ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 159 ล่าถอย

“พระชายา!” เฟิ่งจือเหยาพุ่งพรวดเข้ามาประหนึ่งลมหอบ บนใบหน้าที่ติดจะมั่นใจและสบายๆ อยู่เป็นนิจ มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นอย่างน้อยครั้งนักจะได้เห็น ใบหน้าหล่อเหลาที่ติดจะขี้เล่น ก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดไปด้วยความตื่นเต้นตกใจ

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองเขา อมยิ้มพร้อมเอ่ยถามว่า “มีอันใดหรือ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาชี้นิ้วไปที่นางอย่างลืมรักษากิริยา ก่อนรีบเก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่สีหน้ายังดูเหมือนคนอาหารไม่ย่อย “ท่าน…พระชาย…ท่าน จริงหรือที่ท่าน…”

 

 

“จริงสิ” นางไม่ชินกับการเห็นท่าทีพูดจาติดๆ ขัดๆ ของเขา เยี่ยหลีจึงพยักหน้ายอมรับให้เองว่า “ใช่แล้ว ข้ามีแล้ว”

 

 

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้!” เฟิ่งจือเหยาสีหน้าเศร้าสร้อยประหนึ่งถูกฟ้าผ่า มองเยี่ยหลีอย่างน่าสงสาร ในใจเยี่ยหลีหน้าม่อยลงโดยไม่รู้ตัว ได้แต่วางปากกาลงเอ่ยว่า “ข้ากับท่านอ๋องแต่งงานกันมาได้ปีกว่า มีบุตรแล้วมีปัญหาอันใดหรือ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเงียบไป คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันแล้ว มีบุตรสักคนจะมีปัญหาอันใด ย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพียงแต่ยามนี้…ในสถานการณ์ที่กองทัพทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันนั้น หัวหน้าผู้บัญชาการทหารฝ่ายหนึ่งเกิดตั้งครรภ์ขึ้น นับว่ามีปัญหาได้หรือไม่เล่า

 

 

เฟิ่งจือเหยาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เอ่ยทอดถอนใจว่า “ซื่อจื่อน้อย…ช่างมาไม่ถูกเวลาเสียเลย…” ต่อให้เร็วกว่านี้สักสามสี่วันก็ยังดี อย่างน้อยท่านอ๋องก็ยังไม่ออกเดินทางไป หากท่านอ๋องอยู่คงรู้ว่าต้องจัดการเรื่องนี้เช่นไร

 

 

เยี่ยหลียกมือขึ้นลูบหน้าท้องที่แบนราบเบาๆ โดยไม่รู้ตัว เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “ไม่ถูกเวลาแต่ก็มาแล้ว ข้าจะทำเช่นไรได้” เอาเถิด การไม่คุมกำเนิดให้ดีนั้น ถือเป็นความไม่รอบคอบของนางเอง “เฟิ่งซานมีความเห็นอันใดหรือไม่”

 

 

“ข้าจะรายงานท่านอ๋องเดี๋ยวนี้!” นั่นเป็นลูกของม่อซิวเหยา เป็นซื่อจื่อน้อยของตำหนักติ้งอ๋อง เขาจะกล้ามีความเห็นอันใดได้

 

 

“ไม่ได้” เยี่ยหลีส่ายหน้า “เรื่องที่ข้าตั้งครรภ์อย่างมากก็มีเพียงพวกจั๋วจิ้งเท่านั้นที่รู้ ในบรรดาแม่ทัพมีเจ้ารู้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว จะให้ข่าวแพร่ออกไปไม่ได้”

 

 

เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้ว “เพราะเหตุใดกัน”

 

 

เยี่ยหลีทำได้เพียงเอ่ยว่า “ยามนี้ท่านอ๋องยังปลีกตัวออกมาไม่ได้ เหตุใดจะต้องให้ท่านว้าวุ่นเป็นกังวลใจด้วยเล่า อีกอย่าง เรื่องที่ข้าตั้งครรภ์หากแพร่ออกไปจะมีประโยชน์อันใดกับพวกเราหรือ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยด้วยความเป็นห่วงว่า “แต่ความปลอดภัยของพระชายากับซื่อจื่อน้อย…อีกอย่าง เกรงว่าคงจะปิดไว้ไม่ได้นานกระมัง”

 

 

เยี่ยหลีนิ่งคิด เอ่ยว่า “ข้าคาดว่าศึกครานี้อย่างมากก็จะสิ้นสุดลงภายในสามเดือน ถึงยามนั้นอายุครรภ์ก็ยังไม่ถึงสี่เดือน ขอเพียงระวังหน่อย ก็คงไม่เป็นอันใด”

 

 

เฟิ่งจือเหยายังคิดจะเกลี้ยกล่อมนางอีก แต่กลับถูกเยี่ยหลีห้ามไว้ “ท่านอ๋องต้องรับมือกับทัพทหารที่ยกมาจากที่ต่างๆ ก็ยากพออยู่แล้ว หากเขายังต้องมากังวลเรื่องข้าอีก เจ้าคิดว่าจะเป็นผลดีกับเขาหรือ”

 

 

เฟิ่งจือเหยามองสีหน้าแน่วแน่ของเยี่ยหลี ในที่สุดจึงได้ถอนใจออกมา เอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าน้อยรับบัญชา พระชายาโปรดรักษาตัวด้วย”

 

 

“ข้ารู้แล้ว” เยี่ยหลีพยักหน้า

 

 

ปลายเดือนเก้าเข้าต้นเดือนสิบ อากาศในเขตซีเป่ยเริ่มหนาวเย็นขึ้นแล้ว ฝนที่ตกลงมาพรำๆ พร้อมกับลมที่พัดเย็น ทำให้คนที่เกิดและโตในเมืองหลวงทั้งหลายต่างรับรู้ได้ถึงฤดูหนาวที่มาถึงก่อนเวลา และการเขาสู่ฤดูหนาวนี้ ก็ทำให้เสบียงอาหารและเครื่องใช้ต่างๆ ในกองทัพเริ่มขัดสนขึ้นบ้างแล้ว

 

 

แคว้นซีหลิงที่แต่ไหนแต่ไรมาก็มิใช่แคว้นที่มีพืชพันธุ์ธัญญาหารสมบูรณ์นัก การสะสมเสบียงอาหารจึงเรียกไม่ได้ว่าพรั่งพร้อม และยิ่งด้วยเพราะมิได้คาดคิดว่าการศึกจะออกมาเป็นเช่นนี้ ศึกที่คิดว่าจะต้องชนะแน่ๆ กลับต่อสู้กันมาจนสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ทำให้เสบียงอาหารของซีหลิงเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการ

 

 

เมื่อก้าวเข้าสู่กลางเดือนสิบ นอกจากกลุ่มทหารที่ทิ้งไว้ให้คอยปิดล้อมเมืองซิ่นหยางแล้ว เจิ้นหนานอ๋องก็ได้แบ่งทหารส่วนใหญ่ออกไปอยู่ยังเขตหงโจว ที่ได้ชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของซีเป่ย และทหารของซีหลิงก็เริ่มลงมือปล้นสะดมอย่างที่เคยทำมาแล้ว พวกเขาเข้าปล้นสะดมจวนขุนนางในทุกที่ที่พวกเขาไป ช่วงชิงเอาพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยวจากในเรือกสวนไร่นา และถึงขั้นเลยไปถึงการปล้นชิงทรัพย์ชาวบ้านธรรมดาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอีกด้วย

 

 

เมื่อข่าวนี้แพร่มาถึงเมืองซิ่นหยาง ก็ทำให้เยี่ยหลีโกรธจัด เอาเข้าจริงทั้งในชาตินี้และชาติที่แล้ว นางอยู่ท่ามกลางไฟสงครามมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่นางไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำศึกที่แท้จริงมาก่อน เพียงแต่…นางรู้จักการทำศึก ด้วยเพราะในชาติที่แล้วทุกที่ที่มีความสงบและมั่งคั่งนั้น ต่างไม่เคยห่างหายจากการทำศึกไปยาวนานนัก อย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่ม่อจิ่งหลีคิดก่อกบฏ ถึงแม้ครั้งนั้นจะไม่ถือเป็นการทำศึกที่แท้จริงนักก็ตาม เพราะม่อจิ่งหลีเป็นคนของต้าฉู่ และก็เป็นคนบ้าคนหนึ่ง ในระหว่างที่กองทัพทั้งสองฝ่ายทำศึกกัน เขาก็มิได้ไปทำร้ายชาวบ้านทั่วไปซี้ซั้ว ด้วยเพราะในใจของม่อจิ่งหลียังเห็นว่าชาวบ้านเหล่านั้นเป็นชาวบ้านของพวกเขาอยู่

 

 

แต่กับคนซีหลิงนั้นไม่เหมือนกัน สิ่งที่พวกเขาต้องการมิใช่เพียงผืนดินอันกว้างใหญ่ของต้าฉู่ แต่ยังมีพืชพันธุ์ธัญญาหารที่อยู่ในผืนดินแห่งนี้ เงินทองความมั่งคั่ง พวกเขาอาจถึงขั้นคิดอยากกำจัดทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่บนผืนดินแห่งนี้ แคว้นซีหลิงนั้นหนาวเหน็บและแร้นแค้น พวกเขาต้องการคนที่จะออกมาจัดการผืนดินอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ให้กับพวกเขา นางพอนึกภาพออกว่า ประชาชนของซีหลิงจะต้องพบเจอกับความลำบากเช่นไรบ้าง แต่ถึงอย่างไร…นางก็ช่วยอันใดไม่ได้…

 

 

“พระชายา…” ภายในห้องหนังสืออันกว้างขวาง สีหน้าของผู้บัญชาการแต่ละคนดูไม่สู้ดีนัก เฟิ่งจือเหยาจับจ้องมือที่บีบเข้าหากันแน่นและสีหน้าที่เย็นเยียบของเยี่ยหลีด้วยความเป็นกังวล เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พระชายาโปรดใจเย็นก่อน เรื่องนี้…มิใช่ความผิดของพระชายา”

 

 

เยี่ยหลีส่งเสียงหึเบาๆ กวาดตามองผู้บัญชาการทุกคนที่นั่งอยู่ แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “มิใช่ความผิดข้า…แล้วเป็นความผิดผู้ใด”

 

 

ทุกคนต่างก้มหน้าลง เอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถ พระชายาโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีหลุบตาลง พร้อมถอนใจเบาๆ “ข้ามิได้อยู่ในฐานะที่จะลงโทษพวกท่านได้ หวังเพียงให้พวกท่านจำประโยคหนึ่งไว้ให้ดี หน้าที่ของกองทัพตระกูลม่อ คือการปกป้องแว่นแคว้น แต่ในยามนี้คนซีหลิงกลับมาวางอำนาจในซีเป่ย จนชาวบ้านอยู่กันอย่างไม่เป็นสุข ทุกท่านลองยืนอยู่บนกำแพงเมืองแล้วมองออกไปดู ทุกท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่พวกท่านเห็นคืออันใด นั่นคือ…ความอับอายของกองทัพตระกูลม่อ การปล่อยให้ชาวบ้านที่ตนดูแลต้องถูกคนต่างชนเผ่าเข้ามารุกราน เป็นความอับอายของคนเป็นทหาร เช่นเดียวกัน…นั่นก็เป็นความอับอายของตำหนักติ้งอ๋องด้วย!”

 

 

ทุกคนต่างหน้าแดงขึ้น ผู้บัญชาการทหารที่อายุยังน้อยเริ่มนั่งไม่ติด ลุกออกมาเอ่ยว่า “พระชายาได้โปรดมีบัญชา พวกข้าน้อยยินดีออกไปเป็นทัพหน้าขับไล่พวกสารเลวซีหลิงออกไป เพื่อปลุกวิญญาณกองทัพตระกูลม่อขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้าพร้อมถอนใจ หยิบฎีกาบนโต๊ะฉบับหนึ่งส่งให้เขา “ลองดูเอาเถิด ศึกครานี้พวกเจ้าจะจัดการเช่นไร พวกเจ้าลองว่ามาดู?”

 

 

เขารับฎีกาจากเยี่ยหลีมาอ่านดู ก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เจิ้นหนานอ๋องเรียกกำลังเสริมมาที่ซีเป่ยเพิ่มอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการที่จะกำจัดกองทัพตระกูลม่อในเขตซีเป่ย รวมถึงปิดล้อมทางถอยของท่านอ๋องด้วย ช่วงหลายวันนี้ ทหารที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของซีเป่ยก็ถูกทำลายไปไม่น้อย

 

 

“เฟิ่งซาน เจ้ามีความเห็นเช่นไร” เยี่ยหลีเอ่ยถาม

 

 

เฟิ่งซานเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี มีท่าทีลังเลไม่กล้าเอ่ย

 

 

เยี่ยหลีจึงบอกว่า “บอกมาตามความจริงเถิด”

 

 

เฟิ่งซานกัดฟันเอ่ยว่า “ข้าน้อยมีความเห็นว่า ควรยกเลิกการรักษาเมืองซิ่นหยางพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮาขึ้น ก่อนหน้านี้เมืองซิ่นหยางถูกยึดไปได้ แต่ท่านอ๋องก็แย่งกลับมาจากมือคนซีเป่ยมาด้วยตนเอง หากเสียเมืองนี้ไปอีกครั้ง กองทัพตระกูลม่อคงเสียหน้าไม่น้อย

 

 

เยี่ยหลีมีสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “ลองบอกเหตุผลมาทีเถิด”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยว่า “เมืองซิ่นหยางมีที่ราบล้อมรอบทั้งสามด้าน ง่ายต่อการโจมตี และยากต่อการรักษา อีกทั้งยามนี้ก็เป็นเพียงเมืองที่ว่างเปล่า การรักษาเมืองแห่งนี้ไว้หาได้มีความหมายอันใดไม่ เมื่อใดก็ตามที่กองทัพของซีหลิงยึดครองเมืองทั้งสิบเอ็ดเมืองของซีเป่ยได้ ซิ่นหยางคงได้กลายเป็นเมืองอันโดดเดี่ยว ถึงยามนั้น ต่อให้พวกเรารักษาเมืองไว้ได้อีกสามสี่เดือนแล้วจะมีความหมายอันใด”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “พูดต่อสิ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเดินไปหยุดลงตรงหน้าแผนที่ขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ เงยหน้าขึ้นชี้ไปยังจุดหนึ่งบนแผนที่ “ความเห็นของข้าน้อยคือ ให้ละทิ้งการรักษาเมืองซิ่นหยาง แล้วเดินทางทางน้ำไปรักษาเขตหงโจวแทน หงโจวเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของซีเป่ย ภูมิประเทศซับซ้อนและมีเหวลึก ยามนี้ทัพของซีหลิงถึงแม้จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเปิดทางมุ่งหน้าไปยังหงโจวให้ได้ แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคอยู่เนืองๆ ส่วนพวกเราคุ้นเคยกับภูมิประเทศของซีเป่ย ย่อมสามารถเร่งรุดเดินทางไปถึงยังหงโจวก่อนทัพใหญ่ของซีหลิงจะเคลื่อนพลไปถึงแน่นอน อีกอย่างมีหน่วยที่ล่วงหน้าไปยังเขตหงโจวก่อนแล้ว อีกทั้งตำแหน่งที่หงโจวตั้งอยู่เป็นทางตัน และเป็นประตูของเขตซีเป่ย ขอเพียงพวกเรารักษาเขตหงโจวไว้ได้ ต่อให้เจิ้นหนานอ๋องมีทหารนับหมื่นนับแสนก็อย่าคิดจะเข้าไปยังเขตจงหยวนจากซีเป่ยได้เลย”

 

 

ภายในห้องหนังสือเงียบสงัด ทุกคนต่างจับจ้องไปยังแผนที่และคิดตามสิ่งที่เฟิ่งจือเหยาเอ่ย

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองทุกคน “ทุกท่านเห็นว่าอย่างไรบ้าง?

 

 

พักใหญ่ อวิ๋นถิงที่อายุยังน้อยจึงได้เดินออกจากแถวมาเอ่ยว่า “ข้าน้อยเห็นด้วยกับสิ่งที่แม่ทัพเฟิ่งเสนอพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยยินดีเป็นทัพหน้าไปเปิดทางให้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ต่อจากนั้น ก็มีอีกหลายคนออกมาแสดงความเห็นด้วย

 

 

เมื่อเห็นว่าผู้บัญชาการทหารทุกคนมีความเห็นไปในทางเดียวกัน เยี่ยหลีจึงพยักหน้า เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้ารู้แล้ว ทุกท่านกลับไปเตรียมตัวก่อนเถิด ไม่ว่าต่อไปการสู้รบจะเป็นเช่นไร ข้าก็หวังว่าทุกท่านจะมีการเตรียมการและพลังกายที่เพียงพอ”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”

 

 

ผู้บัญชาการทหารทุกคนต่างทยอยขอตัวกลับ ภายในห้องหนังสือเหลือเพียงเฟิ่งจือเหยาและพวกจั๋วจิ้งเท่านั้น

 

 

เฟิ่งจือเหยาหันมองเยี่ยหลีก่อนเอ่ยถามเพื่อยืนยันความมั่นใจว่า “พระชายาเห็นด้วยกับความเห็นของข้าน้อย?”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “อยู่ในเมืองซิ่นหยางมานานเช่นนี้ เฟิ่งซานเริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้วหรือ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “ข้าน้อยรู้ดีว่าพระชายาย่อมมีสิ่งที่ไตร่ตรองไว้อยู่แล้ว อีกอย่าง…ร่างกายพระชายาในยามนี้ไม่เหมาะที่จะเร่งเดินทางไกล…” คิดอยากจะดึงตัวเจิ้นหนานอ๋องไว้ที่ซีเป่ย หากล่าถอยไปยังหงโจวเร็วเกินไปก็จะไม่ดี จะช้าเกินไปก็ไม่ดี หากเร็วเกินไปก็จะทำให้ท่านอ๋องมองความตั้งใจของพวกเขาออก หากช้าเกินไปก็อาจเป็นการฝังกลบทั้งสิบเอ็ดเมืองสามเขตในซีเป่ยได้เลยทีเดียว

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “สุขภาพข้าไม่เป็นอันใดหรอก เจ้าไปเตรียมตัวเถิด มีอีกเรื่องที่อยากให้เจ้าไปจัดการด้วยตนเอง”

 

 

เมื่อเฟิ่งจือเหยาเห็นว่าเยี่ยหลีเอ่ยด้วยท่าทีเป็นการเป็นงานเช่นนี้ เขาเองปรับสีหน้าให้ดูจริงจังขึ้น เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “พระชายาเชิญสั่งมาได้เลย”

 

 

เยี่ยหลีหลุบตาลง “ต่อให้พวกเราถอยไปรักษาหงโจวแล้ว ข้าก็ยังไม่อยากให้คนซีหลิงได้อาหารหรือเมล็ดข้าวไปแม้แต่เมล็ดเดียว”

 

 

เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป “ความหมายของพระชายาคือ…”

 

 

“อย่าให้เหลือแม้แต่ซาก” เยี่ยหลีเอ่ยออกมาเรื่อยๆ

 

 

เฟิ่งจือเหยานิ่งไป ถึงแม้เขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคที่จะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ เขามองสตรีงดงามที่มีสีหน้าเรียบเรื่อยอย่างเข้าใจความหมายของนางขึ้นมาในบัดดล สีหน้าเฟิ่งจือเหยาเปลี่ยนไปมา ก่อนเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อยรับบัญชา”

 

 

“ออกไปเถิด”

 

 

“ข้าน้อยขอตัว”

 

 

เมื่อเห็นแผ่นหลังของเฟิ่งจือเหยาหายไปจากปากประตูแล้ว เยี่ยหลีก็หลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย สีหน้ามีรอยกังวลใจปรากฏให้เห็น

 

 

จั๋วจิ้งหันมองนาง “พระชายา ทัพของซีหลิงยามนี้วางเพลิงและปล้นสะดมไปทั่วซีเป่ย เดิมทีชาวบ้านก็ลำบากมากอยู่แล้ว มิใช่ความผิดของพระชายาหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “แต่เกรงว่าข้าคงทำให้พวกเขาลำบากขึ้นไปอีกเสียแล้ว” เมื่อใดก็ตามที่คนซีหลิงปล้นเอาเสบียงอาหารมาไม่ได้ จะไม่เอาความโกรธแค้นมาลงที่ชาวบ้านตาดำๆ ได้อย่างไร

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยว่า “รอบๆ เมืองซิ่นหยางมีชาวบ้านอยู่ไม่เท่าไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลียกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว เอ่ยเสียงเบาว่า “เอาเถิด ไปเตรียมการเถิด จะไปก็อย่าไปให้เสียเปล่า อย่างไรก็ต้องเหลือของขวัญไว้ให้คนซีหลิงบ้างถึงจะไปได้”

 

 

ฉินเฟิงตาเป็นประกาย ก้าวขึ้นหน้ามาเอ่ยว่า “พระชายา ข้าน้อยขออยู่ปิดท้ายพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีหันมองเขา “เจ้ามีความคิดอันใดหรือ”

 

 

ฉินเฟิงหัวเราะอย่างเขินอายเล็กน้อย “ข้าน้อยมีความคิดอันใดเล็กน้อยๆ จริงพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…ความลับสวรรค์ไม่อาจเปิดเผยได้”

 

 

มุมปากเยี่ยหลียกขึ้นเล็กน้อย ระบายยิ้มเอ่ยว่า “ข้าก็มีความคิดอยู่เล็กน้อยพอดีเช่นกัน เช่นนั้นพวกเรามาช่วยกันคิดดีหรือไม่”

 

 

ไม่เพียงฉินเฟิงเท่านั้น พวกจั๋วจิ้งเองก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน

 

 

ฉินเฟิงเอ่ยเสียงกังวานว่า “ข้าน้อยรับบัญชา!”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset