ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 223 บททดสอบของหน่วยกิเลน

แค่เพียงชั่วระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน กระดาษแผ่นที่ว่ากันว่าเป็นแผนที่สมบัติลับแห่งราชวงศ์ก่อนก็กระจายไปทั่วทั้งซีเป่ย เรียกได้ว่าในมือคนที่พอมีอิทธิพลและมีความสามารถอยู่บ้าง ล้วนมีกันคนละหนึ่งชุด แน่นอนว่าในห้องหนังสือของตำหนักติ้งอ๋องเองก็พลาดไม่ได้ที่จะมีแผนที่สมบัติลับชุดนั้นวางอยู่ด้วยเช่นกัน

ม่อซิวเหยาเพียงปรายตามองแผนที่สมบัติลับเล็กน้อย ก่อนเมินหน้ากลับโยนไปให้เฟิ่งจือเหยาที่อยู่ข้างๆ เพียงแค่ดูท่าทางของม่อซิวเหยา เขาก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เรียกว่าแผนที่สมบัติลับแผ่นนี้ มีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่จะไม่ใช่ของจริง แต่หานหมิงซีกลับสนใจสิ่งนั้นเป็นอย่างมาก

หานหมิงซียื่นมือไปดึงกระดาษแผ่นนั้นจากมือเฟิ่งจือเหยามาพินิจดูโดยละเอียด เขาเพิ่งโดนม่อซิวเหยาไถเงินไปหลายหมื่นตำลึง กำลังปวดใจอยู่พอดี จำเป็นต้องมีรายได้ก้อนใหญ่มาชดเชย

เขาย่นคิ้วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหานหมิงซีจะขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นี่มิใช่จุดที่พระชายาตกหน้าผาไปนั่นหรือ”

ถึงแม้แผนที่จะวาดไว้เพียงหยาบๆ แต่หานหมิงซีเป็นคนทำการค้า จึงมักเดินทางไปต่างถิ่นบ่อยๆ เพียงตั้งใจดูโดยละเอียดไม่นาน ก็มองออกว่าจุดที่ทำเครื่องหมายอยู่บนแผนที่นั้นคือที่ใด

เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาต่างไม่คิดว่าถานจี้จือจะเอาแผนที่สมบัติลับของจริงมาให้ ตำแหน่งนั้นก็คือสุสานหลวงที่ท่านหมอหลินพาเยี่ยหลีเดินไปนั้นเอง ถึงแม้ที่นั่นจะไม่มีแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นและสมบัติของปฐมฮ่องเต้ แต่นั่นก็คงถือได้ว่าเป็นสุสานหลวงที่แท้จริงอันหนึ่งกระมัง หากจะว่าที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อลวงคนเหล่านั้นที่จับจ้องเขาอยู่ เช่นนั้นสิ่งที่เขาต้องเสียไปนี้ก็ดูจะมากเกินไปสักหน่อย

ม่อซิวเหยาระบายยิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “จะสนใจไปไยว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด เมื่ออยู่ในซีเป่ยแล้ว เขาจะยังพลิกฟ้าหนีไปได้อีกอย่างนั้นหรือ หานหมิงซี หากเจ้าสนใจ จะตามไม่ร่วมวงกับเขาด้วยก็ได้นะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาหานหมิงซีก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เขาเองก็รู้ว่า เยี่ยหลีเคยเข้าไปในสุสานหลวงแห่งนั้นมาก่อน จึงรีบหันมองไปทางเยี่ยหลี

เยี่ยหลียิ้ม “ด้านในมีของมีค่าอยู่ไม่น้อยจริงๆ ถือได้ว่าเป็นสุสานหลวงที่ไม่เลวทีเดียว แต่หากจะพูดถึงเรื่องสมบัติลับ…ก็น่าจะขาดไปอยู่สักเล็กน้อย”

หานหมิงซีเข้าใจในทันใด ว่าที่นั่นเป็นสุสานของฮ่องเต้แห่งหนึ่ง แต่มิใช่ที่ที่มีสมบัติลับในตำนาน เพียงแต่เรื่องนั้นก็ช่างมันเถิด ในสุสานของฮ่องเต้อย่างไรก็มีของมีค่าอยู่มากนัก แล้วหานหมิงซีก็ไปวุ่นวายอยู่กับการแย่งชิงสมบัติในสุสานหลวงกับผู้มีอิทธิพลที่มาจากแต่ละพื้นที่

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ถานจี้จือที่ถูกคนตามล่าทั้งอย่างเปิดเผยและอย่างลับๆ ก็กลับพาตนเองมาหาพวกเขาถึงที่

เมื่อได้พบเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาอีกครั้ง ความถือดีบนใบหน้าของถานจี้จือก็หายไปหลายส่วน เมื่อเห็นทั้งสอง ก็ก้าวเข้าไปคารวะด้วยความเคารพ

เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยถามว่า “ไม่ได้พบกันเสียนาน คุณชายถานสบายดีหรือไม่”

ถานจี้จือยิ้มอย่างฝืดเฝื่อนเล้กน้อย หันมองเยี่ยหลีแล้วเอ่ยว่า “ไยพระชายาจึงต้องถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว”

ที่เห็นถานจี้จือผ่ายผอมและดูเหนื่อยล้านั้น เยี่ยหลีไม่นึกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย นางยังคงระบายยิ้มเช่นเก่า “เรื่องที่เกิดขึ้นช่วงที่ผ่านมา ข้ากับท่านอ๋องได้ยินกันมาหมดแล้ว ลำบากคุณชายถานแล้วจริงๆ”

ถานจี้จือรู้สึกเหมือนมีอันใดแล่นขึ้นมาจุกที่อก จะดันลงไปก็ไม่ได้ จะระบายออกมาก็ระบายไม่ออก สีหน้าจึงเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว พักใหญ่ถึงได้พอหายใจสะดวก หันไปประสานมือให้ทั้งสองแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ที่ข้าน้อยมาขอพบ ก็ด้วยเพราะจะมารับซูม่านหลินไปจากซีเป่ยตามที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่รู้ว่าท่านอ๋องกับพระชายาวางแผนปล่อยตัวนางไว้เช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีระบายยิ้ม “เมื่อไรก็ได้ ท่าทางของคุณชายถานประหนึ่งเห็นว่าพวกเราจะกลืนน้ำลายตนเองอย่างนั้นล่ะ ข้าเองเคยบอกแล้วว่า ยามนี้องค์หญิงอันซียังอยู่ที่ซีเป่ย หากธิดาเทพแห่งหนานเจียงจะรีบร้อนไปจากซีเป่ยนั้นมิใช่เรื่องปลอดภัย แต่ในเมื่อคุณชายถานยืนยันที่จะทำเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่อยากพูดอีก เพียงแต่หลังจากที่ธิดาเทพแห่งหนานเจียงออกไปจากตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ความปลอดภัยของนาง รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น จะถือว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตำหนักติ้งอ๋องอีก”

ถานจี้จือเอ่ยเสียงขรึมว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น”

เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยหลีก็นึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง โบกมือให้ฉินเฟิงไปนำตัวซูม่านหลินออกมา

ไม่นาน ซูม่านหลินก็ถูกพาตัวเข้ามายังห้องหนังสือ เพียงเห็นหน้าถานจี้จือ นางก็พุ่งตัวเข้าสู่อ้อมแขนของเขาทันที ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียยกใหญ่

ถานจี้จือก้มลงมองสำรวจนาง ถึงแม้จะดูผ่ายผอมลงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังดูออกว่านางมิได้รับความลำบากอันใด ตำหนักติ้งอ๋องมิได้สร้างความลำบากอันใดให้กับซูม่านหลิน เมื่อเห็นเช่นนี้เขาถึงได้เบาใจลง

เขาดึงซูม่านหลินมาเตรียมจะขอตัวลากลับ “ขอบพระคุณท่านอ๋องและพระชายามาก ข้าน้อยขอตัวเลยก็แล้วกัน”

เยี่ยหลีระบายยิ้ม เพียงเอ่ยเบาๆ ว่าไม่ส่ง แล้วก็ให้คนนำตัวทั้งสองออกไป

ด้วยเพราะคนจำนวนไม่น้อยต่างดาหน้ากันไปยังละแวกสุสานหลวง เมืองหลีจึงสงบเรียบร้อยขึ้นอย่างหาได้ยากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้เยี่ยหลีถึงได้พอมีเวลาออกจากเมืองเดินทางไปตรวจตรายังสถานที่ที่หน่วยกิเลนประจำการอยู่

นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยหลีออกจากเมืองนับตั้งแต่นางกลับมาถึงเมืองหลี จุดที่หน่วยกิเลนยึดเป็นสถานที่ปักหลักอยู่นั้น คือหุบเขาลึกลับที่อยู่ห่างจากเมืองหลีไปสามสิบลี้ ซึ่งสร้างขึ้นเลียนแบบสถานที่ฝึกที่นางสร้างขึ้นใกล้กับเมืองหลวงเมื่อคราแรก แต่มีขนาดที่ใหญ่โตโอฬารกว่าเล็กน้อย รายการฝึกฝนก็ดูจะมากขึ้นไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ฉินเฟิงกับพวกจั๋วจิ้งและหลินหานคิดกันขึ้นมาทั้งสิ้น

พวกฉินเฟิงกับจั๋วจิ้งเดินทางเข้าไปในหุบเขาพร้อมกับเยี่ยหลี เมื่อเข้าไปก็เห็นพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่ บนลานนั้นมีนายทหารจำนวนหลายร้อยนายกำลังยืนเรียงแถวกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ มือขวายกขึ้นเสมออก ทำความเคารพนางกันอย่างพร้อมเพรียง “คารวะพระชายา!”

เยี่ยหลีทอดสายตามองไป ก็เห็นสวีชิงเฟิงที่ยืนอยู่หน้าสุดของแถวหนึ่งทันที เขาอยู่ในชุดสีเทาเช่นเดียวกับหน่วยกิเลนคนอื่นๆ ใบหน้าที่เคร่งขรึม อดยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้

“ไม่ต้องมากพิธี” เยี่ยหลีเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงกลาง สายตาที่มองหน่วยกิเลนจำนวนหลายร้อยนายที่ยืนอยู่อย่างผึ่งผาย เต็มไปด้วยความปิติยินดี “วันนี้ การฝึกฝนของทุกท่านตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาจะสิ้นสุดลง ณ บัดนี้ และเช่นเดียวกัน บททดสอบสุดท้ายก็จะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ ทุกท่านมีความมั่นใจหรือไม่”

“มีพ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนตะโกนขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน

เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก ยามนี้ข้าขอสั่งว่า โจทย์ในการทดสอบครานี้คือ… หนึ่ง ออกเดินทางไปทางตะวันตก หนึ่งร้อยยี่สิบลี้ โดยพรุ่งนี้เช้ายามห้า ทั้งหมดจะต้องเดินทางถึงที่หมาย สอง ให้จุดหมายนั้นเป็นศูนย์กลาง ในรัศมีสิบลี้ จะต้องจับคนที่มิใช่ชาวบ้านของซีเป่ยและโจรผู้ร้ายมาให้ได้ทั้งหมด หากมีผู้ใดขัดขืน สามารถสังหารได้ทันที สาม คนที่จับมาได้ทุกคนจะต้องจับเป็นและห้ามมีการทำร้ายร่างกายใดๆ ทั้งสิ้น อีกเดี๋ยวจะแจกใบรายชื่อให้กับทุกคน ทั้งหมดแบ่งกลุ่มกันปฏิบัติภารกิจ หากคนใดคนหนึ่งในกลุ่มไม่ผ่านการทดสอบ จะถือว่าทั้งกลุ่มไม่ผ่านทันที เข้าใจหรือไม่”

“ข้าน้อยรับบัญชา!” หน่วยกิเลนทั้งหมดประสานเสียงตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง นัยน์ตาทุกคนเป็นประกายแห่งความตื่นเต้นและกระตือรือร้น

กว่าครึ่งปีที่พวกเขาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ต้องเผชิญกับการฝึกสารพัดรูปแบบที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อน มาวันนี้พวกเขาจึงยิ่งตื่นเต้น อยากออกไปลองดูว่า ตนเองแข็งแกร่งขึ้นสักเพียงใด

เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ขอให้ทุกท่านผ่านไปได้อย่างราบรื่น”

ฉินเฟิงก้าวออกมา แจกจ่ายอุปกณ์และอาวุธต่างๆ ที่หน่วยกิเลนแต่ละคนจำเป็นต้องใช้ เขามองผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คำสั่งของพระชายา พวกเจ้าทุกคนฟังไว้ให้ดี อีกอย่าง ข้าขอเสริมกฎอีกข้อหนึ่ง คนที่จับหรือทำร้ายชาวบ้านผิดคน ต้องออกจากการทดสอบ! ทำร้ายเป้าหมายของภารกิจ ต้องออกจากการทดสอบ! ปล่อยให้เป้าหมายหนีไปได้ ต้องออกจากการทดสอบ! ไปได้!”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ” หน่วยฉีหลินเอ่ยรับคำเสียงดังฟังชัด จากนั้นก็แบ่งกันออกเป็นกว่าสิบกลุ่มเล็ก และต่างมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางของตน

คณะของเยี่ยหลียืนอยู่กับที่มองพวกเขาค่อยๆ หายไปจากหุบเขา

จั๋วจิ้งขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พระชายา ตามที่องครักษ์ลับรายงานมา คนที่รวมตัวอยู่ในละแวกสุสานหลวงมีอย่างน้อยเกือบหนึ่งพันคน เราส่งคนไปเพียงจำนวนเท่านี้ ไหวหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีหันไปหาเขา อมยิ้มมองจั๋วจิ้ง “ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่ถือว่าผ่านการฝึกโดยสมบูรณ์ แต่เมื่อเทียบกับการฝึกของพวกเขาก่อนหน้านี้ นี่ก็ถือว่ามากกว่าไม่น้อยแล้ว จั๋วจิ้งไม่เชื่อมั่นในพวกเขาหรือ ฉินเฟิง เจ้าว่าอย่างไร”

ฉินเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากเรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ข้าน้อยยอมไล่พวกเขาทั้งหมดกลับไปและเลือกคนมาฝึกใหม่อีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ พระชายาโปรดวางใจ ข้าน้อยรับประกันว่า เด็กหนุ่มเหล่านี้จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีพยักหน้า “ดีมาก เช่นนั้นพวกเราก็ตามไปกันเถิด ไปดูซิว่าผลการฝึกที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง”

บริเวณละแวกหงโจวที่โอบล้อมไปด้วยทิวเขาแห่งหนึ่ง หลายวันนี้เรียกได้ว่าครึกครื้นเสียยิ่งกว่าเมืองหลีมากนัก ถึงแม้จู่ๆ ที่นี่ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ผ่านไปผ่านมามารวมตัวกัน แต่คนจำนวนมากก็รู้ว่ามีบางสิ่งทะแม่งๆ และตนคงถูกถานจี้จือหลอกเข้าให้เสียแล้ว แต่มนต์เสน่ห์เย้ายวนแห่งแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น ก็ทำให้คนจำนวนมากยากจะยั้งใจไว้ได้

เดิมทีทุกคนก็เพียงลอบค้นหาอย่างลับๆ ต่างสนใจแต่เรื่องของตนเอง ไม่ยุ่งวุ่นวายเรื่องของผู้อื่น แต่อยู่มาบ่ายวันหนึ่ง ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่หาทางเข้าสุสานหลวงจนพบในที่สุด และจุดนี้เองถึงได้เป็นจุดเริ่มต้นของความครึกครื้นที่แท้จริง

น่าจะด้วยเพราะรู้เรื่องเกี่ยวกับสุสานหลวงกันมาแต่แรกแล้ว ครานี้ทุกคนที่มา จึงต่างพกพาโจรขุดสุสานฝีมือดีกันมาด้วยไม่น้อย ดังนั้นการที่ทางเขาสุสานหลวงบริเวณหงโจวถูกค้นพบได้นั้น ก็คงมิใช่เรื่องแปลกอันใด เพียงแต่ทางเข้าบริเวณหงโจวนี้ เดิมทีใช้เป็นเพียงทางออก ไม่ใช่ทางเข้าอยู่แล้ว หากคิดจะฝืนพังปากประตูเข้าไป เวลาและกำลังคนที่ต้องใช้นั้นคงไม่ต้องพูดถึง และหากไม่ระวังเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ทางเดินของทั้งสุสานหรือแม้แต่วังใต้ดินทั้งหมดพังถล่มลงมาได้ ถึงยามนั้น คงจะได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นทุกคนที่มาจึงไม่มีผู้ใดรีบร้อน และถึงขั้นดูจะร่วมแรงร่วมใจกันจัดการกับปากทางเข้านั้นอีกด้วย

หานหมิงซีมิได้เข้าไปร่วมผสมโรงด้วย ผู้ใดต่างก็รู้ว่าเขาเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋อง ต่อให้เขาอยากเข้าไปผสมโรงด้วยเพียงใด แต่คนอื่นๆ ก็คงไม่ต้อนรับ ดังนั้นเขาจึงให้ลูกน้องสามสี่คนที่พอเอาเรื่องเอาราวตามดูอยู่ห่างๆ และเตรียมพร้อมหากเมื่อสบโอกาสก็จะเข้าไปขอมีส่วนแบ่งด้วยสักเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไร สุสานหลวงที่ใหญ่โตโอฬารเช่นนั้น คนพวกนี้คงไม่มีทางขนไปจนเกลี้ยงได้หรอกกระมัง

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หานหมิงซีนึกสงสัยอยู่ในใจลึกๆ ต่อให้ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองหลีอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ท่านอ๋องกับพระชายา ก็ไม่มีทางที่จะไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ในที่นี้เลยแม้แต่น้อยหรอกกระมัง นี่ถึงขั้นปล่อยภูเขาทองคำลูกนี้ให้กับคนกลุ่มนี้ไปเสียเฉยๆ ช่างดูไม่สมกับเป็นติ้งอ๋องและดูไม่เหมือนนิสัยของเขาเอาเสียเลย

“พี่ใหญ่ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร” เมื่อเรียกสติกลับมาได้ หานหมิงซีจึงหันไปเอ่ยถามหานหมิงเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ ตน

ตั้งแต่ซูจุ้ยเตี๋ยตายไป หานหมิงเย่ว์ก็ดูจะทำใจไม่ได้ ด้วยเพราะม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเห็นแก่หน้าหานหมิงซี จึงคร้านที่จะสนใจเขา ปล่อยให้หานหมิงซีเป็นคนดูแลเขาแทน ไม่ว่าจะด้วยเพราะหานหมิงซีเห็นแก่ความเป็นพี่น้องกับชีวิตของหานหมิงเย่ว์ หรือเพื่อความปลอดภัยของคนตระกูลหาน แต่เขาก็คอยดูแลหานหมิงเย่ว์อย่างดี ไม่ปล่อยให้เขาไม่สร้างเรื่องอีก

หลายวันนี้ หานหมิงเย่ว์อยู่แต่ในจวนหานหมิงซีตลอด ปิดประตูไม่ออกไปไหนมาไหน เขามองดูแล้วขาวซีดประหนึ่งซากศพที่เดินได้กระนั้น ไม่เหลือเค้าลักษณะท่าทางและเสน่ห์อย่างคุณชายหมิงเย่ว์เมื่อในวันวานเลยแม้แต่น้อย

หานหมิงซีทนดูต่อไปไม่ได้ ครานี้เรื่องสุสานหลวงอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ดังนั้นเขาจึงลากหานหมิงเย่ว์ออกไปร่วมด้วย

แต่ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้ยินที่หานหมิงซีถามหรืออย่างไร สายตาหานหมิงเย่ว์เพียงขยับเล็กน้อยแต่มิได้ตอบคำถามเขา

ยามนี้หานหมิงซีเองก็มิได้คาดหวังจะได้คำชี้แนะหรือตักเตือนอันใดจากพี่ชายของตนอยู่แล้ว เขาหวังเพียงว่า พี่ใหญ่จะไม่สร้างเรื่อง และใช้ชีวิตของตนเองให้ดี ก็ถือว่าเขาสู้หน้าพี่ใหญ่ที่มีบุญคุณคอยเลี้ยงดูสั่งสอนและสู้หน้าบรรพบุรุษทั้งหลายของตระกูลหานได้แล้ว

ดังนั้นความเงียบของหานหมิงเย่ว์จึงมิได้ทำให้หานหมิงซีนึกโมโห เขาเพียงเอนตัวลงพิงต้นไม้ พร้อมเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ข้ามักรู้สึกว่า ติ้งอ๋องไม่มีทางปล่อยให้ข้าหาเงินเข้ากระเป๋าตนเองง่ายๆ เช่นนั้น”

หานหมิงเย่ว์เพียงก้มหน้านิ่งไม่ตอบอันใด

หานหมิงซีโบกมือพร้อมทอดถอนใจ “ช่างเถิด ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เองว่ามันเรื่องอันใดกัน”

เขาไม่เชื่อว่าติ้งอ๋องจะปล่อยคนจำนวนมากเช่นนี้ให้เข้ามาวุ่นวายในซีเป่ย

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset