ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 79-2 คำขู่ของบัณฑิตขี้โรค

เยี่ยหลีรู้สึกตัวตั้งแต่เช้าตามปกติ นางรู้ตั้งแต่ยังไม่ลุกออกจากเตียงว่าวันนี้พวกนางน่าจะเดินทางต่อไม่ได้ เสียงซู่ๆ ที่ดังลอยเข้ามา ทำให้รู้ว่าด้านนอกฝนกำลังตกหนักมาก เรื่องที่ทางภาคใต้มีฝนมากนั้นนางเคยเจอมาก่อนแล้ว แต่ฝนรอบนี้มาอย่างกะทันหันเกินไป หากเมื่อคืนพวกนางต้องพักนอนในที่ที่ไม่มีหลังคาคุ้มหัวแล้ว คงถือว่าโชคร้ายไม่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนี้ จู่ๆ เยี่ยหลีจึงรู้สึกว่าบุตรชายของหัวหน้าเผ่าหลัวอีปู้นั้นก็มิได้น่ารังเกียจสักเท่าไร

 

 

เมื่อจัดการเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินออกจากห้องไป องครักษ์ลับสามยังคงนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้หน้าประตู แต่เยี่ยหลีรู้ดีว่าเขามิได้หลับอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเยี่ยหลี องครักษ์ลับสามก็ลืมตาขึ้นพร้อมหันไปมองนางทันที

 

 

           “เข้าข้างในไปพักสักหน่อยเถิด เช้านี้คงยังไปไหนไม่ได้” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาขึ้น นางเหลือบมองหานหมิงซีที่นอนขมวดคิ้วขดตัวอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่

 

 

           องครักษ์ลับสามมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป เยี่ยหลีเดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมเปิดหน้าต่างออกครึ่งบานเพื่อชื่นชมฝนที่ตกอยู่ทางด้านนอก

 

 

           “จวินเหวย เจ้าช่างใจร้ายนัก เตียงออกใหญ่แต่เจ้ากลับนอนอยู่คนเดียว ปล่อยให้ข้าต้องมานอนบนเก้าอี้ไม้ไผ่เช่นนี้” ไม่รู้ว่าหานหมิงซีลืมตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด เขายังคงนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดวงตาอันทรงเสน่ห์มองเยี่ยหลีอย่างต่อว่า

 

 

เยี่ยหลีหันกลับไปมองพร้อมยิ้มให้เขา “ตอนนี้ท่านเข้าไปนอนกับจั๋วจิ้งข้างในได้นะ”

 

 

หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น ก่อนยิ้มตาหยีมองนาง “เหตุใดข้าจึงนอนกับจวินเหวยไม่ได้ ข้ารักความสะอาดมากนะ”

 

 

           “ข้าไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร มีอะไรดีๆ ก็จะเก็บไว้เองหมด” เยี่ยหลีพูดด้วยสีหน้าคงเดิมไม่เปลี่ยน

 

 

           หานหมิงซีบ่นงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์อยู่สองประโยคก่อนลุกขึ้นนั่ง ขมวดคิ้วจัดแจงชุดหลัวอีสีแดงเข้มอันอ่อนนุ่มที่ใส่อยู่แล้วจึงเดินเข้าไปดื่มด่ำบรรยากาศยามฝนตกข้างๆ เยี่ยหลี พร้อมถอนใจเบาๆ “วันฝนตกในหนานเจียงนี่บรรยากาศไม่เหมือนกับที่อื่นเลย แต่ฝนตกบ่อยเช่นนี้บางคราก็เกินรับไหวเหมือนกันนะ”

 

 

เยี่ยหลียังมิทันได้พูดตอบก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่หน้าประตู สักพักก็ตามมาด้วยเสียงเคาะประตู

 

 

           เมื่อเปิดประตูออก ก็เห็นบัณฑิตขี้โรคถือร่มกระดาษน้ำมันยืนอยู่ที่หน้าประตู

 

 

หลังจากที่พักมาหนึ่งคืน สีหน้าของเขากลับดูไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย ซ้ำยังยิ่งดูเหลืองไม่มีประกายขึ้นไปอีก มือข้างที่ว่างอยู่ยกขึ้นปิดปาก ส่งเสียงไอหนักๆ ตลอดเวลา “คุณชายหาน คุณชายฉู่ รบกวนหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร เชิญคุณชายเข้ามาก่อน”

 

 

           บัณฑิตขี้โรคก้าวเข้าไปในห้อง เขากวาดตามองรอบๆ ก่อนหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องด้านใน เยี่ยหลียิ้มพร้อมเอ่ยตอบเรียบๆ ว่า “จั๋วจิ้งยังนอนพักอยู่ด้านใน เชิญคุณชายนั่งลงก่อน คุณชายมาแต่เช้าด้วยเรื่อง…”

 

 

           บัณฑิตขี้โรคนั่งลง ไอเบาๆ อีกสองทีแล้วจึงกล่าวว่า “การเดินทางมาหนานเจียงครานี้ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบคุณชายหาน คุณชายหาน…แค่ก คงพอรู้จักข้ากระมัง”

 

 

           ไม่คิดว่าเขาจะเปิดปากพูดเข้าเรื่องโดยทันที หานหมิงซีอึ้งไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะ “ไม่เลว ชื่อเสียงของหัวหน้าสำนักสามแห่งสำนักเยี่ยอ๋องแคว้นซีหลินนั้นหมิงซีได้ยินมานานแล้วจริงๆ” จากสรรพนามเรียกบัณฑิตขี้โรคและสรรพนามที่ใช่เรียกตนเองของหานหมิงซีนี้ สามารถบอกได้ว่าหานหมิงซีไม่คิดที่จะทำให้คนผู้นี้ไม่พอใจ ทั้งยังดูมีความเกรงกลัวอีกด้วย

 

 

บัณฑิตขี้โรคยิ้มเรียบๆ “ไม่ต้องเกรงใจ หัวหน้าสำนักเยี่ยนอ๋องกับพี่ชายของท่านเป็นสหายสนิทกัน ตัวข้ากับพี่ชายของท่านก็รู้จักกันพอสมควร เพียงแต่…คุณชายท่านนี้กลับดูไม่คุ้นหน้าเลย”

 

 

เยี่ยหลีลอบนึกประเมินในใจ แต่ใบหน้านางยังคงประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ข้าน้อยมิใช่คนในยุทธภพ ซ้ำยังมีความรู้ตื้นเขินนัก คงทำให้ท่านเห็นขันแล้ว” ข้าไม่รู้จักท่าน ท่านเองก็ไม่รู้จักข้า ดังนั้นทุกคนต่างก็เท่าเทียมกัน

 

 

บัณฑิตขี้โรคจ้องมองเยี่ยหลีประหนึ่งกำลังใคร่ครวญอันใดบางอย่าง หานหมิงซีกลับไม่ยินดีให้เขาจ้องเยี่ยหลีเขม็งเช่นนั้น หัวเราะขัดขึ้นว่า “ได้ยินพี่ใหญ่พูดว่าหลายปีมานี้ท่านไม่ค่อยชอบออกไปไหนมาไหน ไม่รู้ว่าที่มาหนานเจียงครานี้ด้วยเหตุใดกันหรือ มีเรื่องใดที่เทียนอี้เก๋อสามารถช่วยได้หรือไม่”

 

 

           บัณฑิตขี้โรคอึ้งไปแล้วจึงหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “เพียงเรื่องส่วนตัวเล็กน้อยเท่านั้น ไม่รบกวนคุณชายจะดีกว่า” เขาไม่ยินดีที่จะพูด หานหมิงซีเองก็ไม่คิดจะถามต่อ อันที่จริงแล้วเขาอยากอยู่ให้ห่างจากเขายิ่งห่างเท่าไรยิ่งดี เหตุใดยามนั้นม่อซิวเหยาถึงไม่ฆ่าเจ้าเทพแห่งโรคนี่ทิ้งเสียนะ หานหมิงซีใบหน้ายิ้มแย้มแต่นึกวิจารณ์ในใจ

 

 

บัณฑิตขี้โรคดูจะไม่อยากเสียเวลากับเรื่องส่วนตัวของตน เขายิ้มมองเยี่ยหลีและหานหมิงซี “ทั้งสองท่านเห็นว่าค่ายนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

           หานหมิงซีขมวดคิ้ว “ข้าเคยเดินทางไปหนานเจียงมาแล้วสองสามครั้ง แต่ไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่าค่ายของหลัวอีปู้ตั้งอยู่ใกล้เพียงเท่านี้”

 

 

           “คุณชายฉู่เห็นว่าอย่างไร” บัณฑิตขี้โรคมองหน้าเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามขึ้น

 

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้วมุ่น “ได้ยินว่าหลัวอีปู้เป็นหนึ่งในชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุด เพียงแต่ ข้าคิดว่าคนในค่ายนี้น่าจะมีจำนวนไม่เกินหนึ่งร้อยคน ได้ยินว่าตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละชนเผ่าทางหนานเจียงนั้น โดยปกติจะลึกลับซับซ้อนมาก แต่เหตุใดค่ายของหลัวอีปู้จึงมาตั้งอยู่ที่ริมเส้นทางใหญ่เช่นนี้ได้”

 

 

หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น อมยิ้มมองเยี่ยหลี “ที่แท้จวินเหวยก็มองออกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่เอง ในเมื่อจับสังเกตได้หลายจุดเช่นนี้ เหตุใดยังมาที่นี่อีกหรือ”

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “พวกเรามีทางเลือกหรือ พวกเราไม่มีม้า อีกทั้งพื้นที่รอบๆ ต่างก็เต็มไปด้วยงูพิษ อีกฝ่ายตั้งใจเชิญพวกเรามาเป็นแขกตั้งแต่แรกแล้ว ถูกผู้อื่นเชิญมาเป็นแขกด้วยความเกรงใจอย่างไรก็ดูดีกว่าถูกคนจับมัดเป็นบ๊ะจ่างมาโยนทิ้งไว้มิใช่หรือ เพียงแต่…ที่ข้าสงสัยคือ อีกฝ่ายจะสร้างสถานการณ์เสียยิ่งใหญ่เพียงนั้นไปเพื่ออันใดกัน ข้าน้อย…นอกจากที่ข้าได้เคยล่วงเกินบุตรชายหัวหน้าชนเผ่าท่านนั้นที่เมืองหย่งหลินแล้ว ก็ดูจะไม่มีเหตุอันใดเพียงพอจะให้อีกฝ่ายต้องสร้างเรื่องเช่นนี้” พูดจบ สายตาของเยี่ยหลีก็เลื่อนไปหยุดมองบัณฑิตขี้โรค

 

 

บัณฑิตขี้โรคถอนหายใจน้อยๆ “คุณชายฉู่อายุยังน้อย แต่กลับมีความคิดที่แหลมคมอย่างหาได้ยาก ไม่เลว พวกเขาตั้งใจบุกเข้ามาหาพวกเรา”

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “เชิญท่านกล่าว”

 

 

           “เชื่อว่าเมื่อคืนนี้ทั้งสองท่านคงพอสังเกตได้ ด้านนอกมีคนคอยสังเกตการณ์พวกเราอยู่ตลอดเวลา อันที่จริงเป้าหมายของหลัวอีปู้นั้นเรียบง่ายมาก พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อของมีค่าที่อยู่บนตัวนายท่านเหลียง” บัณฑิตขี้โรคเอ่ยเรียบๆ

 

 

หานหมิงซียิ้ม “ข้าน้อยไม่ยักเคยได้ยินว่าท่านเปลี่ยนอาชีพมาเป็นผู้อารักขาแล้ว”

 

 

บัณฑิตขี้โรคขมวดคิ้ว กลั้นความอยากไอไว้ ก่อนหันไปยิ้มให้หานหมิงซี “ถูกแล้ว อันที่จริงที่ข้าตามมานี้มิใช่เพื่อคุ้มครองนายท่านเหลียง”

 

 

           หานหมิงซีเอนหลังพิงเก้าอี้ เหลือบตามองบัณฑิตขี้โรค “ข้ารู้ คุณชายเองก็อยากได้ของสิ่งนั้นเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คุณชายฆ่าตาเฒ่านั้นตายเสียก็สิ้นเรื่อง เหตุใดจึงต้องลำบากมาส่งเขาถึงหนานเจียงด้วย”

 

 

บัณฑิตขี้โรคมองหน้าหานหมิงซี ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มมีแววโหดเ**้ยม และดูเปลี่ยนเป็นอำมหิตเลือดเย็นขึ้นทันที ดูเป็นคนละคนกับบัณฑิตขี้โรคก่อนหน้านี้

 

 

           “ถูกต้อง จริงอยู่ที่ข้าสามารถฆ่าตาเฒ่านั้นได้ แต่น่าเสียดาย…เขามิใช่คนซื่อบื้อ ของสิ่งนั้นอยู่ในเมืองหลวงของหนานจ้าว บนตัวเขามีเพียงของที่สามารถใช้เพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมาเท่านั้น อีกทั้งยังมีอยู่เพียงครึ่งชิ้นอีกด้วย ในใต้หล้านี้นอกจากตัวเขาแล้ว มิมีผู้ใดรู้ว่าของอีกครึ่งส่วนนั้นอยู่ที่ใด และยิ่งมิมีผู้ใดรู้ว่าหากได้ของชิ้นนั้นมาแล้วจะต้องใช้อย่างไร” ดวงตาของบัณฑิตขี้โรคมีประกายมาดร้าย ดูออกว่าเขาคงนึกโกรธในความเขี้ยวลากดินของนายท่านเหลียงอยู่มากทีเดียว

 

 

หานหมิงซีเลิกคิวพร้อมยิ้ม “บางทีท่านน่าจะลองวิธีทรมานเพื่อเค้นความลับดู”

 

 

บัณฑิตขี้โรคส่งเสียงเหอะอย่างเลือดเย็น “คุณชายหานมิรู้จริงๆ หรือว่าเขาเป็นใคร”

 

 

           หานหมิงซียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เมื่อเห็นสายตาของเยี่ยหลีที่เลื่อนมามองตนจึงได้ยิ้ม “รู้สิ พ่อค้าวาณิชใหญ่แห่งต้าฉู่ นอกจากตระกูลเฟิ่ง เหยียน จิน หลี่ว์ สี่ตระกูลใหญ่นี้แล้ว ตระกูลที่ห้าก็คือตระกูลเหลียงที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ร่ำรวยกว่าพี่ใหญ่ของข้าเสียอีก อีกอย่าง หากว่าพี่ใหญ่ข้ารักเงินเป็นชีวิตจิตใจแล้ว นายท่านเหลียงผู้นี้คงเรียกได้ว่าเห็นเงินสำคัญกว่าชีวิตทีเดียว ได้ยินว่าเคยมีโจรป่าลักพาตัวอนุแสนรักของเขาไป โดยให้นำเงินสองหมื่นตำลึงมาแลก เขาไม่แม้แต่จะสนใจ อีกอย่างท่านอย่ามองแต่ว่าเขามีเงิน ปกติเขาประหยัดได้ก็ประหยัด วิถีชีวิตของเขายังสู้พ่อค้าธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อคืนก่อนเขามิได้คุยโวกับท่านว่าเขาไปที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์หรือ คนที่พี่ใหญ่ข้ารังเกียจที่สุดก็คือเขาผู้นี้เอง เพราะวันที่เขาไปที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์นั้น เขาสั่งชาที่ถูกที่สุดเพียงหนึ่งถ้วย ใช้เงินไปไม่ถึงยี่สิบตำลึงด้วยซ้ำ คนประเภทนี้หากมีของรักของหวงอันใดแล้ว ดูท่าต่อให้ท่านฆ่าเขาเขาก็คงไม่ให้ท่านเป็นแน่”

 

 

           เยี่ยหลีมองหน้าบัณฑิตขี้โรค “ข้าสงสัยว่าเหตุใดท่านจึงต้องบอกข่าวนี้แก่พวกเราด้วย ท่านไม่กลัวว่าพวกเราจะเกิดความละโมบขึ้นบ้างหรือ”

 

 

           บัณฑิตขี้โรคเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าจำเป็นต้องให้พวกท่านช่วยเหลือ เมื่อคืนวานข้าเห็นวิทยายุทธ์ของคุณชายจั๋วไม่เลวเลยทีเดียว ส่วนคุณชายฉู่ถึงแม้จะมองไม่ออกแต่เชื่อว่าคงมีฝีมือไม่ธรรมดาเช่นกัน ส่วนคุณชายหาน หากเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วข้าไม่มีทางทำให้ท่านเสียประโยชน์”

 

 

หานหมิงซีเท้าคางหันหน้ามองเขา “ข้ายังคิดว่าเมื่อครู่คุณชายพูดว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเทียนอี้เก๋อเสียอีก”

 

 

           บัณฑิตขี้โรคพยักหน้า “ข้าไม่ต้องการข่าวอันใดจากเทียนอี้เก๋อ เพียงแต่ในเมื่อบังเอิญเจอคุณชายหานแล้วจึงทำได้เพียงต้องขอให้ท่านช่วย”

 

 

           “ข้าสามารถปฏิเสธได้หรือไม่” หานหมิงซีเอ่ยถาม

 

 

           “เกรงว่าคงมิได้” บัณฑิตขี้โรคเอ่ยเสียงขรึม สายตานิ่งขรึมค่อยๆ กวาดมองคนทั้งสอง หานหมิงซีเพียงรู้สึกประหนึ่งถูกมีดแทงทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ส่วนเยี่ยหลีสีหน้ายังคงปกติ มีเพียงมือที่อยู่ในแขนเสื้อเท่านั้นที่กำแน่นขึ้นเล็กน้อยด้วยไม่รู้ตัว 

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset