ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 143 ได้พบหน้ากันอีกครั้ง

 

 

เมื่อกลับถึงเมืองเจียงซย่า เยี่ยหลีโบกมือสั่งให้คนนำตัวเจิ้นหนานอ๋องกลับไปขังไว้เช่นเดิม แล้วนำหนานโหวซื่อจื่อไปพบหนานโหวที่รออยู่อย่างร้อนใจ

 

 

เมื่อเห็นว่าบนร่างกายของบุตรชายมีแต่บาดแผลเต็มไปหมด หนานโหวก็รู้สึกทั้งยิ้นดีและสงสารไปพร้อมกัน รีบดึงบุตรชายเข้ามาสำรวจพร้อมถามไถ่ว่าเขาบาดเจ็บที่ตรงใดบ้าง

 

 

หนานโหวซื่อจื่อเองก็ดูจะไม่คิดว่าชาตินี้จะได้กลับมาพบบิดาของตนอีก ก็อดตาแดงขึ้นไม่ได้ เขาจับแขนหนานโหวให้กางออก ส่วนตนคุกเข่าลงกับพื้น เอ่ยเสียงเบาว่า “ลูกทำให้ท่านพ่อต้องขายหน้าแล้ว”

 

 

หนานโหวจับเขาให้ลุกขึ้น เอ่ยน้ำตานองหน้าว่า “เจ้าลูกโง่ กลับมาก็ดีแล้ว มาพูดเรื่องเช่นนี้ไปเพื่ออันใด กลับมาก็ดีแล้ว…” เมื่อผ่านช่วงเวลาตื่นเต้นยินดีไปแล้ว หนานโหวถึงได้รู้สึกตัวว่ามีเยี่ยหลีและคนอื่นๆ อยู่ ณ ที่นั้นด้วยเช่นกัน จึงรีบเช็ดน้ำตาพร้อมดึงบุตรชายเข้ามาเอ่ยว่า “ที่ครานี้เจ้าสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ด้วยเพราะโชคดีที่มีพระชายา ยังไม่รีบของพระคุณพระชายาที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้อีก”

 

 

หนานโหวซื่อจื่อรีบเข้ามาคารวะนาง เอ่ยว่า “ขอบพระคุณพระชายาที่ช่วยชีวิตไว้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่เขยไม่ต้องมากพิธี ญาติพี่น้องกันเหตุใดต้องพูดให้ดูห่างเหินเช่นนี้ด้วยเล่า พี่เขยมีตรงใดไม่สบายหรือไม่ คนซีหลิงได้ทำร้ายท่านหรือไม่”

 

 

พ่อลูกหนานโหวหันมาสบตากัน หนานโหวซื่อจื่อยิ้มพร้อมส่ายหน้า “เพียงบาดแผลเล็กน้อย ขอบพระคุณ…น้องสามที่เป็นห่วง ต่อไปหากมีเรื่องอันใดก็บอกข้ามาตรงๆ ได้เลย จวนหนานโหวจะช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังแน่นอน”

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยขอบคุณ ในใจรู้ดีว่า ต่อไปถึงแม้จวนหนานโหวจะมิได้เป็นกำลังช่วยเหลือตำหนักติ้งอ๋อง แต่ก็ไม่มีทางตั้งตนเป็นศัตรูกับตำหนักติ้งอ๋องอย่างแน่นอน

 

 

 

 

ครานี้ ในที่สุดเหลยเถิงเฟิงก็มิได้เล่นลูกไม้อันใดอีก ห้าวันให้หลัง ณ สถานที่เดิม เขาได้นำเสบียงอาหารห้าหมื่นตันพร้อมเงินอีกห้าล้านตำลึงเงินมาส่งให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีเองก็ทำตามที่รับปากไว้ด้วยการส่งตัวเจิ้นหนานอ๋องกลับไป

 

 

เมื่อเจิ้นหนานอ๋องกลับเข้าไปอยู่ในฝ่ายทหารของซีหลิงแล้ว ถึงได้หันกลับมาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเยี่ยหลี “ข้ามั่นใจในตนเองเกินไป หมากตานี้ถือว่าพระชายาเป็นฝ่ายชนะ ชายาติ้งอ๋อง พวกเรายังมีเวลาอีกยาวไกลนัก”

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้ม “ท่านอ๋องล้อเล่นแล้ว ข้าจะกล้าพูดว่าชนะท่านได้อย่างไร โชคช่วยเท่านั้นเอง”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องหน้าบึ้งลงเล็กน้อย หมุนตัวเดินออกไปทันที

 

 

ชนะแล้วไม่โอหัง แพ้แล้วไม่ท้อถอย ชายาติ้งอ๋องเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง กลับสามารถเอาชนะจนได้เบียงอาหารและเงินจำนวนมากจากซีหลิงไปได้ แต่ใบหน้านางกลับดูไม่มีความยะโสโอหังเลยแม้แต่น้อย ช่างมิใช่คนที่สตรีธรรมดาทั่วไปจะเทียบได้จริงๆ

 

 

เยี่ยหลีมองส่งเจิ้นหนานอ๋องจนร่างเขาลับหายเข้าไปในกองทัพของซีหลิง แล้วจึงหันกลับมาเอ่ยกับเฟิ่งจือเหยาว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ทุกหน่วยเตรียมการให้พร้อม”

 

 

“?” เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “เสียผลประโยชน์ไปมากเช่นนั้น เจิ้นหนานอ๋องจะไม่แก้แค้นกลับได้อย่างไร”

 

 

“เรียนพระชายา กองทัพของเรายึดเมืองซิ่นหยางกลับมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” นายทหารคนหนึ่งรีบเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป เอ่ยว่า “เจ้าว่าอันใดนะ”

 

 

นายทหารผู้นั้นเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงดังว่า “เมื่อครู่เพิ่งได้รับข่าวรายงานว่า ท่านอ๋องนำทัพหนึ่งแสนนายเดินทางลงมาจากทางเหนือ โจมตีทัพเหนือของซีหลิงจนแตก และเมื่อคืนวานก็สามารถยึดเมืองซิ่นหยางคืนมาได้พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“ซิวเหยากลับมาแล้วหรือ!”

 

 

“ท่านอ๋องกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

เยี่ยหลีและเฟิ่งจือเหยาหันมองหน้ากัน ต่างเห็นแววตายินดีอย่างยิ่งของอีกฝ่าย เยี่ยหลีเก็บความยินดีของตนไว้ เอ่ยเสียงก้องว่า “กลับเมือง!”

 

 

กลับไปถึงเมืองได้ไม่เท่าไร ด้านนอกก็มีข่าวว่าทัพใหญ่ของซีหลิงถอนกำลังกลับไป ทุกคนขึ้นไปอยู่บนกำแพงเมือง ก็เห็นทัพทั้งหมดของซีหลิงกำลังเคลื่อนถอยห่างออกไปจริงๆ

 

 

อวิ๋นถิงรีบเข้าไปขอให้เยี่ยหลีมีคำสั่งอย่างฮึกเหิมว่า “พระชายา ข้าน้อยขอนำทหารตามไปโจมตีทัพซีหลิงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

แม่ทัพหยวนเผยก้าวขึ้นหน้ามาเอ่ยว่า “มิได้พ่ะย่ะค่ะ พระชายา ถึงแม้ทัพใหญ่ของซีหลิงจะถอยร่นไปแล้ว แต่มิได้ถอยร่นไปเพราะพ่ายแพ้ และมิได้ถอยร่นไปอย่างร้อนรน เกรงว่าเพียงเพราะเป็นกังวลกับเมืองซิ่นหยาง ว่าพวกเราจะโจมตีขนาบหน้าหลังเท่านั้น หากพวกเราเสี่ยงบุกตามไปในยามนี้ เกรงว่าจะกลายเป็นตกหลุมพรางของคนซีหลิงนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยว่า “แม่ทัพหยวนเผยกล่าวถูกต้องแล้ว ปล่อยให้พวกเขาไปเถิด ถ่ายทอดคำสั่งไป ทุกหน่วยเตรียมตัว รอท่านอ๋องกลับมา”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ดูเหมือนม่อซิวเหยาจะกลายเป็นที่นับถือของคนทั้งกองทัพตระกูลม่อไปแล้ว หรือจะกล่าวอีกอย่างก็คือ ท่านติ้งอ๋องทุกรุ่นของตำหนักติ้งอ๋อง ล้วนเป็นที่นับถือของกองทัพตระกูลม่อ เพียงแค่ได้ยินว่าเขาใกล้จะกลับมาถึง บนใบหน้าทุกคนต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติยินดี

 

 

เยี่ยหลีเองก็ไม่คิดว่าม่อซิวเหยาจะกลับมาต้าฉู่อย่างไร้ข่าวคราวเช่นนี้ อีกทั้งยังสามารถผ่านทัพเหนือของซีหลินที่ยึดพื้นที่อยู่ พร้อมยึดเมืองซิ่นหยางกลับมาได้อีกด้วย หากเป็นเช่นนี้ ถือเป็นการทำให้สถานการณ์ของต้าฉู่ที่ตกเป็นรองด้วยเรื่องระยะเวลา คลี่คลายลงไปได้มากทีเดียว จิตใจของเยี่ยหลีที่ไม่สงบอยู่หลายวันนี้ก็ค่อยๆ เบาใจลงได้ไม่น้อย

 

 

ถึงแม้จะรู้ว่าม่อซิวเหยากลับมาถึงซิ่นหยางแล้ว แต่กว่าจะได้พบม่อซิวเหยาจริงๆ ก็ผ่านไปหลังจากนั้นอีกหลายวัน เมืองซิ่นหยางที่ถูกซีหลิงยึดไว้กลายเป็นประหนึ่งเมืองร้าง ถึงแม้จะมีคำสั่งจากเจิ้นหนานอ๋องไม่ให้ทำร้ายชาวบ้านโดยรอบ แต่ก็ยังถูกทหารของซีหลิงแสดงอำนาจใส่ไปไม่น้อย

 

 

ม่อซิวเหยาเมื่อเดินทางถึงเมืองซิ่นหยางก็ดูจะวุ่นวายไม่ได้หยุด ทำได้เพียงให้คนส่งจดหมายมาถึงเยี่ยหลี ความว่า ขอให้เยี่ยหลีมอบอำนาจในกองทัพทั้งหมดให้หลี่ว์จิ้นเสียนและหยวนเผยก่อนเป็นการชั่วคราว และให้กลับมาพบตนที่เมืองซิ่นหยาง งานในมือของเยี่ยหลีเองก็กองพะเนินไม่น้อยไปกว่ากัน กว่าจะมอบหมายทั้งหมดให้หลี่ว์จิ้นเสียนและหยวนเผย และเร่งรุดเดินทางไปยังเมืองซีหลิง ก็หลังจากวันที่ได้รับจดหมายไปแล้วหลายวัน

 

 

“อาหลี…”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ของเขา ขอบตาเยี่ยหลีก็แดงขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากกันไปหลายเดือน นางมิได้รู้สึกว่าตนเองคิดถึงเขามากเช่นนี้ จนเมื่อได้ยินเสียงต่ำรื่นหูของเขาในยามนี้ นางก็ไม่ทันได้สนใจผู้อื่น ถลาเข้าใส่อ้อมแขนที่กางรอนางอยู่ทันที โชคดีที่ยามนี้ คนข้างกายต่างถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ ไม่อยู่รบกวนพระชายาและท่านอ๋องที่มิได้พบหน้ากันนาน มิเช่นนั้นหากเยี่ยหลีเรียกสติกลับมาได้อีกครั้ง คงได้พบว่า ภาพลักษณ์อันสงบนิ่งและงามสง่าอยู่เป็นนิจของนาง ถูกทำลายจนไม่เหลือเสียแล้ว

 

 

“อาหลี…อาหลี…” ม่อซิวเหยากอดนางแน่นไว้กับอก ร้องเรียกชื่อนางเบาๆ ซ้ำไปซ้ำมา ประหนึ่งอยากกอดนางให้เข้าไปถึงกระดูก

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของบุรุษรูปงามที่ดูซูบผอมไปเล็กน้อย เอ่ยพึมพำเสียงเบาว่า “ซิวเหยา”

 

 

ซิวเหยาใบหน้าเคร่งขรึม ยื่นมือไปจับใบหน้าเรียวเล็กที่ซุกอยู่กับอกตน ก่อนก้มหน้าจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากงามได้รูปนั้นทันที “อาหลี…”

 

 

เยี่ยหลียกมือขึ้นจับบ่าเขาอย่างไม่รู้ตัว เผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เกี่ยวกระหวัดเข้ากับลิ้นและริมฝีปากของเขา เมื่อรับรู้ได้ว่านางเป็นฝ่ายรุกก่อน แววตาของม่อซิวเหยายิ่งครึ้มลง กอดนางแน่นยิ่งขึ้น หลักจากจูบกันอย่างดูดดื่มไปยกหนึ่ง เขาก็ย่อตัวลงอุ้มนางเดินเข้าไปในห้องทันที

 

 

ภายในห้อง เสื้อผ้าพวกเขากระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น บนเตียงใหญ่เบื้องหลังชั้นม่าน ร่างทั้งสองร่างกอดกระหวัดกันแน่นอย่างไม่ยอมพรากจากกัน…

 

 

“อาหลี…” เยี่ยหลีลืมตาขึ้น ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือรอยยิ้มและแววตาอันอบอุ่นอ่อนโยนบนใบหน้าอันหล่อเหลาของม่อซิวเหยา ภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ลอยไปมาในหัวของนางประหนึ่งตอนหนึ่งของภาพยนตร์ จนทำให้นางที่เพิ่งตื่นนอน ใบหน้ากลับซับสีเลือดขึ้นอีกครั้ง พอก้มลงมองบนตัวก็เห็นรอยแดงจางๆ บนหัวไหล่อันเปลือยเปล่า นางกัดริมฝีปากเบาๆ พร้อมถลึงตาใส่ม่อซิวเหยา

 

 

ม่อซิวเหยาหัวเราะออกมาเบาๆ ก้มลงสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ บนผมนางเบาๆ “ไม่ได้พบกันเสียหลายเดือน ซิวเหยาคิดถึงอาหลีมากเหลือเกิน”

 

 

เมื่อเห็นแววอบอุ่นในดวงตาของเขา ก็ทำให้เยี่ยหลีใจอ่อนลงทันที เอ่ยเสียงเบาว่า “เดินทางไปเป่ยหรงเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ม่อซิวเหยาจ้องตานาง ก่อนก้มลงจูบนางทีหนึ่ง “ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อันใด เกิดเรื่องเล็กน้อยที่ทำให้การเดินทางล่าช้า หลายวันนี้ทำให้อาหลีต้องลำบากแล้ว”

 

 

เยี่ยหลีคิดจะลุกขึ้นเอ่ยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาให้เขาฟัง แต่ดูเหมือนม่อซิวเหยาจะรู้ว่านางตั้งใจจะทำสิ่งใด จึงยื่นมือมากดนางลง เอ่ยว่า “อย่าเพิ่งรีบพูดถึงเรื่องเหล่านี้เลย อาหลีพักผ่อนอีกสักหน่อยเถิด”

 

 

เยี่ยหลีมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ข้าไม่เหนื่อย” ตามปกตินางไม่เคยชินกับการงีบยามกลางวันอยู่แล้ว อีกทั้งช่วงหลายวันนี้ เรื่องทัพใหญ่ของซีหลิงก็เบาลงไปมาก เรื่องที่นางต้องจัดการจึงมีเพียงเรื่องที่ไม่กินพลังสักเท่าไรเท่านั้น

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น ระบายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่เหนื่อยหรือ เช่นนั้น…เรามาต่อกันอีกสักรอบเถิด” พูดจบ ก็ไม่รอว่าเยี่ยหลีจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ยกตัวขึ้นทาบทับลงบนตัวเยี่ยหลีอีกครั้ง ก่อนก้มหน้าลงซุกไซร้ริมฝีปากเย็นลงบนผิวเรียบประหนึ่งหยกของเยี่ยหลี พร้อมมือใหญ่ที่เริ่มลูบไล้สำรวจไปตามเรือนร่างโค้งเว้าอย่างอุกอาจทันที

 

 

“ม่อซิวเหยา! ท่าน…” เยี่ยหลีถึงกับอึ้งไป เมื่อตั้งสติได้ก็ร้องขึ้นด้วยความโกรธ เสียงก่นด่ายังไม่ทันได้ออกจากปาก ก็ถูกขวางเอาไว้เสียแล้ว “อื้อ…คนบ้า…”

 

 

“อาหลี…อาหลี…ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน…”

 

 

เยี่ยหลีได้แต่นึกทอดถอนใจ ถูกชายหนุ่มนำพาไปยังคลื่นอารมณ์ลูกใหม่อีกครั้งอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

ภายในห้องหนังสือ ม่อซิวเหยาในชุดสีขาวก้าวเข้าไปภายใน ผู้ที่นั่งรออยู่ในห้องหนังสือต่างรีบลุกขึ้นทำความเคารพ

 

 

เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วส่งยิ้มอย่างมีนัยยะไปให้ม่อซิวเหยา

 

 

ม่อซิวเหยาเพียงกวาดตามองเขาเล็กน้อย

 

 

เฟิ่งจือเหยายกพัดขึ้นปิดปากเป็นสัญญาณว่าตนจะไม่พูดมากออกไปอย่างรู้อันใดควรไม่ควร

 

 

ม่อซิวเหยาเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ว่างอยู่ “หลายวันนี้ลำบากท่านโหวและทุกๆ ท่านแล้ว”

 

 

หนานโหวรีบลุกยืนขึ้นเอ่ยว่า “ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ที่เมืองซิ่นหยางถูกยึดไปได้ ทำให้เหล่าข้าน้อยรู้สึกอับอายยิ่งนัก หากมิใช่เพราะท่านอ๋องสามารถยึดเมืองซิ่นหยางคืนมาได้ทันการณ์ เหล่าข้าน้อยคงไม่มีหน้าไปพบประชาชนของต้าฉู่เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ตราหัวหน้าผู้บัญชาการทหารแห่งกองทัพอยู่ที่นี่แล้ว เชิญท่านอ๋องทอดพระเนตรดูพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อบุตรชายกลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว หนานโหวที่นอนซมป่วยอยู่เมื่อหลายวันก่อน ก็ดูสุขภาพแข็งแรงขึ้นมาก หยิบตราหัวหน้าผู้บัญชาการทหารออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งคืนให้ม่อซิวเหยา

 

 

ม่อซิวเหยาก็ไม่รั้งรอ รับตราหัวหน้าผู้บัญชาการมาไว้ข้างกายทันที อันที่จริงตราหัวหน้าผู้บัญชาการทหารที่ฮ่องเต้พระราชทานให้อันนี้นั้น มิได้มีความหมายอันใดต่อกองทัพตระกูลม่อ เพียงแต่ที่หนานโหวทำเช่นนี้ก็เพื่อบอกให้ทุกคนได้รู้ว่า ต่อจากนี้ไปเรื่องทั้งหมดภายในกองทัพให้ท่านอ๋องเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งม่อซิวเหยาย่อมไม่ปฏิเสธความตั้งใจของหนานโหว

 

 

แม้นก่อนหน้านี้ตัวเขาจะอยู่ไกลถึงเป่ยหรง ต่อมาก็เดินทางเคลื่อนทัพมาตลอดมิได้หยุดพัก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง ซิ่นหยางและเจียงซย่า เขารับรู้ทุกอย่างอย่างละเอียด และแน่นอนเขาย่อมรู้ดีว่า ที่หนานโหวที่วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอดมีท่าทีเช่นนี้ ด้วยเพราะเหตุใด

 

 

“ข้าน้อยไร้ความสามารถ ทำให้ต้องเสียเมืองซิ่นหยางไป และทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ขอท่านอ๋องได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เหลิ่งฉิงอวี่ก้าวขึ้นมาหน้า คุกเข่าลงขอรับการลงโทษอยู่ที่พื้น เขายังคงดูผ่ายผอมและซูบซีดอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ดูมีกำลังวังชาขึ้นกว่าหลายวันก่อนที่ดูไร้เรี่ยวแรงมากนัก

 

 

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วน้อยๆ มองเขา ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพเหลิ่งเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งขึ้น ข้าไม่มีสิทธิลงโทษเจ้า อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนส่งเจ้ากลับเมืองหลวง เจ้าไปขอรับโทษจากฝ่าบาทด้วยตนเองเถิด”

 

 

เหลิ่งฉิงอวี่หลุบตาลงมิได้เอ่ยอันใด ภายในห้องหนังสือทุกคนต่างไม่มีผู้ใดเอ่ยอันใด ท่านติ้งอ๋องมีอำนาจในการควบคุมผู้บัญชาการทหารทุกคนในใต้หล้า อย่าว่าแต่เหลิ่งฉิงอวี่ที่เป็นเพียงแม่ทัพอายุยังน้อยเลย ต่อให้เขาสั่งลงโทษผู้บัญชาการทหารอาวุโสก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยว่าไม่แม้สักคำ ที่ติ้งอ๋องเอ่ยเช่นนี้ ก็เพียงเพราะเห็นว่าเหลิ่งฉิงอวี่เป็นคนนอกเท่านั้น ด้วยนิสัยของฮ่องเต้ หากเหลิ่งฉิงอวี่กลับถึงเมืองหลวง ก็ไม่มีทางที่จะมีคืนวันที่ดีอย่างแน่นอน

 

 

เหลิ่งฉิงอวี่กัดฟัน ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าน้อยขอท่านอ๋องได้โปรดรับตัวข้าน้อยไว้ด้วยเถิด เหลิ่งฉิงอวี่ยินดีเป็นทหารรับใช้เล็กๆ ขอเพียงได้ไล่โจมตีทหารซีหลิงให้ล่าถอยไปเพื่อล้างอาย เมื่อกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว เหลิ่งฉิงอวี่ยินดีใช้ความตายเป็นการขอบคุณพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาจับจ้องเขานิ่ง ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “ถ้าเช่นนี้ ข้าจะทำตามที่เจ้าขอ”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset