ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 86-2 จดหมายลับจากอวิ๋นโจว

เมืองหลวง แคว้นหนานจ้าว

 

 

           เยี่ยหลีได้แต่มองหน้าหานหมิงซีที่มองมาด้วยความไม่เป็นมิตร สลับกับสวีชิงเฉินที่อยู่ในสีหน้าเรียบเฉย “คุณชายหาน…”

 

 

หานหมิงซีส่งเสียงเหอะเบาๆ แล้วจึงหันหน้ามายิ้มให้เยี่ยหลี “น้องหลิวอวิ๋น ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนั้นหรอก ในเมื่อเจ้าก็รู้จักกับจวินเหวย เรียกข้าว่าพี่หมิงซีก็พอ”

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองเขาอย่างพูดอันใดไม่ออก กลืนคำพูดปลอบโยนที่คิดอยากจะพูดกลับลงไป

 

 

เมื่อหานหมิงซีเห็นว่าสาวน้อยคนงามไม่ยอมสนใจตน จึงได้แต่ยักไหล่ด้วยความเสียใจ แล้วจึงมองเยี่ยหลีด้วยสายตาประเมินพร้อมพูดว่า “จะว่าไป น้องหลิวอวิ๋นกับจวินเหวยดูมีส่วนคล้ายกันอยู่นะ อันที่จริง จวินเหวยมิใช่น้องชายของคุณชายชิงเฉิน แต่เป็นพี่ชายของน้องหลิวอวิ๋นกระมัง พวกเจ้าแซ่ฉู่เหมือนกันพอดีด้วยมิใช่หรือ”

 

 

เยี่ยหลีได้แต่นึกปาดเหงื่อในใจ “พี่ชิงเฉินเป็นพี่ใหญ่ของจวินเหวยจริงๆ”

 

 

หานหมิงซีแววตาเปลี่ยนไป เขากะพริบตาอย่างใสซื่อใส่เยี่ยหลี “เช่นนั้นชื่อของจวินเหวยก็มิใช่ชื่อจริงๆ อย่างนั้นสิ น้องหลิวอวิ๋น บอกพี่ได้หรือไม่ จวินเหวยจริงๆ ชื่ออันใดกันแน่”

 

 

           เยี่ยหลีเกิดความลำบากใจจนพูดไม่ออก ลอบนึกเสียใจว่าเหตุใดตอนนั้นถึงได้ใจเร็วยอมให้หานหมิงซีช่วยเหลือ นางหันมองสวีชิงเฉินที่เอาแต่นั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์อย่างขอความช่วยเหลือ

 

 

สวีชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้นพูดเรียบๆ ว่า “สวีชิงหลิว”

 

 

           “ชิงหลิวหรือ เป็นชื่อที่ดี…เหมาะกับจวินเหวยอย่างมาก ไม่เหมือนใครบางคน…ที่ทำชื่อดีๆ เสียหมด แต่ไม่สิ…ในบรรดาคุณชายตระกูลสวีทั้งห้าคน ไม่มีผู้ใดชื่อสวีชิงหลิวเลยนี่!”

 

 

หานหมิงซีพูดบ่นงึมงำ ก่อนนึกอันใดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แล้วจึงมาจ้องสวีชิงเฉินเขม็ง

 

 

สวีชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้น “ใครบอกเจ้าว่าเขาเป็นหนึ่งในห้าของคุณชายตระกูลสวีกันเล่า”

 

 

หานหมิงซีก้มหน้าลงนิ่งคิด ไม่มีผู้ใดบอกเช่นนั้นจริงๆ เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้น เขามองหน้าสวีชิงเฉินด้วยสีหน้าแปลกๆ และดูลังเลใจ หากสังเกตดีๆ แล้วยังจะเห็นแววดูถูกในนั้นอีกด้วย

 

 

เยี่ยหลีได้แต่มองหน้าหานหมิงซีแล้วคิดในใจว่า นี่เจ้าคิดอันใดขึ้นมาได้อีกเนี่ย

 

 

           หานหมิงซีส่งเสียงเหอะ มองขึ้นๆ ลงๆ สำรวจสวีชิงเฉินเสียรอบหนึ่งแล้วจึงพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว มิน่าถึงไม่เคยได้ยินชื่อสวีชิงหลิวมาก่อน หรือว่าเวลาอยู่ข้างนอกเขายังต้องเปลี่ยนชื่อแซ่ด้วย เหอะๆ อีกหน่อยพวกเจ้าอย่าได้คิดรังแกชิงหลิว…ไม่สิ หากเรียกชื่อนี้เขาจะต้องรู้สึกไม่ดีเป็นแน่ ตระกูลสวีของพวกเจ้าอย่าได้คิดจะรังแกจวินเหวยเชียวนะ! เขาเป็นคนของข้าแล้ว”

 

 

สีหน้าเยี่ยหลีดูอับอาย คิ้วเข้มของสวีชิงเฉินเลิกขึ้นเล็กน้อย “จินตนาการของคุณชายหานใช้ได้ทีเดียว”

 

 

หานหมิงซีพ่นลมหายใจออกทางจมูก “ฝีมือการต่อสู้ของข้าดีกว่านี้เสียอีก หากไม่เห็นแก่จวินเหวย ดูซิว่าข้าจะไม่จัดการพวกเจ้าไหม!”

 

 

           “คุณชายหาน…” เยี่ยหลีได้แต่เอ่ยเรียกเขา ในใจรู้สึกซาบซึ้งที่หานหมิงซีให้ความจริงใจกับฉู่จวินเหวยเช่นนี้ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนปกปิดเขาแล้ว ในใจจึงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นหลายส่วน

 

 

           หานหมิงซีปรายตามองนาง “น้องหลิวอวิ๋น เจ้ารีบเปลี่ยนคู่หมั้นเสียเถิด คนบางคนภายนอกเป็นชนชั้นสูงที่แสนจะดูดี แต่ข้างในใครจะรู้ว่าเละเทะเพียงใด เหอะ…จวินเหวยหายไปเป็นนานแล้วยังไม่กลับมาก็ไม่เห็นว่าเขาจะเป็นห่วงเป็นไยอันใด ข้าจะไปหาเขาเอง!” พูดจบ หานหมิงซีก็กระโดดหายไปราวกับลม

 

 

           สวีชิงเฉินวางถ้วยชาลง พูดอย่างใช้ความคิดว่า “หานหมิงซีดูจะดีกับเจ้าไม่น้อย”

 

 

           เยี่ยหลีได้แต่ยิ้มขื่นๆ “ตอนนี้ข้าเริ่มรู้สึกเสียใจที่หลอกเขาแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

สวีชิงเฉินพูดเรียบๆ ว่า “เวลาอยู่ข้างนอกระมัดระวังไว้หน่อยนั้นถูกต้อง เจ้ารีบอธิบายให้เขาฟัง เขาน่าจะเข้าใจได้”

 

 

เยี่ยหลีได้แต่มองเขาด้วยความสงสัย “เช่นนั้นเมื่อครู่ที่พี่ใหญ่พูดชื่อสวีชิงหลิวอันใดนั่น หากข้าอธิบายให้เขาฟังแล้ว จะไม่ถือว่าข้าหลอกเขาเพิ่มอีกเรื่องหนึ่งหรือ”

 

 

สวีชิงเฉินยิ้มเรียบๆ “กลับไปข้าจะขอให้ท่านปู่บันทึกชื่อนี้ลงในประวัติตระกูล ก็ไม่ถือว่าหลอกเขาแล้ว แต่ส่วนเจ้า…”

 

 

           เยี่ยหลีมองสวีชิงเฉินด้วยความสงสัย สวีชิงเฉินส่ายหน้าแต่มิได้พูดต่อ

 

 

           “สวีชิงเฉิน!” มีเสียงตะโกนแหลมเล็กดังขึ้นที่หน้าประตู เสียงประตูดังขึ้นโครมใหญ่จากการที่มีคนถีบเข้ามาจากด้านนอก เงาคนในชุดสีน้ำเงินเข้มรีบพุ่งตัวเข้ามาด้วยความรวดเร็ว

 

 

พอเยี่ยหลีเห็นหญิงสาวที่รีบร้อนเดินเข้ามาก็อดขนลุกไม่ได้ นางหันไปมองสวีชิงเฉิน แต่กลับเห็นสวีชิงเฉินยังคงนั่งนิ่งเฉยอยู่ด้วยท่าทีสบายๆ ประหนึ่งหญิงสาวที่รีบร้อนเข้ามาด้วยความโกรธมิได้เข้ามาหาเขากระนั้น

 

 

หญิงสาวผู้นั้นรีบร้อนเดินเข้ามาถึงหน้าประตูห้องโถงใหญ่ แล้วฝีเท้าก็หยุดชะงักลง นางมองสวีชิงเฉินด้วยสีหน้าตกตะลึง เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ กระแอมไอเสียงเบาแล้วกล่าวว่า “พี่องค์หญิง”

 

 

องค์หญิงอันซีประหนึ่งเพิ่งเรียกสติกลับมาได้ นางก้าวเข้ามาในห้องโถง แล้วจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ชิงเฉิน เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”

 

 

           สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “เห็นท่าทางขององค์หญิงเมื่อครู่แล้ว ข้ายังคิดว่าองค์หญิงจะมาเล่นงานข้าเสียอีก”

 

 

           สีหน้าองค์หญิงอันซีซับสีเลือดขึ้นอย่างรวดเร็ว นางถลึงตาใส่เขาพร้อมพูดว่า “ข้าไม่ควรเล่นงานเจ้าหรือ เจ้าทำเรื่องอันใดไว้ในวังบ้าง”

 

 

           สวีชิงเฉินยิ้มอย่างใสซื่อ “ข้ามิได้ทำอันใดเสียหน่อย” เข้ามิได้ทำอันใดจริงๆ เรื่องทั้งหมดเขาให้องครักษ์ลับกับคนของเทียนอี้เก๋อเป็นคนทำต่างหาก

 

 

องค์หญิงอันซีเดินไปนั่งลงอีกด้านหนึ่ง จ้องหน้าสวีชิงเฉินด้วยความไม่พอใจ “เจ้ามิได้ทำอันใด แต่วังหลวงสับสนวุ่นวายกันไปหมด! เมื่อครู่ท่านพ่อยังได้เรียกข้าเข้าวังไปสอบถาม ท่านสงสัยว่าข้าเป็นคนทำ” ถึงแม้เดิมทีนางก็วางแผนที่จะทำเช่นนี้ไว้แต่แรก แต่ไม่ใช่ว่าถูกคนตัดหน้าลงมือไปก่อนแล้วหรือ เหตุใดเสด็จพ่อยังนึกสงสัยนางอีก

 

 

สวีชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้นถาม “รู้ว่าหนานจ้าวอ๋องสงสัยในตัวท่าน แล้วท่านยังมาที่นี่อีกหรือ”

 

 

องค์หญิงอันซีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความดูแคลน “ก็แค่พวกเศษสวะไม่กี่คน ข้าอยากให้พวกมันตาม พวกมันถึงจะตามข้าได้ หากข้าไม่อยากให้พวกมันตาม ต่อให้พวกมันวิ่งจนขาขวิดก็ตามข้าไม่ได้หรอก”

 

 

           “องค์หญิงรีบมาเช่นนี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ” สวีชิงเฉินเอ่ยถาม

 

 

           เยี่ยหลีที่นั่งอยู่อีกด้านได้แต่นึกถอนหายใจยาวๆ ในใจ ที่องค์หญิงอันซีรีบร้อนมาเช่นนี้มิใช่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ใหญ่หรอกหรือ เขาถามองค์หญิงว่านางมาด้วยเรื่องอันใดตรงๆ เช่นนี้ จะให้นางตอบออกมาตรงๆ ว่าข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านถึงได้มาอย่างนั้นหรือ

 

 

           องค์หญิงอันซีอึ้งไป เหลือบมองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วจึงพูดว่า “ไม่มีเรื่องอันใดแล้วมาไม่ได้หรือ อย่างไรข้าก็ต้องมาดูหน่อยว่า คนที่เป็นทั้งสหายและที่ปรึกษาทางการทหารของข้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

 

 

           สวีชิงเฉินส่ายหน้า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับองค์หญิงพอดี ในเมื่อองค์หญิงมาแล้วก็ไม่ต้องให้ใครไปหาท่านที่ตำหนักองค์หญิงอีก”

 

 

องค์หญิงอันซีขมวดคิ้ว มองหน้าสวีชิงเฉินแล้วพูดว่า “เจ้าไม่กลับไปตำหนักองค์หญิงแล้วหรือ” นางมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนเหลือบตามองเยี่ยหลีแล้วพูดว่า “ตอนนี้คุณหนูฉู่ก็พักอยู่ที่ตำหนักของข้า เจ้ากลับไปพร้อมกันก็จะได้มีคนคอยดูแล พวกเราจะปรึกษาอันใดกันก็สะดวกดีมิใช่หรือ”

 

 

เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย แล้วจึงถือโอกาสพูดก่อนที่สวีชิงเฉินจะเปิดปากว่า “องค์หญิง ขอโทษด้วย ก่อนหน้านี้ข้าหลอกท่าน…”

 

 

           องค์หญิงอันซีขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ เยี่ยหลีพูดเสียงเบาว่า “เรื่องนั้น…อันที่จริงข้า…”

 

 

           “อันที่จริงหลิวอวิ๋นมิใช่หญิงสาวที่บอบบางอ่อนแอทำอันใดมิได้ วันนี้ก็ได้นางกับหลินหานที่เข้าไปช่วยข้าออกมาจากในวัง ก่อนหน้านี้นางกลัวว่าเจ้าจะสงสัยถึงได้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด”

 

 

สวีชิงเฉินชิงพูดต่อเรียบๆ เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ลอบถลึงตาใส่สวีชิงเฉิน แต่สวีชิงเฉินกลับเอาแต่นิ่งเฉยประหนึ่งหินผา

 

 

           องค์หญิงอันซีหันมองเขาด้วยความสงสัย แล้วจึงหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “เรื่องนั้นจะเป็นไรไป แต่น้อยนักที่จะเห็นหญิงสาวจงหยวนที่มีความสามารถทั้งด้านบุ๋นและบู๊อย่างคุณหนูฉู่ ที่คุณหนูฉู่ทำไปก็เพื่อความปลอดภัยของชิงเฉิน ข้าก็มิใช่คนใจแคบอันใดเช่นนั้น”

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “เช่นนั้นก็ขอบคุณองค์หญิงแล้ว”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset