ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 186-2 รับกลับบ้าน (1)

เยี่ยหลีเบือนหน้าไปคิดเล็กน้อย แล้วอมยิ้มเอ่ยว่า “ธิดาเทพน่าจะรู้ว่าข้ามิใช่คนประเภทปากยื่นปากที่ยาวชอบเอาเรื่องของผู้อื่นไปพูด”

 

 

ซูม่านหลินหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “ท่านรู้ก็ดีแล้ว มิเช่นนั้น ข้าก็มีอีกหลายวิธีที่จะทำให้ท่านหุบปาก”

 

 

เยี่ยหลีมองซูม่านหลินไปเงียบๆ ริมฝีปากนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน “ธิดาเทพ…คำพูดของท่านทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย…ยามนี้ เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ ไม่สิ ยามนี้ท่านกล้าทำอันใดข้าหรือ”

 

 

ใบหน้าเรียวของซูม่านหลินขรึมไป ถูกแล้ว หลายวันมานี้ ฐานจี้จือเตือนนางหลายครั้งว่าอย่าได้ไปทำอันใดเยี่ยหลี ถึงแม้นางจะไม่พอใจนัก แต่นางก็ไม่ใช่สตรีที่ไม่เห็นแก่งานใหญ่ เมื่อไม่ได้สมบัติลับกลับมา ประโยชน์ของชายาติ้งอ๋องที่เป็นหมากตัวนี้ก็ยิ่งสำคัญขึ้นไปอีก พวกเขาในยามนี้ไม่เพียงไม่สามารถทำอันตรายอันใดเยี่ยหลีได้ หนำซ้ำยังต้องปกป้องนางให้ดี ขอเพียงนำตัวเยี่ยหลีออกไปจากอาณาเขตอำนาจของกองทัพตระกูลม่อได้ ก็เท่ากับว่าพวกเขามีหมากถึงสองตัว ที่สามารถนำมาใช้บีบม่อซิวเหยาได้

 

 

“เยี่ยหลี ท่านอย่าเพิ่งได้ใจไป! ต้องมีสักวัน…” ซูม่านหลินกัดฟันเอ่ยเสียงต่ำ หมากอย่างไรก็ต้องมีสักวันที่หมดประโยชน์ ถึงยามนั้นนางคิดอยากทรมานสตรีตรงหน้าอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น

 

 

เมื่อคิดถึงความวุ่นวายที่เยี่ยหลีก่อเรื่องขึ้นที่หนานจ้าวกับสิ่งที่เยี่ยหลีกระทำที่ด้านซุ่ยเสวี่ย จนทำให้แผนที่นางเดิมวางไว้ต้องพังทะลายลงจนไม่เหลือ แค่เพียงนึกถึงเรื่องนี้ ซูม่านหลินก็คิดอย่างแล่เนื้อเลาะกระนางออกมาอย่างอดไม่อยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางเป็นถึงน้องสาวลูกพี่ลูกน้องกับสวีชิงเฉิน

 

 

เยี่ยหลียกมือเท้าคาง เอ่ยเตือนนางด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “ธิดาเทพคิดถึงสถานการณ์ในยามนี้ก่อนเถิด ต่อไปจะเกิดอันใดขึ้น ผู้ใดเลยจะรู้ได้ แน่นอนว่า หากท่านไม่สนใจ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะบังเอิญเป็นคนปากยาว พูดเรื่องที่เกิดขึ้นที่หนานเจียง อะแฮ่ม และเรื่องระหว่างธิดาเทพแห่งหนานเจียงกับคุณชายชิงเฉินจะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้?”

 

 

ซูม่านหลินโกรธจนหน้าเขียว ยกมือขึ้นหมายจะตบเข้าที่หน้าของเยี่ยหลี แต่เยี่ยหลีกลับเร็วหว่านาง “อ๊าย?!”

 

 

ด้านนอกรถม้า ถานจี้จือที่ขี่ม้าอยู่รีบก้าวขึ้นหน้ามาทันที เมื่อก้มตัวลงเลิกผ้าม่านขึ้น ก็เห็นซูม่านหลินกำลังเงื้อมือขึ้นอยู่พอดี จึงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “หลินเอ๋อร์ นี่เจ้ากำลังทำอันใด ข้าบอกแล้วว่า อย่าได้เสียมารยาทกับพระชายา”

 

 

ซูม่านหลินสะบัดมือลงอย่างกระฟัดกระเฟียด สะบัดสายตาคมไปทางเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยงึมงำเสียงเบาว่า “ข้ารู้แล้ว”

 

 

ถานจี้จือมองทั้งสองคนอย่างไม่วางใจ เอ่ยกำชับว่า “อีกเดี๋ยวก็จะออกจากเมืองแล้ว อย่าสร้างเรื่อง” จากนั้นก็ลดผ้าม่านลง

 

 

เยี่ยหลียิ้มตาหยีพลางเลิกคิ้วให้ซูม่านหลิน

 

 

ซูม่านหลินกัดฟัน “เยี่ยหลี ฝากไว้ก่อนเถิด!”

 

 

รถม้าถูกขวางไว้ที่หน้าทางออกเมือง โชคดีที่คนที่คอยตรวจตราอยู่ที่หน้าประตูมิใช่คนของกองทัพตระกูลม่อ แต่เป็นเจ้าหน้าที่ของจวนหยาเหมินธรรมดาทั่วไป จึงทำให้ถานจี้จือถึงกับลอบผ่อนลมหายใจ

 

 

“บนรถคือผู้ใด ลงมา!” เจ้าหน้าที่ที่ตรวจตราอยู่ด้านนอกรถเอ่ยตะโกนเสียงขรึม

 

 

ถานจี้จือปรับสีหน้าให้ดูเป็นบัณฑิตผู้แสนซื่อ ก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “พี่ชาย…นี่มัน นี่มีเรื่องอันใดกันหรือ”

 

 

เจ้าหน้าที่เคาะประตูรถม้าเอ่ยว่า “ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ให้ตรวจตราคนที่เดินทางเข้าออกซีเป่ยให้ละเอียด ขอเพียงเป็นคนจากต่างถิ่น จะต้องตรวจสอบทั้งหมด ให้คนข้างในออกมา!”

 

 

ถานจี้จือเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “พี่ชายโปรดเห็นใจด้วย เมียข้ากำลังท้องได้เจ็ดเดือน ไม่สะดวกเลยจริงๆ พี่ชายได้โปรดเห็นใจด้วย…” ระหว่างที่พูดนั้นยังได้ยัดเงินสองก้อนใส่มือเขาอย่างแนบเนียน และทำท่าทางเป็นบัณฑิตที่อ่อนแออย่างเต็มที่

 

 

เจ้าหน้าที่เมื่อได้เงินมา จึงหันไปสบตาเล็กน้อย “ไม่ต้องลงจากรถก็ได้ เปิดม่านออกให้ข้าดู”

 

 

ระหว่างที่พูดเขาก็ไม่สนว่าถานจี้จือจะเห็นด้วยหรือไม่ รีบเข้าไปเปิดม่านออกทันที ก็เห็นว่าบนรถม้ามีสตรีสาวนั่งกันอยู่สองคน หนึ่งในนั้นที่เกล้าผมทรงหญิงแต่งงานแล้วที่อายุยังน้อย ก็เห็นว่าหน้าท้องนางนูนใหญ่แล้วจริงๆ ส่วนสตรีในชุดสีฟ้าอีกนางหนึ่งก็งดงามน่าประทับใจยิ่งนัก ทั้งยังหันมายิ้มน้อยๆ ในเขา เจ้าหน้าที่ผู้นั้นอึ้งไป เอ่ยพึมพำเสียงต่ำว่า “ช่างมีวาสนาเสียจริง ในสถานที่เล็กๆ และห่างไกลเช่นนี้ ยังมีคนที่งดงามเช่นนี้…”

 

 

ถานจี้จือเอ่ยยิ้มๆ ด้วยความระมัดระวัง “พี่ชาย เช่นนี้ข้าน้อยไปได้หรือยัง”

 

 

เจ้าหน้าที่มองเข้าไปด้านในอีกครั้งด้วยความเสียดาย แล้วจึงได้ปล่อยม่านลง โบกมือเอ่ยว่า “ไปไป”

 

 

“ขอบคุณพี่ชาย ขอบคุณพี่ชาย!” ถานจี้จือเอ่ยด้วยความยินดี รีบโบกมือสั่งให้คนรถลากรถออกไปจากเมืองทันที

 

 

จนเมื่อรถม้าหายไปจาสายตาแล้ว สีหน้าเอาเรื่องของเจ้าหน้าที่สามสี่คนที่นอกเมืองก็ค่อยๆ หายไป หนึ่งในนั้นเอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ดูให้ดีหรือยัง”

 

 

เจ้าหน้าที่คนที่ไปเปิดม่านขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เป็นพระชายาจริงๆ พระชายาบอกว่า อีกฝ่ายมีคนมาก และมีคนหนานเจียงอยู่ด้วย บอกพวกเราอย่าเพิ่งเอะอะไป”

 

 

“บัดซบเอ้ย! ปล่อยให้พระชายาผ่านไปต่อหน้าต่อตา…” ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับสบถออกมา

 

 

เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ตบบ่าเขา เอ่ยว่า “ในเมื่อพูดพวกเราจับตาไว้เช่นนี้ มันยังคิดจะพาพระชายาออกไปจากซีเป่ยอีกงั้นหรือ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะลงมือจริงๆ ยามนี้พระชายากำลังตั้งครรภ์ได้หกเดือน เคลื่อนตัวได้ไม่สะดวก ผู้หญิงบนรถม้าก็ไม่ใช่คนดี หากเกิดทำร้ายพระชายาจะทำอย่างไร”

 

 

เมื่อออกมาจากเมืองเล็กๆ นั้นได้ ถานจี้จือก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก เขาสั่งให้คนเร่งฝีเท้าม้าเพื่อเดินทางไปด่านเฟยหงให้เร็วที่สุด เดิมทีหากเป็นไปตามแผนของเขาก็ไม่ควรมีปัญหาอันใด เขาหลบซ่อนอยู่ในต้าฉู่และหนานจ้าวมาเกือบสิบปีก็ไม่เคยเป็นที่สนใจของผู้มีอิทธิพลคนใด รวมถึงตำหนักติ้งอ๋องมาก่อน อีกทั้งเขาก็ไม่ได้เข้ามาในซีเป่ยผ่านทางด่านเฟยหง โดยหลักการแล้วไม่ควรเป็นที่ดึงดูดใจของม่อซิวเหยาเข้า แต่เมื่อจู่ๆ ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีทหารม้าผ่านไปผ่านมา กลับทำให้เขารู้สึกว่ามีบางอย่างที่เสียการควบคุมไป

 

 

ในขณะทีเขายังคิดไม่ตกอยู่นั้น ก็นึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาได้ ในใจอดรู้สึกเย็นวาบขึ้นไม่ได้…หวังเพียงว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่โง่เขลาขนาดที่จะพูดเรื่องทั้งหมดของเขาออกมาหรอกนะ นัยน์ตาเขาเป็นประกายสังหาร คงไม่หรอก…ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางไม่รู้ว่า หากพูดออกไปแล้ว นางมีแต่ตายกับตายเท่านั้น ม่อซิวเหยาคงได้ฟันนางจนเละเป็นชิ้นๆ แน่นอน…

 

 

“จี้จือ พักเดี๋ยวนึงได้หรือไม่ ข้าเหนื่อยแล้ว…” ซูม่านหลินเลิกผ้าม่านขึ้น เอ่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่ นางได้รับการดูแลประคบประหงมมาตั้งแต่เล็ก จะทนนั่งหัวสั่นหัวคลอนบนรถม้าไปตลอดทางเช่นนี้อย่างไรไหว แล้วยิ่งตลอดทางมานี้ เยี่ยหลีเอาแต่พูดจากระแนะกระแหนนางอยู่หลายครั้ง ซูม่านหลินอดทนมานานแล้ว จนในที่สุดก็อดทนไม่ไหว

 

 

เมื่อถานจี้จือเห็นว่าสีหน้านางดูย่ำแย่จริงๆ จึงคิดขึ้นมาได้ว่าเยี่ยหลีก็กำลังตั้งครรภ์ไม่ควรนั่งกระแทกกระทั้นอยู่นานจนเกินไป เขาหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “พักผ่อนครึ่งชั่วยาม”

 

 

ซูม่านหลินตะโกนร้องว่าจี้จือดีจริงๆ ด้วยความยินดี แล้วจึงลุกขึ้นกระโดดลงจากรถม้า เพื่ออกมายืดเส้นยืดสาย

 

 

ถานจี้จือเลิกคิ้ว มองเยี่ยหลีที่อยู่ยนรถ “พระชายาจะลงมาเดินหน่อยหรือไม่”

 

 

สีหน้าเยี่ยหลีก็ขาวซีดไม่น้อย อีกทั้งเมื่อคืนนางก็หลับไม่ค่อยสนิทนักจึงยิ่งอ่อนเพลียเข้าไปใหญ่

 

 

นางส่ายหน้าเอ่ยว่า “ในเมื่อหยุดแล้ว ข้าของีบสักหน่อยก็แล้วกัน อย่ามารบกวนข้า”

 

 

ถานจี้จือก็มิได้ว่าอันใด เขาย่อมหวังว่ายิ่งเยี่ยหลีเรื่องน้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น

 

 

ซูม่านหลินไม่รอให้เขาได้พูดต่อ รีบเข้ามาดึงเขาไปนั่งลงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งทันที “จี้จือ เราไปนั่งพักตรงนู้นสักหน่อยเถิด ร้อนจะตาย ข้าเหนื้อยเหนื่อย…”

 

 

ถานจี้จือดูจะมีความอดทนกับนางอย่างมาก เอ่ยเสียงต่ำว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าเอนพิงข้านอนพักสักหน่อยก็แล้วกัน”

 

 

“จี้จือน่ารักที่สุดเลย”

 

 

ภายในป่ายามบ่าย ม้าทั้งหลายต่างพักผ่อนกินหญ้ากันอยู่เงียบๆ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าภายในป่าเงียบสงัดจนน่าแปลกใจ

 

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด มีชายในชุดสีฟ้าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นใต้ต้นไม้ที่ห่างออกไปไม่ไกล ผมดำขลับประหนึ่งเมฆ บนชุดสีฟ้าปักเป็นลวดลายมังกรด้วยด้ายสีเงิน เมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ที่ส่องมาทางด้านข้าง ทำให้ดูมีประกายหรูหรา ชายผู้นั้นรูปร่างผ่ายผอม บนใบหน้าหล่อเหลาสวมหน้ากากสีขาวเงินอยู่ครึ่งหน้า แต่ก็ยังไม่สามารถปิดบังสีหน้าที่ขาวซีดจากความเจ็บป่วยไปได้

 

 

แต่ถึงกระนั้น แม้เขาจะเพียงยืนอยู่นิ่งๆ แต่แค่เพียงเขาเงยหน้าขึ้นมองมาทางพวกเขา รัศมีของท่านอ๋องที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอย่างชนชั้นสูงก็เปล่งประกายออกมา จนทำให้พวกเขาอดรู้สึกตื่นกลัวไม่ได้

 

 

แต่ในยามนี้ สิ่งที่ทำให้ในใจถานจี้จือรู้สึกเย็นวาบกลับเป็นว่า องครักษ์ทั้งหลายที่อารักขาอยู่ภายในป่าและในจุดที่ห่างไปไม่ไกล กลับเหมือนมองไม่เห็นชายผู้นี้กระนั้น รังศีกดดันที่ครอบคลุมไปทุกพื้นที่ที่เขารู้สึกได้ ประหนึ่งเป็นสิ่งที่เขารู้สึกไปเองกระนั้น

 

 

“ม่อซิวเหยา!” ถานจี้จือเอ่ยเสียงขรึมขึ้น เขาไม่สนใจน้ำหนักที่กดอยู่บนตัวเขา ไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น รีบพุ่งตัวไปทางรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกลทันที

 

 

องครักษ์ที่อยู่แถวนั้นประหนึ่งเพิ่งรู้สึกตัวว่าในป่ามีชายแปลกหน้าเพิ่มเข้ามาอีกคน ถึงได้รีบชักอาวุธเข้าใส่

 

 

ใต้ต้นไม้ ชายในชุดสีฟ้าขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างมาก เขาก้าวขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว แทรกตัวผ่ากลางระหว่างองครักษ์ไปประหนึ่งก้อนเมฆ แขนเสื้อปลิวสะบัดไปพร้อมกับเลือดสีแดงสด จากนั้นก็มุ่งตรงไปทางรถม้าทันที

 

 

เขายืนอยู่ในจุดที่ไกลกว่าถานจี้จือ ท่าทางก็ดูเหมือนจะช้ากว่าถานจี้จือ แต่กลับไปถึงช้ากว่าถานจี้จือเพียงเสี้ยววิ ในขณะที่ถานจี้จือยื่นมือไปจับผ้าม่านรถม้านั้น ก็มีประกายสีเงินพุ่งเข้าใส่มือของเขาที่ยื่นไปทางรถม้าทันที

 

 

ถานจี้จือกัดฟันเอ่ยว่า “ม่อซิวเหยา!”

 

 

ชั่วขณะนั้น เขาไม่มีเวลาไปคิดว่าเหตุใดม่อซิวเหยาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ เขาคิดแต่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือจะต้องเอาชนะชายผู้นี้ให้ได้ แต่กระนั้น ก็เป็นเรื่องยากเต็มที

 

 

ม่อซิวเหยาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของใต้หล้า ในวันนี้หลังจากมู่ฉิงชางครองตำแหน่งมานาน เขาก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ที่แท้จริง

 

 

เมื่อโจมตีไม่สำเร็จ ถานจี้จือก็ลอยตัวถอยหลัง พร้อมตะโกนเสียงเข้มว่า “ยิงธนู!”

 

 

ภายในป่าเงียบกริบ ไม่มีเสียงลูกธนูอันแหลมคมพุ่งแหวกอากาศให้ได้ยิน

 

 

ถานจี้จือหน้าถอดสี จ้องเขม็งไปที่ชายในชุดสีฟ้าตรงหน้า ก็เห็นว่าม่อซิวเหยาไม่แม้แต่จะหันมามองเขา เขาหมุนตัวไปเลิกผ้าม่านของรถม้าขึ้น ส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนและอบอุ่นเข้าไปให้สตรีบนรถม้า

 

 

“อาหลี ข้ามารับเจ้ากลับบ้าน”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset