่อนหันมาเอ่ยกลั้วหัวเราะกับเหลยเถิงเฟิงว่า “ซื่อจื่อ ข้าไม่ชื่นชอบการทำร้ายนักโทษ เพียงแต่…ข้าถือเอาหลักตาต่อตา ฟันต่อฟัน ครานี้ลำบากท่านม่อไปก็แล้วกัน แต่หากมีครั้งหน้า ข้าก็ไม่รังเกียจหากจะเอาคืนกับเจิ้นหนานอ๋อง หรือจะเป็น…กับตัวซื่อจื่อไปเลยดี”

 

 

เหลยเถิงเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยสั่งการกับผู้ติดตามข้างกายว่า “ส่งตัวหนานโหวซื่อจื่อไป”

 

 

นายทหารสองนายประคองหนานโหวซื่อจื่อเดินไปทางเยี่ยหลี เพื่อไปแลกเปลี่ยนตัวประกันกันตรงกลางระหว่างสองฝ่าย

 

 

ในขณะที่คนของทั้งสองฝ่ายกำลังกลับเข้าสู่คนของฝ่ายตนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเข้มของเหลยเถิงเฟิงขรึมดังมาจากฝั่งตรงข้าม “ลงมือ!”

 

 

ไม่ทันขาดคำ เจิ้นหนานอ๋องก็ก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว นายทหารสองคนพุ่งมาด้านหน้ารวดเร็วประหนึ่งลูกธนู คนหนึ่งพุ่งเข้าใส่หนานโหวซื่อจื่อ อีกคนหนึ่งพุ่งเข้าหาเยี่ยหลี ขณะเดียวกัน คนที่ยืนอยู่ข้างกายเหลยเถิงเฟิงก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วเช่นกัน พร้อมด้วยฝนลูกธนูอีกห่าใหญ่ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น

 

 

ทหารต้าฉู่ที่ยืนอยู่ตรงกลางสองคน คนหนึ่งเคลื่อนตัวไปขวางหน้าหนานโหวซื่อจื่อไว้ ทหารซีหลิงที่พุ่งตัวเข้าใส่หนานโหวซื่อจื่อ ยังไม่ทันเข้าถึงตัวหนานโหวซื่อจื่อ ก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นที่หน้าอก ก่อนล้มลงกับพื้นด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ส่วนอีกคนหนึ่งกลับมิได้เคลื่อนเข้าไปขวางคนที่กำลังพุ่งเข้าใส่เยี่ยหลี แต่กลับเคลื่อนตัวไปทางเจิ้นหนานอ๋องที่กำลังก้าวถอยหลัง ซึ่งทำให้ทหารซีหลิงเปลี่ยนเป้าหมายมิได้สนใจหนานโหวซื่อจื่ออีก แต่พุ่งเข้าหาเจิ้นหนานอ๋องที่อยู่ห่างไปไม่ไกลพร้อมกับเพื่อนทหารคนอื่นๆ ทันที

 

 

เมื่อเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ หนานโหวซื่อจื่อตั้งสติได้ทันที ไม่สนใจว่าร่างกายตนจะอ่อนล้าและมีบาดแผล รีบตามเข้าไปสมทบทันที

 

 

เจิ้นหนานอ๋องดูจะไม่คิดว่าทหารตงฉู่ข้างกายตนทั้งสองที่ดูเป็นพลทหารธรรมดาๆ จะมีฝีมือร้ายกาจเช่นนี้ หนำซ้ำยังร่วมมือกันได้อย่างกลมกลืน แต่ตัวเจิ้นหนานอ๋องเองก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งของใต้หล้า แม้แขนจะขาดไปข้างหนึ่ง ก็ยังคงเป็นยอดฝีมือ ย่อมไม่นึกหวาดกลัวนายทหารเหล่านี้ เพียงแต่นายทหารเหล่านี้ดูจะไม่เหมือนกับนายทหารตงฉู่ที่เจิ้นหนานอ๋องรู้จักเอาเสียเลย พวกเขาดูเชี่ยวชาญในการรับมือกับยอดฝีมือเป็นอย่างดี ในขณะที่พวกเขาประมือกันไปไม่กี่กระบวนท่า ก็มีทหารอีกหลายคนล้อมพวกเขาเข้ามา แต่พวกเขากลับไม่ตื่นตระหนกกับจำนวนทหารที่มีมากกว่าเลยแม้แต่น้อย ยังคงร่วมมือกันต่อสู้ต่อไปประหนึ่งผ่านการฝึกเช่นนี้มาเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้วกระนั้น

 

 

ทางฟากองครักษ์ลับของเยี่ยหลีก็เข้าไปประมือกับทหารของซีหลินอย่างรวดเร็วเช่นกัน เพียงสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยหลีก็ดูออกแล้วว่า คนกลุ่มนี้ถึงแม้จะอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารซีหลิง แต่พวกเขามิใช่ทหารที่แท้จริง แต่ดูเหมือนยอดฝีมือจากเจียงหูเสียมากกว่า

 

 

เยี่ยหลีหันมองเหลยเถิงเฟิงที่กำลังมองมาที่ตนเช่นนี้ ส่งยิ้มอย่างเยาะหยันให้เขา “ฆ่า!”

 

 

“รับบัญชา!”

 

 

องครักษ์ลับและนายทหารที่ตามมาตื่นตัวขึ้นทันที ปลายดาบพุ่งเข้าใส่ทหารซีหลินเหล่านั้น แล้วทั้งสองฝ่ายก็พุ่งเข้าห้ำหั่นกันทันที

 

 

หลักการที่ว่า คนน้อยยากจะเอาชนะคนจำนวนมากกว่าได้นั้น ได้รับการพิสูจน์จากนายทหารที่ผ่านการฝึกพิเศษของฉินเฟิงไว้อีกครั้ง ในขณะที่การต่อสู้โดยรอบกำลังจะจบสิ้นลงนั้น เจิ้นหนานอ๋องก็กลายมาเป็นตัวประกันของต้าฉู่อีกครั้ง

 

 

เมื่อเห็นเจิ้นหนานอ๋องถูกจับตัวกลับมาอีกครั้ง เยี่ยหลีก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มของเจิ้นหนานอ๋องดูฝืดเฝื่อนอย่างเห็นได้ชัด “กองทัพตระกูลม่อมีการฝึกที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าขอเลื่อมใส”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านอ๋องเกรงใจไปแล้ว ท่านอ๋องเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของใต้หล้า การมีท่านอ๋องคอยชี้แนะถือเป็นวาสนาของพวกเขา” นางชี้นิ้วไปยังเหล่าทหารที่เพิ่งเอาชนะยอดฝีมือมาได้เมื่อครู่ ก่อนแววตาของเยี่ยหลีจะดูมีความพอใจมากยิ่งขึ้น ถึงแม้แต่ละคนจะบาดเจ็บกันบ้างไม่มากก็น้อย แต่นายทหารทุกคนดูจะมีความภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย

 

 

เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ ต่างก็เงยหน้ายืดอกผึ่งผายขึ้นทันที หันไปกำมือคารวะเจิ้นหนานอ๋องพร้อมเอ่ยว่า “ขอบพระคุณท่านอ๋องที่ชี้แนะ”

 

 

ว่ากันตามจริงแล้ว ถึงแม้เจิ้นหนานอ๋องจะมีแขนเพียงข้างเดียว แต่กลับรับมือได้ยากกว่ามู่ฉิงชังที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่เสียอีก เพียงมองจากสีหน้าชื่นชมของทุกคนก็บอกได้แล้วว่า หากพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการร่วมมือกันปราบมู่ฉิงชังมาก่อน แล้วจะมาเอาชนะเจิ้นหนานอ๋อง เกรงว่าคงจะลำบากกว่านี้มากนัก ซึ่งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจิ้นหนานอ๋องคิดถึงฐานะของตน จึงไม่ต่อสู้กับพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย มิเช่นนั้นแล้ว เกรงว่าพวกเขาคงต้องมีคนเสียชีวิตกันบ้าง

 

 

ใบหน้าของเจิ้นหนานอ๋องกระตุกเล็กน้อย จ้องหน้าเยี่ยหลีเอ่ยว่า “ยามนี้ชายาติ้งอ๋องมีแผนการเช่นไร”

 

 

เยี่ยหลียิ้มตาหยี เอ่ยว่า “ท่านอ๋องทำให้ข้าลำบากใจเสียแล้ว เดิมทีพวกเราต่างคนต่างแลกเปลี่ยนตัวประกัน และแยกย้ายกันกลับไปก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ มายามนี้ จะให้ข้าทำเช่นไรดีเล่า”

 

 

อีกด้านหนึ่ง เหลยเถิงเฟิงฝืนยิ้มเอ่ยว่า “พระชายา เรื่องครานี้ด้วยเพราะข้าทำไม่ถูกเอง ขอพระชายาได้โปรดเห็นใจปล่อยตัวเสด็จพ่อกลับมาเถิด”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ซื่อจื่อช่างพูดได้ง่ายนัก หากเมื่อครู่หนานโหวซื่อจื่อหรือข้าเกิดได้รับบาดเจ็บจากคนของซื่อจื่อไป ไม่รู้ว่ายามนี้ซื่อจื่อจะมีท่าทีเช่นไร”

 

 

เหลยเถิงเฟิงรู้ตัวดี จึงเอ่ยอย่างมีมารยาทว่า “ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าสามารถทำได้ พระชายาเชิญเอ่ยปากมาได้เลย” วันนี้เขาประมาทเลินเล่อเกินไปจริงๆ คิดเพียงว่าเยี่ยหลีมิได้เตรียมการอันใดมา แต่คิดไม่ถึงว่าที่เยี่ยหลีจัดการเช่นนี้ ก็ด้วยเพราะเตรียมตัวว่าพวกเขาจะลงมือไว้แล้ว

 

 

เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “หากให้ซื่อจื่อถอยทัพออกจากต้าฉู่เล่า”

 

 

เหลยเถิงเฟิงหน้าขรึมลงเล็กน้อย “พระชายาทำให้ข้าลำบากใจเสียแล้ว”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว หันมองเจิ้นหนานอ๋องอย่างทำอันใดไม่ได้ “ท่านอ๋อง ที่แท้ตัวท่านก็ไม่มีค่าพอสำหรับเมืองเล็กๆ อย่างซิ่นหยางเลยหรือนี่ เจิ้นหนานอ๋องแห่งแคว้นซีหลิงมีค่าน้อยนิดเพียงนี้เองหรือ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องคลี่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การบุกตีเมืองซิ่นหยาง มีทหารซีหลิงสละชีพไปแล้วจำนวนมาก เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่บุตรชายของข้า สามารถตัดสินใจเองได้ พระชายาทำให้เขาต้องลำบากใจแล้ว”

 

 

เยี่ยหลีหรี่ตาลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “เอาเถิด ข้าจะไม่ทำให้เขาลำบากใจก็แล้วกัน เสบียงอาหารห้าหมื่นตัน กับเงินห้าล้านตำลึงเงิน”

 

 

“พระชายาขอมากเกินไปแล้วกระมัง!” เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้ว

 

 

เยี่ยหลีสงเสียงหึอย่างเยาะหยัน เอ่ยเสียงเข้มว่า “ตัดแขนอีกข้างของเจิ้นหนานอ๋องทิ้งเสีย!”

 

 

จั๋วจิ้งพยักหน้า “รับบัญชา”

 

 

เมื่อเห็นจั๋วจิ้งหันไปชักดาบของทหารที่อยู่ด้านหลังออกมาและเงื้อขึ้นจะฟันแขนเจิ้นหนานอ๋องจริง เหลยเถิงเฟิงก็รีบเอ่ยห้ามว่า “พระชายา ช้าก่อน!”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นมองเขาเรียบๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเหลยเถิงเฟิงก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ตกลง คำไหนคำนั้น เพียงแต่ข้าต้องการเวลา อีกอย่าง พระชายาจะต้องรับปากว่าเสด็จพ่อจะไม่ได้รับบาดเจ็บ มิเช่นนั้น ข้าจะสั่งให้ทหารสังหารคนตงฉู่ทุกคนที่ทัพใหญ่ของข้าเคลื่อนพลผ่านไป!”

 

 

รอยยิ้มเยี่ยหลียิ่งดูเยาะหยันยิ่งขึ้น “ห้าวันหลังจากนี้ ที่นี่เช่นเดิม อีกอย่าง ที่เหลยซื่อจื่อเอ่ยออกมาเมื่อครู่ขอให้เป็นเพียงการพูดออกมาเล่นๆ เท่านั้นจะดีกว่า มิเช่นนั้น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารผู้บัญชาการทหารของซีหลิงทุกคน ตัวอย่างเช่นเจิ้งเปี้ยนผู้นั้นอย่างไร และแน่นอนว่า ข้าเองก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารคนทั้งซีหลิงเช่นกัน!”

 

 

เหลยเถิงเฟิงใจกระตุกไปทันที จ้องลึกเข้าไปในดวงตาเยี่ยหลี ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “คำไหนคำนั้น”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset