ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 189-2 เจรจา

ถานจี้จือถอนใจยาว พยายามอย่างเต็มที่ให้ตนเองสงบลง เขาก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้พูดขึ้นว่า “ครานี้ที่มาตกอยู่ในมือท่านอ๋อง ถือว่าข้าน้อยพลาดไปเอง สุสานหลวงแห่งนั้น พระชายาก็เคยไปมาแล้ว สมบัติภายในทั้งหมด ถือว่าเป็นของขวัญขอโทษที่ข้าน้อยได้ล่วงเกินพระชายาไป ข้าขอใช้สมบัติเหล่านั้นกับที่อยู่ของดอกปี้ลั่วมาแลกกับชีวิตของข้าน้อย ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดเห็นเช่นไร”  

 

 

ม่อซิวเหยาสีหน้านิ่งเย็น เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจสิ่งที่เขาพูดมาแม้แต่น้อย เดิมทีสุสานหลวงก็อยู่ในเขตซีเป่ยอยู่แล้ว หากม่อซิวเหยานึกสนใจ จะส่งคนไปขุดสุสานแห่งนั้นเมื่อใดก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นต้องให้ถานจี้จือมอบให้เขา  

 

 

เดิมทีถานจี้จือก็มิได้หวังว่าจะรอดไปได้ง่ายๆ เช่นนี้อยู่แล้ว เขาหยุดคิดเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยต่อว่า “ข้าน้อยขอมอบทองคำอีกแสนตำลึง รวมถึงสมบัติลับทั้งหมดที่อยู่ในซีเป่ยและเมืองหลวง เช่นนี้แล้ว…ถือว่าข้าน้อยได้แสดงความจริงใจเพียงพอหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ให้เขาอย่างนึกสนุก “ใต้เท้าถานช่างยอมสละเลือดเสียจริง”  

 

 

ถานจี้จือเอ่ยยิ้มๆ อย่างจนใจ “ไม่ว่าอันใดก็ไม่สำคัญไปกว่าชีวิต หากไม่มีชีวิตแล้ว เหลือไว้จะมีประโยชน์อันใด พระชายา ช่วงหลายวันก่อนหน้านี้ข้าน้อยก็ไม่เคยละเลยท่าน ที่เสียมารยาทไปก่อนหน้านี้ขอให้ถือเสียว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิตคน หรือว่าสิ่งที่ข้าน้อยนำมาแลกนั้นยังไม่มากพอหรือ”  

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา หากบอกว่าที่จับนางก็เพื่อใช้ข่มขู่กองทัพตระกูลม่อแล้ว สิ่งที่เขานำมาทดแทนเหล่านี้ก็ถือว่าไม่น้อยทีเดียว เพราะถึงอย่างไรเขาก็มิได้ประสบความสำเร็จในการลักพาตัวนางเพื่อใช้ข่มขู่ม่อซิวเหยา เท่ากับว่าเขาขโมยไก่ไม่สำเร็จซ้ำยังต้องเสียข้าวเปลือกอีกด้วย   

 

 

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เยี่ยหลีถึงรู้สึกว่าในตัวเขายังมีความลับที่สำคัญกว่าฐานะของเขาอยู่อีก นางหลุบตาลงคิดเล็กน้อย แล้วเยี่ยหลีก็เอ่ยถามว่า “ใต้เท้าถาน ท่านรู้ถึงพิษในกายท่านอ๋องและวิธีการถอนพิษได้อย่างไร”  

 

 

ถานจี้จือสบตานางด้วยความสงบนิ่ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ชีพจรของท่านอ๋องในยามนั้น ข้าน้อยเคยศึกษามาแล้ว อีกอย่างพระชายาน่าจะรู้ฝีมือการแพทย์ของท่านพ่อดี…ว่ามิได้ด้อยไปกว่าหมอที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ข้าน้อยได้ยินได้เห็นเรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่เล็กๆ จึงย่อมรู้อยู่บ้างเป็นธรรมดา”  

 

 

เยี่ยหลีจ้องเขานิ่งอยู่เป็นนาน นานเสียจนถานจี้จือนึกว่าตนได้หลุดอันใดออกไปที่บอกว่าตนรู้อันใดมากกว่านี้ แล้วถึงได้ยินเยี่ยหลีเปลี่ยนเรื่องถามว่า “ใต้เท้าถานรู้จักกับซูจุ้ยเตี๋ยได้อย่างไร”  

 

 

เป็นนังสารเลวนั่นจริงๆ! ถึงแม้ในใจเขาอยากจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ เสียนานแล้ว แต่ถานจี้จือกลับไม่แสดงอาการสีหน้าอันใดให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เขามองม่อซิวเหยาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ปีนั้นแม่นางซูเป็นถึงหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ คนที่มีมิตรไม่ตรีกับนางมิได้มีแต่ข้าน้อยเพียงคนเดียว แม้แต่คุณชายหมิงเย่ว์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้ายังต้องสยบอยู่แทบชายกระโปรงนางเลยมิใช่หรือ ความบ้าบิ่นในช่วงวัยเด็ก…ทำให้ท่านอ๋องเห็นขันแล้ว”  

 

 

ภายในคุก ทุกคนต่างทำสีหน้าปูเลี่ยนพร้อมกันอย่างประหลาด คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างเป็นคนใกล้ชิดของตำหนักติ้งอ๋อง ย่อมรู้ถึงฐานะของซูจุ้ยเตี๋ยเป็นอย่างดี เมื่อถานจี้จือเอ่ยเช่นนี้ ก็ถือเป็นการพูดต่อหน้าม่อซิวเหยาอย่างไม่เกรงกลัวว่า สตรีที่มีฐานะเป็นคู่หมั้นของเขาคนก่อนนี้ เคยสวมเขาให้เขาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งคู่  

 

 

แต่ม่อซิวเหยากลับสีหน้าเป็นปกติ คางคมเชิดขึ้นเล็กน้อย มองตอบถานจี้จือพลางเอ่ยว่า “เจ้าอยากให้ข้าฆ่าซูจุ้ยเตี๋ยเสียเดี๋ยวนี้ ใช่หรือไม่”  

 

 

ถานจี้จือในหล่นวูบ นึกเตือนตัวเองในใจว่าอย่าได้ล้ำเส้นเกินไป แต่ใบหน้ายังคงแย้มยิ้ม “หากมิใช่นาง เกรงว่ายามนี้ท่านอ๋องก็คงยังไม่รู้ถึงฐานะของข้าน้อยกระมัง ผู้ใดจะรู้ว่าความประมาทในอดีตจะทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าน้อยย่อมไม่คาดหวังให้ซูจุ้ยเตี๋ยมีชีวิตอยู่ต่อไป”  

 

 

“อย่างนั้นหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ และไม่สนใจถานจี้จืออีก  

 

 

ถานจี้จือลอบเบาใจ เข้าใจดีว่ายามนี้ความเป็นความตายของตนขึ้นอยู่กับเยี่ยหลี และสิ่งที่เยี่ยหลีให้ความสำคัญที่สุดก็คือชีวิตของม่อซิวเหยา  

 

 

“คุณชายถาน ท่านจะทำให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่า ข่าวเกี่ยวกับดอกปี้ลั่วที่ท่านให้ข้านั้นเป็นความจริง” เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงเบา  

 

 

ถานจี้จือยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เอ่ยว่า “ด้วยเพราะในโลกนี้ นอกจากข้าน้อยแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าดอกปี้ลั่วแท้จริงแล้วอยู่ที่ใดอีก”  

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วยิ้ม เอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ยิ่งเชื่อท่านไม่ได้เข้าไปใหญ่ เพราะถึงอย่างไรท่านก็คงไม่ยอมรั้งอยู่ที่นี่จนกว่าข้าจะได้ดอกปี้ลั่วมา เช่นนี้ไม่เป็นการทำให้ข้าลำบากใจหรือ หากเป็นเช่นนี้…ใต้เท้าถานสามารถไปได้ แต่แม่นางซูต้องอยู่ที่นี่ก่อน”  

 

 

สายตาทุกคู่ต่างหันไปมองซูม่านหลินที่อยู่ในคุกอีกห้องหนึ่ง  

 

 

ซูม่านหลินไม่ได้เอ่ยปากพูดอันใดเลย ด้วยเพราะนางรู้ดีว่าตนไม่สามารถช่วยอันใดได้ แต่กลับไม่คิดว่า สุดท้ายแล้วนางจะโดนลากเข้าไปเกี่ยวด้วย จึงรีบถลึงตัวขึ้น พุ่งมาจับลูกกรงห้องขัง ถลึงตามองเยี่ยหลีด้วยความโกรธ “เยี่ยหลี เจ้าบังอาจนัก! ข้าเป็นธิดาเทพแห่งหนานเจียง เจ้ากล้าขังข้า!”  

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วมิได้เอ่ยอันใด แต่เป็นเฟิ่งจือเหยาที่อยู่ด้านหลังนางที่หัวเราะขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ธิดาเทพแห่งหนานเจียง? ข้ายังไม่เคยได้พบธิดาเทพแห่งหนานเจียงเลย ครานี้ถือว่าข้าอาศัยใบบุญของพระชายาแล้ว เพียงแต่…จะว่าไป ดูเหมือนว่าธิดาเทพแห่งหนานเจียงนั้นไม่อาจพบหน้าคนนอกได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกจาเมืองหลวงของหนานจ้าว พระชายา นี่คงไม่ใช่ตัวปลอมกระมัง”  

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยว่า “จริงแท้แน่นอน”  

 

 

ซูม่านหลินถึงกับหน้าถอดสี ถึงแม้นางจะเป็นที่โปรดปรานยิ่งของหนานจ้าวอ๋อง แต่การที่นางเป็นธิดาเทพแห่งหนานเจียง แต่กลับลอบหนีออกมาถึงต้าฉู่ แล้วยังให้คนเห็นใบหน้าของตนอีก สำหรับคนหนานจ้าวแล้ว ถือเป็นโทษที่มิอาจให้อภัย หากข่าวแพร่ออกไปจริงๆ อย่าว่าแต่นางต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าวเลย แค่ไม่ถูกคนหนานจ้าวจุดไฟเผาก็ถือว่าไม่เลวแล้ว นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ยึดถือต่อกันมาหลายร้อยปี ต่อให้เป็นหนานจ้าวอ๋องก็ช่วยอันใดนางไม่ได้ อีกอย่างนางยังมีคู่ปรับที่คอยจ้องนางตาเป็นมันอย่างองค์หญิงอันซีอีก หากเรื่องนี้กระจายไปถึงหูองค์หญิงอันซี ตนคงหาทางรอดได้ยาก  

 

 

เมื่อเยี่ยหลีเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ขึ้นมา ถานจี้จือก็อดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “พระชายาข่างฉลาดหลักแหลมเหนือผู้ใดเสียจริง ข้าน้อยขอนับถือ”  

 

 

ฐานะของเขาเปิดเผยไปหมดแล้ว นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่เขาทำมาในต้าฉู่เป็นสิบปี ไม่เละไม่เป็นท่าก็ใกล้เคียง อย่างน้อยเขาก็ไม่มีทางกลับไปอยู่ข้างกายม่อจิ่งฉีได้อีกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ หนานจ้าวก็จะกลายเป็นหมากตัวสุดท้ายของเขา และหากตนต้องการควบคุมหนานจ้าว ก็ต้องอาศัยซูม่านหลินคนเดียวเท่านั้น  

 

 

ดูท่าเยี่ยหลีคงมองข้อนี้ออก ถึงได้เสนอเงื่อนไขที่ต้องกักตัวซูม่านหลินไว้ก่อน หากเกิดอันใดขึ้นกับซูม่านหลิน ต่อให้เขาหลบหนีออกไปจากซีเป่ยได้ แต่แค่เพียงตำหนักติ้งอ๋องลงมือทำอันใดเพียงเล็กน้อย ก็เป็นไปได้มากที่เขาจะถูกทั้งเมืองหลวงแล้วหนานจ้าวคอยตามฆ่า ถึงเวลานั้น ต่อให้ใต้หล้ามีดินแดนที่กว้างขวางเพียงได้ ก็ยากที่เขาจะมีที่ยืน   

 

 

เยี่ยหลีบิดมุมปากขึ้นยิ้ม “ใต้เท้าถานกล่าวเกินไปแล้ว”  

 

 

ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้น พยุงเยี่ยหลีเตรียมตัวเดินออกไป เยี่ยหลีหันไปยิ้มน้อยๆ ให้ถานจี้จือ เอ่ยว่า “ใต้เท้าถาน ท่านลองใคร่ครวญดูสักหนึ่งคืนก็แล้วกัน พรุ่งนี้เช้าท่านค่อยให้คำตอบข้า ทิ้งซูม่านหลินไว้ หากข้าหาดอกปี้ลั่วพบ เรื่องในครานี้ทั้งหมดถือว่าหายกัน”  

 

 

ถานจี้จือยิ้มอย่างจนใจ “ข้ายังมีทางเลือกอีกหรือ” หากได้กลับไปเริ่มใหม่อีกครั้ง ถานจี้จือสาบานกับตนเองว่าจะไม่มีทางสนใจว่าเยี่ยหลีจะเป็นชายาติ้งอ๋องหรือเป็นผู้ใดอีก เมื่อออกจากสุสานหลวงบ้านั่นได้ ก็จะไปจากพื้นที่เขตซีเป่ยทันที อาณาเขตของตำหนักติ้งอ๋อง ไม่มีวันที่คนแซ่หลินจะสามารถรั้งอยู่ได้  

 

 

เมื่อเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาออกไป ทุกคนภายในคุกก็หายกันไปหมด เหลือถานจี้จือกับซูม่านหลินที่ยืนจ้องหน้ากันเงียบๆ เพียงสองคน   

 

 

พักใหญ่ ซูม่านหลินถึงได้เอ่ยเสียงสั่นขึ้นว่า “จี้จือ…เจ้า เจ้าจะทิ้งข้าไว้ที่นี่จริงๆ หรือ”  

 

 

ถานจี้จือถอนใจเบาๆ สายตาที่มองมาทางซูม่านหลินเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและสงสาร “หลินเอ๋อร์ เจ้าก็ดูออก ยามนี้พวกเราไม่มีทางเลือก หากข้าไม่รับปากพวกเขา พวกเราทั้งคู่คงต้องตายอยู่ที่นี่ เจ้าวางใจเถิด แค่เพียงเยี่ยหลีได้ดอกปี้ลั่วมา ย่อมต้องปล่อยเจ้าออกไปแน่นอน”  

 

 

ซูม่านหลินมองเขาด้วยความลังเล “จะให้ดอกปี้ลั่วพวกเขาจริงๆ หรือ”  

 

 

ถานจี้จือเอ่ยเสียงหวานว่า “ต่อให้ดอกปี้ลั่วล้ำค่าเพียงใดก็เป็นเพียงสิ่งของ จะสำคัญไปกว่าเจ้าได้อย่างไร ขอเพียงพวกเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาส เจ้าว่าจริงหรือไม่”  

 

 

เหตุใดซูม่านหลินจะไม่รู้ว่ายามนี้พวกนางไม่มีทางเลือกอื่น ต่อให้ตนไม่ยินยอมที่จะรั้งอยู่ที่ซีเป่ย จะมีผู้ใดฟังความเห็นของนาง ถึงแม้สิ่งที่ถานจี้จือพูดจะเป็นเพียงคำพูดหวานหู แต่ซูม่านหลินก็รู้ดีว่าถานจี้จือไม่มีวันทอดทิ้งนาง  

 

 

ในเมื่อไม่มีทางเลือกตั้งแต่แรก นางก็จำเป็นที่จะต้องให้ถานจี้จือรู้สึกผิดกับนางมากขึ้นอีกนิด จึงพยักหน้าพร้อมน้ำตาคลอหน่วยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว จี้จือ ข้าจะอยู่ที่ซีเป่ย เจ้าระวังตัวด้วย”  

 

 

สายตาถานจี้จือที่มองนางดูอ่อนหวานยิ่งขึ้น เอ่ยเสียงอ่อนว่า “หลินเอ๋อร์ ขอบใจเจ้ามาก จี้จือจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจ”  

 

 

ซูม่านหลินพยักหน้า “พวกเรารู้จักกันมานานเช่นนี้ ข้าย่อมเชื่อใจเจ้า จี้จือ ข้าจะรอเจ้า”  

 

 

ถึงแม้จะอยู่ในคุกที่มีเพียงแสงสลัวๆ แต่สายตาทั้งสองที่ส่งใหกัน กลับเต็มไปด้วยควาซาบซึ้งและประทับใจ ทำให้บรรยากาศภายในคุก ดูอบอุ่นขึ้นหลายส่วน เพียงแต่ภายใต้ความซาบซึ้งและประทับใจนี้ จะมีแผนการหรือความคิดอันใดซ่อนอยู่ ก็มิใช่สิ่งที่คนนอกจะสามารถล่วงรู้ได้  

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset