ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 243-1 การชุมนุมครั้งใหญ่ของยุทธภพ

ในที่สุดม่อซิวเหยาก็เกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ ให้สวีชิงเฉินรั้งอยู่ที่หนานจ้าวจัดการเรื่องที่จะสืบเนื่องมาในภายหลัง พาเยี่ยหลีเดินทางออกจากหนานจ้าวไปท่องเที่ยวอย่างอิสระไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ด้วยความพออกพอใจ

แตกต่างกับเยี่ยหลี ที่ทิ้งสวีชิงเฉินไว้ที่หนานจ้าว ม่อซิวเหยาไม่รู้สึกผิดและเป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย อันที่จริง ม่อซิวเหยายังคงคิดมาตลอดว่า สวีชิงเฉินเก็บซ่อนความสามารถเอาไว้มากเกินไป หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ทำงานโดยไม่ทุ่มเท

คุณชายชิงเฉินมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย และเคยเป็นคนมีความสามารถด้านการบริหารที่บัณฑิตขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายให้ความสำคัญ น่าเสียดายก็เพียง ตั้งแต่ที่เขาลาออกจากราชการมาออกท่องเที่ยวไปทั่วนั้น ชื่อเสียงของคุณชายชิงเฉินโดยมากจึงกลับเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันในหมู่ชาวบ้าน หรือเรื่องที่เล่าต่อๆ กันในยุทธภพเท่านั้น เกรงว่าในสายตาของคนในโลกนี้ ภาพลักษณ์ประหนึ่งเซียนบนชั้นฟ้าของคุณชายชิงเฉิน จะโด่งดังเสียยิ่งฝีมือในการวางเล่ห์กลของเขาเสียอีก

แต่ม่อซิวเหยากลับรู้ดีว่า ความสามารถของสวีชิงเฉินมิได้มีเพียงเท่านี้ ที่องค์หญิงอันซีประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งจะต้องเป็นผลมาจากสวีชิงเฉิน เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ เขตซีหนานของต้าฉู่ส่วนนี้ เรียกได้ว่าอยู่ตรงกลางระหว่างซีหลิงและหนานจ้าว ประหนึ่งถูกศัตรูโจมตีทั้งหน้าท้องและด้านหลัง แต่ยังสามารถมีเช่นทุกวันนี้ได้ สวีชิงเฉินก็คงหนีจากเรื่องนี้ไม่พ้นเช่นกัน

บางทีอาจด้วยเพราะมีบทเรียนจากบรรพบุรุษที่มีบทบาทโดดเด่นเกินไป คนตระกูลสวีสองรุ่นนี้จึงมักชอบที่จะซ่อนคมของตนไว้ในฝัก การพัฒนาของซีเป่ยตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ แน่นอนว่าด้วยเพราะมีตระกูลสวีทุกคนคอยเป็นหัวหอก แต่สำหรับคนทั่วไปคงจะเอ่ยชื่นชมกันแต่เพียงว่า ติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องเก่งกาจมีความสามารถ น้อยนักที่จะมีคนเอ่ยถึงตระกูลสวี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตระกูลสวีทำสำเร็จอย่างใจหวังพอควรเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ม่อซิวเหยาก็ได้แต่รู้สึกจนใจ การจะซ่อนคมไว้ในฝัก แน่นอนว่าจะต้องจำกัดความสามารถของตนที่แสดงออกมา หากคนเหล่านี้ทำงานอย่างทุ่มเทกันแต่โดยดีแล้ว เขาคงประหยัดเวลามาเที่ยวเล่นกับอาหลีได้อีกมากทีเดียวเชียว

ภายในจวนที่พักทูต สวีชิงเฉินนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ หลับตาพักผ่อนอยู่คนเดียว คำพูดที่ม่อซิวเหยาทิ้งท้ายไว้ก่อนเดินทางไป ยังดังก้องอยู่ข้างหู พี่ชิงเฉิน ข้ามิอาจรับประกันว่าตระกูลสวีจะรุ่งเรืองได้เป็นพันปี แต่ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ ม่ออวี้เฉินยังมีชีวิตอยู่ ขอรับรองว่าตระกูลสวีจะได้อยู่อย่างสงบ

น้อยครั้งนักที่ม่อซิวเหยาจะเรียกชื่อเต็มของม่อตัวน้อย ตามปกติมักเรียกแต่ม่อตัวน้อย ม่อตัวน้อย จนทำให้คนที่ไม่รู้เรื่อรู้ราวต่างพากันเข้าใจไปว่า ชื่อจริงของซื่อจื่อน้อยแห่งตำหนักติ้งอ๋องคือม่อตัวน้อยเสียแล้ว ดังนั้น เจ้าจึงรับรู้ได้ถึงความจริงใจและเด็ดเดี่ยวในคำพูดของม่อซิวเหยา

มิใช่ว่าตระกูลสวีไม่เชื่อในตัวม่อซิวเหยา แต่พวกเขาไม่เชื่อในอำนาจแห่งประมุข เพื่อเรื่องนี้ สิ่งที่ตระกูลสวีต้องสละไปนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นฆ่าล้างตระกูลจนเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ แต่ตระกูลสวีหลายต่อหลายรุ่นที่ถูกกดหัวเอาไว้ พี่น้องของตระกูลจำนวนมากที่ต้องตายไปทั้งๆ ที่ยังมิได้ทำตามปณิธานที่ตั้งไว้ ถึงแม้จะเป็นท่านปู่ ที่เป็นถึงบัณฑิตที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าแห่งยุค เคยมีสักวันไหมที่ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ การต้องทำตัวเป็นมีดทื่อๆ เช่นนี้ เอาเข้าจริงบางครั้งกลับทรมานเสียยิ่งกว่าสับให้ขาดในทีเดียวเสียอีก

“คุณชายชิงเฉิน” ด้านนอกประตู ฉินเฟิงเอ่ยเรียกเขาเสียงขรึม

“อันใดหรือ” สวีชิงเฉินลืมตาขึ้น แววตานิ่งเรียบไม่วูบไหว ดูไม่มีแววง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย

ฉินเฟิงเอ่ยว่า “เสนาบดีหลิ่วกับหลิ่วกุ้ยเฟยจากต้าฉู่ขอพบขอรับ”

สวีชิงเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยเรียบๆ ว่า “เชิญ”

ไม่นาน เสนาบดีหลิ่วก็เดินนำหลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ในชุดสีขาวทั้งตัวเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าบุรุษในชุดขาวที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ ไม่มีแม้แต่ท่าทีว่าจะลุกขึ้น แววตาชายชราที่เริ่มขุ่นมัวของเสนาบดีหลิ่วก็ดูทั้งริษยาและโกรธเกรี้ยว

เขาไม่อาจไม่ริษยาสวีชิงเฉินได้ คุณชายชิงเฉินมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย อายุยังไม่ถึงสามสิบปี ก็มีอำนาจมากมายอยู่ในมือ ถึงแม้คุณชายชิงเฉินจะมิได้มีตำแหน่งทางการที่แน่นอนอยู่ในซีเป่ย แต่คนที่เข้าใจก็จะรู้ว่า ฐานะด้านขุนนางบุ๋นของคุณชายชิงเฉินที่ซีเป่ยนั้น เป็นรองเพียงสวีหงอวี่ผู้เป็นบิดาเท่านั้น เมื่อกลับมาคิดถึงตนเองที่อายุปูนี้แล้วยังคงต้องต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในราชสำนัก ใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัดเพื่อให้ตนเองก้าวขึ้นมาอยู่จุดที่สูงขึ้น เสนาบดีหลิ่วจะไม่นึกริษยาและเกลียดชังบุรุษตรงหน้าที่เปล่งประกายบริสุทธิ์ประหนึ่งดวงจันทร์และสง่างามอย่างหาใดเปรียบได้อย่างไร

หลิ่วกุ้ยเฟยเองก็ไม่ชื่นชอบสวีชิงเฉินเช่นเดียวกับบิดา มิใช่เพียงเพราะเขาเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้อยของเยี่ยหลี ที่ยิ่งกว่านั้นคือด้วยเพราะ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้ว มักทำให้นางรู้สึกกระดากอายในความอ่อนด้อยของตนเองเสมอ มิใช่เรื่องที่สวีชิงเฉินมีรูปร่างหน้าตาที่ดีกว่านาง ต่อให้สวีชิงเฉินหล่อเหลาและสง่างามเพียงใด ก็เป็นเพียงบุรุษ หากพูดถึงเรื่องรูปลักษณ์แล้ว ไม่มีทางประณีตงดงามไปกว่าหลิ่วกุ้ยเฟยที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดหญิงงามแห่งฉู่จิงอย่างแน่นอน แต่ท่าทางของสวีชิงเฉินที่แสดงออกมาตามธรรมชาตินั้น มักทำให้รู้สึกถึงความน่ารังเกียจที่เก็บซ่อนอยู่ในใจ ที่ไม่อาจทำให้หายไปได้กระนั้น

“เสนาบดีหลิ่วมาด้วยเรื่องอันใดหรือ” สวีชิงเฉินขมวดคิ้วมองทั้งสองคน ที่เอาแต่จ้องมองตนแต่ไม่ยอมพูดอันใด แล้วจึงเอ่ยปากถามขึ้น

เสนาบดีหลิ่วถึงได้สติ เอ่ยว่า “ได้ยินว่าเช้าวันนี้ ติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องได้เดินทางออกจากเมืองหนานจ้าวอ๋องแล้ว?”

สวีชิงเฉินพยักหน้า มิได้เอ่ยอันใด คิ้วสีขาวของเสนาบดีหลิ่วย่นเข้าหากันจนเป็นรอยตรงกลาง “เช่นนั้นไม่รู้ว่าติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องมีความเห็นเช่นไรต่อการสืบราชสมบัติของอค์หญิงอันซีหรือ”

วันนี้ยามเช้า ในวังได้แจ้งข่าวว่า พบตัวหนานจ้าวอ๋องแล้ว แต่หนานจ้าวอ๋องถูกเหตุจราจลทำให้ตกใจมากเกินไป ยามนี้จึงมิอาจจัดการเรื่องในราชสำนักได้ และภายในสองสามวันนี้ องค์หญิงอันซีที่มีฐานะเป็นรัชทายาทหญิงจะขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นประมุข ขึ้นเป็นหนานจ้าวอ๋องหญิงองค์ใหม่

ข่าวนี้สำหรับต้าฉู่แล้วไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนัก แต่ไหนแต่ไรมา องค์หญิงอันซีมีมิตรไมตรีที่ลึกซึ้งกับสวีชิงเฉิน ความสัมพันธ์กับชายาติ้งอ๋องก็เป็นไปด้วยดี หากนางขึ้นเป็นอ๋อง จะต้องไม่เป็นผลดีต่อต้าฉู่อย่างแน่นอน

สวีชิงเฉินระบายยิ้มน้อยๆ “ท่านอ๋องได้มอบหมายเรื่องนี้ให้ข้าน้อยมีอำนาจจัดการทั้งหมดแล้ว”

สีหน้าเสนาบดีหลิ่วเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คุณชายชิงเฉินเป็นตัวแทนของติ้งอ๋อง?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสนาบดีหลิ่วก็ให้รู้สึกจุกเสียดขึ้นในอก เดิมทีที่ฮ่องเต้ทรงพิโรธตระกูลสวีนั้น ก็ถือว่าเขาได้ล่วงเกินตระกูลสวีจนถึงที่สุดแล้ว ยามนี้เมื่อติ้งอ๋องมอบเรื่องนี้ให้สวีชิงเฉินเป็นผู้จัดการ ต่อให้สวีชิงเฉินไม่ได้เป็นสหายกับองค์หญิงอันซี อย่างไรก็ไม่มีทางอยู่ข้างเดียวกับพวกเขาอย่างแน่นอน

สวีชิงเฉินระบายยิ้มเย็น “ในเมื่อหนานจ้าวอ๋องไม่สามารถจัดการราชกิจได้ องค์หญิงอันซีที่มีฐานะเป็นรัชทายาทหญิงขึ้นครองราชย์บัลลังก์แทน ก็เป็นเรื่องที่ชอบธรรมอย่างยิ่ง ต่อให้ท่านอ๋องอยู่ที่นี่ จะมีความเห็นเป็นอื่นได้อย่างไร เสนาบดีหลิ่ว ท่านกับข้าแค่เพียงรอให้ถึงวันมงคลที่องค์หญิงอันซีจะขึ้นครองราชย์ก็พอ”

ใบหน้าเสนาบดีหลิ่วเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด เขาไม่อยากให้องค์หญิงอันซีขึ้นครองราชย์!

สวีชิงเฉินไม่สนใจจะมองสีหน้าของเสนาบดีหลิ่วอีก หลุบตาลงจิบชาในถ้วย ปิดบังแววดูแคลนในดวงตา เป็นแค่เสนาบดีเล็กๆ คนหนึ่ง แต่กลับคิดอยากเข้าไปวุ่นวายเรื่องเปลี่ยนตัวหนานจ้าวอ๋อง ดูจะสำคัญตนผิดไปหน่อยกระมัง “ข้าน้อยยังมีงานต้องไปจัดการ คงมิอาจอยู่เป็นเพื่อนเสนาบดีหลิ่วได้”

ที่ถือเป็นการบอกว่าส่งแขกแล้ว สีหน้าเสนาบดีหลิ่วเปลี่ยนไปมาไม่หยุด แล้วในที่สุดก็ส่งเสียงหึออกมาพลางสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

พอส่งเสนาบดีหลิ่วกลับไปได้ไม่เท่าไร ก็มีคนเข้ามารายงานที่นอกประตูว่า เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อขอเข้าพบ

สวีชิงเฉินขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ปิดประตูส่งแขก วันนี้ไม่ต้อนรับแขก”

องครักษ์ถอยออกไปถ่ายทอดคำสั่ง

ฉินเฟิงที่นั่งอยู่เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “คุณชายใหญ่ ปิดประตูไม่ต้อนรับแขกจะไม่มีปัญหาอันใดหรือขอรับ”

สวีชิงเฉินยิ้ม “จะมีปัญหาอันใด ถึงอย่างไรก็คงพูดแค่เรื่องเหล่านั้นกันอยู่แล้ว พอองค์หญิงอันซีขึ้นครองราชย์แล้ว พวกเขาก็คงไม่มีอันใดจะพูดอีก”

ต่อให้ในยามนี้คนจากแต่ละฝ่ายจะไม่อยากเห็นองค์หญิงอันซีที่มีมิตรไมตรีกันดีกับซีเป่ยขึ้นสืบทอดบัลลังก์เพียงใด แต่คนเหล่านี้ล้วนมาในฐานะคณะทูต จำนวนทหารที่นำมาอย่างมากก็เพียงร้อยนาย พวกเขาจะใช้กำลังขัดขวางเรื่องนี้ได้อย่างนั้นหรือ

สวีชิงเฉินหยิบพู่กันขึ้นเขียนตัวอักษรสามสี่บรรทัดลงไป ก่อนพับใส่ซองเรียบร้อยแล้วส่งให้ฉินเฟิง เอ่ยว่า “ช่วยให้คนเอาไปส่งให้ถึงมือองค์หญิงอันซีที”

ฉินเฟิงมิได้เอ่ยถามอันใดให้มากความ รับจดหมายมาแล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที

ครึ่งชั่วยามหลังจานั้น จดหมายของสวีชิงเฉินก็มากางอยู่บนโต๊ะขององค์หญิงอันซี ลายมือที่ดูสบายตาแต่สง่างามกลับแฝงความคมกล้าและรังสีสังหารเอาไว้อย่างมิดชิด…ยามตัดไม่ตัดให้ขาด กลับจะทำให้วุ่นวาย หลักการแห่งประมุข ผู้ภักดีรุ่งเรือง ผู้ต่อต้านตาย!

องค์หญิงอันซีมองจุดหมายตรงหน้าอยู่เป็นนาน ถึงได้เอ่ยปากถามขึ้นว่า “ซูม่านหลินอยู่ที่ใด”

องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเอ่ยตอบว่า “ทูลองค์หญิง ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงอันซีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ประหารนางเสียเถิด พวกหัวหน้าชนเผ่าที่ช่วยเหลือซูม่านหลินพวกนั้นด้วย ประหารไปพร้อมกันเลย”

“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง”

Related

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset