ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 91-2 ลอบโจมตีกลางดึก

           ผ่านมาสองวันแล้ว ด้วยเพราะม่อจิ่งหลีไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเลย จึงทำได้เพียงตั้งค่ายนิ่ง ไม่เคลื่อนพลไปที่ใด ได้แต่มองไปทางเมืองหย่งหลินที่อยู่ไกลๆ ซึ่งมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่ไม่มากนัก ม่อจิ่งหลีได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจ อันที่จริงแล้วเขตหย่งโจวไม่ได้มีคนของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่มากนัก และม่อซิวเหยาเองก็มิได้อยู่ที่เขตหย่งโจว ทว่าขณะที่เขาตัดสินใจว่าจะบุกเข้าโจมตีนั้น มักรู้สึกว่านี่เป็นแผนของม่อซิวเหยาที่ล่อให้ตนเคลื่อนพลเข้าไป แต่ไหนแต่ไรมา ม่อซิวเหยาเป็นพวกร้อยเล่ห์เพทุบาย ทำให้เขาไม่อาจนึกระแวงได้ ดังนั้น ถึงแม้ทางฝั่งหนานจ้าวจะส่งคนมาเร่งให้เขาเคลื่อนพลเข้าโจมตี แต่เขายังคงทำได้เพียงนำทหารจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นคนตั้งค่ายเผชิญหน้ากับเมืองเล็กๆ อย่างหย่งหลินเท่านั้น  

 

 

           “ท่านอ๋อง ทางฝั่งหนานจ้าวได้ส่งคนมาเร่งหลายครั้งแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ วันพรุ่งพวกเราจะยกพลเข้าตีเมืองหย่งหลินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ภายในกระโจมใหญ่ ชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนเสนาธิการทหารเอ่ยถามขึ้น  

 

 

           ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้ว “รีบร้อนไปไย หากพวกเขารีบร้อนเช่นนี้เหตุใดตนเองถึงไม่ตีด่านซุ่ยเสวี่ยให้แตกเสียเล่า โจมตีมาตั้งหลายวันเช่นนี้แล้ว แม้แต่เนื้อหนังสักนิดของมู่หรงเซิ่นยังเอามาไม่ได้เลย!”   

 

 

เสนาธิการทหารได้แต่ส่ายหน้าพร้อมยิ้มขื่น “ประตูด่านซุ่ยเสวี่ยแข็งแรงทนทานยิ่งนัก ยากจะทำลายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การที่พวกเขาบุกโจมตีอยู่นานแล้วยังมิอาจตีให้แตกได้ ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้พ่ะย่ะค่ะ”   

 

 

ม่อจิ่งหลีมีท่าทีลังเลเล็กน้อย คิ้วคมขมวดเข้าหากันแน่นเอ่ยถามเสนาธิการทหารว่า “ปล่อยให้คนหนานจ้าวเข้ามาในด่าน…มีประโยชน์จริงหรือ”   

 

 

เสนาธิการทหารชะงักไปเล็กน้อย มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ “ความหมายของท่านอ๋องคืออันใดหรือ”   

 

 

ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ “พวกเรายึดครองเขตหย่งโจวได้โดยไม่ต้องให้คนหนานจ้าวช่วยเหลือ แต่ด่านซุ่ยเสวี่ย หากเมื่อใดให้คนหนานจ้าวเข้ามาได้แล้ว เกรงว่า…เชิญเทพมานั้นง่าย แต่เชิญให้กลับไปคงจะยาก” ถึงแม้ยามนี้คนหนานจ้าวจะร่วมมือกับพวกเขา แต่เขาย่อมรู้ดีว่าคนพวกนั้นมิใช่คนที่มีความซื่อตรงเท่าไรนัก ตำนานด่านซุ่ยเสวี่ยที่ไม่เคยมีผู้ใดตีแตกมาเป็นร้อยปี หากถูกทำลายเสีย เกรงว่าต่อไปคนเหล่านี้คงเข้ามาท้าทายความแข็งแกร่งของด่านซุ่ยเสวี่ยหนักขึ้น และแทรกซึมเข้ามาอยู่ทางตอนใต้ของแผ่นดินต้าฉู่เป็นแน่  

 

 

           “ท่านอ๋อง ธนูที่ง้างแล้วมิอาจชักกลับได้” เสนาธิการทหารเอ่ยโน้มน้าว “เมื่อใดก็ตามที่พวกเราทำลายข้อตกลง เกรงว่าหนานจ้าวคงจะถอนทัพกลับทั้งหมดทั้งที และเมื่อนั้นมู่หรงเซิ่นคงได้หันกลับมาเล่นงานพวกเรา ถึงตอนนั้นหากกองหนุนจากราชสำนักมาถึง…ผลที่ตามมาคงยากที่จะคาดเดาได้ ดังนั้น ท่านอ๋องรีบเผด็จศึกเสียจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”   

 

 

ม่อจิ่งหลีพยักหน้า เหตุผลนี้ไยเขาจะไม่เข้าใจ “ท่านว่า…เหตุใดหน่วยเฮยอวิ๋นฉีถึงได้มาถึงได้รวดเร็วเช่นนี้”  

 

 

           เสนาธิการทหารตอบด้วยความลำบากใจว่า “แต่ไหนแต่ไรมาติ้งอ๋องเป็นคนคิดการณ์ไกลและวางแผนรอบคอบ สองวันมานี้พวกเราสืบไม่พบร่องรอยการเดินทางของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนี้เลย เกรงว่าน่าจะเป็นหมากลับที่ติ้งอ๋องวางไว้ที่นี่ตั้งแต่แรกพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อคิดถึงจุดนนี้ เสนาธิการทหารก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น หากมิใช่เพราะหน่วยเฮยอวิ๋นฉีกลุ่มนี้ ตอนนี้เมืองหย่งหลินคงอยู่ในกำมือพวกเขาไปแล้ว ไม่แน่ว่าด่านซุ่ยเสวี่ยอาจแตกด้วยก็เป็นได้  

 

 

           “ท่านจะบอกว่าม่อซิวเหยาเห็นแววว่าจะเกิดศึกขึ้นที่หนานจ้าวแต่แรกแล้วอย่างนั้นหรือ” ม่อจิ่งหลีเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดี  

 

 

           เสนาธิการทหารไหนเลยจะกล้ายอมรับ จึงเพียงตอบว่า “บางทีอาจเป็นเพียงหน่วยที่ติ้งอ๋องทิ้งไว้เพื่อป้องกันหนานจ้าวก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะถึงอย่างไรในตอนนั้นติ้งอ๋องก็โจมตีพื้นที่ทางหนานเจียงไว้รุนแรงพอสมควร” หากไม่เพราะราชสำนักเป็นกังวลว่าแม่ทัพหนุ่มแห่งตำหนักติ้งอ๋องในขณะนั้นจะมีชื่อเสียงโด่งดังเกินไป มีผลงานการทำศึกที่เก่งกาจเกินไปจนต้องสั่งถอยทัพ เกรงว่าหนานจ้าวในตอนนี้คงไม่เหลืออยู่แล้ว ความเจ็บแค้นที่หนานจ้าวมีต่อติ้งอ๋องนั้นคงไม่ต้องพูดถึง ซึ่งเกรงว่าติ้งอ๋องเองก็คงเห็นว่าการที่หนานจ้าวค่อยๆ ฟื้นคืนจากความตายนั้นเป็นประหนึ่งหนามแหลมในดวงตาเช่นกัน   

 

 

ม่อจิ่งหลีเบ้ปากอย่างดูแคลน “ม่อซิวเหยาอวดอ้างว่าตนเก่งกาจประหนึ่งเทพด้านการทหาร แต่ทำศึกอยู่หนึ่งปีเต็มก็ยังมิอาจทำให้หนานเจียงสงบลงได้ แต่ข้าใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็สามารถยึดครองเขตหย่งโจวได้แล้ว อย่างมากสุดครึ่งปีข้าก็จะสามารถยึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันได้ในเร็ววัน!”  

 

 

           “ท่านอ๋องทรงพระปรีชา” ที่ปรึกษาการทหารเอ่ยยิ้มๆ พร้อมลอบเช็ดเหงื่อ ครั้งนี้ที่ราบรื่นมาได้ถึงเพียงนี้คงเพราะมีเทวดาฟ้าดินคอยช่วยเหลือ ตั้งแต่มู่หรงเซิ่นรับหน้าที่มาประจำการที่ด่านซุ่ยเสวี่ย ฮ่องเต้ก็ใช้สารพัดวิธีในการลดกำลังพลในเขตหย่งโจวลง ผู้ว่าการเขตหย่งโจวเองก็พยายามอย่างยิ่งในการหาเรื่องปวดหัวมาให้มู่หรงเซิ่น ดังนั้นจึงทำให้การป้องกันของเขตหย่งโจวมีช่องโหว่มากมาย   

 

 

ส่วนครานี้ ด้วยเพราะพวกเขาลงมือโดยไม่มีใครทันตั้งตัว จึงทำให้ทุกอย่างราบรื่นมาตลอด อีกหน่อยหากราชสำนักตั้งตัวได้ เกรงว่าคงไม่ราบรื่นเช่นนี้แล้ว เพียงแต่ที่ท่านอ๋องพูดก็ถูก ขอเพียงจัดการมู่หรงเซิ่นที่รักษาการด่านซุ่ยเสวี่ยไปได้ พื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันทั้งหมดจะต้องตกอยู่ในกำมือของพวกเขาแน่นอน  

 

 

           “เรียนท่านอ๋อง! ค่ายทางฝั่งตะวันตกถูกลอบโจมตีพ่ะย่ะค่ะ” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยรายงานเสียงตื่นตกใจมาจากหน้ากระโจม   

 

 

ม่อจิ่งหลีชะงักไป รีบลุกเดินออกไปนอกกระโจมมองไปยังทิศที่ค่ายตั้งอยู่ ก็เห็นมีเปลวไฟจากทางตะวันตกจริงๆ “สารเลว! เมืองหย่งหลินยังสามารถแบ่งกำลังพลมาลอบโจมตีพวกเราได้อย่างไร”   

 

 

เสนาธิการทหารเดินตามออกมา เมื่อได้เห็นสถานการณ์ทางฝั่งตะวันตกก็อึ้งไปเช่นกัน รีบเอ่ยเตือนขึ้นว่า “ท่านอ๋อง…”   

 

 

ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงเย็นว่า “รีบส่งกำลังเสริมไป!”  

 

 

           “ท่านอ๋อง ทอดพระเนตรฝั่งโน้นสิพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้บัญชาการทหารวิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาพร้อมร้องตะโกนขึ้น ค่ายใหญ่ทางฝั่งตะวันออกเองก็มีเปลวไฟปรากฏขึ้นเช่นกัน นายทหารอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจเช่นกันว่า “ค่ายตะวันออกก็ถูกลอบโจมตีด้วย!”  

 

 

           เสนาธิการทหารแววตาเปลี่ยนไปทันที รีบเอ่ยเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋อง! เมืองหย่งหลินมีกำลังทหารอยู่ไม่มากนัก หากต้องการโจมตีค่ายทั้งสองฝั่งพร้อมๆ กัน เช่นนั้นในเมืองจะต้องไม่มีกำลังพลอยู่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ หากพวกเราอาศัยจังหวะช่วงนี้บุกโจมตีเมือง…”   

 

 

ม่อจิ่งหลีรีบหันไปจ้องหน้าเขา “ท่านคิดว่าเจ้าเด็กสองคนที่เมืองหย่งหลินนั้นกล้าที่จะทิ้งเมืองให้ว่างเปล่าเพื่อมาลอบโจมตีอย่างนั้นหรือ” เขาเองไม่คุ้นเคยกับอวิ๋นถิงกับซย่าซูนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่รู้จักเลย ได้ยินว่าทั้งสองคนเป็นนายทหารภายใต้การบังคับบัญชาของมู่หรงเซิ่นที่อายุน้อยที่สุด นายทหารอายุเพียงยี่สิบนิดๆ ต่อให้ใจกล้าเพียงใดก็คงมิกล้าทิ้งเมืองหย่งหลินแล้วออกมาทำอันใดที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ อีกอย่างขอเพียงมิใช่คนโง่พวกเขาก็น่าจะรู้ว่า ต่อให้พวกเขาลอบโจมตีตอนกลางดึกได้สำเร็จ ก็มิอาจโจมตีให้ทหารจำนวนนับแสนล่าถอยไปได้อยู่ดี กลับจะยิ่งเสียกำลังรักษาเมืองหย่งหลินไปเปล่าๆ อีกด้วย  

 

 

           “ท่านอ๋องหมายความว่า…” เสนาธิการทหารขมวดคิ้วถามขึ้น  

 

 

           “ส่งสายสืบไปสืบความมา! แม่ทัพจาง แม่ทัพหลี่ ส่งกองหนุนไปยังค่ายตะวันออกและตะวันตก!”  

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋อง”  

 

 

           บนยอดเขาลูกที่อยู่ไม่ห่างจากค่ายใหญ่ของหลีอ๋องนัก เยี่ยหลีก้มลงมองภาพควันไฟและเสียงอาวุธจากการต่อสู้ที่เบื้องล่างด้วยความพอใจ ซย่าซูและองครักษ์ลับสองและสามติดตามเยี่ยหลีมาสังเกตการณ์สถานการณ์เบื้องล่างอยู่ด้วยเช่นกัน   

 

 

“กองหนุนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ซย่าซูชี้ไปยังเส้นทางด้านล่างสายหนึ่งที่มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนพลไปทางค่ายตะวันตก เยี่ยหลีขมวดคิ้วยิ้มน้อยๆ   

 

 

“ค่ายตะวันตกใกล้เรียบร้อยแล้วกระมัง ให้คนนำพวกเขาอ้อมไปสักสามสี่รอบ”   

 

 

ซย่าซูยิ้ม “แน่นอน หากว่ากันเรื่องพื้นที่แล้ว คนพื้นที่ที่ประจำการมาหลายปีอย่างพวกเราย่อมคุ้นเคยมากกว่า ทางปีกตะวันออกเกรงว่าจะต้านไว้ได้อีกไม่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”   

 

 

เยี่ยหลีกล่าวว่า “คนฝั่งนั้นปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง ให้องครักษ์เตรียมตัวไว้ ข้าไม่อยากให้ม่อจิ่งหลีแบ่งกำลังทหารมาช่วยเหลืออีก” กินมากนักเดี๋ยวจะท้องอืดตายเสีย   

 

 

องครักษ์ลับสามพูดกลั้วหัวเราะว่า “พระชายาวางใจเถิด องครักษ์ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการศึก แต่เรื่องสร้างความวุ่นวายนี่งานถนัดพ่ะย่ะค่ะ!”  

 

 

           “ทหารกบฏคงคิดไม่ถึงว่า คนของตนเองจะโจมตีเข้ามาจากทางด้านหลัง” หากถูกคนบุกเข้าโจมตีจากทางด้านหลังในช่วงฟ้ามืดเช่นนี้ ก็เตรียมตัวเข้าห้ำหั่นฟาดฟันกันไปเถิด ต้องของคุณหลีอ๋องที่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเครื่องแบบ ทำให้ไม่เพียงอาวุธของทหารกบฏเท่านั้น แม้แต่ชุดทหารเองก็ใกล้เคียงกับทหารที่รักษาการเมืองหย่งหลินอยู่ด้วย ส่วนที่ว่าภายในหุบเขาที่มืดสลัวนั้น พวกเขาจะสามารถมองเห็นตราของหลีอ๋องได้หรือไม่ ก็คงต้องอาศัยโชคของพวกเขาเองแล้ว  

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ไปกันเถิด พวกเราไปดูกัน” ทั้งสี่เดินกลับไปขึ้นหลังม้าที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วบังคับม้าให้วิ่งห้อออกไปยังภูเขาอีกลูกท่ามกลางความเงียบสงบทันที พวกนางสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า ทางฟากนั้นจะต้องมีการสู้รบที่ดุดันกว่านี้เป็นแน่  

 

 

           ในค่ำคืนนี้ มิมีผู้ใดสามารถหลบหนีไปได้ จนฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น การสู้รบจึงค่อยๆ หยุดลง ผลที่ออกมาทำให้ใบหน้าที่เดิมบึ้งตึงอยู่แล้วของหลีอ๋อง ยิ่งดูดำสนิทประหนึ่งสีหมึก กองหนุนที่ส่งไปช่วยทางฟากตะวันออกและตะวันตกจำนวนเกือบสามหมื่นนาย บาดเจ็บล้มตายไปกว่าเจ็ดถึงแปดส่วน แต่ศพของฝ่ายตรงข้ามกลับมีอยู่ไม่ถึงสามพัน ศพที่อยู่ในหุบเขาด้านหลังค่ายตะวันออกและตะวันตกนั้นก็เป็นคนของตนเกือบทั้งหมด หากยังเดาไม่ออกว่าเกิดเหตุใดขึ้นเขาคงเป็นไองั่งแล้ว!   

 

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ที่ในค่ายทหารของหลีอ๋องเริ่มมีข่าวว่าติ้งอ๋องและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีของเขาอยู่ในเมืองหย่งหลิน ทำให้ทหารเกือบทุกคนต่างรู้สึกตื่นตระหนก ถึงอย่างไรชื่อติ้งอ๋องและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็มีอิทธิพลต่อจิตใจของคนที่เป็นทหารทุกคนอยู่วันยังค่ำ  

 

 

           ส่วนในตอนนี้ในเมืองหย่งหลินเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความยินดี ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ทำให้อวิ๋นถิงรู้สึกว่าเดินยังประหนึ่งมีลมหอบ  

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset