ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 87-1 ตัวตนถูกเปิดเผย

  ทั้งสามคนเคลื่อนตัวเข้าไปยังห้องหนังสือ ถึงแม้องค์หญิงอันซีนึกสงสัยที่เยี่ยหลียังตามพวกตนเข้ามาด้วย แต่ด้วยเพราะความไว้ในเชื่อใจในสวีชิงเฉินจึงทำให้นางมิได้เอ่ยถามอันใด เพราะถึงอย่างไร หญิงสาวที่ดูสวยหวานตรงหน้านี้ก็ได้พาผู้ติดตามอีกคนหนึ่งเดินทางมาเป็นพันลี้เพื่อมาที่หนานจ้าว ทั้งยังหลอกนางจนสำเร็จ และเป็นคนที่ช่วยสวีชิงเฉินออกมาได้อีกด้วย นางย่อมมิใช่คนธรรมดา แววตาขององค์หญิงอันซีที่มองประเมินเยี่ยหลีดูมีความซับซ้อนอย่างมาก เยี่ยหลีเห็นสายตาที่มองมา แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มขื่นๆ อยู่ในใจเท่านั้น นางลอบถลึงตาใส่สวีชิงเฉิน พร้อมส่งสายตาที่สื่อความหมายว่า อีกเดี๋ยวอธิบายให้ข้าฟังด้วย ส่วนสวีชิงเฉินเอาแต่ยิ้มน้อยๆ มิได้พูดอันใด  

 

 

           เมื่อเข้ามานั่งลงในห้องหนังสือแล้ว องค์หญิงอันซีรีบผลักเรื่องส่วนตัวออกไปจากหัวอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางดูเคร่งขรึมและจริงจังขึ้นมาทันที สวีชิงเฉินถามขึ้นว่า “ได้ตราทหารมาหรือไม่”   

 

 

องค์หญิงอันซีส่ายหน้าด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษด้วย ชิงเฉิน จุดที่พวกเราสืบพบว่าตราทหารอยู่ที่นั้นก่อนหน้านี้ เป็นจุดลวง ตราทหารไม่เคยอยู่ที่นั่น”   

 

 

สวีชิงเฉินขมวดคิ้วเล้กน้อย “ว่ากันตามเหตุผลแล้ว…ซูม่านหลินไม่ควรรู้ว่าพวกเรากำลังหาตราทหาร และไม่ควรมีคนนอกรู้ว่าตราทหารที่แท้จริงอยู่ที่ใด เหตุใดนางถึงต้องนำตราทหารไปหลบซ่อนเสียมิดชิดเช่นนั้นด้วย แล้วยังทำเหมือนตั้งใจวางกับดักไว้ให้พวกเราเช่นนั้นอีก”   

 

 

องค์หญิงอันซีส่ายหน้า “คนของพวกเราที่รู้เรื่องนี้ก็มีเพียงไม่กี่คน และข้าสามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาเชื่อใจได้จริงๆ”   

 

 

สวีชิงเฉินส่ายหน้า “คนของเจ้าพวกเราย่อมเชื่อใจอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้…อันซี เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่ามีบางอย่างแปลกๆ ครึ่งปีมานี้ เกือบทุกครั้งที่พวกเราจะจับซูม่านหลินที่ทำผิดจนอาจมีโทษถึงตายได้ นางกลับหลบหนีไปได้ก่อนทุกครั้ง”  

 

 

           องค์หญิงอันซีพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “จะใครเสียอีกท่ามิใช่เสด็จพอ เสด็จพ่อมักเข้าข้างซูม่านหลินอย่างไม่มีเหตุมีผลเสมอ! บอกว่านางเป็นธิดาเทพแห่งหนานเจียง ไม่มีทางทำเช่นนั้นบ้างล่ะ บอกว่าข้าคิดทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างขุนนางแคว้นหนานจ้าวของเราบ้างล่ะ ที่น่าขันที่สุดคือ มีครั้งหนึ่งท่านถึงขั้นบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด! หลายปีมานี้เสด็จพ่อเลอะเลือนหนักเข้าไปทุกที”  

 

 

           สวีชิงเฉินเอ่ยถามอย่างใช้ความคิดว่า “ท่านหนานจ้าวอ๋องอายุมากจนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ”  

 

 

           องค์หญิงอันซีอึ้งไป แล้วจึงหันหน้าไปถามสวีชิงเฉินว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร”  

 

 

           สวีชิงเฉินพูดเรียบๆ ว่า “เดิมทีพวกเราคิดว่าท่านหนานจ้าวอ๋องเชื่อฟัง เข้าข้างและถือหางซูม่านหลินมากกว่า แต่ครานี้…วันนั้นหลังจากข้าถูกจับได้ ข้าก็ถูกคนวางยาสลบทันทีก็จริง แต่ยังจำได้ว่าก่อนที่ข้าจะสลบไปนั้นเป็นช่วงเวลาประมาณท้ายยามเว่ย *  แต่ตอนที่ข้าตื่นมาในห้องศิลานั้น เป็นยามเซิน **  กับอีกสองเค่อ วันนั้นเจ้าส่งคนไปคอยดูธิดาเทพไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นพวกมันจะต้องเส้นทางออกไปทางนอกวังหลวง แต่…ช่วงเวลานั้น ตามปกติท่านหนานจ้าวอ๋องจะประทับพักผ่อนอยู่ในห้องบรรทม ต่อให้ท่านมิได้อยู่ที่นั่น แต่องครักษ์ที่คอยเฝ้าเวรยามอยู่ในวังหนานจ้าวอ๋องและทางเดินลับเส้นนั้นก็มิได้มียืนไว้เล่นๆ หลังจากเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อันซี พอเจ้าเข้าไปในวังแล้วได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้กันบ้างหรือไม่”   

 

 

องค์หญิงอันซีก้มหน้านึกย้อนไปอยู่พักหนึ่งแล้วจึงส่ายหน้า “ไม่มีเลย ตอนที่ข้ารายงานเสด็จพ่อว่าเจ้าหายตัวไป เสด็จพ่อดูเป็นกังวลอย่างมาก แล้วยังรับสั่งว่าจะส่งคนมาช่วยข้าตามหาตัวเจ้า เพียงแต่ถูกข้าปฏิเสธไป”   

 

 

สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ท่านเป็นถึงหนานจ้าวอ๋อง เกิดเรื่องขึ้นในห้องบรรทมของเขา เขาจะไม่รู้เชียวหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเดินลับที่เขาส่งคนไปคอยเฝ้าเวรยามไว้ตลอดเวลาด้วย”  

 

 

           องค์หญิงอันซีอึ้งไปพักใหญ่ นางเงยหน้าขึ้นมองสวีชิงเฉิน ในแววตายังดูไม่อยากเชื่อและยังเคลือบแคลงใจอยู่ “เจ้ากำลังจะบอกว่า เสด็จพ่อมิได้ถูกซูม่านหลินปั่นหัว แต่ท่านเลือกที่จะเข้าข้างและช่วยเหลือนางอย่างนั้นหรือ เหตุใดกัน…ข้าเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่าน เป็นรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าวนะ ตามปกติข้าก็ไม่เคยทำเรื่องอันใดที่ผิดต่อฐานะของข้าเลย”  

 

 

           “บางที อาจเป็นเพราะท่านทำหน้าที่ตามฐานะของท่านได้ดีเกินไปอย่างนั้นหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วเอ่ยเสียงเบา  

 

 

           องค์หญิงอันซีกวาดตามองไปทางนางอย่างรวดเร็ว “คุณหนูฉู่หมายความว่าอย่างไร”  

 

 

           เยี่ยหลีกะพริบตาทีหนึ่ง แล้วหันมองหน้าองค์หญิงอันซี “ที่จงหยวนมีประโยคหนึ่ง ไม่รู้ว่าองค์หญิงเคยได้ยืนหรือไม่”   

 

 

องค์หญิงอันซีมองหน้านางโดยมิได้พูดอันใด   

 

 

เยี่ยหลีพูดต่อเสียงขรึมว่า “ทำดีเกินหน้านาย องค์หญิงกับหนานจ้าวอ๋องเป็นพ่อลูกกันก็จริง แต่…ถึงแม้องค์หญิงจะเรียกหนานจ้าวอ๋องว่าเสด็จพ่อ แต่เท่าที่ข้าเห็น โดยหลักการแล้วน่าจะท่านอ๋อง พ่อถึงจะถูก ตัวท่านเกิดเป็นเชื้อพระวงค์ ต้องเป็นท่านอ๋องก่อน แล้วจึงค่อยเป็นพ่อ ส่วนองค์หญิงก็เช่นเดียวกัน ต้องเป็นขุนนางก่อน แล้วจึงค่อยเป็นบุตรสาว หลายวันที่ข้าอยู่ในเมืองหลวงของหนานจ้าวนี้ ชื่อเสียงขององค์หญิงข้าได้ยินมาไม่น้อย ประชาชนชื่นชมองค์หญิงมาก ว่าเป็นรัชทายาทหญิงที่มีความสามารถและหลักแหลมยิ่งนัก แม้แต่คนจงหยวนที่เพิ่งมาถึงหนานจ้าวได้ไม่เท่าไรอย่างข้ายังมีภาพเช่นนี้ในหัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประชายนชาวหนานเจียงเหล่านั้นที่เคยได้รับความกรุณาจากองค์หญิง”  

 

 

           องค์หญิงอันซีหน้าขาวซีด พูดเสียงสั่นว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่าเสด็จพ่อกำลังเกรงกลัวข้าอย่างนั้นหรือ ท่านถึงได้คอยหนุนหลังซูม่านหลินให้เป็นปฏิปักษ์กับข้า เพื่อจะกดข้าเอาไว้อย่างนั้นหรือ”  

 

 

           เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ มององค์หญิงอันซีด้วยความสงสาร “องค์หญิงคงเคยได้อ่านประวัติศาสตร์ของจงหยวนมาอยู่บ้าง เรื่องในอดีตเราไม่ต้องพูดถึง เอาแค่เรื่องที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ก็พอ ถึงแม้องค์หญิงจะอยู่ที่หนานเจียง แต่เชื่อว่าท่านคงเข้าใจถึงสถานะของตำหนักติ้งอ๋องอยู่บ้างใช่หรือไม่”   

 

 

มุมปากที่ถูกกัดจนขาวซีขององค์หญิงอันซีกระตุกน้อยๆ หันมองสวีชิงเฉินอย่างขอความช่วยเหลือ สวีชิงเฉินถอนหายใจเบาๆ “อันซี…ข้าเคยเตือนท่านแล้วว่าดีเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”   

 

 

องค์หญิงอันซีก้มหน้ากัดริมฝีปากอยู่เงียบๆ ดีเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี…ประโยคนี้เขาพูดกับนางตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักเมื่อสี่ปีก่อนแล้ว แต่นางกลับไปเคยเก็บมาใส่ใจอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก่อนเลย เพราะนางทำเพื่อความรุ่งเรืองของหนานจ้าวด้วยใจจริง นางสามารถพูดกับทุกคนได้อย่างไม่อายว่า นางไม่เคยทำเพื่อตัวนางเองเลย นางคิดแต่เพียงว่าขอเพียงนางตั้งใจพยายามช่วยแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่ออย่างเต็มที่ เสด็จพ่อก็จะพอพระทัยในตัวนาง นางคิดแต่เพียงว่าขอเพียงทำให้หนานจ้าวแข็งแกร่งและรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ประชาชนทุกคนอยู่อย่างมีความสุข น้องซีสยาก็คงไม่ต้องไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างแคว้น แต่ผลกลับกลายเป็นว่า ซีสยากลับหนีไปต้าฉู่เสียเอง นางปิดบังฐานะและชื่อแซ่ แล้วแต่งงานออกไปเป็นอนุให้กับผู้ชายคนหนึ่ง เสด็จพ่อลอบวางแผนว่าจะถ่วงดุลอำนาจของตนได้อย่างไรเสียนานแล้ว เช่นนั้น ความพยายามตลอดหลายปีมานี้ของนาง…เรื่องที่นางเพียรพยายามทำทั้งหมด จะมีความหมายอันใด  

 

 

           เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดขององค์หญิงอันซีแล้ว เยี่ยหลีกับสวีชิงเฉินจึงทำได้เพียงนั่งมองนางเงียบๆ ความเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายความรู้สึกเช่นนี้ แค่เพียงคำปลอบโยนเพียงไม่กี่ประโยคคงไม่สามารถช่วยแก้ไขอันใดได้ ทุกอย่างคงต้องรอให้องค์หญิงอันซีคิดได้เองถึงจะช่วยให้หายได้  

 

 

           บรรยากาศภายในห้องหนังสือหนักอึ้ง องค์หญิงอันซีนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ ถึงแม้ภายนอกจะดูไม่ออกว่านางรู้สึกอย่างไร แต่มือที่กำแน่นอยู่บนที่เท้าแขนจนปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาวนั้น บอกให้รู้ว่าสภาพจิตใจของนางในยามนี้ไม่สงบนัก   

 

 

เยี่ยหลีนึกชื่นชมอยู่ในใจ อย่างน้อยๆ องค์หญิงอันซีก็รู้ว่าจะควบคุมอารมณ์ของตนได้อย่างไร ซึ่งคนเช่นนี้มีอยู่ไม่มาก และยิ่งในหญิงสาวด้วยแล้วยิ่งหาได้น้อยนัก   

 

 

ผ่านไปพักใหญ่ๆ องค์หญิงอันซีจึงได้เงยหน้าขึ้น ทำลายความเงียบภายในห้องหนังสือ “หากข้ายอมล้มเลิกทุกอย่างตอนนี้ เสด็จพ่อจะ…”  

 

 

           “อันซี…” สวีชิงเฉินขมวดคิ้ว มองหน้าพร้อมส่ายหน้า “หนานจ้าวอ๋องจะทำเช่นไรนั้นข้าไม่รู้ แต่ซูม่านหลิน…อันซี ซูม่านหลินกำลังโกรธแค้นเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่ นางไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเป็นแน่ อีกอย่าง…นางจะผลักหนานจ้าวให้ลงนรกไปอย่างแน่นอน นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าอยากเห็นหรือ”   

 

 

อันซีมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ “นางโกรธแค้นข้า ข้ารู้ดี หากเห็นท่าไม่ดีข้าไปอยู่ที่จงหยวน หรือซีหลิง หรือเป่ยหรงก็ยังได้ แต่ท่านบอกว่า…”  

 

 

           “ท่านคิดว่านางเอาตราทหารไปเพื่อเหตุใดกัน รวบรวมกำลังองครักษ์ภายในเมืองหลวงเพื่อโจมตีตำหนักองค์หญิงของท่านอย่างนั้นหรือ ข้าคุยเรื่องนี้กับท่านกี่รอบแล้ว นางมีความทะเยอทะยานมากนัก เพียงแต่…นางแข็งแกร่งไม่เท่าความทะเยอทะยานของนางเท่านั้น” สวีชิงเฉินพูด  

 

 

           สีองค์หญิงอันซีดูหนักอึ้ง มองหน้าสวีชิงเฉินด้วยความสงสัย “ท่านจะบอกว่า…นางคิดจะ…”  

 

 

           สวีชิงเฉินพูดว่า “ท่านลองถามหลิวอวิ๋นดูสิ ว่านางทำอันใดไว้บริเวณชายแดนระหว่างแคว้นหนานจ้าวกับต้าฉู่บ้าง”  

 

 

           องค์หญิงอันซีหันมองไปทางเยี่ยหลี เยี่ยหลีพูดเสียงขรึมว่า “ระหว่างทางที่พวกเรามาหนานเจียง ข้าบังเอิญพบว่า มีหุบเขาอสรพิษที่มีคนสร้างขึ้นอยู่ห่างจากด่านซุ่ยเสวี่ยไปไม่ไกลนัก และสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังหุบเขาอสรพิษนั้นเป็นโรงหลอมอาวุธที่มีขนาดใหญ่มาก อาวุธพวกเขากำลังผลิตอยู่นั้น ทั้งหมดเป็นอาวุธที่ทหารของต้าฉู่นิยมใช้กัน แล้วข้ายังได้พบของอย่างอื่นที่อยู่ข้างในอีกด้วย อีกอย่าง คนที่คอยควบคุมดูแลโรงผลิตอาวุธแห่งนั้นคือหัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้ นามเล่อเจียง”  

 

 

           “หุบเขาอสรพิษที่คนสร้างขึ้นหรือ ไว้เพื่อผลิตอาวุธของต้าฉู่หรือ นางคิดจะทำอันใดกันแน่” องค์หญิงอันซีพูดด้วยความตกใจระคนโกรธเคือง คนหนานเจียงทั่วไปชื่นชอบงูก็จริง แต่มิได้หมายความว่าชื่นชอบให้หนานเจียงกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยงูพิษ ดังนั้นเมื่อหลายปีก่อนที่ม่อซิวเหยาเผาหุบเขาอสรพิษจนราบคาม จึงมิได้ทำให้คนชาวหนานเจียงโกรธแค้นมากนัก ไม่คิดว่ามาวันนี้ยังไม่ทันถึงสิบปีดี หนานเจียงจะมีหุบเขาอสรพิษขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง   

 

 

ส่วนเรื่องที่มีการผลิตอาวุธของแคว้นอื่นภายในบริเวณหนานเจียงนั้น ถือได้ว่าเป็นการล้ำเส้นขีดจำกัดขององค์หญิงอันซีเข้าให้แล้ว ผู้ใดเลยจะรู้ว่า วันหนึ่งอาวุธเหล่านั้นอาจถูกใช้เพื่อห้ำหั่นคนหนานเจียงก็เป็นได้ เรื่องนี้สำหรับองค์หญิงอันซีถือได้ว่าเทียบเท่ากับการก่อกบฏเลยทีเดียว  

 

 

           ทั้งหมดนี้เสด็จพ่อรู้หรือไม่ จะว่าถูกซูม่านหลินปิดบังเอาไว้หรือตั้งใจทำเป็นไม่รู้กันแน่ หรือว่าเสด็จพ่อจะเห็นด้วยกับแผนการของซูม่านหลิน  

 

 

           สวีชิงเฉินพูดขึ้นว่า “มันชัดเจนมากมิใช่หรือ หลีอ๋องช่วยให้ธิดาเทพแห่งหนานเจียงได้ครอบครองแคว้นหนานจ้าว ในทางกลับกัน ซูม่านหลินก็ย่อมต้องช่วยให้หลีอ๋องได้ครอบครองแคว้นต้าฉู่เช่นเดียวกัน”  

 

 

           “โง่เง่า!” องค์หญิงอันซีร้องตะโกนขึ้น ช่วยให้หลีอ๋องได้ครอบครองแคว้นต้าฉู่ พูดน่ะง่าย แต่เอาเข้าจริงจะต้องแลกมาด้วยสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหากพ่ายแพ้แล้ว หนานจ้าวจะต้องเผชิญกับความสูญเสียมากน้อยเพียงใดบ้าง แต่ต่อให้สำเร็จแล้วจะมีผลดีเช่นไรต่อหนานจ้าว ถึงเวลานั้นหากหนานจ้าวเสียหายถึงขีดสุด ก็คงได้แต่ต้องคอยพึ่งพาหลีอ๋อง แล้วก็จะกลับไปเป็นดังเช่นหนานเจียงเมื่อหลายร้อยปีก่อน “ข้าจะเข้าวังไปถามจากเสด็จพ่อให้รู้เรื่อง!” องค์หญิงอันพูดขึ้นด้วยความร้อนใจ  

 

 

           “อันซี” สวีชิงเฉินมองหน้านางอย่างไม่เห็นด้วย องค์หญิงอันซีหันมองทั้งสองคน แล้วจึงพูดเสียงเบาว่า “ไม่ต้องห้ามข้า ชิงเฉิน…ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาที่หนานจ้าวด้วยเป้าหมายใด แต่ครึ่งปีมานี้หากไม่ได้เจ้า เกรงว่าข้าคงถูกซูม่านหลินเล่นงานไปนานแล้ว ดังนั้น อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า พวกเจ้าเป็นคนนอก ที่นี่อย่างไรเสียก็เป็นเมืองหลวงของหนานจ้าว หากพวกเจ้าอยากกลับออกไปอย่างปลอดภัยคงไม่ยากนัก แต่หากเสด็จพ่อคิดจะตัดขาดกับข้าจริงๆ พวกเจ้าก็คงยื้อไว้ได้ไม่นานนัก รีบไปจากหนานจ้าวเถิด ข้าจะไปทำเรื่องที่ข้าควรทำ”   

 

 

สวีชิงเฉินพูดว่า “ตอนนี้การเดินเข้าไปหากับดักเป็นเรื่องที่รัชทายาทแห่งหนานเจียงควรทำหรือ”  

 

 

           องค์หญิงอันซียิ้มขื่นๆ “ตำแหน่งรัชทายาทหญิงเป็นตำแหน่งที่ท่านพ่อทรงแต่งตั้ง หากท่านพ่อใจดำคิดจะเข้าข้างซูม่านหลิน อย่าว่าแต่รัชทายาทหญิงคนหนึ่งเลย ต่อให้มีเป็นสิบคนก็ไม่มีประโยชน์ ข้าจะต้องไปคุยเรื่องนี้กับเสด็จพ่อ”  

 

 

           เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ขององค์หญิงอันซีแล้ว ทั้งสองจึงรู้ดีว่าคงห้ามนางไม่ได้ สวีชิงเฉินเอ่ยเสียงต่ำว่า “อันซี รักษาตัวด้วย”  

 

 

           องค์หญิงอันซีระบายยิ้ม “วางใจเถิด ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านพ่อ ท่านไม่ฆ่าข้าหรอก”  

 

 

 

 

 

*  ยามเว่ย  ช่วงเวลาประมาณ 13.00 – 15.00 น.  

 

 

**  ยามเสิน  ช่วงเวลาประมาณ 15.00 – 17.00 น.  

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset