ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 200-3 ชื่อเล่นและการทำคลอดของเจ้าตัวเล็ก

ภายในเรือนประมุขของตำหนักติ้งอ๋องมีคนอยู่เต็มไปหมด ประตูห้องเยี่ยหลีปิดสนิท ไม่เพียงไม่มีสาวใช้คอยยกน้ำเข้าๆ ออกๆ แต่ไม่อนุญาตให้ทุกคนแอบเข้าไปมอง และถูกปิดไว้อย่างสนิทแน่นอีกด้วย

 

 

บรรดาคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเห็นเพียงเงาคนสีขาวพุ่งผ่านไป แค่เพียงกะพริบตาเขาก็ไปถึงหน้าประตูแล้ว ม่อซิวเหยายกมือขึ้นคิดจะผลักประตูเข้าไปด้านใด สวีชิงเจ๋อและสวีชิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้างประตูคนละฝั่งรีบจับมือเขาไว้ทันที

 

 

ม่อซิวเหยาหันมองด้วยความไม่พอใจ จนแม้แต่สวีชิงเฟิงที่สองเดือนนี้ได้รับการฝึกฝนจากฉินเฟิงมาไม่น้อยก็ยังต้องปล่อยมือ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลีเอ๋อร์กำลังคลอดบุตรอยู่ ท่านอ๋องเข้าไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “ข้าจะเข้าไปดูอาหลี”

 

 

เสิ่นหยางเอ่ยเสียงเย็นว่า “สตรีคลอดบุตรมีอันใดน่าดูกัน ห้องคลอดเข้าไปไม่ได้ ท่านอ๋องไม่รู้…”

 

 

สาวตาแข็งเย็นประหนึ่งลูกธนูพุ่งไปทางเสิ่นหยางทันที เสิ่นหยางฝืนห้ามอยู่พักหนึ่งก็จำต้องอ่อนลง ด้วยความที่เขาเป็นหมอทำให้รับรู้ถึงความโกรธของท่านอ๋องที่แผ่ออกมาได้อย่างชัดเจน เขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วถึงเอ่ยว่า “บุรุษเข้าไปในห้องคลอดถือว่าไม่มงคล…”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าไม่กลัว”

 

 

เสิ่นหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยว่า “พระชายาน่าจะอีกสักหนึ่งหรือสองชั่วยามถึงจะคลอดได้ ท่านอ๋องเข้าไปดูก่อนก็ได้”

 

 

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ แล้วผลักประตูเดินเข้าไป

 

 

ด้านนอกประตู สวีชิงเหยียนเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ท่านเสิ่น เหตุใดท่านอ๋องเข้าไปได้ แต่ท่านกลับไม่ให้พวกเราเข้าไปเล่า”

 

 

เสิ่นหยางปาดเหงื่อเงียบๆ “เพราะหากข้าปฏิเสธ ท่านอ๋องจะตัดคอข้าทิ้งทันทีน่ะสิ” เมื่อเทียบกับกฎระเบียนแล้ว ชีวิตย่อมสำคัญกว่า

 

 

เมื่อม่อซิวเหยาเข้าประตูไป หลินหมัวมัวที่เฝ้าประตูอยู่ก็อึ้งไป รีบร้อนเอ่ยว่า “ท่านอ๋องเข้ามาได้อย่างไร…”

 

 

ไม่รอให้นางพูดจบ ม่อซิวเหยาก็เอ่ยว่า “ข้าจะเข้ามาดูอาหลี อีกเดี๋ยวจะออกไป”

 

 

พูดจบก็เดินผ่านหลินหมัวมัวเลี้ยวเข้าห้องไปทันที คนอื่นๆ เมื่อเห็นม่อซิวเหยาต่างพากันอึ้งไป เยี่ยหลีกำลังนอนอยู่บนเตียง แค่เพียงเมื่อครู่เกิดรู้สึกเจ็บท้องขึ้นมา แต่ก็มิได้หมายความว่าจะคลอดเลยทันที เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเดินเข้ามา ก็ส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขา “เข้ามาได้อย่างไร”

 

 

ม่อซิวเหยาเดินไปนั่งลงข้างเตียง ท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของหมอตำแย สีหน้าเขาดูเป็นกังวลและบึ้งตึง

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ยื่นมือไปจับมือเขาไว้ “วางใจเถิด ข้าไม่เป็นอันใดหรอก”

 

 

เขาก้มลงมองนางที่ขมวดคิ้วอยู่น้อยๆ ยื่นมือไปเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้ แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อนว่า “เจ็บหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “พอไหว ท่านออกไปเถิด”

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอีกพักหนึ่ง…อาหลี เจ้าจะต้องไม่เป็นอันใด”

 

 

เยี่ยหลีทำได้เพียงยิ้ม “แค่คลอดบุตรเท่านั้น สตรีผู้ใดบ้างที่ไม่คลอดบุตร ไม่เป็นไรหรอก”

 

 

เว่ยหมัวมัวยกซุปไก่ถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็อึ้งไปเล็กน้อย

 

 

ม่อซิวเหยาผินหน้าไปถามว่า “นี่คืออันใด”

 

 

เว่ยหมัวมัวเอ่ยว่า “นี่เป็นซุปไก่ที่ตุ๋นมาหลายชั่วยาม อีกสักครู่พระชายาจะได้มีแรงเพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยายื่นมือไปรับมา “ข้าป้อนเอง”

 

 

ถึงแม้เว่ยหมัวมัวคิดอยากบอกปัด แต่เมื่อเห็นสีหน้าหนักแน่นของม่อซิวเหยาแล้ว ในที่สุดก็ยื่นซุปไก่ไปให้เขา

 

 

เมื่อเห็นม่อซิวเหยาค่อยๆ ยกช้อนป้อนซุปไก่ให้คุณหนูของนางอย่างตั้งใจ นางก็ลอบเซ็ดน้ำตาที่ขอบตาแล้วถอยออกไป ไม่ว่าอย่างไร ท่านอ๋องก็ปฏิบัติกับพระชายาดีกว่าที่นายท่านปฏิบัติต่อฮูหยินเป็นร้อยเท่าพันเท่า สายตาของคุณหนูดีกว่าฮูหยินมากทีเดียว

 

 

เยี่ยหลีดื่มซุปไก่และปล่อยให้ม่อซิวเหยาอยู่คุยเป็นเพื่อนนางพักหนึ่ง ถึงได้บอกให้ม่อซิวเหยาออกไป ม่อซิวเหยาไม่ยอม จึงถูกเยี่ยหลีหยิกแรงๆ เข้าให้ทีหนึ่ง “ท่านอยู่ในนี้ทำให้ข้าเสียสมาธิได้ง่าย จะยิ่งอันตราย”

 

 

ม่อซิวเหยาถึงได้ยอมลุกขึ้น กวาดตามองหมอตำแย สาวใช้และหมัวมัวที่คอยรับใช้อยู่ในห้อง “ดูแลพระชายาให้ดี หากพระชายาเป็นอันใดไป ระวังชีวิตของพวกเจ้าไว้ให้ดี!”

 

 

เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเดินออกไปแล้ว เยี่ยหลีถึงได้ถอนใจออกมาอย่างจนใจ หันไปพูดกับคนในห้องที่ถูกเขาข่มขู่ไว้ “ท่านอ๋องเพียงเป็นห่วงมาก ทุกคนไม่ต้องตื่นตกใจไป”

 

 

หลินหมัวมัวเช็ดเหงื่อให้เยี่ยหลีด้วยความระมัดระวัง “ท่านอ๋องเป็นห่วงพระชายาน่ะสิเพคะ พวกเราดีใจแทนพระชายาเสียมากกว่า”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ยื่นมือไปลูบท้องที่เจ็บเป็นระยะๆ เมื่อครู่อารมณ์ของท่านอ๋องดูไม่ค่อยดีเลยจริงๆ คาดว่าคงทำให้พวกนางตกใจ ก่อนหน้านี้เคยได้ยินว่ามีผู้เป็นบิดาตกใจจนเป็นลมไปหน้าห้องคลอด หวังว่าท่านอ๋องจะไม่อ่อนแอเพียงนั้น

 

 

ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ภายในห้องคลอดถึงได้เริ่มยุ่งวุ่นวายขึ้น บรรดาคนที่รออยู่ด้านนอกคอยฟังเสียงหมอตำแยและเสียงร้องของเยี่ยหลีด้วยความร้อนใจ

 

 

เมื่อเทียบกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยามคลอดของสตรีทั่วไปแล้ว เสียงของเยี่ยหลีฟังดูไม่น่ากลัวเท่าไรนัก แต่คนที่รออยู่ด้านนอก ไม่เพียงม่อซิวเหยา แม้แต่สวีชิงเฟิงและสวีชิงเจ๋อก็ต่างพากันหน้าขาวซีด สวีชิงเหยียนที่ขี้เล่นมาตลอดก็ไม่รู้จะพูดอันใด ยืนกระสับกระส่ายด้วยความเป็นกังวลอยู่ข้างเสิ่นหยางและท่านหมอหลิน ระหว่างนั้นก็คอยถามเป็นพักๆ ว่า พี่หลีไม่เป็นอันใดกระมัง อีกนานเท่าใดถึงจะคลอดออกมาได้ ทำให้เสิ่นหยางรำคาญจนแทบเตะเขาออกไป เอ่ยอย่างโกรธๆ ว่า “บางคนเจ็ดแปดชั่วยามยังคลอดไม่ออกเลย นี่ยังไม่ถึงสองชั่วยามด้วยซ้ำ เจ้าจะรีบร้อนไปไย”

 

 

แล้วสีหน้าสวีชิงเหยียนก็ซีดลงทันที นั่งยองๆ อยู่หน้าประตูอย่างไม่ไหวติง ด้วยเพราะกลัวว่าพี่หลีก็ต้องใช้เวลาคลอดเจ็ดแปดชั่วยามเช่นกัน เช่นนั้นจะต้องเจ็บปวดเพียงใดกันนะ

 

 

สวีชิงเฟิงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สนใจเสียงร้องที่ดังออกมา ฝืนยิ้มแข็งๆ ให้กับคนข้างๆ ที่แม้แต่ตัวก็แข็งไปแล้วอย่างม่อซิวเหยา “ท่านป้าใหญ่ยามที่คลอดน้องสี่กับน้องห้าข้าก็เคยเห็นมาแล้ว ไม่มีอันตรายหรอก”

 

 

ม่อซิวเหยาเพียงจ้องเขม็งไปที่ประตูห้องคลอดโดยไม่ละสายตาไปที่ใด ไม่รู้ว่าได้ยินที่เขาพูดหรือไม่

 

 

เยี่ยหลีจำได้ว่าเมื่อชาติก่อนเคยมีคนถกเถียงกันว่า สตรีที่คลอดบุตรกับบุรุษที่ถูกยิง อย่างใดเจ็บปวดกว่ากัน ยามนี้เยี่ยหลีรู้สึกว่าตนเองได้พบคำตอบแล้ว หากถูกยิงแล้วสามารถทำให้คลอดบุตรได้เร็วขึ้น นางยอมถูกยิงเสียยังดีกว่า “โอ้ย…”

 

 

หมอตำแยที่คอยดูแลนางอยู่รีบเอ่ยว่า “พระชายา อย่ากลั้นไว้เพคะ ร้องออกมาเลยเพคะ!”

 

 

เยี่ยหลีนิ่งไป จะร้องอันใดได้ หากเสียแรงไปกับการกรีดร้องแล้วจะมีแรงคลอดบุตรอีกได้อย่างไร อีกอย่างต่อให้ร้องออกมา ที่เจ็บก็ยังต้องเจ็บเหมือนเดิม เยี่ยหลีจึงทำได้เพียงนึกก่นด่าตนเองอยู่ในใจว่าความอดทนต่อความเจ็บปวดของนางดูจะย่ำแย่ลงกว่าชาติที่แล้ว

 

 

“ใกล้แล้ว! ใกล้แล้ว…ใกล้ เปลี่ยนน้ำมาที…” หมอตำแยตะโกนสั่งพลางแนะนำเยี่ยหลีว่าควรออกแรงเช่นไร

 

 

อากาศภายในห้องช่วงเดือนแปดยังคงร้อนจนแทบทนไม่ไหว ยิ่งคนมากก็ยิ่งดูวุ่นวายไปหมด มีแต่ลมร้อนเท่านั้นที่พุ่งเข้าปะทะร่างกาย

 

 

ดูจะผ่านไปได้อีกครึ่งชั่วยาม จนคนที่อยู่ด้านนอกก็เริ่มจะทนรอกันไม่ไหว ถึงได้ยินเสียงกรีดร้องของเยี่ยหลีดังลอดประตูออกมา ม่อซิวเหยาตัวสั่น คิดอยากพุ่งเข้าไปทันที แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความยินดีดังออกมาจากด้านในว่า “คลอดแล้ว!”

 

 

หลังจากนั้นก็เป็นเสียงเด็กร้องไห้จ้า ท่านหมอหลินพยักหน้าเอ่ยว่า “ฟังจากเสียงแล้ว เด็กน่าจะแข็งแรงไม่น้อย”

 

 

เสิ่นหยางพยักหน้า “แข็งแรงน้อยกว่าท่านอ๋องอยู่เล็กน้อย แต่เลี้ยงดูให้ดีเป็นใช้ได้”

 

 

“คลอดแล้ว…” สวีชิงเฟิงรู้สึกประหนึ่งฝันไป หันกลับไปมองม่อซิวเหยาที่อยู่ข้างๆ

 

 

ม่อซิวเหยาอึ้งไปครู่หนึ่ง ยกเท้าขึ้นเตรียมก้าวเข้าไปด้านใด คิดไม่ถึงว่าร่างกายของเขากลับซุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง ทุกคนจึงยิ่งวุ่นวายกันเข้าไปใหญ่

 

 

เสิ่นหยางพูดอย่างไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อยว่า “ท่านอ๋องตื่นเต้นเกินไป ใช้แรงทั้งหมดพยุงขาทั้งสองข้างไว้ พอผ่อนแรงลงจะไม่ล้มได้อย่างไร พักสักหน่อยก็ดีขึ้นเอง ทางพระชายาก็ยังต้องจัดการอันใดอีกพักหนึ่งน่ะ”

 

 

ทุกคนมองสีหน้าสบายๆ ของเสิ่นหยางด้วยความอับอาย นี่มันแก้เผ็ดกันชัดๆ!

 

 

ม่อซิวเหยามองเขาเหมือนอยากฆ่าใครสักคน เสิ่นหยางเพียงสะบัดฝุ่นบนแขนเสื้อที่ไม่มีอยู่จริง ก่อนค่อยๆ เดินออกไป เขายังต้องไปตรวจสุขภาพให้ซื่อจื่อน้อยอีกแหนะ

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset