ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร – ตอนที่ 17: สิ่งที่ฉันทำได้

เสียงคำรามที่แผดไปทั่วพร้อมทั้งร่างของฉันที่กระโจนออกมาใจกลางคนจำนวนมาก ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉันอย่างตกตะลึง

ทางฝั่งโจรก็ตกใจที่เป้าหมายอย่างฉันมาโผล่ตรงหน้า ทหารก็ตกใจที่ฉันแอบออกมาข้างนอก และสำหรับพวกทหารสิ่งที่เกิดขึ้นคงชวนให้หน้าซีด

เพราะพวกเขาคงมาเพื่อปกป้องฉัน แต่ว่าเจ้าตัวที่ต้องปกป้องดันออกมาหาศัตรูซะเอง เป็นใครก็คงเหวอกันบ้างแหละ แต่ฉันเองก็ไม่สนใจ

 

 

“มะ- มังกรอยู่นั่น! ไปจับมาเร็วเข้า!!”

 

“สกัดกั้นเอาไว้! ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องปกป้องชาวเมืองให้ได้”

 

“โอ้!!”

 

คำสั่งที่สวนทางกันแต่เสียงกู่ร้องกลับดังสนั่นทั้งสองฝั่ง โดยมีฉันอยู่ตรงจุดกึ่งกลางที่มีคนวิ่งกรูกันเข้ามา จะทางคนที่หมายตาฉันไว้ก็ดี หรือจะฝ่ายทหารที่โยนชีวิตทิ้งเพื่อฉันก็ดี ทุกคนเอาแต่ทำเรื่องเหนือความคาดหมายกันตามใจชอบทั้งนั้นเลย

เพราะงั้น…ฉันเองก็จะทำตามใจชอบเหมือนกัน

ฉันมองไปรอบ ๆ เพื่อสังเกตว่าบริเวณที่กำลังโดนเผาไปกว้างขนาดไหนแล้วรวบรวมพลังเวทไว้ที่คอ ฉันยังไม่ค่อยได้ฝึกอะไรมากนอกจากลมหายใจของมังกร

แต่ถ้าฉันปล่อยแบบที่ฝึกออกไปคงได้มีคนตายเพิ่มยิ่งกว่าเดิม…แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของฉัน ฉันต้องการหยุดไฟที่ลุกลามไปทั่วนี่ กับคนที่กำลังหลั่งเลือด

แต่เหนือสิ่งอื่นใด…ต้องไม่ให้ป่าโดนทำลายไปมากกว่านี้ ขอร้องล่ะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจหลักการทำงานของเวทมนตร์ แต่ขออะไรก็ได้ ที่จะดับไฟนี่ได้ซะที

 

‘กรร…’

 

ฉันรวบรวมลมเข้าไปเต็มปอดและเตรียมปล่อยโดยหลับตาลงขอให้ไฟหยุด ถึงในหัวจะตีกันไปหมดแต่ที่ต้องการก็ยังไม่เปลี่ยน อยากให้ไฟพวกนี้ดับ อะไรก็ได้ที่ดับไฟได้

แล้วในตอนนั้นเอง สร้อยคอที่เป็นแร่อุลก็เรืองแสงขึ้นมา พลังออกมาจากแร่เหรอ? ไม่ใช่ มันแค่ทำงานเพราะทำให้ฉันตัวอุ่นขึ้น หรือก็คือ…ที่คอฉันมันเย็นขึ้นมานั่นเอง

 

‘กรร!!’

 

ฉันคำรามออกไปเสียงดัง พร้อมทั้งพ้นลมหายใจกราดไปรอบ ๆ เพื่อให้คลุมพื้นที่โดนไฟเผา สิ่งที่ออกมาจากปากฉันเป็นแสงสีฟ้าอ่อนจนขาว ใสจนเหมือนเป็นแค่ลม

แต่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่โดนลมหายใจของฉันนั้นกลายเป็นน้ำแข็ง แม้แต่ไฟที่โหมกระหน่ำอยู่ก็โดนดับลงอย่างรวดเร็ว และพื้นรอบตรงนั้นก็กลายเป็นน้ำแข็ง

รวมถึงตัวคนด้วย…

 

“อะ- อะไรกัน เจ้าน้ำแข็งนี่!”

 

เพราะฉันไม่ได้พ่นนานมากนัก แต่ก็มากพอจะทำให้คนโดนแช่แข็งไปบางจุด การเคลื่อนไหวทั้งหมดจึงหยุดลงและแทนที่ด้วยความสับสน

ก่อนที่ชัยชนะจะตกเป็นของผู้ที่ใจเย็นกว่า

 

“ไฟดับแล้ว เข้าไปจับกุมพวกที่เหลือซะ!!”

 

คนที่นำทหารพูดขึ้นเป็นการเรียกสติฝ่ายตนเอง ก่อนที่คนที่ลุกไหวและขยับตัวได้จะวิ่งเข้าไปจับตัวโจรที่เหลือ และคนที่คอยสั่งทหารก็เดินเข้ามาหาฉัน

และคุกเข่าลงตรงหน้าฉัน ซึ่งเขาใส่ชุดเพราะค่อนข้างหนากว่าคนอื่น ทั้งยังกลายเป็นน้ำแข็งตรงช่วงขาและไหล่ แต่กระนั้นก็ดูไม่มีท่าทีสะทกสะท้านแม้แต่น้อย

 

“ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องกังวล แล้วก็ขอกล่าวขอบคุณที่ช่วยพวกเราไว้ ไม่งั้นทหารหน่วยของเราคงโดนย่างทั้งเป็นกันหมดแน่”

 

ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ…ไม่ใช่ว่าพวกนายก็โดนฉันด้วยรึไง แถมทหารบางคนยังทำท่าทรมานไม่ก็หมดสภาพไปแล้วด้วย แบบนั้นขอบคุณกันได้ด้วยเรอะ

แต่ก็ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะจบลงแล้วล่ะมั้ง เพราะว่ามีเสียงเท้าเดินเข้ามาใกล้ แล้วก็พบว่าเป็นทหารอีกชุดหนึ่งมาเป็นกองกำลังเสริม และช่วยจับกุมพวกโจรทั้งหมด

ชายที่ดูล่ำบึกอันเป็นหัวหน้าก็พาฉันกลับไปที่หมู่บ้าน…

 

“ริเกล!?”

 

เอ๊ะ ไหงเคียร่าถึงมาอยู่นอกบ้านได้ล่ะ ไม่สิ ถ้าสังเกตดี ๆ บ้านทุกหลังก็จุดตะเกียงในบ้านกันหมดเลยนี่นา นี่ตื่นกันทั้งหมู่บ้านเลยเหรอ…

เคียร่าวิ่งเข้ามาหาฉันด้วยสีหน้าแตกตื่นและก้มลงกอดฉัน

 

“หายไปไหนมา เป็นห่วงแทบแย่”

 

‘…ทำสิ่งที่ฉันทำได้นิดหน่อยน่ะ แต่ว่า…กลับมาแล้ว’

 

ฉันนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหลับตาลงและพิงตัวเข้าหาเคียร่า ทั้งยังใช้ปีกโอบกอดรอบตัวเธอไว้อย่างอ่อนโยน และทหารก็แนะนำให้พวกเรากลับบ้านกันไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยคุยรายละเอียดกันต่อ…

 

———- ———

 

ตื่นเช้ามาพวกเราก็รีบมุ่งหน้าไปบ้านของคุณโรเวิร์ตทันที…โดยมีทหารคอยคุ้มกันอีกทีน่ะนะ รู้สึกอึดอัดจังแฮะ ที่คนคอยควบคุมดูแลตลอด

วันนี้ ไม่สิ จริง ๆ ก็ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมดเลยเพราะงั้นการป้องกันฉันจึงแน่นหนายิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนว่าที่ทุกคนตื่นกันเมื่อคืนก็เพราะเสียงคำราม

แต่ที่ฉันอยากรู้ไม่ใช่เรื่องนั้น

 

“ส่วนเรื่องที่มีการปะทะกัน…”

 

ใช่ ส่วนนั่นแหละที่ฉันอยากรู้ เคียร่าเองก็พึ่งรู้ว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นก็ตอนที่พวกทหารกลับมานั่นแหละ แล้วคุณโรเวิร์ตก็เล่าให้ฟัง

อย่างที่บอกนั่นแหละมีคนหมายตาตัวของฉันไว้อยู่ และเลือกใช้วิธีรุนแรงสุด ๆ อย่างการจะทำลายหมู่บ้านทิ้งเลย ดังนั้นจึงรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นกลุ่มค่อนข้างใหญ่

เนื่องจากเมื่อวานมีคนบาดเจ็บเยอะมากและต้องถอนตัวออกกันทั้งหมด แต่เพราะแบบนั้นแหละพวกโจรเองก็โดนเหมือนกัน เลยสงบศึกยาวจนกว่ากองหนุนจะมา

ซึ่งทางฝั่งพวกเราเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่า และขุนนางส่วนหนึ่งก็สนับสนุนให้คุ้มครองพวกฉันด้วย ก็เลยมีคนคอยคุ้มครองมากขึ้น ตอนนี้น่าจะวางใจได้ในระดับหนึ่ง…

แล้วเคียร่าก็ถามบางอย่างขึ้น

 

“คนบาดเจ็บ…เยอะไหมคะ”

 

คุณโรเวิร์ตที่ได้ยินแบบนั้นก็ลังเลที่จะตอบไปพักหนึ่ง แต่ก็ทนแรงกดดันจากสายตาของเคียร่าไม่ไหว จึงถอนหายใจออกมาและบอกแต่โดยดี

 

“ฝั่งทหารข้ามีราว ๆ 30 นาย ฝั่งโจรที่ได้ยินมาคือ 50 คน ปะทะกันตอนแรกทหารเสียชีวิต 5 นายโจร 11 นาย จนตอนที่ริเกลโผล่ออกมา…ทุกคนที่อยู่ที่นั่น บาดเจ็บสาหัส”

 

ทั้งฉันทั้งเคียร่าเผลอกลั้นหายใจกับคำตอบนั้น เอ๊ะ ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ฉันก็แค่อยากดับไฟเอง…ว่าแล้วคุณโรเวิร์ตก็พาออกไปดูข้างนอก

เพราะเห็นว่าพวกฉันอยากรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกัน แล้วก็…พบกับภาพที่มีคนโอดครวญด้วยความทรมานเต็มไปหมด ในตอนนี้ทหารที่ใส่เกราะกันก็ถอดออกหมดแล้ว แต่ว่า…

 

“…”

 

เป็นครั้งแรกเลยรึเปล่านะ ที่เห็นเคียร่าทำสีหน้าหวาดกลัวขนาดนั้นเป็นครั้งแรก น่าจะมากกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าไคซารัสอีก เพราะว่าสภาพแผลของทหารนั้น…

เป็นรอยเนื้อขาดสีแดงมองเผิน ๆ คล้ายแผลไหม้ แต่ว่าไม่มีรอยไหม้รู้แค่สีหน้าทุกคนทรมานกันมาก ส่วนจุดที่โดนก็แตกต่างกันไป

บ้างก็ที่ไหล่ ที่ขา ที่อก หรืออาจจะมีมากกว่านั้นแต่ว่าฉันไม่เห็น แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นจุดที่ใส่เกราะกันทั้งนั้นเลยนี่นา

 

“อ๊ะ ท่านโรเวิร์ต!”

 

เมื่อเราเดินจนถึงชายคนหนึ่งเขาก็ลุกขึ้นและทำวันทยหัตถ์ให้กับคุณโรเวิร์ต ซึ่งทางเจ้าตัวที่ได้รับการเคารพก็ส่งสัญญาณให้ผ่อนคลายลง

อ๊ะ ฉันจำชายคนนี้ได้ เขาเป็นคนที่คอยสั่งทหารคนอื่นนั่นเอง และตอนนี้เขาก็…

 

“เจ็บหนักพอควรเลยนะ วิลเลต”

 

“ก็คงดีกว่าโดนเผาล่ะมั้งครับ”

 

ทั้งคู่ต่างก็ยิ้มเจื่อนให้กัน ส่วนฉันที่เป็นต้นเหตุก็หลุบหัวลงด้วยความรู้สึกผิด แล้วชายที่ชื่อวิลเลตก็สังเกตเห็นฉันที่เป็นแบบนั้น จึงเดินมาหา

และยื่นมือมาลูบหัวของฉันเบา ๆ

 

“ไม่เป็นไร เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอกนะ”

 

ไม่เห็นเข้าใจเลย…ตอนนี้ตัวของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลที่เปรอะไปด้วยเลือด บริเวณไหล่ขวากับเข่าซ้าย คงเป็นแผลแบบเดียวกันกับทหารคนอื่น

เพราะงั้นไม่มีทางที่เขาจะไม่ทรมาน แต่แค่ไม่แสดงออกมาเฉย ๆ แม้ว่าแผลที่เขามีจะใหญ่กว่าคนอื่นมากก็เถอะ แต่กระนั้นก็ยังใจแข็งได้ขนาดนี้ สุดยอดเลยนะ…

 

“ทางฝั่งโจรเป็นยังไงบ้าง”

 

“ครับ! โจรทั้งหมดโดนลมหายใจของมังกรเข้าไปโดยตรง ร่างกายเป็นน้ำแข็งและแตกหัก ส่วนมากจึงเสียแขนหรือขากันครับ”

 

“งั้นรึ ถ้างั้นพวกนั้นก็คงต่อต้านไม่ได้แล้ว…แล้วพวกเจ้าล่ะ”

 

“…ถึงจะน่าเสียดาย แต่ทหารในหน่อยข้าทั้งหมดคงต้องถอนตัว…คงกวัดแกว่งดาบกันไม่ได้อีกแล้ว”

 

ในคำพูดของเขาไม่มีความโกรธเคืองหรืออะไรอยู่เลย จะมีก็เพียงรอยยิ้มบางที่ดูเศร้าสร้อยบนใบหน้าเท่านั้น ฉันเองก็ยิ่งหลบตาไปทางอื่น

เพราะดูเหมือนแผลที่พวกเขาได้รับแม้จะไม่ได้เสียอวัยวะเหมือนพวกโจรที่โดนโดยตรงจนแข็งไป แต่ความเย็นที่ส่งผ่านเหล็กก็ทำให้ผิวหนังโดนกัดกิน

ที่สำคัญ…ต่อให้กลายเป็นแผลเป็นมันก็ยังเจ็บอยู่ สภาพแบบนั้นจะให้เป็นทหารต่อก็คงเป็นไปไม่ได้

 

“ท่านโรเบิร์ต ขอรายงานเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งครับ”

 

“ว่ามาสิ”

 

“อาวุธและอุปกรณ์ของพวกโจร…มันดูดีเกินไปครับ”

 

เมื่อเขาพูดออกมาแบบนั้นทั้งคู่ก็ทำสีหน้าเครียดขึ้นมาและจ้องหน้ากัน เอ๊ะ ถึงฉันเองก็สังเกตเห็นก็เถอะ แต่มันมีความหมายอะไรเหรอ

และเคียร่าเองที่เหมือนจะทำใจสงบกับสภาพรอบ ๆ ได้แล้วก็ทำหน้าคิด ก่อนจะพูดออกมา ซึ่งเป็นการช่วยฉันที่ไม่รู้เรื่องคนเดียวได้พอดี

 

“เหมือนกับ มีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลังสินะคะ”

 

ทุกคนหันไปมองเธอและพยักหน้าให้ ถ้างั้นก็แย่เลยสิ คนใหญ่คนโตนี่ก็หมายถึงขุนนางสินะ ถ้างั้นก็หมายความว่ามีขุนนางร้อนอำนาจต้องการตัวฉันอยู่สินะ

คุณโรเวิร์ตตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าจะเร่งสืบ พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากขุนนางทรงอำนาจคนอื่น เขาเดินไปหาวิลเลตและกระซิบบางอย่างเบามากจนแม้แต่ฉันก็ไม่ได้ยิน และเขาก็จากไปโดยปล่อยเราสองคนไว้กับวิลเลต

ซึ่งพอเป็นแบบนั้นเจ้าตัวก็ทำสีหน้าลำบากใจและเกาหัวแกร่กๆ

 

“อา…ดันทิ้งไว้กับเด็กซะได้ ฉันไม่ถนัดเป็นพี่เลี้ยงเด็กซะหน่อย”

 

ราวกับว่าพอเจ้านายไม่อยู่เขาก็ดูผ่อนคลายลงกว่าเดิมพอควร ทั้งยังถอนหายใจให้กับสถานการณ์ตรงหน้าอีก

เคียร่าจึงหัวเราะในลำคอเบา ๆ และเงยหน้ามองเขา

 

“ฮะๆ ลำบากหน่อยนะคะ”

 

คงเพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำปลอบโยนจากเด็กที่คิดว่าเป็นตัวปัญหาล่ะมั้ง เขาจึงทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย แล้วก็เชิญให้พวกเราหาที่นั่งกัน

ซึ่งตอนนี้พวกเราอยู่ที่ค่ายกลางแจ้งในหมู่บ้าน เพราะว่าคนบาดเจ็บเยอะจึงต้องขอใช้พื้นที่ลานกว้างของหมู่บ้านขนคนเจ็บและรักษา แล้วในตอนนั้นเองเคียร่าก็เปิดหัวข้อสนทนาขึ้น

 

“หลังจากนี้…พวกคุณจะเป็นยังไงต่อเหรอคะ”

 

“หือ ก็คงเลิกเป็นทหารไง”

 

“นั่นแหละค่ะ แล้วถ้าเลิกเป็นทหารจะทำอะไรต่อเหรอคะ”

 

“เอ๋ อืม…นั่นสินะ”

 

เมื่อโดนคำถามที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ได้คิดเอาไว้ วิลเลตจึงทำท่าทางคิดหนักพร้อมทั้งกวาดสายตาไปรอบ ๆ

โดยมีเคียร่ารอฟังโดยมองผู้คนตาแทบไม่กะพริบ

 

“ก็คง หาทำอะไรสักอย่างเลี้ยงชีพแล้วก็กลับไปอยู่กับครอบครัวน่ะ คนในหน่วยส่วนมากจะเป็นสามัญชนกัน แม้แต่ฉันก็ด้วย”

 

“งั้นเหรอคะ…”

 

งั้นเหรอคะ…เธอพึมพำออกมาแบบนั้นถึงสองรอบ ในดวงตาของเธอที่มองไปผู้คนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย

ทั้งเศร้า เสียใจ และ…ราวกับว่าเข้าอกเข้าใจ เหมือนดวงตาของเธอมองทะลุเข้าไปในจิตใจของพวกเขาว่ารู้สึกอย่างไร

จึงเป็นความเห็นอกเห็นใจไปนั่นเอง

จากนั้นเคียร่าก็ลุกขึ้นและเดินออกมาอย่างรวดเร็ว จนคนที่คอยคุ้มครองพวกเราถึงกับตกใจตามมาแทบไม่ทัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่กับฉัน

ฉันก้าวเท้ามาอยู่ข้างเธอได้อย่างรวดเร็วและไม่นานก็ถึงที่บ้าน เธอมุ่งไปห้องของตนเองโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย แล้วก็…

ลงมือเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว

 

‘จะทำอะไรน่ะเคียร่า?’

 

ฉันเธอเข้าไปส่งเสียงร้องข้างเธอ เคียร่าที่กำลังทำสีหน้าซับซ้อนอยู่ก็หันมามองฉัน และคลี่ยิ้มบางให้

 

“ริเกล…อยากออกเดินทางไหม”

 

อยากไหม…ถ้าตามตรงตอนนี้ก็คงไม่ ไม่ใช่ว่ากลัวคนหรือกลัวการทำร้ายคน แต่ว่า วันนี้ทำให้ฉันรู้สึกได้ ว่าฉันอาจจะยังไม่พร้อมปกป้องเคียร่า

ฉันมีพลังมากมายมหาศาล และมากเกินจนกลัวว่าจะทำลายล้างทุกสิ่ง แม้แต่ตัวเคียร่า แต่ว่าจากสภาพตอนนี้ฉันก็เข้าใจเธอที่อยากออกเดินทาง

ไม่สิ พูดให้ถูกคงหนีมากกว่า เพราะงั้นก็คงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ถ้าต้องออกเดินทางฉันก็จะไปกับเธอ และพยายามให้มากที่สุด เพราะนั่นคือสิ่งที่ฉันทำได้

 

‘อืม ฉันพร้อมตามเธอไปทุกที่แหละ’

 

 

 

 

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

Comment

Options

not work with dark mode
Reset