ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 192-1 คำขู่ของติ้งอ๋อง

กลางดึกในจวนผู้ว่าการ

 

 

ในคืนเดือนมืดที่มีลมพัดแรง เป็นช่วงเวลาที่ผู้กระทำงานยามค่ำคืนชื่นชอบมากที่สุด เงาในชุดดำเงาหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงรอบนอกของจวนผู้ว่าการเข้ามา ลงมายังแปลงดอกไม้ข้างกำแพงอย่างไร้ซุ่มเสียง จากนั้นก็มีคนในชุดดำอีกจำนวนหนึ่งกระโดดตามกันเข้ามา มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในจวนผู้ว่าการ

 

 

ห้องชั้นบนที่อยู่ห่างไปไม่ไกล มีหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบาน ดวงตาหลายคู่กำลังมองเส้นทางที่ชายในชุดดำเหล่านั้นมุ่งหน้าไป

 

 

ภายในห้องชั้นบน ม่อซิวเหยานั่งพิงฟูกอยู่ใต้แสงเทียนอ่อนๆ อย่างเกียจคร้าน มองวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนลงมาจากด้านบน โดยมีเฟิ่งจือเหยาอยู่ด้านข้าง พวกหานหมิงซี ฉินเฟิง จั๋วจิ้ง และม่อหวาต่างนั่งบ้างยืนบ้าง มองดูชายในชุดดำเหล่านั้นที่คิดว่าพวกตนกระทำการอย่างลับๆ ด้วยท่าทีสบายๆ

 

 

หานหมิงเย่ว์ยืนอยู่ริมหน้าต่าง สีหน้าขาวซีดเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้า แต่สายตากลับไม่ขยับไปที่ใดเลยแม้สักนิด จ้องเขม็งตรงไปยังชายชุดดำด้านล่าง

 

 

เฟิ่งจือเหยาหยิบขนมรสเลิศที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้างขึ้นมา พลางเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “คนพวกนี้โง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่? สถานที่ที่ท่านติ้งอ๋องพักอาศัยอยู่ จะให้พวกมันบุกเข้ามาได้ง่ายๆ เช่นนั้น โดยที่พวกมันไม่นึกสงสัยแม้แต่น้อยเลยหรือ”

 

 

หากเป็นที่พักของม่อจิ่งฉีหรือว่าเหลยเจิ้นถิง แล้วปล่อยให้พวกมันบุกเข้าไปได้ง่ายๆ เช่นนี้ พวกมันจะต้องนึกสงสัยเป็นอย่างแรกว่า นั่นคือกับดักและจะไม่เดินหน้าต่อไปเช่นนี้แน่นอน

 

 

ฉินเฟิงกอดดาบไว้ที่ด้านหน้า ส่งเสียงหึเบาๆ “เกรงว่าคนพวกนี้คงจะเป็นเพียงหนูที่ถูกส่งมาทดลองยาเท่านั้น อย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องรู้ก่อนว่า ภายในตำหนักติ้งอ๋องมีการวางกำลังไว้แน่นหนาเพียงใด ถึงจะลงมือจริงๆ”

 

 

ม่อหวาพยักหน้าเห็นด้วยกันสิ่งที่ฉินเฟิงพูด หากว่ากันตามมาตรฐานของนักฆ่าทั่วไปแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ถือว่ากระจอกเกินไปสักหน่อย “ถานจี้จือส่งมา?”

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยเสียงขรึมว่า “เพิ่งไปจากซีเป่ยได้ไม่เท่าไรก็อดรนทนไม่ไหวแล้วหรือ”

 

 

หานหมิงซีย่นคิ้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เช่นนั้นก็บอกได้ว่า เขาอยากจะเอาชีวิตซูจุ้ยเตี๋ยจนอดรนทนไม่ได้จริงๆ สินะ ดูท่า…แม่นางซูคงจะกำความลับสำคัญอันใดไว้จริงๆ? ฉินเฟิง เจ้าได้เรื่องไหมนี่ เจ้าได้รับมอบหมายให้จัดการซูจุ้ยเตี๋ยมาก็หลายเดือนแล้วนา”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าของฉินเฟิงก็อดบึ้งตึงลงไม่ได้ เขาหันไปกวาดตามองหานหมิงเย่ว์ที่ยืนหลังตรงอยู่ ก่อนบ่นขึ้นว่า “สตรีนางนี้จัดการได้ยากจริงๆ ทรมานนางอยู่เป็นหลายเดือน เรื่องอื่นๆ ก็พูดมาเกือบหมดแล้ว มีเพียงเรื่องเกี่ยวกับถานจี้จือเท่านั้นที่ไม่ยอมเปิดปาก”

 

 

“พูดเกือบหมดแล้ว?” หานหมิงซีหัวเราะเยาะ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตนไม่เชื่อ กลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญด้านการทรมาน กับอีแค่สตรีที่ไร้ประโยชน์เพียงคนเดียวก็ยังจัดการไม่ได้ แล้วยังกล้าพูดออกมาว่านางพูดออกมาเกือบหมดแล้ว?

 

 

ฉินเฟิงถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธ “ใช่ รวมถึงว่านางเคยขึ้นเตียงกับผู้ชายมากี่คน นางก็บอกมาหมดแล้ว!” เมื่อพูดจบ ฉินเฟิงก็รู้ตัวว่าได้พูดอันใดผิดไป ซูจุ้ยเตี๋ยผู้นี้เคยเป็นคู่หมั้นของท่านอ๋องมาก่อน แต่ข้อมูลที่สอบออกมาได้จากปากนาง ก็แสดงให้เห็นได้ชัดว่า สตรีผู้นี้มิใช่คนที่อยู่กับขนบธรรมเนียมประเพณีสักเท่าไร สีหน้าท่านอ๋องที่เป็นเช่นนี้…ดูไม่ค่อยดีนักหรือไม่นะ

 

 

ฉินเฟิงเหลือบตามองสีหน้าม่อซิวเหยาด้วยความระมัดระวัง กลับเห็นว่าม่อซิวเหยากำลังเท้าหน้าผากเอนพิงฟูกอยู่อย่างใจลอย สีหน้ายังดูมีแววขบขันอีกด้วย ไม่เหมือนคนกำลังโกรธเคืองเอาเสียเลย ฉินเฟิงได้แต่ภาวนาว่าท่านอ๋องจะไม่ได้ยินสิ่งที่ตนพูดไปเมื่อครู่

 

 

ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น ม่อซิวเหยาก็ยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรง ผมยาวสีขาวโพลนปลิวไสวไปตามตัว เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ดูเรียบเฉยและสงบนิ่งแล้ว ยามนี้ดูจะเย็นชาและห่างเหินขึ้นหลายส่วน

 

 

เขาหันมองฉินเฟิง ก่อนม่อซิวเหยาจะเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องรีบ แค่อย่าทำถึงตายก่อนนางจะคายทุกอย่างออกมาก็พอ แน่นอนว่า…หากเจ้ามีช่องทางข่าวทางอื่น ก็ไม่ต้องมารายงานข้าและพระชายาแล้ว” ความหมายคือ เขาต้องการเพียงความลับที่ซูจุ้ยเตี๋ยเก็บงำไว้เท่านั้น ส่วนซูจุ้ยเตี๋ยผู้นี้จะเป็นตายอย่างไร สุดแล้วแต่ฉินเฟิงจะจัดการ

 

 

ฉินเฟิงอดหดคอขึ้นไม่ได้ ท่านอ๋องคงได้ยินที่เขาพูดเสียแล้ว หลายวันนี้คงต้องติดตามพระชายา…ไม่สิ หลายวันนี้คงต้องเดินทางไกลไปจัดการธุระสักหน่อยแล้ว ส่วนซูจุ้ยเตี๋ย…ฉินเฟิงหันมองหานหมิงซีด้วยความปวดหัว เขามิได้สนใจ ในเมื่อท่านอ๋องไม่สนใจ เช่นนั้นต่อให้เขาทำจนซูจุ้ยเตี๋ยตายจริง อย่างมากต่อไปก็หาทางจับตัวถานจี้จือมาถามความก็คงไม่ต่างอันใดกัน เพียงแต่…โชคดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหานหมิงซียังถือว่าไม่เลวนัก อีกทั้งหานหมิงซียังเป็นน้องชายแท้ๆ ของหานหมิงเย่ว์พอดีอีก…ดังนั้น ซูจุ้ยเตี๋ยนั่นคงเหมาะที่จะถูกผู้อื่นลอบสังหารให้จบๆ ไปแล้วกระมัง

 

 

เมื่อเห็นเงาของชายในชุดดำหายไปทางเรือนหลังเล็กที่อยู่ลึกสุดของจวนผู้ว่าการ ม่อหวาก็โบกมือเป็นสัญญาณให้คนด้านนอก บอกว่าสามารถเก็บแหได้แล้ว

 

 

ไม่นานแสงไฟในเรือนเล็กก็สว่างขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงกระทบกันของอาวุธดังลอยมา

 

 

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “ให้พวกเขาเร่งมือหน่อย อย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของพระชายา”

 

 

ม่อหวาเอ่ยว่า “ท่านอ๋องโปรดวางใจ เสียงไม่มีทางดังไปถึงเรือนของพระชายาอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ด้วยเพราะไม่ต้องการไปรบกวนการพักผ่อนของคนที่เรือนประมุข ดังนั้นถึงได้ตั้งใจสร้างคุกสำหรับกักขังนักโทษไว้ยังจุดที่ห่างไกลที่สุดของจวนผู้ว่าการ อีกทั้งเวลาองครักษ์ลับลงมือต่างก็รู้ว่าอันใดควรไม่ควร แค่เพียงตรงจุดที่พวกเขาอยู่ก็ได้ยินเสียงเพียงแว่วๆ เท่านั้น อย่าว่าแต่เรือนของพระชายาที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกครึ่งทางเลย

 

 

แล้วจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อ แสงสว่างของเรือนหลังเล็กที่อยู่ไกลออกไปก็ดับมืดลง แล้วจวนผู้ว่าการก็กลับมาเงียบสงบดังเดิมอีกครั้ง

 

 

ฉินเฟิงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นักฆ่าช่วงนี้เกรงว่าคงจะมีมาอีกไม่น้อย ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องย้ายตัวซูจุ้ยเตี๋ยมาที่จวนผู้ว่าการด้วย” ให้นางอยู่ที่บ้านพักของหน่วยกิเลนก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องรบกวนผู้ใดทั้งสิ้น

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยว่า “หากอยู่ตรงพวกเจ้านั่นคงไม่มีนักฆ่ามาหรอก” ด้วยเพราะแค่หาก็ยังหาไม่เจอเลย

 

 

เฟิ่งจือเหยาเมื่อดูแล้วไม่มีอันใด จึงลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายเสียหน่อย หาวเสียทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ใช่สิท่านอ๋อง ตามแผนการเดินทางของสวีชิงเจ๋อ พรุ่งนี้เขาก็น่าจะมาถึงแล้ว ได้ข่าวว่ามีคุณชายตระกูลสวีอีกสองท่านมาพร้อมกับเขาด้วย…”

 

 

ม่อซิวเหยาสีหน้าขรึมไป ปรายตาเย็นเยียบไปทางเฟิ่งจือเหยา เอ่ยถามว่า “ก่อนหน้านี้เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”

 

 

แววตาเฟิ่งจือเหยามีแววขบขันอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ยักไหล่เอ่ยว่า “เรื่องนี้…ข้าน้อยเองก็เพิ่งได้ข่าวตอนกินอาหารเย็น ยามนั้นท่านอ๋องมิได้กำลังกินข้าวเป็นเพื่อนพระชายาอยู่หรือ ข้าน้อยจะกล้าไปรบกวนได้อย่างไร”

 

 

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ “เจ้าไปจัดการที ในจวนไม่มีที่พักแล้ว ไปหาบ้านในเมืองให้พวกเขาอยู่ที”

 

 

เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “ท่านอ๋อง เกรงว่าคงจะไม่ได้…เรือนที่ก่อนหน้านี้คุณชายรองตระกูลสวีเคยอยู่ ยังว่างอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ หากพระชายาเกิดถามขึ้นมาว่าเหตุใดคุณชายตระกูลสวีทั้งสามคนต้องไปพักอยู่ที่นอกจวน ข้าน้อยจะตอบอย่างไร”

 

 

หลายวันมานี้ ม่อซิวเหยาแทบอยากจะไล่ทุกคนที่เคยอยู่ในจวนผู้ว่าการออกไปให้หมด คนแรกๆ ที่เขาอยากจัดการให้ออกไปก็คือคนที่มักอยู่รอบกายเยี่ยหลีอย่างเฟิ่งจือเหยา จั๋วจิ้ง หลินหานและเว่ยลิ่น คนที่ทำอันใดไม่ได้อย่างพวกจั๋วจิ้งทั้งสามคนที่พระชายาจัดไว้ให้เป็นผู้ช่วย ต้องอยู่ในจวนนี้อยู่แล้ว ดังนั้น เฟิ่งจือเหยาจึงเป็นคนเดียวที่ต้องรองรับความโกรธของม่อซิวเหยา แต่จู่ๆ เฟิ่งจือเหยาดูจะรู้สึกมีความสุขกับการอยู่ร่วมกับคนอารมณ์ร้ายขึ้นมา จึงเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมย้ายออกไปอยู่คนเดียวที่จวนขุนนาง ดังนั้นวันๆ เขาจึงต้องเจ็บปวดกับการถูกม่อซิวเหยาเหยียบย่ำ ทั้งยังต้องคอยวุ่นวายอย่างเป็นสุขอีกด้วย ยามนี้เมื่อมีโอกาสได้เอาคืนม่อซิวเหยาเสียบ้าง เฟิ่งจือเหยาย่อมไม่ออมเรงแม้แต่น้อย

 

 

“เฟิ่งซาน…” ม่อซิวเหยาเรียกด้วยสีหน้าบึ้งตึง เอ่ยสบถเบาๆ ว่า “ไสหัวไป”

 

 

เฟิ่งจือเหยายักไหล่ ไม่สนใจคำพูดของม่อซิวเหยา คนอารมณ์ไม่ดี จะระบายออกมาเสียบ้างเขาก็เข้าใจได้ เฟิ่งจือเหยาประสานมือคารวะ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าน้อยขอตัว ข้าน้อยจะจัดการเรื่องที่พักของคุณชายตระกูลสวีทั้งสามท่านให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณชายห้าตระกูสวี ได้ข่าวว่าเขากะจะมาพักอยู่ที่เมืองหรู่หยางเป็นเพื่อนพระชายา คุณชายห้าอายุค่อนข้างน้อย มาเป็นเพื่อนกับพระชายาได้พอดี พระชายาจะได้ไม่เบื่อ ท่านอ๋องว่าจริงหรือไม่”

 

 

แค่เจ้าคนเดียวไม่ยอมทำงานก็พอว่า นี่แม้แต่พระชายาก็ไม่ยอมให้ทำไปด้วย ได้ข่าวว่าคุณชายห้าตระกูลสวีก็ไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่าย ถึงเวลานั้นเจ้าได้หงุดหงิดตายแน่!

 

 

”เฟิ่งซาน” จู่ๆ ม่อซิวเหยาก็หัวเราะขึ้น หันมองเฟิ่งจือเหยาเอ่ยว่า “ได้เจ้าเอ่ยเตือน ข้าเลยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ในจวนนี้ยังขาดพ่อบ้านอยู่จริงๆ เสียด้วย ท่านลุงม่อต้องไปจัดการเรื่องทรัพย์สินแต่ละพื้นที่พอดี เช่นนั้นต่อไปให้เจ้ามาคอยเป็นพ่อบ้านประจำจวนนี้ดีหรือไม่”

 

 

เฟิ่งจือเหยาถึงกับนิ่งแข็งไป รีบร้อนถอยออกไปทันที ให้คุณชายเจ้าเสน่ห์อย่างคุณชายตระกูลเฟิ่งมาเป็นพ่อบ้านตำหนักอ๋อง? เมื่อนึกถึงพ่อบ้านในจวนต่างๆ ที่เลื่องชื่อของใต้หล้าแล้ว เฟิ่งจือเหยาก็รู้ทันทีว่า ภาพลักษณ์คุณชายเจ้าเสน่ห์อันเลื่องชื่อของตนคงได้เละไม่เป็นท่าแน่

 

 

คนอื่นๆ ต่างทยอยขอตัวกลับไป เหลือเพียงหานหมิงซีและหานหมิงเย่ว์สองพี่น้องเท่านั้น บนห้องด้านบนเงียบสงัด ม่อซิวเหยายกมือขึ้นรินเหล้าให้ตนเอง ค่อยๆ ละเลียดจิบไปเรื่อยๆ พลางคิดถึงสิ่งที่เฟิ่งจือเหยาเพิ่งพูดกับตนเมื่อครู่อย่างไม่มีอารมณ์จะเอ่ยปาก

 

 

สวีชิงเจ๋ออยู่ที่หงโจว สวีชิงเหยียนอยู่ที่อวิ๋นโจว สวีชิงเฟิงอยู่ในค่ายทหาร ทั้งสามคนมาอยู่รวมกันได้อย่างไร ที่สำคัญที่สุดคือ ทั้งสามกลับไม่ยอมอยู่เฉยๆ อยู่ดีๆ มาทำอันใดที่เมืองหรู่หยาง ยามนี้ในใจม่อซิวเหยาลึกๆ แล้วไม่อยากให้ผู้ใดที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเยี่ยหลีมาปรากฏตัวที่จวนแล้วเบี่ยงเบนความสนใจของเยี่ยหลีเลยแม้แต่คนเดียว แต่ทั้งสามคนกลับสำคัญกับเยี่ยหลีเป็นอย่างยิ่งจนน่าโมโห!

 

 

ยามที่เขากำลังใจลอย รังสีแห่งความหงุดหงิดใจของเขาแผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัว จึงยิ่งทำให้บรรยากาศภายในห้องที่เดิมก็เย็นเยียบอยู่มากแล้ว ยิ่งอึมครึมหนักเข้าไปใหญ่

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset