ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 57-3 มหรสพก่อนงานเลี้ยงในวัง

    “หลิ่วกุ้ยเฟยกำลังคุยอะไรกับชายาติ้งอ๋องหรือ ดูสนุกเชียว” จู่ๆ องค์หญิงเจาเหรินที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็เอ่ยถามขึ้น

 

 

           หลิ่วกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้นจ้องนางนิ่งอยู่พักหนึ่ง “สายตาขององค์หญิงเจาเหรินเห็นว่าข้าดูสนุกหรือ” องค์หญิงเจาเหรินโดนสวนกลับจนพูดไม่ออก เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ ในใจ นึกอิจฉาหลิ่วกุ้ยเฟยที่มีนิสัยตรงไปตรงมาเช่นนี้ น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีสิทธิ์มีนิสัยตรงไปตรงมาเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะมีฮ่องเต้คอยคุ้มครองและให้ความโปรดปรานแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยที่มีนิสัยเช่นนี้ ต่อให้ตระกูลจะมีประวัติยิ่งใหญ่เพียงใด ก็เกรงว่าคงจะมีชีวิตอยู่ในวังได้ไม่นาน

 

 

เมื่อเห็นองค์หญิงเจาเหรินหน้าตึงพร้อมกับนิ่งใบ้ไป ดูเหมือนจะทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยอารมณ์ดีขึ้นมาก จ้องมองอีกฝ่าย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งว่า “องค์หญิงไม่ได้ถามว่าข้ากับพระชายาติ้งอ๋องกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ ข้ากำลังบอกว่าในเมื่อชายาติ้งอ๋องไม่ชำนาญเพลงกระบี่ เช่นนั้นให้ข้าแลกเปลี่ยนวิชากับองค์หญิงหลิงอวิ๋นสักหน่อยดีหรือไม่”

 

 

           “กุ้ยเฟย!” ฮองเฮาขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย

 

 

           หลิ่วกุ้ยเฟยกลับไม่สนใจ เพียงจ้ององค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยสายตาเยียบเย็น “องค์หญิง ท่านเห็นว่าอย่างไร”

 

 

           ถึงแม้องค์หญิงหลิงอวิ๋นจะเพิ่งมาอยู่ที่เมืองหลวงได้ไม่นาน แต่นางก็รู้มาว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นกุ้ยเฟยที่ฮ่องเต้ตงฉู่โปรดปรานเป็นที่สุด ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถลงมือกับหลิ่วกุ้ยเฟยได้ จะแพ้หรือชนะนั้นยังไม่ต้องพูดถึง หากพลั้งมือทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยบาดเจ็บ แล้วฮ่องเต้ตงฉู่จะสืบสาวเอาความขึ้นมา ย่อมเป็นตัวนางที่เป็นฝ่ายผิด ถึงอย่างไรตอนนี้พวกนางก็ยังอยู่บนผืนแผ่นดินของตงฉู่

 

 

“เมื่อสักครู่หลิงอวิ๋นเพียงแค่ล้อชายาติ้งอ๋องเล่นเท่านั้น หลิงอวิ๋นอายุยังน้อยไม่ค่อยรู้ความ จะกล้าประมือกับกุ้ยเฟยได้อย่างไรเพคะ”

 

 

           “เอาเถิด กุ้ยเฟย องค์หญิงหลิงอวิ๋นเพียงแค่นิสัยยังเด็ก อีกอย่างนางก็ไม่รู้มาก่อนว่าชายาติ้งอ๋องไม่เป็นเพลงกระบี่ ไม่ได้ตั้งใจดูถูกต้าฉู่ของเรา” ฮองเฮาเอ่ยเสียงเรียบ สีพระพักตร์ดูแน่วแน่และไม่ยอมให้ขัดขืนอย่างที่ยากนักจะได้เห็น หลิ่วกุ้ยเฟยมีฐานะเป็นถึงกุ้ยเฟย เรื่องที่จะออกหน้าแทนชายาติ้งอ๋องไม่รู้เป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี อีกทั้งสมัยก่อนที่หลิ่วกุ้ยเฟยจะเข้าวังเคยมีใจให้ติ้งอ๋องนั้น ไม่ใช่ความลับในหมู่ชนชั้นสูง ที่พระนางทำเช่นนี้ก็เพื่อหาข้ออ้างที่เหมาะสมให้กับเรื่องที่หลิ่วกุ้ยเฟยช่วยออกหน้าแทนนางเท่านั้น

 

 

           เมื่ออยู่เป็นเพื่อนคุยกับฮองเฮาได้พักใหญ่ ด้วยเพราะยังเหลือเวลาก่อนเริ่มงานเลี้ยงอีกมาก ฮองเฮาจึงได้เชิญให้ฮุหยินทั้งหลายไปยังอุทยานเพื่อชมดอกไม้และเดินเล่นกันได้ตามใจ ทุกคนต่างพากันเอ่ยขอบคุณพร้อมทั้งถวายพระพรลาฮองเฮาเพื่อออกไปยังอุทยาน ก่อนไปหลิ่วกุ้ยเฟยถูกฮองเฮาเรียกตัวเอาไว้ก่อน

 

 

เมื่อออกจากตำหนักเฟิ่งเต๋อ ฮว่าเทียนเซียงก็รีบเดินยิ้มเข้ามาหาเยี่ยหลีโดยทันที “คารวะพระชายาติ้งอ๋อง”

 

 

           เยี่ยหลีปรายตามอง “เจ้าว่างเกินไปหรือ”

 

 

           ฮว่าเทียนเซียงโบกมือไปมา “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วข้าควรที่จะทำความเคารพพระชายาติ้งอ๋องมิใช่หรือ เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อสักครู่หลิ่วกุ้ยเฟยไม่ได้ทำให้เจ้าลำบากใช่หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีไม่เข้าใจ “เหตุใดนางจึงต้องทำให้ข้าลำบากด้วย”

 

 

ฮว่าเทียนเซียงมองนางเงียบๆ ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ “อาหลี ข้าบอกให้เจ้าออกไปไหนมาไหนบ้างเจ้าก็ไม่ฟัง เจ้าคงสิรู้ว่า หลิ่วกุ้ยเฟย…” แล้วนางก็รู้ตัวว่าการพูดถึงเรื่องกุ้ยเฟยคนหนึ่งที่ในวังนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องดี ฮว่าเทียนเซียงจึงกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูเยี่ยหลีว่า “ก่อนที่หลิ่วกุ้ยเฟยจะเข้าวัง นาง…มีใจให้กับติ้งอ๋อง”

 

 

เยี่ยหลีไม่ได้กล่าวอะไร แม้แต่ฮว่าเทียนเซียงยังรู้ข่าวเรื่องนี้ ดูท่าจะไม่ใช่แค่การมีใจธรรมดาๆ เสียแล้ว เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้ แต่นางไม่ได้ทำให้ข้าลำบากหรอก”

 

 

           ฮว่าเทียนเซียงเดินคู่ไปกับเยี่ยหลี ยักไหล่พร้อมเอ่ยว่า “พูดตามจริง ข้าประหลาดใจไม่น้อยที่นางช่วยออกหน้าแทนเจ้า ดูจากสีหน้าของนางแล้วก็ไม่เหมือนว่าจะเห็นเจ้าแปลกไปจากคนอื่น”

 

 

           “หลิ่วกุ้ยเฟยฝีมือกระบี่ดีมากหรือ” เยี่ยหลีตัดสินใจว่าจะไม่เล่าให้ฮว่าเทียนเซียงฟังเรื่องที่นางเคยถูกหลิ่วกุ้ยเฟยดูถูกต่างๆ นานา

 

 

           ฮว่าเทียนเซียงถอนหายใจ สีหน้าทั้งอิจฉาและริษยา “ว่าไปแล้ว หลายปีมานี้ การที่ทุกปีเมืองหลวงจะต้องมีการคัดเลือกสาวมากความสามารถอันดับหนึ่งกับสาวงามอันดับหนึ่งอะไรนั่น ล้วนเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยนี่สิ…ถึงจะเป็นหญิงสาวที่ทั้งสวยทั้งเก่งของจริง ได้ยินว่างานบุปผานานาพรรณในปีนั้นเป็นปีที่มีสีสันที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นต้าฉู่มาเลยทีเดียว สมัยนั้นคนที่เข้าร่วมการประลองเป็นสาวงามสองคนแรกที่อยู่ในภาพยอดหญิงงามแห่งแคว้นของหานหมิงเย่ว์พอดี เจ้าคงพอนึกภาพออก…”

 

 

เยี่ยหลีเห็นด้วยอย่างยิ่ง ถึงแม้จะไม่ได้เห็น แต่ก็สามารถจินตนาการได้ว่าการแข่งขันนั้นจะต้องดุเดือดมากเป็นแน่ “แล้วหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นผู้ชนะหรือ”

 

 

           “ไม่ นางแพ้” ฮว่าเทียนเซียงพูดด้วยความเสียดาย “ตอนนั้นหลิ่วกุ้ยเฟยเพิ่งอายุได้สิบสามปี แต่ซูจุ้ยเตี๋ยอายุสิบหกปีแล้ว ต่อให้ตอนนี้หลิ่วกุ้ยเฟยเป็นเพชรเม็ดงามและเป็นบัณฑิตแห่งแคว้น แต่เมื่อตอนอายุสิบสามก็เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น ยอดเพชรงามแห่งต้าฉู่ภาพแรกจึงเป็นของซูจุ้ยเตี๋ย ส่วนภาพที่สองจึงเป็นหลิ่วกุ้ยเฟย ภาพนั้นหานหมิงเย่ว์วาดขึ้นตอนที่หลิ่วกุ้ยเฟยอายุได้สิบห้าปี แน่นอนว่า หากพูดกันเฉพาะเรื่องรูปลักษณ์แล้ว ในใต้หล้านี้ข้ายังไม่เห็นจะมีใครที่เอาชนะซูจุ้ยเตี๋ยคนนั้นได้ หลิ่วกุ้ยเฟยก็ยังแพ้อย่างราบคาบ”

 

 

           “อืม หลังจากนั้นเล่า”

 

 

           “หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ประลองกัน ปีนั้นในงานบุปผานานาพรรณถือว่าไม่มีคนอื่นเทียบได้เลย ซูจุ้ยเตี๋ยได้ที่หนึ่งด้านร่ายรำ วาดภาพ โคลงกลอน และดนตรีฉิน สี่ประเภท หลิ่วกุ้ยเฟยได้ที่หนึ่งด้านหมากล้อมและเขียนอักษร สองประเภท ที่สองล้วนผลัดกัน จากนั้นหลังจากที่ซูจุ้ยเตี๋ยหมั้นหมายก็ไม่ได้ร่วมงานบุปผานานาพรรณอีกเลย หลังจากนั้นสามปี หลิ่วกุ้ยเฟยก็ได้ที่หนึ่งทั้งด้านร่ายรำ วาดภาพ โคลงกลอน ดนตรีฉินและอื่นๆ ขอเพียงเป็นการประลองในงานบุปผานานาพรรณ นางล้วนได้ที่หนึ่งทั้งหมด”

 

 

           เยี่ยหลียอมรับอย่างจริงใจ มิน่าหลิ่วกุ้ยเฟยถึงได้เชิดหน้ามองนางด้วยรูจมูกตลอด นางมากความสามารถจริงๆ นี่เอง เมื่อเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของเยี่ยหลี ฮว่าเทียนเซียงก็พูดอย่างจริงจังว่า “ข้าพูดให้เจ้าฮึกเหิมขึ้นมาบ้างหรือไม่ หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกหวั่นใจบ้างเลยหรือ”

 

 

เยี่ยหลีถอนใจ “เจ้าคิดมากไปแล้ว” ตัวนางกับหลิ่วกุ้ยเฟยที่เก่งกาจเช่นนั้นไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันเสียหน่อย จะให้นางเรียนจนเก่งกาจจนได้ที่หนึ่งไปเสียทุกด้านเช่นนั้น นางยอมไปใช้ชีวิตเที่ยวเล่นอยู่ในป่าเสียยังดีกว่า จะให้นางวาดแผนที่ หรือวาดโครงสร้างอาวุธอะไรก็ไม่มีปัญหาเลย แต่จะให้นางยกพู่กันขึ้นวาดภาพก็ทำได้เพียงลอกเลียนแบบเท่านั้น ในงานบุปผานานาพรรณครั้งนั้นถือว่านางแสดงความสามารถได้มากกว่าธรรมดาแล้ว

 

 

           “ช่างเถิด” ฮว่าเทียนเซียงโบกมือให้วุ่นไปหมด เหลือบมองเห็นองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่จ้องมองพวกนางอยู่ไม่ไกลแล้วจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าไปทำอะไรให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นนั่นอีกหรือ”

 

 

เยี่ยหลีพูดไม่ถูก “ข้าเพิ่งเคยพบหน้าองค์หญิงหลิงอวิ๋นเป็นครั้งแรกจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าเพียงเคยพบเพียงเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิงเท่านั้น”

 

 

ฮว่าเทียนเซียงไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเหตุใดนางจึงทำหน้าเหมือนอยากกินเจ้าเช่นนี้เล่า”

 

 

           “กระบี่หลั่นอวิ๋นหรือ” นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นเพียงเรื่องเดียวที่นางคิดออก

 

 

           “กระบี่หลั่นอวิ๋นหรือ นั่นเป็นของของตำหนักติ้งอ๋อง เกี่ยวอะไรกับองค์หญิงหลิงอวิ๋น”

 

 

           “ใครก็รู้ว่านั่นเป็นของที่ส่งกลับมาให้จากแคว้นซีหลิง องค์หญิงหลิงอวิ๋นคงนึกเสียดายกระมัง พวกเราไปที่อื่นกันเถิด” เมื่อเห็นองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่จ้องพวกนางอยู่เดินเข้ามา เยี่ยหลีก็รีบพูดขึ้นทันที

 

 

           ฮว่าเทียนเซียงเบ้ปาก “เป็นโชค ไม่ใช่ภัย หากเป็นภัยก็หนีไม่พ้น หรือว่าเจ้าคิดอยากจะเดินหลบไปทั่วอุทยานหรือ”

 

 

           “ชายาติ้งอ๋อง” ยังพูดไม่ทันจบ องค์หญิงหลิงอวิ๋นก็เดินมาตรงหน้าพวกนางพอดี บรรดาสตรีสูงศักดิ์โดยรอบที่อยู่ห่างไปไม่ไกลต่างก็เหลือบมองมาทางนี้โดยไมได้ตั้งใจ

 

 

           “องค์หญิง มีเรื่องอันใดอีกหรือ”

 

 

           องค์หญิงหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “ข้าอยากคุยกับพระชายาเป็นการส่วนตัว”

 

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ข้าไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใดที่จะต้องคุยกับองค์หญิง”

 

 

           ใบหน้าเรียวเล็กขององค์หญิงหลิงอวิ๋นขรึมลง “ข้าเดินทางมาเป็นพันลี้ กับแค่การเดินในอุทยานเป็นเพื่อนข้า พระชายาติ้งอ๋องก็ยังไม่ยินยอมหรือ”

 

 

เยี่ยหลีจึงได้แต่พยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น เชิญองค์หญิงเถิด” องค์หญิงหลิงอวิ๋นส่งเสียงเหอะเบาๆ เชิดหน้าขึ้นออกเดินไปก่อนก้าวหนึ่ง เยี่ยหลีได้แต่ส่งสีหน้าปลอบโยนไปให้ฮว่าเทียนเซียงที่มองมาด้วยความกังวล ถอนใจเบาๆ ทีหนึ่งก่อนออกเดินตามไป เด็กสาวสมัยนี้นี่…ขาดการอบรมกันจริงเชียว!

 

 

           องค์หญิงหลิงอวิ๋นโบกมือให้สาวใช้ตนถอยออกไป เยี่ยหลีจึงเกรงใจไม่กล้าให้พวกชิงหลวนตามไปด้วย ทั้งสองเดินคู่กันไปตามทางเดินเล็กๆ ในอุทยาน เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้นว่า “องค์หญิงมีเรื่องอันใดที่อยากจะพูดกับข้าหรือ”

 

 

           องค์หญิงหลิงอวิ๋นหันหน้ามามองนาง แล้วส่งเสียงเหอะเบาๆ “เจ้าไม่เหมาะสมกับติ้งอ๋อง”

 

 

           มุมปากเยี่ยหลียิ้มเล็กน้อย “องค์หญิงกล่าวเกินไปแล้ว จะแต่งลูกสาวก็ต้องแต่งให้ดี นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าได้บ้านสามีที่ดี มีสามีที่ดีหรอกหรือ”

 

 

 “เจ้าไม่ต้องมาทำท่าทางเช่นนี้ ข้าสืบเรื่องเจ้ามาโดยละเอียดแล้ว ก็แค่ลูกสาวบ้านเจ้ากรมเยี่ยที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร แล้วยังถูกหลีอ๋องถอนหมั้นมาอีก เมื่อได้รับพระราชทานงานสมรสกับติ้งอ๋องถึงได้พอมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง ต่อให้เจ้าได้เป็นสาวมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงแล้วอย่างไร เจ้าก็ยังไม่เหมาะสมกับติ้งอ๋องอยู่ดี” หลิงอวิ๋นกล่าวอย่างดูแคลน

 

 

           “อ้อ เช่นนั้นหรือ” เยี่ยหลียังคงสีหน้าเดิมไม่เปลี่ยน แล้วเอ่ยถามเรียบๆ ว่า “ต่อให้ข้าไม่เหมาะสมกับติ้งอ๋อง แล้วเกี่ยวอันใดกับองค์หญิงหรือ”

 

 

           องค์หญิงหลิงอวิ๋นเลิกคิ้ว อมยิ้มประหนึ่งได้ที “อีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้ว่าเกี่ยวอันใดกับข้า ติ้งอ๋องเป็นของข้า เยี่ยหลีหากเจ้ารู้ตัวก็หลีกไปไกลๆ เสียดีๆ”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว จ้องมององค์หญิงหลิงอวิ๋นอย่างจริงจังอยู่พักใหญ่ ก่อนเอ่ยถามว่า “องค์หญิง ข้ามีเรื่องอยากถามท่าน”

 

 

           “ว่ามา”

 

 

           “ข้าขอถามว่า ซิวเหยารู้หรือไม่ว่าท่านเป็นใคร” เยี่ยหลีเอ่ยถาม “เท่าที่ข้ารู้ ซิวเหยาไม่ได้ออกไปไหนมาไหนอย่างน้อยๆ ก็เจ็ดปี คิดคร่าวๆ ต่อให้พวกท่านเคยพบหน้ากันก็คงเป็นตอนที่องค์หญิงมีอายุได้เจ็ดขวบ ข้าขอถามว่า…ซิวเหยาจะยังจำได้หรือว่าท่านเป็นใคร หรือว่า เขาไม่แม้แต่จะรู้จักท่านเลย”

 

 

           “เช่นนั้นแล้วอย่างไร ข้าเป็นองค์หญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดของต้าหลิน หรือว่าจะสู้เจ้าไม่ได้” องค์หญิงหลิงอวิ๋นจ้องเยี่ยหลีด้วยความโกรธ

 

 

           เยี่ยหลีมองนางด้วยความแปลกใจ “หากองค์หญิงอยากแต่งงานกับติ้งอ๋องจริง ก็ควรที่จะปรากฏตัวเพื่อมาแย่งกับข้า ก่อนงานแต่งงานของพวกเราถึงจะถูกมิใช่หรือ ตอนนี้พวกเราแต่งงานกันไปแล้ว องค์หญิงจึงมาปรากฏตัวเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร ท่านคงทราบว่าตำหนักติ้งอ๋องไม่เคยแต่งชายาพร้อมๆ กันสองคนรวมทั้งไม่เคยหย่าและแต่งงานใหม่มาก่อน หรือว่าองค์หญิงจะยอมเสียเปรียบมาเป็นภรรยารอง หากไม่ใช่…ต่อให้ข้าตายไป แล้วองค์หญิงได้แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องโดยสะดวก ท่านก็ยังได้เป็นเพียงภรรยาที่มาทีหลัง วันหนึ่งค่ำและสิบห้าค่ำยังต้องไปจุดธูปกราบไหว้วิญญาณข้าอีกด้วยนะ”

 

 

           “เจ้า…เจ้าฝันไปเถิด! ข้าจะต้องเป็นชายาเอกของติ้งอ๋องให้ได้” องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดด้วยความโกรธ

 

 

           “แล้วแต่ท่านจะคิดเถิด” เยี่ยหลีมองนางด้วยความสงสาร “แต่ข้าคิดว่าความต้องการของเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อดูเหมือนจะไม่เหมือนกับท่าน ท่านว่าใช่หรือไม่”

 

 

           แววตาขององค์หญิงหลิงอวิ๋นเปล่งประกายโกรธแค้น หากไม่ใช่เพราะเมื่อถึงเมืองหลวงต้าฉู่ เหลยเถิงเฟิงก็กักตัวนางไว้ให้อยู่แต่ในจวนทูต แล้วบอกกับผู้อื่นว่านางสุขภาพไม่ดี จนเมื่อติ้งอ๋องจัดงานมงคลสมรสเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยปล่อยนางออกมา นางจะเพิ่งมาหาเยี่ยหลีเอาตอนนี้ได้อย่างไร

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาขององค์หญิงหลิงอวิ๋น แล้วพูดต่อว่า “จะว่าไป การพาองค์หญิงที่อายุกำลังเหมาะสมมาเป็นทูตยังแคว้นเพื่อนบ้านด้วยนั้น ข้ายังไม่เคยเห็นนัก…โดยส่วนใหญ่ก็มาเพื่อที่จะ…แต่งงานหรือ ดูเหมือนข้าได้ยินว่าเมื่อหน้าหนาวปีที่แล้ว แคว้นซีหลิงต้องพบกับพายุหิมะ หรือว่า…” มีหลายๆ เรื่องที่นางไม่คิดอยากนึกถึง แต่ไม่ใช่ว่านางมองไม่ออก กับองค์หญิงหลิงอวิ๋นท่านนี้นางไม่นึกกังวลใจแม้แต่นิดเดียว เพราะไม่ว่าองค์หญิงท่านนี้จะมีความสามารถเพียงใด ฮ่องเต้ก็คงไม่ให้ม่อซิวเหยาแต่งงานกับองค์หญิงซีหลิงเพื่อมาทำให้ตนลำบากขึ้นเป็นแน่ ไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงแคว้นซีหลิง ต่อให้เป็นองค์หญิงแคว้นเป่ยหรงหรือองค์หญิงแคว้นหนานจ้าวก็ไม่ควรเกี่ยวข้องกับม่อซิวเหยา มีเพียงองค์หญิงตรงหน้าคนนี้คนเดียวที่ไม่เข้าใจสถานการณ์เหล่านี้ คิดไปเองว่ามาหานางแล้วบอกให้นางถอยไปตรงๆ ก็จะเป็นไปอย่างที่ตนหวังไว้ นางไม่อยากนึกดูถูกความนึกคิดขององค์หญิงเหล่านี้เลยจริงๆ เพียงแต่…ในบรรดาองค์หญิงรุ่นสาวอยู่มีใครที่ปกติบ้างหรือไม่นะ หรือว่านางจะยังเด็กเกินไปจริงๆ

 

 

           “ท่านชอบอะไรในตัวติ้งอ๋องหรือ” เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ขององค์หญิงหลิงอวิ๋นแล้ว เยี่ยหลีจึงถามขึ้นด้วยความอยากรู้

 

 

           องค์หญิงหลิงอวิ๋นส่งเสียงเหอะเบาๆ “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ติ้งอ๋องเป็นชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมสุดในใต้หล้า เป็นแม่ทัพอายุน้อยที่สุดและเก่งกาจที่สุด และเป็นชายหนุ่มที่มากความสามารถอีกด้วย คนที่ข้าต้องการจะแต่งงานด้วยย่อมเป็นคนที่ดีเลิศที่สุดเป็นธรรมดา”

 

 

           “เขาตอนนี้ดูจะไม่ได้ดีเลิศอย่างที่ท่านว่า” เยี่ยหลีเอ่ยเตือน

 

 

           “เจ้านี่ช่าง…เจ้านี่ช่างเห็นแก่ได้เสียจนเกินทน พูดกับเจ้ามากขึ้นอีกแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก ติ้งอ๋องคงตาบอดไปแล้วจริงๆ ถึงได้ชอบผู้หญิงอย่างเจ้า ข้ารู้ว่าฮ่องเต้ของตงฉู่มีรับสั่งให้เขาแต่งงานกับเจ้า แต่ผู้หญิงอย่างเจ้าจะเข้าใจว่าเขาดีเลิศเพียงไหนได้อย่างไร”

 

 

           เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าเอ่ยหาความชอบธรรมเช่นนี้แล้ว เยี่ยหลีจึงนึกพิจารณาตัวเองว่าตนควรจะรู้สึกอายดีหรือไม่ เมื่อเทียบกับองค์หญิงตรงหน้าแล้ว หยางเชียนหรูกลายเป็นคนปกติ และเยี่ยอิ๋งกลายเป็นคนที่น่ารักขึ้นมาทันที

 

 

           “ข้าจะต้องเป็นชายาติ้งอ๋องให้ได้!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นจ้องเยี่ยหลีพร้อมพูดด้วยความเด็ดเดี่ยว

 

 

           “พยายามเข้า ข้าขอให้ท่านประสบความสำเร็จ” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ

 

 

           “ข้าจะต้องเป็นชายาติ้งอ๋องให้ได้!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พูดจบนางก็กระโดดลงทะเลสาบจำลองที่อยู่ข้างๆ ไปทันที

 

 

           “ช่วยด้วย…ช่วยด้วย องค์หญิงตกน้ำ!” เสียงแหลมของผู้หญิงดังก้องขึ้นในอุทยาน

 

 

           เยี่ยหลีก่นด่าเสียงเบา ก่อนจะกระโดดลงน้ำตามไปด้วยอีกคน

 

 

           บ้าเอ้ย เจ้าบ้านี่มีแม่อยู่เยอะเสียจริง! ม่อซิวเหยา เตรียมตัวตายให้ดีเถิด!

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset