ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 242-2 ฉากโหมโรงก่อนองค์หญิงขึ้นครองราชย์

สวีชิงเฉินมองนางด้วยความสงบนิ่ง เอ่ยว่า “เจ้ากับข้าเป็นสหายกันมาตั้งหลายปีเช่นนี้ และบ่อยครั้งที่เคยปรึกษาหารือกันเรื่องบริหารแคว้น…”

องค์หญิงอันซีพยักหน้า “ก็จริง ตลอดหลายปีที่ได้เป็นสหายกับชิงเฉิน ข้าได้รับประโยชน์ไม่น้อยเลยจริงๆ”

สวีชิงเฉินเอ่ยว่า “ข้าเคยสอนเจ้าเรื่องหลักการการบริหารแคว้นและบริหารคน แต่ไม่เคยสอนเจ้าเรื่องหลักการการเป็นประมุข อันซี นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะสอนเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดหลายปีมานี้ เจ้าถึงมักถูกซูม่านหลินกดเอาไว้อยู่เสมอ นั่นด้วยเพราะเจ้าขาดความใจแข็งไปอย่างหนึ่ง การเป็นประมุขเดิมทีก็เป็นเส้นทางแห่งความโดดเดี่ยวอยู่แล้ว ศิลปะการใช้อำนาจ เล่ห์เหลี่ยม ความเด็ดขาด จะขาดอันใดไปไม่ได้เลยสักข้อ สิ่งที่เจ้าขาดที่สุดก็คือความใจแข็ง ตั้งแต่โบราณมา คนเป็นประมุขล้วนเป็นคนไร้หัวใจ เชื้อพระวงศ์ไม่มีคำว่าเลือดเนื้อเชื้อไข ทุกครั้งที่เจ้าปราณี มีแต่จะทำให้ศัตรูกลับมาผยองได้อีกครั้ง เจ้าใจแข็งกับตัวเองมากพอ ดังนั้นให้ลำบากอย่างไรเจ้าก็ยอมทน แต่กับคนข้างกายเจ้า เจ้ากลับใจดีจนเกินไป อันซี เมื่อใดก็ตามที่เจ้าสามารถจัดการความสัมพันธ์ระหว่างคนข้างกายเจ้าได้ เจ้าถึงจะกลายเป็นประมุขที่สอบผ่าน”

พูดจบ สวีชิงเฉินก็ไม่หยุดรออีก เดินออกไปด้านนอกทันที

แล้วจู่ๆ องค์หญิงอันซีก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นติ้งอ๋องเล่าเป็นอย่างไร ทั่วทั้งใต้หล้าต่างรู้กันดีว่าติ้งอ๋องรักใคร่พระชายาเป็นยิ่งนัก ทั้งยังไว้เนื้อเชื่อใจตระกูลสวีอย่างมาก ชิงเฉินเห็นว่า ติ้งอ๋องเป็นประมุขที่สอบผ่านหรือไม่”

สวีชิงเฉินหันกลับมายิ้มน้อยๆ เอ่ยกับนางว่า “ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดเหมาะสมที่จะเป็นประมุขยิ่งไปกว่าติ้งอ๋องอีกแล้ว ผู้เป็นประมุขยังมีคุณสมบัติอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือต้องเรียนรู้ที่จะตอบรับและปฏิเสธ ติ้งอ๋องรู้ดีว่าตนเองต้องการสิ่งใด และต้องทำอย่างไร ดังนั้น ข้าจึงไม่เคยเป็นห่วงเขา อันซี…หนานจ้าวอ๋อง รักษาตัวด้วย”

องค์หญิงอันซีมองสวีชิงเฉินที่หมุนตัวเดินออกไปอย่างรีรอ เมื่อต้องอยู่กับความว่างเปล่าภายในตำหนักอันโออ่าใหญ่โตแล้ว ในใจนางก็รับรู้ถึงความเย็นยะเยือกที่เข้าห่อหุ้มจิตใจ แล้วก็อดกอดเข่าก้มหน้าลงน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ไม่ได้ หยดน้ำตาประกายใสที่หล่นลงบนหัวเข่า ทำให้ชุดสีขาวของนางเปียกชื้นอย่างรวดเร็ว

ผู่อ่าเดินมานั่งย่อลงข้างๆ องค์หญิงอันซี เมื่อเห็นนางนั่งกอดเข่าร้องไห้ออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียง ก็ให้รู้สึกสงสารยิ่งนัก เขายกมือขึ้นตบหัวไหล่องค์หญิงอันซีเบาๆ อย่างเงอะงะเล็กน้อย เอ่ยเบาๆ ว่า “ซีเอ๋อร์ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”

องค์หญิงอันซีเงยหน้าขึ้น นิ่งอึ้งมองใบหน้าคมแกร่งของเขา แล้วในที่สุดก็อดทนต่อไปไม่ไหว เอนตัวพิงอกของเขา ร้องไห้ออกมาเสียงดังระงมไปทั้งตำหนักใหญ่

ยามที่สวีชิงเฉินเดินออกมาจากวังนั้น ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว บนลานด้านหนังวัง ยังมีชาวบ้านอีกสองสามกลุ่มที่ดื่มสุราจนเมามาย แต่ยังคงเดินไปมาอยู่แถวนั้นไม่ได้กลับบ้าน

ลมเย็นๆ หอบหนึ่งพัดมา สวีชิงเฉินมองไปทางพระจันทร์ที่คล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตก แล้วถอนหายใจยาวออกมาทีหนึ่ง

“คุณชายชิงเฉินนี่ท่านเป็นอันใดไปหรือ ดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก” น้ำเสียงประหนึ่งกลั้วหัวเราะ ดังลอยมาจากด้านหลัง

สวีชิงเฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ อันใดที่เรียกว่าสีหน้าดูเศร้าสร้อยกัน เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นเยี่ยหลีและม่อซิวเหยากำลังยืนมองตนอยู่ทางด้านหลัง สิ่งที่แตกต่างกันคือ เยี่ยหลีดูมีสีหน้าเป็นห่วงกังวล แต่ม่อซิวเหยากลับมีสีหน้าล้อเลียนและดูมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

สวีชิงเฉินเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าคิดว่าพวกเจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือนพักทูตกันแล้วเสียอีก นี่ก็ทั้งวันทั้งคืนแล้ว ไม่เหนื่อยหรือ”

เยี่ยหลีเอ่ยเบาๆ ว่า “เห็นพี่ใหญ่รั้งท้ายหายไป พวกเราเลยนึกเป็นห่วงเท่านั้น ถึงแม้จะไม่มีอันใดแล้ว แต่เมื่อคืนเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นใหญ่โตนัก กลับไปด้วยกันอย่างไรก็เบาใจกว่า”

เมื่อเห็นแววกังวลในดวงตาของเยี่ยหลี สวีชิงเฉินก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ ที่เขาพูดกับองค์หญิงอันซีเมื่อครู่ มิใช่เพียงแค่ชี้แนะนางเรื่องหลักการการเป็นประมุขหรือควรจัดการเรื่องที่จะตามมาอย่างไรเท่านั้น แต่เขาต้องการบอกนางว่า ต่อไปมิตรไมตรีระหว่างพวกเขาก่อนหน้านี้ จะกลายเป็นเพียงเมฆหมอกที่ผ่านไปแล้ว

ถึงแม้จะได้ควบคุมหนานจ้าวเช่นเดิม แต่ฐานะหนานจ้าวอ๋องกับรัชทายาทหญิงก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อองค์หญิงอันซีได้ขึ้นครองราชย์กลายเป็นอ๋อง แคว้นหนานจ้าวทั้งหมดก็จะกลายเป็นภาระหน้าที่ที่มิอาจสลัดให้หลุดไปได้ตลอดชีวิต และระหว่างพวกเขา ก็ไม่สามารถมีมิตรภาพที่บริสุทธิ์ดังเช่นในอดีตได้อีก

สวีชิงเฉินมีสหายอยู่ไม่มากนัก กับองค์หญิงอันซีก็เป็นความสัมพันธ์แบบกึ่งอาจารย์กึ่งเพื่อนเสียมากกว่า ยามนี้ถึงแม้เขาจะปลื้มใจที่เห็นองค์หญิงอันซีเติบโตขึ้น แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ ที่จะรู้สึกเสียดายที่จะขาดสหายสนิทไปหนึ่งคน

“เอาเถิด กลับไปพร้อมกันเถิด” สวีชิงเฉินระบายยิ้มน้อยๆ ระหว่างที่เดินไปก็หันไปเอ่ยกับม่อซิวเหยาด้วยว่า “พวกเราอาจจะต้องใช้เวลาอีกสองสามวันกว่าจะสามารถออกเดินทางกลับซีเป่ยได้”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “เพราะเหตุใดหรือ”

สวีชิงเฉินเอ่ยว่า “ร่วมพิธีราชาภิเษกขององค์หญิงอันซี”

คิ้วคมของม่อซิวเหยาเลิกขึ้นทันที อดกล่าวชมไม่ได้ว่า “คุณชายชิงเฉินช่างฝีมือดียิ่งนัก ข้าเองก็รู้สึกรำคาญหนานจ้าวอ๋องนั่นอยู่ไม่น้อยพอดี เปลี่ยนเป็นองค์หญิงอันซีได้ก็ไม่เลว”

เขากล้ารับประกันว่า ก่อนที่พวกเขาจะออกจากที่นี่ องค์หญิงอันซีไม่ได้คิดที่จะขึ้นครองราชย์เป็นอ๋องอย่างแน่นอน ที่สวีชิงเฉินเดินรั้งท้ายอยู่จะต้องเอ่ยอันใดกับองค์หญิงอันซีอย่างแน่นอน และเรื่องเช่นนี้ก็ต้องให้สวีชิงเฉินเป็นคนพูดเท่านั้น ถึงแม้ในบรรดาพวกเขา ไม่ว่าผู้ใดต่างก็พูดเช่นนั้นได้ แต่องค์หญิงอันซีคงคิดว่าพวกเขามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง แต่หากเป็นสวีชิงเฉินพูด ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

สวีชิงเฉินนิ่งเงียบไม่ตอบ องค์หญิงอันซีขึ้นครองราชย์ก่อน บางทีอาจถึอว่าเป็นเรื่องดีสำหรับองค์หญิงอันซี แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีกับหนานจ้าว หากไว้ชีวิตหนานจ้าวอ๋อง ด้วยนิสัยขององค์หญิงอันซี ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ประสบพบเจอกับเหตุการณ์เช่นเมื่อคืนวานอีก

หนานจ้าวอ๋องถึงแม้จะไร้ความสามารถ แต่ก็ยังมีคนและชนเผ่าที่จงรักภักดีต่อเขา ทั้งยังมีถานจี้จือที่ยังจับตัวมาไม่ได้คอยช่วยเหลือ เมื่อใดก็ตามที่กลับมาเล่นงานองค์หญิงอันซีได้อีกครั้ง ชีวิตของนางคงตกอยู่ในอันตราย

แต่เมื่อใดก็ตามที่องค์หญิงอันซีขึ้นครองราชย์ ก็ไม่แน่ว่าชนเผ่าต่างๆ จะยอมเคารพนับถือนางภายในเวลาอันรวดเร็ว ถึงยามนั้นคงเกิดความวุ่นวายภายในขึ้นในหนานจ้าว ส่วนซีหลิงที่คิดอยากผนวกรวมหนานจ้าวเข้าเป็นของตนเสียนานแล้ว…สวีชิงเฉินหลับตาลง เขาไม่รู้ว่าต่อไป องค์หญิงอันซีจะเกลียดเขาหรือไม่ แต่ในยามนี้…ซีหลิงที่จำศีลมาหลายปี เริ่มมีแววว่าจะอดรนทนต่อไปไม่ได้ให้เห็นแล้ว เมื่อใดก็ตามที่ปล่อยให้เขาร่วมมือกับต้าฉู่และเป่ยหรง พุ่งเป้ามาที่ซีเป่ย สู้ให้เขามีโอกาสได้ทดลองดาบกับหนานจ้าวก่อนเสียยังจะดีกว่า ซีเป่ยจะได้มีเวลาในการเตรียมตัวและปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้น

“พี่ใหญ่…” เยี่ยหลีมิได้คิดไกลเช่นสวีชิงเฉิน เรื่องการวางแผนแย่งชิงอำนาจนั้น มิใช่สิ่งที่นางถนัดเอาเสียเลย แต่นางกลับสัมผัสได้ถึงความหม่นหมองในจิตใจของสวีชิงเฉิน

ม่อซิวเหยามองสวีชิงเฉินแล้วเอยว่า “ตัวองค์หญิงอันซีเป็นเชื้อพระวงศ์ นอกจากนางยินดีที่จะละทิ้งสิ่งเหล่านั้นแล้ว ก็ไม่มีทางหลีกหนีจากเรื่องเหล่านี้ได้ พี่ใหญ่ไม่ต้องโทษตนเองไปหรอก อีกอย่าง ขอบคุณมาก”

ม่อซิวเหยาย่อมเข้าใจถึงความคิดและแผนการของสวีชิงเฉินเป็นอย่างดี จึงเอ่ยขอบคุณเขาจากใจจริงอย่างน้อยครั้งนักจะได้ยิน

สวีชิงเฉินระบายยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณอันใดกัน เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เมื่อเกิดมาในโลกนี้ ก็แล้วแต่สวรรค์จะบัญชา”

“ไปกันเถิด ควรกลับไปพักผ่อนเสียที” สวีชิงเฉินออกเดินมุ่งหน้าไปยังจวนพักทูกก่อน ทิ้งให้ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีอยู่ด้านหลัง

เยี่ยหลีมองแผ่นหลังของสวีชิงเฉินแล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่มีบางอย่างแปลกๆ”

ม่อซิวเหยาจับมือเยี่ยหลีไว้ เอ่ยปลอบเสียงอ่อนว่า “ไม่มีอันใดหรอก เมื่อองค์หญิงอันซีขึ้นครองราชย์แล้ว ก็จะกลายเป็นประมุขแห่งแคว้น ด้วยฐานะของคุณชายชิงเฉินย่อมมิควรไม่มาหาสู่กับนางอย่างใกล้ชิดเกินไปนัก อีกอย่างยามนี้ องค์หญิงอันซีก็ถือว่าเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว คุณชายชิงเฉินก็ต้องระวังเนื้อระวังตัวไม่ให้เกิดความระแวง เมื่อมีสหายสนิทน้อยไปคนหนึ่ง ไม่ว่าใจของผู้ใดก็คงรู้สึกไม่ดีนัก พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนเข้าใจอันใดถ่องแท้มาโดยตลอด ผ่านไปไม่กี่วัน ก็คงไม่เป็นอันใดแล้ว”

เยี่ยหลีพยักหน้า ถอนใจเอ่ยว่า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น พี่ใหญ่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย คนที่พอพูดคุยกับเขาถูกคอก็มีไม่มากนัก”

ม่อซิวเหยาหันมองสวีชิงเฉินที่เดินอยู่ด้านหน้าคนเดียวทีหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หันไปเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “อาหลี จะว่าไปก่อนหน้านี้พวกเรายังบอกว่า ขากลับจะไปเที่ยวเล่นกันตามที่ต่างๆ ยามนี้กลับต้องรั้งอยู่เพื่อร่วมงานราชาภิเษกขององค์หญิงอันซีเสียแล้ว ทั้งยังต้องกลับไปร่วมการซ้อมรบเสมือนจริงของเจ้าอีก ดูเหมือนเวลาจะไม่พอเอานะ”

เยี่ยหลีกะพริบตา “ท่านอ๋องวางแผนไว้เช่นไรหรือ”

หลายปีมานี้เยี่ยหลีเริ่มคุ้นชินกับนิสัยของม่อซิวเหยาแล้ว ที่เขาเอ่ยเช่นนี้ นั่นหมายความว่าในใจเขาจะต้องวางแผนอันใดไว้แล้ว

ม่อซิวเหยายิ้มด้วยความพอใจ ก้มหน้าจูบลงบนริมฝีปากของเยี่ยหลี “คนที่เข้าใจข้า คืออาหลีนี่เอง ถึงอย่างไรพวกเราก็ได้ร่วมงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซีกันแล้ว เช่นนั้นงานราชาภิเษกก็…”

เยี่ยหลีเข้าใจโดยทันที ม่อซิวเหยาไม่คิดที่จะอยู่ร่วมงานราชาภิเษกแต่แรกแล้ว “ท่านคิดจะทำเช่นไร”

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “งานราชาภิเษกให้พี่ชายเจ้าอยู่ก็พอแล้ว ชื่อเสียงของคุณชายชิงเฉิน ผู้ใดเลยจะกล้าว่าว่าไม่มีเกียรติเพียงพอ ส่วนพวกเราก็ออกเดินทางก่อน ค่อยๆ ลัดเลาะท่องเที่ยวกลับซีเป่ย อาหลีว่าดีหรือไม่”

คุณชายชิงเฉิน มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้า ที่สำคัญไปกว่านั้น คือคุณชายชิงเฉินเป็นตัวแทนของตระกูลสวี ด้านหลังตระกูลสวีก็คือชายาติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋องก็คือติ้งอ๋อง การให้สวีชิงเฉินอยู่ร่วมงานราชาภิเษกขององค์หญิงอันซี ก็เพียงพอที่จะบอกถึงท่าทีของซีเป่ยได้เป็นอย่างดีแล้ว

เยี่ยหลีลังเลเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่านางใจเต้นอยู่ไม่น้อยทีเดียว หลายปีมานี้นางยุ่งวุ่นวายอยู่กับซีเป่ยไม่ได้หยุด นางไม่เคยได้เที่ยวเล่นพักผ่อนไปตามแม่น้ำและภูเขาอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อน

“พี่ใหญ่จะเห็นด้วยหรือ”

“เห็นด้วยสิ พี่ใหญ่เจ้าย่อมไม่วางใจ จะต้องรอให้ผ่านงานราชาภิเษกขององค์หญิงอันซีไปก่อนถึงจะยอมเดินทางกลับอย่างแน่นอน หากพวกเราอยู่ที่นี่กันหมดก็เสียเวลาเปล่า”

“เช่นนั้น…เอาเถิด” ในที่สุดนางก็ปฏิเสธความเย้ายวนของการออกไปท่องเที่ยวไม่ได้ เยี่ยหลีจึงทำได้เพียงขอโทษพี่ใหญ่ของตนเองอยู่ในใจ

Related

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset