ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 91-1 ลอบโจมตีกลางดึก

           เมื่อกลับถึงเมืองหย่งหลิน ซย่าซูตามไปช่วยหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีวุ่นอยู่กับการเพิ่มกำลังป้องกันเมืองหย่งหลินตามคาด อวิ๋นถิงในใจนึกอยากมานานแล้ว เมื่อกลับถึงเมืองก็เพียงหันมาบอกเยี่ยหลีคำหนึ่ง แล้วก็มิสนใจชายาติ้งอ๋องอย่างนางอีก รีบตามไปยุ่งวุ่นวายด้วยทันที   

 

 

มู่หรงถิงนั่งอยู่ในห้องหนังสือกับเยี่ยหลี นั่งมองนางดูแผนที่กองโตอย่างไม่ใครใส่ใจนัก แล้วจึงออกไปตามหาหญิงสาวในเมืองที่ยังเป็นสาวเป็นแซ่และมีความคล่องแคล่ว เตรียมจับพวกนางรวมกลุ่มกันเพื่อช่วยเหลือเวลาที่เกิดสงคราม ถึงแม้จะออกไปร่วมรบด้วยไม่ได้ แต่หากให้พวกนางคอยช่วยดูแลทหารที่บาดเจ็บหรือเรื่องจิปาถะอื่นๆ น่าจะไม่มีปัญหา   

 

 

เยี่ยหลีเห็นด้วยกับความคิดของนางเป็นอย่างยิ่ง มู่หรงถิงที่ถูกมู่หรงเซิ่นควบคุมความประพฤติอยู่นาน จึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง เดินออกไปด้วยสีหน้าแช่มชื่น  

 

 

           เยี่ยหลีนั่งอยู่ในกระโจมที่กางขึ้นเพื่อทำเป็นห้องหนังสือโดยเฉพาะ ขมวดคิ้วมองแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า นางมิใช่คนมีพรสวรรค์ อย่างน้อยนางก็มิใช่คนมีพรสวรรค์ที่จะสามารถบัญชาการกองทัพขนาดใหญ่ได้ ด้วยชาติที่แล้วที่นางเป็นทหารประจำหน่วยพิเศษ ทำให้นางเชี่ยวชาญด้านการทำศึกขนาดเล็ก และโจมตีจุดตายของศัตรูมากกว่า   

 

 

แต่ยามนี้ ด้วยอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องเวลาและสถานที่ที่ไม่อำนวยนัก การต้องรับมือกับทหารจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นนายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่พลิกจากแพ้ให้เป็นชนะเลย รักษาเมืองไว้ให้ได้จนกว่ากองหนุนจะมายังว่าน่าขัน   

 

 

ส่วนด่านซุ่ยเสวี่ยที่ไม่เคยถูกคนต่างชนเผ่าเคาะประตูเข้ามาได้มาก่อนเป็นเวลาหลายร้อยปีนั้น ทำให้เมืองหย่งหลินรู้สึกปลอดภัย ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยของกำแพงเมืองจึงไม่แข็งแกร่งเอาเสียเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการป้องกันภายในด้านอื่นๆ ผู้ใดเลยจะคิดว่า วันหนึ่งทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยจะต้องมารับมือกับการโจมตีจากภายในของต้าฉู่เอง  

 

 

           “คารวะพระชายา” คณะของซย่าซูและอวิ๋นถิงพากันเข้ามายืนทำความเคารพเยี่ยหลีอยู่ที่หน้าประตู   

 

 

เยี่ยหลีโบกมือให้พวกเขาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง “เข้ามาสิ เป็นอย่างไรบ้าง”   

 

 

อวิ๋นถิงที่เป็นคนเปิดเผยที่สุดพูดกลั้วหัวเราะว่า “โชคดีที่ได้พี่น้องหน่วยเฮยอวิ๋นฉีคอยช่วยเหลือ พวกเราจึงคุ้มกันเมืองได้แน่นหนาขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”   

 

 

หัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่เข้ามาพร้อมกันส่ายหน้า “เมืองหย่งหลินเองย่ำแย่เกินไป ต่อให้พวกเราเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้น แต่เกรงว่าคงต้านไว้ได้ไม่นานนัก” การโจมตีเมื่อวานถือเป็นเพียงการโยนหินถามทางเท่านั้น การโจมตีครั้งต่อไปเกรงว่าคงจะไม่จบลงง่ายๆ  

 

 

           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “สองวันนี้กองทัพฝ่ายกบฏคงยังไม่บุกมาโจมตีเราอีก แต่ถึงอย่างไรเราจะไม่ป้องกันไว้ก่อนคงไม่ได้ พวกเจ้าต้องเพิ่มความระมัดระวังไว้ด้วย”   

 

 

การโจมตีของวานนี้พวกเขาตั้งใจหลอกม่อจิ่งหลีให้หลงทาง ในขณะที่ม่อจิ่งหลียังไม่รู้ว่าพวกเขามีกำลังพลกันอยู่เท่าไรนั้น ม่อจิ่งหลีไม่น่าบุกเข้าโจมตีอย่างเร่งร้อน แต่ละครที่ใช้หลอกคนนั้นอย่างไรก็หลอกได้ไม่นาน เมื่อใดก็ตามที่ม่อจิ่งหลีรู้ความจริง สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คงมีเพียงแค่การโจมตีที่หนักหน่วงขึ้นเท่านั้น   

 

 

“อวิ๋นถิง ซย่าซูพวกเจ้าคุ้นเคยกับพื้นที่โดยรอบนี้ มาดูแผนที่นี่ที”   

 

 

อวิ๋นถิงและซย่าซูเดินเข้าไปด้วยความสงสัย สิ่งที่กางอยู่เบื้องหน้าเยี่ยหลีคือแผนที่ขนาดใหญ่ ด้านบนมีตัวอักษรเขียนไว้อย่างสวยงามว่าแผนที่เมืองหย่งหลิน อวิ๋นถิงและซย่าซูรับรู้อย่างรวดเร็วว่า แผนที่แผ่นนี้ทิได้เป็นเพียงแผนที่ของเมืองหย่งหลินเท่านั้น มียังครอบคลุมถึงโครงสร้างภูมิประเทศของพื้นที่รอบเมืองหย่งหลินในรัศมีเกือบหนึ่งร้อยลี้อีกด้วย หนึ่งในนั้นยังรวมถึงด่านซุ่ยเสวี่ยและพื้นที่บางส่วนของหนานเจียงด้วย   

 

 

จุดที่สำคัญคือ แผนที่ฉบับนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนที่ที่วาดขึ้นใหม่ อวิ๋นถิงถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “พระชายาต้องการแผนที่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ พวกเรายังมีแผนที่เก็บไว้อีกหลายฉบับ ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยก็มีแผนที่ทั้งหมดของเขตหย่งโจวพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

           เยี่ยหลีส่ายหน้า ไม่ว่านางหรือหน่วยเฮยอวิ๋นฉีต่างไม่คุ้นเคยกับเขตหย่งโจวนัก แต่ในการศึก หากไม่คุ้นเคยกับพื้นที่แล้ว ถือเป็นจุดตายที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นนางจึงได้ส่งข่าวไปบอกให้ทางหน่วยเฮยอวิ๋นฉีรวบรวมข้อมูลของพื้นที่โดยรอบเมืองหย่งหลินตั้งแต่ตอนที่นางยังอยู่ที่หนานเจียง จนคืนวานนี้จึงได้ให้พวกเขาวาดขึ้นใหม่โดยอาศัยแผนที่ฉบับเดิมเป็นต้นแบบ แต่ด้วยเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่นางมิได้ไปสำรวจด้วยตนเอง มีหลายจุดที่นางไม่แน่ใจ จึงอยากให้อวิ๋นถิงและซย่าซูซึ่งเป็นคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่มากกว่ามาช่วยลองดู  

 

 

           ซย่าซูจ้องแผนที่ฉบับนั้นอย่างจริงจังอยู่เป็นนาน นัยน์ตามีประกายอันร้อนแรงปรากฏขึ้น เขาเอ่ยชื่นชมเสียงต่ำขึ้นว่า “พระชายาวาดแผนที่นี้ด้วยตนเองหรือพ่ะย่ะค่ะ”   

 

 

เยี่ยหลีนวดขมับพลางเอ่ยว่า “ถึงแม้ข้าจะเชื่อในทหารของหน่วยเฮยอวิ๋นฉี แต่ข้าก็มิได้ไปสำรวจด้วยตนเอง พวกเจ้าลองดูทีว่าบนแผนที่นี้มีจุดใดไม่ถูกต้องหรือไม่”   

 

 

ซย่าซูมองอยู่พักใหญ่ ก่อนชี้ไปยังจุดหนึ่งที่ทำเครื่องหมายไว้ว่าเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง “ที่นี่…หากแม่น้ำสายนี้อยู่ใกล้กับภูเขาลูกนี้อีกหน่อย โดยรวมก็ไม่มีปัญหาอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”   

 

 

เยี่ยหลียกพู่กันขึ้นพร้อมเอ่ยถามว่า “แม่น้ำสายนี้อยู่ไกลจากภูเขาลูกนี้มากน้อยเพียงใด”   

 

 

ซย่าซูก้มหน้าลงนิ่งคิด “ประมาณสามลี้ได้พ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว ผิดไปไกลพอสมควรทีเดียว สำหรับแผนที่แล้ว ต่างกันเพียงนิดเดียว ก็เท่ากับต่างกันเป็นพันลี้   

 

 

นางยกพู่กันขึ้นวาดแก้ไขแผนที่บนกระดาษ ซย่าซูนึกชื่นชมในใจ รู้สึกนับถือชายาติ้งอ๋ององค์นี้ด้วยใจจริง เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เรื่องการวาดแผนที่นั้น ต่อให้เป็นคนที่ไปเดินสำรวจทุกที่ด้วยตนเอง ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถวาดออกมาได้ แล้วนี่ชายาติ้งอ๋องเพียงฟังจากคนอื่น ก็สามารถวาดออกมาได้โดยแทบไม่มีข้อผิดพลาดเลย ซ้ำแผนที่ฉบับนี้ยังละเอียดกว่าของที่พวกเขามีอยู่ในปัจจุบันเป็นสิบเท่าอีกด้วย   

 

 

การทำศึกคืออันใดก็ตาม นอกจากยุทธศาสตร์ทางการทหารแล้ว หัวใจสำคัญก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสมและจุดยุทธศาสตร์มิใช่หรือ เพียงแต่มิใช่ว่าผู้นำทางการทหารทุกคนจะมีโอกาสได้ลงไปศึกษาพื้นที่ที่ตนจะต้องไปทำศึก แต่หากมีแผนที่ฉบับนี้ ก็สามารถเข้าใจเมืองหย่งหลินและพื้นที่โดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ได้แล้ว  

 

 

           “พระชายา พวกเราจะรอให้กองทัพฝ่ายกบฏเข้ามาโจมตีอยู่เช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” อวิ๋นถิงเอ่ยถามด้วยความใจร้อน  

 

 

           เยี่ยหลีอมยิ้ม “เดิมทีพวกเจ้าคิดกันไว้ว่าอย่างไร”  

 

 

           อวิ๋นถิงละอายเล็กน้อย เดิมทีพวกเขาตั้งใจที่จะรอให้กองทัพฝ่ายกบฏเข้ามาบุกโจมตีก่อนจริงๆ แต่มิใช่เพราะพวกเขาอยากทำเช่นนี้ แต่ด้วยข้อจำกัดทางกำลังทหารทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น แต่ตอนนี้พวกเขามิได้มีกำลังจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอีกสองพันนายหรือ หน่วยเฮยอวิ๋นฉีมิได้เชี่ยวชาญการอยู่รักษาเมือง แต่เป็นการบุกโจมตีมิใช่หรือ แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้ชอบอยู่รักษาเมืองเช่นกัน  

 

 

           “พื้นที่โดยรอบหย่งหลินเป็นป่า เป็นข้อจำกัดของทหารม้า ทำให้ไม่สามารถใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่” ซย่าซูขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นป่าทึบในแผนที่แล้วรู้สึกรำคาญใจ หากเป็นพื้นที่ราบ สิ่งที่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีทำได้ คงมิได้มีเพียงเท่านี้ ทว่าเขาเองก็รู้ดี หากเป็นเพียงพื้นที่ราบแล้ว กองทัพฝ่ายกบฏคงได้กรีฑาทัพทหารจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเข้าบุกโจมตีเมืองเป็นแน่ เช่นนั้นคงยิ่งทำอันใดไม่ได้เข้าไปใหญ่  

 

 

           หัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีหัวเราะขึ้น “ถึงแม้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีจะได้ชื่อว่าเป็นทหารม้า แต่สิ่งที่เชี่ยวชาญมิได้มีเพียงฝีมือการขี่ม้าและการยิงธนูเท่านั้น” ทหารม้านั้นจริงๆ แล้วมีไว้เพื่อรับมือทางเป่ยหรงโดยเฉพาะ ทว่าม้าของต้าฉู่กับม้าของเป่ยหรงนั้นไม่สามารถเทียบกันได้ ถึงแม้ทหารในหน่วยเฮยอวิ๋นฉีล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ แต่หากต้องสู้รับกับทหารม้าเหล็กของเป่ยหรงแล้ว คงประหนึ่งของแข็งเจอกับของแข็ง ต่างฝ่ายต่างไม่ได้เปรียบ   

 

 

ซย่าซูเหลือบมองสีหน้าภาคภูมิใจของหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีและองครักษ์ลับสองและสามที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ แล้วจึงเอ่ยด้วยความลังเลใจว่า “พวกเราสามารถชิงออกไปโจมตีก่อนได้หรือไม่ ทำลายแผนของพวกมันเสีย”  

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ว่ามาสิ”  

 

 

           ซย่าซูหยิบดินสอถ่านบนโต๊ะขึ้นวาดสัญลักษณ์ลงบนแผนที่ “ตอนนี้กองทัพกบฏตั้งค่ายอยู่ห่างจากเมืองหย่งหลินไปประมาณยี่สิบลี้ หากพวกเราใช้ทหารม้าลอบเข้าไป น่าจะโจมตีโดยที่พวกมันไม่ทันตั้งตัวได้”  

 

 

           องครักษ์ลับสองพูดขึ้นว่า “ทหารม้าเสียงดังเกินไป ยิ่งหากต้องการความรวดเร็วด้วยแล้ว เกรงว่ายังไม่ทันถึงค่ายก็คงรู้ตัวกันเสียก่อน อีกอย่าง…จะให้ทหารม้าสองพันนายลอบโจมตีค่ายทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายหรือ” หากเข้าไปในค่ายทหารจำนวนมหาศาลนั่นได้จริง ก็ไม่แน่ว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจะสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย   

 

 

ซย่าซูส่ายหน้า “พวกเราไม่ต้องลอบโจมตีค่ายใหญ่ของพวกมัน ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ของเมืองหย่งหลิน ทำให้พวกมันไม่อาจและไม่สามารถตั้งค่ายรวมทุกคนไว้ในที่เดียวได้ หากค่ายใหญ่ของกองทัพกบฏตั้งอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นที่นี่ และที่นี่จะต้องมีการตั้งค่ายเป็นรูปเขาสัตว์สำหรับกำลังทหารบางส่วนอย่างแน่นอน เพื่อให้สามารถคุ้มครองค่ายใหญ่ได้ สถานที่สองแห่งนี้น่าจะเพียงพอสำหรับกำลังพลไม่เกินหนึ่งหมื่นนาย บางที…อาจสร้างความโกลาหลให้พวกมันได้”  

 

 

           “ฉินเฟิงว่าอย่างไร” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยถามหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉี  

 

 

           ฉินเฟิงขมวดคิ้วกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราเข้าไปตัดเส้นทางทางปีกซ้ายที่จะเข้าไปยังค่ายใหญ่ก่อน ก็เป็นไปได้ที่จะสามารถทำลายกองทัพกลุ่มนี้ทั้งหมดได้ แต่ต่อให้ไม่ได้ เส้นทางบนเขานี้มากว้างนัก กองหนุนของอีกฝ่ายคงมาถึงได้ไม่รวดเร็วเท่าไร พวกเรายังมีเวลาถอยทัพทั้งหมดกลับได้ทันเวลา เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้ เป็นไปได้อย่างมากที่อีกฝ่ายจะนึกสงสัยว่ากำลังหลักของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมิได้อยู่ที่หย่งโจว”   

 

 

เยี่ยหลีกะพริบตาเอ่ยถามขึ้นยิ้มๆ “หากว่า ปีกซ้ายและปีกขวาถูกทำลายทั้งคู่เล่า”  

 

 

           สายตาทุกคู่ที่อยู่ในห้องหนังสือต่างหันมองทางเยี่ยหลี การจะทำลายกองทัพทางปีกใดปีหนึ่งก็ว่าอยากแล้ว จะทำลายทั้งสองฝั่งพร้อมๆ กันได้อย่างไร  

 

 

           “องครักษ์ลับสอง องครักษ์ลับสาม รีบไปรวบรวมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับค่ายของม่อจิ่งหลีมาที” เยี่ยหลีเอ่ยสั่งการ  

 

 

           องครักษ์ลับสองและสามพยักหน้ารับคำสั่ง พร้อมหมุนตัวออกจากห้องหนังสือไป  

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset